เช้าวันต่อมา ฮวาอิงหลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย ร่างกายปวดร้าวไปแทบทุกส่วน นางเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ ห้องก็ไม่พบฟางซินเย่ ฮวาอิงหลงรีบลุกขึ้น พร้อมใช้ความคิดอย่างหนัก
ฟางซินเย่ไม่พอใจอะไรในตัวนางกันแน่ หากเป็นคนปกติทั่วไปเจอมารยาที่นางงัดมาใช้แทบทุกเม็ด อย่างน้อยก็ย่อมต้องเอ็นดูนางบ้างเป็นแน่ ผิดกับท่าทีของฟางซินเย่ที่มีต่อนาง เขาสุขสมกับสิ่งที่นางปรนเปรอให้อย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่ภายหลังกลับทำท่าทีบึ้งตึงราวกับคนที่มีความเคียดแค้นกันมายาวนานอย่างไรอย่างนั้นเชียว
ยังไม่ทันที่ฮวาอิงหลงจะได้คิดหาคำตอบ เจ้าหมัวมัวก็เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร “ท่านแม่ทัพให้เจ้าทานข้าวให้เรียบร้อย แล้วรีบกลับเรือนพักของเจ้าเสีย” น้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรมากนัก ทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับขมวดคิ้วแน่น
เจ้าหมัวมัวรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก นางนึกว่าเช้านี้นายท่านจะเรียกให้ไปรับรางวัลใหญ่ แต่เรื่องราวกลับกลายเป็นนายท่านกลับมีท่าทางเย็นชา พร้อมสั่งให้นางพาฮวาอิงหลงกลับเรือนพักเสียนี่ นี่ไม่เท่ากับท่านแม่ทัพไม่โปรดปรานฮวาอิงหลงหรอกหรือ เสียแรงที่นางทุ่มเทไปไม่น้อย นึกว่าจะได้ประจบเอาใจนายท่านเสียหน่อย
ฮวาอิงหลงเม้มปากแน่น ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาประคองร่างเจ้าหมัวมัวอย่างเอาใจ “ท่านหมัวมัวเจ้าขา ท่านแม่ทัพไม่พอใจสิ่งใดข้าหรือเจ้าคะ” นางพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามอย่างต้องการรู้สาเหตุ
“เหอะ...เจ้าปรนนิบัตินายท่านทั้งคืน พอใจหรือไม่พอใจเหตุใดต้องมาถามข้ากันเล่า รีบกินแล้วก็รีบกลับเรือนเจ้าได้แล้ว ไม่มีคำสั่งนายท่านก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาอีกเล่า” เจ้าหมัวมัวสะบัดเสียงใส่อย่างดูถูก ก่อนจะกระแทกถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
ฮวาอิงหลงมองตาค้าง นางข่มใจเอาไว้อย่างหนักที่จะไม่กรี๊ดออกมา ฟางซินเย่นะฟางซินเย่ ดาราตัวแม่อย่างเนตรดาวลงแรงแสดงถึงขนาดนี้ เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่พอใจอีกหรือ เจ้าช่างดูถูกข้ามากเกินไปแล้วจริงๆ
ฮวาอิงหลงสะบัดตัวนั่งลง อาหารตรงหน้าถูกจัดเตรียมมาอย่างดี ทำเอาท้องนางร้องประท้วงขึ้นมาด้วยความหิว ฮวาอิงหลงไม่คิดอะไรอีกแล้ว นางรีบกินอาหารตรงหน้าราวกับจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของนางทีเดียว
หลังจากจัดการตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ฮวาอิงหลงก็ไม่ลืมห่ออาหารบางส่วนเก็บกลับมาให้เสี่ยวม่านและเฉินเม่า ตั้งแต่พวกนางมาอยู่ที่จวนแห่งนี้ อาหารดีสุดที่ได้กินคงเป็นโจ๊กสีใสจนแทบมองเห็นก้นชามกระมัง
ฮวาอิงหลงรีบเร่งไปหาเสี่ยวม่านในทันที ขณะนั้นเสี่ยวม่านและเฉินเม่ากำลังนั่งรอฮวาอิงหลงอย่างใจจดใจจ่อ พอเสี่ยวม่านได้เห็นฮวาอิงหลง นางก็รีบวิ่งมาประคองฮวาอิงหลงด้วยความรู้สึกดีใจ
“คุณหนู ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านแม่ทัพเอ่อ...ทำให้ท่านลำบากหรือไม่” เสี่ยวม่านถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่เป็นอะไรหรอก มานี่สิข้านำอาหารกลับมาบางส่วน พวกเจ้ารีบกินเสียเถอะ” ฮวาอิงหลงพูดพร้อมยื่นกล่องอาหารให้เสี่ยวม่าน เฉินเม่ามองอย่างตาโตที่ได้เห็นอาหารดีๆ มากมายตรงหน้า
“อิงหลง เจ้ามีวาสนาแล้ว ต่อไปพวกเราไม่ต้องทนกินโจ๊กจืดชืดอีกแล้วใช่หรือไม่” เฉินเม่าหยิบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมเอ่ยถามอย่างมีความหวัง
“ข้าก็ยังไม่รู้เช่นกัน พวกเรารออีกหน่อยเถอะ” ฮวาอิงหลงตอบอย่างไม่เต็มเสียง นางจะพูดออกไปได้อย่างไรว่าพอเช้ามาฟางซินเย่ก็ทิ้งนางไปอย่างไม่ไยดี
เสี่ยวม่านสังเกตสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักของนายหญิง นางมองหน้าฮวาอิงหลงอย่างมีคำถามมากมาย
“เสี่ยวม่าน เจ้าพอจะรู้หรือไม่ ว่าเมื่อก่อนข้ากับแม่ทัพใหญ่เคยพบปะกันมาก่อนหรือไม่” ฮวาอิงหลงถามคำถามที่ยังค้างคาอยู่ในใจออกมา
เสี่ยวม่านพยายามนึกอยู่นาน ก่อนจะส่ายหน้าออกมา “เท่าที่ข้าจำได้ คุณหนูไม่น่าจะเคยพบท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ”
ฮวาอิงหลงมองหน้าเสี่ยวม่านอีกครั้ง ในเมื่อเสี่ยวม่านพูดเช่นนี้ ทั้งนางเองก็จำไม่ได้เช่นกันว่าเคยเจอฟางซินเย่ในตอนไหน แล้วท่าทีขุ่นเคืองของเขาเกิดจากอะไรกันแน่
“เฉินเม่า ท่านแม่ทัพเคยมีคนรักหรือเพื่อนสนิทอะไรทำนองนี้หรือไม่” ฮวาอิงหลงหันไปถามเฉินเม่าที่เอาแต่เคี้ยวอาหารจนแก้มป่อง
“เท่าที่ข้ารู้เรื่องคนรัก ท่านแม่ทัพไม่น่าจะมี ส่วนเพื่อนสนิทอันนี้ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน” เฉินเม่าตอบออกมาตามที่นางรู้เพียงเท่านั้น
ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจหนัก ข้อมูลของเสี่ยวม่านและเฉินเม่าไม่ได้ช่วยให้นางคิดหาวิธีจัดการปัญหาได้สักนิด
“เสี่ยวม่าน เช่นนั้นเจ้าลองทบทวนสิว่าข้าเคยล่วงเกินผู้ใดบ้าง” ฮวาอิงหลงหันไปถามเสี่ยวม่านอีกครั้ง
“คุณหนู....เอ่อ...” เสี่ยวม่านก้มหน้านิ่ง ไม่กล้วพูดสิ่งใดออกมา
“เสี่ยวม่าน เจ้าพูดมาเถอะน่า ไม่เช่นนั้นข้าจะคิดหาวิธีจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน” ฮวาอิงหลงรำคาญกับท่าทีอ้ำอึ้งของเสี่ยวม่านเต็มที
“คุณหนู หากจะพูดให้ถูก คงต้องบอกว่าให้ข้าตอบว่าท่านไม่เคยล่วงเกินใครบ้างยังจะดีกว่านะเจ้าคะ” เสี่ยวม่านพูดออกไป พร้อมเม้มปากแน่น
เฉินเม่าที่กำลังกินขนมอยู่ถึงกับพ่นอาหารออกไป พร้อมระเบิดหัวเราะเสียงดัง “อิงหลง เมื่อก่อนเจ้าคงเป็นหญิงที่ร้ายกาจมากทีเดียว”
ฮวาอิงหลงถึงกับทำสีหน้าไม่ถูก สตรีนางนี้แต่ก่อนนิสัยเป็นเช่นใดกัน ถึงได้สร้างศัตรูไปทั่วเช่นนี้ นางถอนหายใจออกมาอย่างหนักด้วยความจนใจ
เสี่ยวม่านหยิบอาหารเข้าปากพร้อมเคี้ยวอย่างระวัง นางมองดูสีหน้าของฮวาอิงหลงที่มีท่าทีกลัดกลุ้มใจก็ยิ่งทำให้นางพลอยไม่สบายใจไปด้วย
“พี่เฉินเม่า เจ้าช่วยข้าสืบที ข้ามีความรู้สึกว่าท่านแม่ทัพต้องมีเรื่องบางอย่างกับข้าเป็นแน่” ฮวาอิงหลงหันไปบอกเฉินเม่าอย่างไม่ตั้งความหวังอีก
“ได้ๆ ข้าจะลองเลียบๆ เคียงๆ ถามเจ้าหมัวมัวกับพ่อบ้านดู ยังไงพวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่นา” เฉินเม่าพยักหน้ารับด้วยท่าทางจริงจัง
ฮวาอิงหลงพยักหน้าพร้อมยิ้มให้กับเฉินเม่าอย่างรู้สึกขอบคุณ
หลังจากผ่านไปอยู่หลายวัน ฮวาอิงหลงก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับฟางซินเย่เพิ่มขึ้นสักนิด หนำซ้ำเขายังอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีเรื่องราวค่ำคืนนั้นเกิดขึ้นฮวาอิงหลงเอาแต่กระสับกระส่ายด้วยความร้อนรน นางรู้สึกคับแค้นใจอย่างหนัก ตั้งแต่เกิดมาฮวาอิงหลงไม่เคยคิดจะยอมแพ้ และไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบนางง่ายๆ เช่นนี้เป็นแน่ฮวาอิงหลงยืนอยู่หน้าเรือนโกโรโกโส พร้อมทอดสายตามองไปเบื้องบน ฟ้าส่งข้ามาเช่นนี้ก็ควรให้โชคกับข้าเสียบ้างสิ เหตุใดจึงต้องกลั่นแกล้งข้าขนาดนี้ด้วยเล่า ฮวาอิงหลงนึกโกรธเคืองฟ้าดินที่นำพาโชคชะตาอันเลวร้ายนี้มาให้กับนาง“คุณหนู เข้าไปภายในบ้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งหายไข้ได้ไม่นาน ระวังจะล้มป่วยขึ้นมาอีกหน” เสี่ยวม่านร้องท้วงออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ร่างกายของนายหญิงยังไม่แข็งแรงมากนัก นางเพิ่งจะหายป่วยหนัก ซ้ำยังต้องไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพอีก เสี่ยวม่านจึงเกรงว่าร่างกายของฮวาอิงหลงจะรับไม่ไหวเอาฮวาอิงหลงได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจ นางนึกแผนการดีๆ ขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณเสี่ยวม่านจริงๆ ที่กระตุ้นให้นางได้ฉุกคิดขึ้นมา แผนทรมานกายมีอยู่ในบทละครทั้งหลายที่นางเล
บทที่ 11 ร้อนรนฟางซินเย่เดินจ้ำอ้าวอย่างเร่งร้อนมาจนถึงหน้าเรือนพักของฮวาอิงหลง เขากวาดสายตามองรอบๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปภายในเรือน สภาพด้านในเก่าโทรมจนแทบจะไม่อาจป้องกันภัยอันใดได้ ลมหนาวพัดผ่านเข้ามายังช่องไม้ทำให้ด้านในเย็นยะเยือก กลิ่นอับชื้นแตะเข้าที่จมูกของเขาอย่างแรง จนเขานิ่วหน้าลง ยิ่งเมื่อได้เห็นฮวาอิงหลงที่นอนหลับใหลอย่างไม่ได้สติ ดวงตาของเขาก็ยิ่งหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ฟางซินเย่รู้สึกผิดในใจต่อร่างบางตรงหน้าเป็นอย่างยิ่งฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นมาแนบอกอย่างทะนุถนอม ก่อนจะอุ้มฮวาอิงหลงเดินกลับไปที่เรือนนอนของเขาด้วยความเร่งรีบ“ข้าคิดถึงบ้าน...ข้าอยากกลับบ้าน...ท่านแม่ทัพ...ท่านช่างใจร้ายกับข้าเหลือเกิน” ฮวาอิงหลงเพ้อออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยฟางซินเย่เหลือบมองฮวาอิงหลงด้วยความรู้สึกผิดระคนสงสาร ร่างบางยังคงสั่นเทาอยู่ใต้อ้อมกอดของเขาราวกับลูกนกที่พลัดหลงทางร่างบางของฮวาอิงหลงที่ร้อนราวกับเปลวไฟแนบเข้ากับแผงอกหนา ลมหายใจร้อนเป่ารดลงบนเสื้อผ้า ความร้อนแผ่ซ่านแทรกลงไปยังเสื้อหนาจนร่างกายเขาสัมผัสถึงความร้อนผ่าว ฟางซินเย่ถึงกับตื่นตระหนกที่เห็นนางป่วยหน
บทที่ 12 ขอความเมตตาฮวาอิงหลงหลับไปราวสองวัน นางปรือตาตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย ร่างกายเริ่มสร่างไข้ลงไปมาก นางเหลียวหน้ามองไปด้านข้าง ฮวาอิงหลงเห็นฟางซินเย่ที่กำลังฟุบหลับอยู่ข้างเตียง ใบหน้าสงบเรียบราวกับไร้พิษสง ฮวาอิงหลงถึงกับยิ้มออกมาเมื่อแผนทรมานกายของนางสำเร็จไปอีกขั้นฮวาอิงหลงยกมือขึ้นลูบศีรษะของฟางซินเย่อย่างแผ่วเบา สัมผัสดังกล่าวทำให้ฟางซินเย่รู้สึกตัวตื่นขึ้น เขาสะบัดหน้าเล็กน้อยไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจะมองฮวาอิงหลงอย่างเต็มตา“คุณหนูฮวา เจ้าตื่นแล้วเหรอ” ฟางซินเย่เอ่ยขึ้นพร้อมยกมือขึ้นอังที่หน้าผากของฮวาอิงหลง เมื่อเห็นว่าความร้อนเริ่มลดลงไปจนเกือบเป็นปกติ เขาจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเบาใจท่าทางที่อ่อนโยนทำให้ฮวาอิงหลงรู้สึกย่ามใจ นางมองตาฟางซินเย่ด้วยแววตาหวานซึ้ง ก่อนจะโผตัวเข้ากอดฟางซินเย่ไว้แน่น น้ำตาเอ่อคลอออกมาพร้อมร่วงหล่นลงบนแผงอก ร่างบางสะอื้นไห้จนตัวโยนให้ความรู้สึกสงสารจับใจ“ข้าคิดว่าท่านจะไม่สนใจข้าอีกแล้ว ท่านช่างใจร้ายกับข้ายิ่งนัก” คำพูดตัดพ้อพรั่งพรูออกมา พร้อมสายตาที่น้อยใจอย่างยิ่ง“ข้าไม่รู้ว่าข้าทำสิ่งใดผิดต่อท่าน จึงทำให้ท่านหมางเมินกับข้าถึงเ
บทที่ 13 รุกคืบฮวาอิงหลงเห็นท่าทางลังเลใจของฟางซินเย่ นางยิ้มกริ่มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับคิดในใจว่านางจะไม่ยอมปล่อยโอกาสที่มีให้หลุดมือไปอีกเป็นแน่ นางต้องเร่งลงมือทำอะไรสักอย่างให้ฟางซินเย่ยอมใจอ่อนและยกโทษให้กับนางให้จงได้ฮวาอิงหลงรีบขยับตัวเข้าซุกไซร้ใบหน้าลงบนแผงอกของเขาอีกครั้งอย่างเอาใจ “ท่านแม่ทัพ...ได้โปรดเมตตาอิงเอ่อร์สักครั้งนะเจ้าคะ” เสียงหวานยังคงอ้อนวอนฟางซินเย่ต่อไปอีกครั้ง สายตาหวานเยิ้มจ้องมองหน้าฟางซินเย่อย่างไม่กะพริบตา ท่าทางงอนง้อดั่งคนที่รู้สำนึก เมื่อฮวาอิงหลงยังคงเห็นฟางซินเย่มีท่าทีนิ่งเฉย ร่างบางก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาขึ้นคร่อมเขาไว้ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกดลงไปยังริมฝีปากหนาอย่างรุกเร้า ลิ้นร้อนเลียไล้ไปตามริมฝีปากคลอเคลียไปมา ก่อนจะแทรกเข้าไปในโพรงปากอย่างชำนาญ ลิ้นร้อนพันเกี่ยวกระวัดรัดรึงดูดดึงอย่างต้องการยั่วยวนให้หลงเคลิ้มฮวาอิงหลงยังคงทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง นางซุกไซร้ใบหน้าไปที่ติ่งหู ก่อนจะขบเม้มให้เขารู้สึกเสียวซ่าน จากนั้นจึงเลื่อนไล้ลงต้องบริเวณซอกคอ ริมฝีปากขบเม้มผิวหนาอย่างจงใจเอาคืน ปรากฏเป็นรอยแดงระเรื่อขึ้นเป็นจุดเป็นดวงๆ ไปทั่วบริเว
บทที่ 14 เหตุใดจึงเป็นข้าในยามเช้าวันต่อมาฟางซินเย่ลืมตาตื่นขึ้นมา ในอ้อมกอดของเขามีร่างบางซุกไซร้อยู่อย่างแนบแน่น บทรักที่ฮวาอิงหลงปรนเปรอให้เขาอย่างสุขสมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอาเขายิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุขแต่แล้วฟางซินเย่ก็ถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อพบความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฮวาอิงหลงร่างกายร้อนผ่าวราวกับเปลวไฟ ฟางซินเย่ยกมือขึ้นอังหน้าผากของนางอย่างร้อนใจ ก่อนจะพบว่าไข้ที่เริ่มลดลงก่อนหน้านี้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้งฟางซินเย่รีบลุกขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมทับอย่างรีบร้อน พร้อมเร่งฝีเท้าเดินออกไปภายนอกทันที“พวกเจ้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณหนูฮวาเสีย พ่อบ้านรีบให้คนไปตามหมอมาดูอาการของนางเดี๋ยวนี้” ฟางซินเย่รีบตะโกนเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา พร้อมสั่งพ่อบ้านให้ไปตามหมอมาดูอาการของฮวาอิงหลงทันทีด้วยความร้อนใจฮวาอิงหลงสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เมื่อเสี่ยวม่านเข้ามาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางอย่างร้อนรน “คุณหนู ไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพส่งคนไปตามหมอมาแล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงร้อนรนทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับปรือตาขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มอ่อนให้นางเบาใจ แต่เพราะพิษไข้ที่มีทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับร่างกายอ่อนปวกเปียก ร่างกายอ
บทที่ 15 รวมตัวอีกครั้งสักพักเสี่ยวม่านและเฉินเม่าก็เข้ามารายงานตัว ฮวาอิงหลงได้สั่งให้พ่อบ้านและเจ้าหมัวมัวแต่งตั้งเสี่ยวม่านเป็นสาวรับใช้คนสนิท และตั้งเฉินเม่าขึ้นเป็นเฉินหมัวมัวคอยดูแลความเรียบร้อยภายในเรือนทั้งหมดแม้ว่าเจ้าหมัวมัวจะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ฮวาอิงหลงก็โน้มน้าวเจ้าหมัวมัวทันที“หมัวมัวเจ้าคะ ท่านเป็นหมัวมัวของจวนแห่งนี้ย่อมต้องใช้เวลาดูแลรับใช้ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียง จะให้ท่านลดตัวลงมารับใช้ข้าได้เยี่ยงไร หากให้เฉินเม่าคอยดูแลเรือนของข้า เช่นนั้นมิใช่เป็นการแบ่งเบาภาระของท่านหรอกหรือ” ฮวาอิงหลงพูดพร้อมยกเหตุผลมากมายเจ้าหมัวมัวได้ฟังก็นึกคล้อยตาม อันที่จริงฮวาอิงหลงแม้เป็นที่โปรดปรานแต่ก็เป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงเท่านั้น หากนางรับใช้หญิงสาวแล้ววันข้างหน้าท่านแม่ทัพแต่งฮูหยินเข้ามา นางก็อาจตกที่นั่งลำบากเสียมิได้ สู้นางคอยดูอยู่ห่างๆ เช่นนั้นนางก็มิมีสิ่งใดต้องเสียเจ้าหมัวมัวพยักหน้าพร้อมยิ้มรับ “อิงหลงเจ้าเป็นคนมีความคิด ใช่ว่าข้ามิอยากรับใช้เจ้า แต่เพราะจวนแม่ทัพมีสิ่งที่ต้องจัดการมากมาย ได้เฉินเม่ามาดูแลเจ้าเช่นนี้ ข้าก็ค่อยวางใจ หากเจ้ามีสิ่งใดต้องการก
บทที่ 16 สิ่งที่ข้าปรารถนาเมื่อประตูปิดลงเฉินเม่ารีบเดินเข้ามาหาฮวาอิงหลงด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้ามอบเงินมากมายให้เจ้าหมัวมัวทำไมกัน เมื่อก่อนนางร้ายกาจกับเจ้าขนาดไหนเจ้าย่อมรู้ดี เหตุใดเจ้ายังทำดีกับนางเช่นนี้อีกเล่า” เฉินเม่าพูดอย่างคับแค้นใจแทนฮวาอิงหลงฮวาอิงหลงส่ายหน้ากับท่าทีดังกล่าวของเฉินเม่าอย่างนึกเอ็นดู “เหตุใดข้าต้องขุ่นเคืองกันเล่า ข้ามิใช่คนที่ชอบสร้างศัตรู หากข้าสามารถสร้างมิตรได้ นั่นย่อมเป็นการดีกว่าไม่ใช่หรือ” ฮวาอิงหลงตอบกลับเฉินเม่าด้วยเหตุผลที่เหนือกว่า ทำเอาเฉินเม่าได้แต่ค้อนขวับใส่นางอย่างไม่ได้ดั่งใจ“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วเรื่องข้าวของล้ำค่ามากมาย เจ้ากลับปฏิเสธหน้าตาเฉย นี่เจ้าป่วยจนสมองกลับแล้วหรือ” เฉินเม่ายังคงบ่นต่อไปอย่างอิดออด นางนึกเสียดายข้าวของเหล่านั้นอย่างยิ่ง ข้าวของเหล่านั้นแทบจะเรียกได้ว่าพวกนางหากันทั้งชีวิตก็มิอาจได้เชยชมเสียด้วยซ้ำ“เจ้าใจเย็นก่อนเถิด ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า” ฮวาอิงหลงรีบพูดปลอบเฉินเม่าที่ยังคงทำตาละห้อยอย่างนึกเสียดาย“เหตุผลอะไรกันข้าไม่เห็นจะเข้าใจ” เฉินเม่ายังคงบ่นอุบอย่างไม่ยอมแพ้“เจ้านี่นะ..เอาเถอะ ข้ามีสิ่งอื่นที่อยากได
บทที่ 17 สามีของข้าเช้าตรู่วันต่อมาฟางซินเย่ขยับตัวลุกขึ้น ฮวาอิงหลงที่นอนอยู่ด้านข้างปรือตาขึ้นมามองเขาด้วยท่าทางอิดโรยจากการเคี่ยวกรำของเขา ฟางซินเย่มองด้วยความเอ็นดูก่อนจะก้มลงจุมพิตที่หน้าผากด้วยความหลงใหล ฮวาอิงหลงยิ้มรับพร้อมจุมพิตกลับคืน“คุณหนูฮวา เจ้าคิดจะยั่วข้าอีกแล้วหรือ” ฟางซินเย่เอ่ยแซวออกมา ทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะซุกกายเข้าออดอ้อนเขาอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพ ต่อไปเรียกข้าว่าอิงเอ๋อร์ได้หรือไม่ ข้ามิใช่คุณหนูฮวาอีกแล้ว จากนี้ข้าเป็นเพียงอิงเอ๋อร์ของท่านคนเดียวเท่านั้น” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาพร้อมมองตาฟางซินเย่ปริบๆ นางต้องการลบภาพคุณหนูฮวาในอดีตออกจากความทรงจำของเขาเสียให้หมดคำพูดของฮวาอิงหลงทำให้ฟางซินเย่ถึงกับยิ้มกว้างออกมา เขารู้สึกหัวใจพองฟูด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าควรให้รางวัลอันใดกับอิงเอ๋อร์ดีเล่า”ฮวาอิงหลงยิ้มอย่างเอียงอาย “ท่านแม่ทัพให้รางวัลแก่ข้ายังไม่เพียงพออีกหรือเจ้าคะ”ฟางซินเย่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “อิงเอ๋อร์ของข้าน่ารักเช่นนี้ ข้าจะเพียงพอได้อย่างไรกัน” ฟางซินเย่พูดยังไม่ทันจบ เขาก็พลิกตัวขึ้นคร่อมนางอีกหน เพลงรักถูกบรรเลงข่มกล่อมซึ
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ
บทที่ 66 กำจัดทิ้งภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนสกุลเฉิน เสียงแผดคำรามของเฉินเซียวหยงดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง พ่อบ้านได้แต่ยืนตัวสั่นเทาด้วยกลัวแรงโทสะของนายท่านที่มี มือของเฉินเซียวหยงกำขยุ้มกระดาษรายงานที่เพิ่งส่งข่าวมาให้เขารับรู้ หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความโกรธแค้น เขาขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นริ้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต"พวกมันช่างอาจหาญยิ่งนัก กล้าข่มเหงรังแกบุตรสาวของข้า ทำเช่นนี้มิเท่ากับกล้าลบหลู่ข้าอย่างนั้นหรือ" เฉินเซียวหยงสบถออกมา เมื่อได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียวเหยา ทั้งยังเรื่องที่นางถูกละเลยและถูกลบหลู่สารพัดจากคนในจวนแม่ทัพ“พ่อบ้านเตรียมรถม้าข้าจะไปพบแม่ทัพฟางที่จวนแม่ทัพ เร็วเข้า” คำสั่งดังก้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ พ่อบ้านลนลานรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจัดการในทันทีขณะที่เฉินเซียวหยงกำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ฉับพลันพ่อบ้านก็รีบเดินปรี่เข้ามาแจ้ง “เรียนนายท่าน ท่านอ๋องโจวอี้เสวียนมาขอพบขอรับ”เฉินเซียวหยงได้ฟังก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาเร่งเดินออกมาต้อนรับโจวอี้เสวียนในทันที ใบหน้าของเขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาทอประกายความยินดีอย่างยิ่ง“ค
บทที่ 65 ข่าวดีภายในเรือนหนิงหลง เฉินเฉียวเหยากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มือบางทั้งสองข้างบวมขึ้นจนน่าตกใจ ผิวที่เคยขาวซีดของนางบัดนี้แดงก่ำจากการถูกน้ำร้อนลวก เฉินเฉียวเหยาเจ็บแสบจนแทบทนไม่ไหว นางนึกเคืองแค้นจนเผลอตัวกำหมัดแต่เพราะผิวที่เป่งตึงทำให้นางถึงกับร้องครางออกมา เฉินเฉียวเหยาได้แต่ขบฟันแน่น ใบหน้าบูดบึ้งจนทำให้หน้าที่เคยสวยหวานกลับดูน่าเกลียดขึ้นมาหว่านหลงรีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้นายหญิงของตนด้วยความทะนุถนอม นางเช็ดไปพลางเป่าไปพลางเพื่อให้เฉินเฉียวเหยาคลายความเจ็บลงไป “คุณหนู เจ็บมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะต้องรายงานใต้เท้าแล้วนะเจ้าคะ บ่าวทนเห็นคุณหนูถูกรังแกเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”ยังไม่ทันที่เฉินเฉียวเหยาจะตอบกลับอันใดออกมา พ่อบ้านก็พาตัวหมอเข้ามาดูอาการ เฉินเฉียวเหยาจึงได้แต่เม้มปากก่อนจะตีสีหน้าเศร้าหมองออกไปหมอรีบเข้ามาดูอาการของเฉินเฉียวเหยาในทันที ความเจ็บปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทันทีที่หมอแตะต้องบริเวณที่บวมแดง เฉินเฉียวเหยาก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางกายที่นางได้รับยังไม่ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกเจ็บปวดทางใจที่มี ดวงตาสั่นไหวระริกไปด้วยค
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก