ฟางซินเย่ยังคงนอนนิ่งอย่างกำลังใช้ความคิด ฮวาอิงหลงหันไปมองเขาด้วยความครุ่นคิดเช่นเดียวกัน หลังจากนางยอมพลีกายให้เขาเชยชมจนสมใจ ทว่าท่าทีของเขากลับไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เขาดูไม่ได้ยินดียินร้ายกับนางอีกเลย
ฮวาอิงหลงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นางไม่มีวันยอมแพ้เป็นแน่ ดาราสาวสวยอย่างนางจะยอมให้เขาเด็ดดมแล้วทิ้งขว้างได้อย่างไรกัน
ฮวาอิงหลงพลิกกายพร้อมยกมือขึ้นโอบกอดร่างหนา ใบหน้าแนบชิดไปที่แผงอกใหญ่อย่างออดอ้อน มือเรียวบางเลื่อนไล้ไปตามหน้าอกอย่างเอาใจ
“ท่านแม่ทัพ อิงเอ๋อร์รับใช้ท่านได้ดีหรือไม่” ฮวาอิงหลงพูดเสียงหวานออกมาพร้อมส่งสายตาเว้าวอน
ฟางซินเย่หรี่ตามองฮวาอิงหลงอย่างพิเคราะห์อีกหน “ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมาไม้ไหนกันแน่” เขาได้แต่คิดในใจพร้อมแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“เจ้าคิดว่าข้าควรพอใจหรือไม่” ฟางซินเย่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกระชับร่างบางเข้าแนบกับร่างกายของเขาอีกครั้ง
ฮวาอิงหลงถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบที่น่าหงุดหงิดเช่นนี้ ก่อนจะปรับสีหน้ายิ้มหวานออกมาเท่าที่นางจะยิ้มได้ “ท่านแม่ทัพช่างอารมณ์ขันนัก หากท่านพูดเช่นนี้ ข้าคงต้องขอแก้ตัวอีกสักหนแล้วกัน”
ฮวาอิงหลงไม่เพียงพูดเปล่า นางยกตัวขึ้นคร่อมฟางซินเย่อีกหน ก่อนจะจ้องมองเขาด้วยดวงตาทอประกาย ฮวาอิงหลงได้แต่นึกโกรธขึ้งอยู่ในใจ หากนางต้องการพิชิตใจท่านแม่ทัพคนนี้ นางต้องลงทุนแปลงร่างเป็นแม่เสือสาวพราวเสน่ห์เลยหรืออย่างไร
ฮวาอิงหลงโน้มหน้าเข้าจุมพิตริมฝีปากบางอีกหน จูบครั้งนี้นางลงทุนยั่วเย้าอย่างหนัก บ้างก็รุกเร้ารุนแรง บ้างก็ผ่อนปรนถอยห่างออกมา ทำเอาฟางซินเย่ถึงกับครางออกมาอย่างขัดเคือง
ฮวาอิงหลงยกยิ้มขึ้นอย่างได้ที นางจูบไล้ลงตามซอกคอก่อนจะเคลื่อนลงมายังแผงอก ลิ้นร้อนเลียไล้ปุ่มปมที่แข็งนูนขึ้นมา อีกทั้งสองมือยังคงเลื่อนไล้มือบางไปตามร่างหนาไม่หยุด ปากบางยังคงครอบครองปุ่มปมข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็บีบเม้มถูไถปุ่มปมอีกข้างอย่างเป็นจังหวะ พร้อมส่งมือบางอีกข้างหนึ่งเคลื่อนลงมาถูไถแท่งร้อนที่ตอนนี้แข็งชันขึ้นมาอีกครั้ง
“อ่า...” ฟางซินเย่ถึงกับครางออกมาอย่างลืมตัว ฮวาอิงหลงรุกไล้จุดอ่อนไหวของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขาแทบระเบิดออกมา
ฮวาอิงหลงตั้งใจรุกฆาตแม่ทัพใหญ่ตรงหน้าในคราวเดียว นางจึงเคลื่อนกายลงต่ำ ริมฝีปากยังคงลากไล้ตามร่างบางไม่หยุด ไล่จากแผงอกเคลื่อนลงมาตรงหน้าท้องหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนกายลงมาหยุดตรงแท่งร้อน ฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองฟางซินเย่อีกครั้ง ก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนแท่งร้อนอย่างแผ่วเบา ลิ้นร้อนเลียวนไปมา สลับกับดูดกลืนเข้าไปปาก มือบางลูบไล้ต้นขาอย่างเป็นจังหวะสอดรับกัน
“อ่า...เจ้า...” ฟางซินเย่ถึงกับกัดริมฝีปากแน่น เสียงครางดังลอดออกมาจากไรฟัน เขาเสียวซ่านไปกับสัมผัสอันวาบหวามที่ฮวาอิงหลงปรนเปรอให้ไม่หยุด มือใหญ่ดึงรั้งร่างบางขึ้นมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น
ฮวาอิงหลงเคลื่อนตัวขึ้นตามมือหนาพร้อมบดเบียดร่างบางเข้าหาเขาอย่างแนบชิด “ท่านแม่ทัพ ต้องการข้าหรือไม่” ฮวาอิงหลงกระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงหวานล้ำ
“เจ้ามันปีศาจชัดๆ” ฟางซินเย่คำรามออกมาพร้อมมองหน้าฮวาอิงหลงด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ฮวาอิงหลงยังคงยิ้มหวานให้ฟางซินเย่อย่างถือเป็นคำชมเชย นางกดร่างเข้ากับแก่นกายของเขาจนเนื้อประสานกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว
“อ๊ะ...” ฮวาอิงหลงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาจากความไม่คุ้นชิน นางกัดริมฝีปากแน่นอย่างต้องการข่มความเจ็บปวดที่มี ก่อนจะค่อยๆ ขยับกายเคลื่อนขึ้นเคลื่อนลงเป็นจังหวะ
มือหนาของฟางซินเย่กอบกุมสะโพกบางไว้แน่น ร่างหนาหยัดกายขึ้นรับ พร้อมบังคับโยกคลึงร่างบางไปตามแรงกระแทกกระทั้น อารมณ์รักพุ่งทะยานทำให้เขาเร่งจังหวะโยกโคลนอย่างเอาแต่ใจ
“อ่า...ท่านแม่ทัพ...ข้าเสียว” ฮวาอิงหลงครางกระเส่า เมื่อจังหวะสอดประสานรุนแรงจนเกินกว่าที่นางจะควบคุม
“คุณหนูฮวา...ข้าใกล้แล้ว...อ๊ะ...” ฟางซินเย่ครางออกมาเมื่อเข้าใกล้จุดสูงสุด เขายกร่างบางขึ้น พร้อมกดกระแทกลงมาเข้าหาตัวเขาอีกครั้ง
“อ่า....” ทั้งสองร้องครางเสียงระงมเมื่อทั้งคู่แตะขอบรักสูงสุด น้ำขุ่นขาวพุ่งเข้าร่างบางจนเอ่อล้นออกมา
ฮวาอิงหลงซบกายลงบนลำตัวของฟางซินเย่อย่างเหนื่อยอ่อน นางหายใจหอบถี่อย่างคนกำลังขาดอากาศหายใจ
ฟางซินเย่ถอนหายใจออกมาเมื่อเขาถูกฮวาอิงหลงล่อลวงจนถึงฝั่งฝัน เขามองหน้าฮวาอิงหลงอย่างยากที่จะเข้าใจ
ความหวานชื่นที่นางมอบให้ทำเอาเขาแทบเป็นบ้าไปเสียได้ แต่ความโกรธเคืองในใจที่ยังคงติดตรึงก็ทำให้เขาไม่อาจยอมใจอ่อนให้นางได้เช่นกัน
ฮวาอิงหลงขยับกายลงนอนด้านข้างฟางซินเย่ ร่างบางก็ยังคงโผเข้ากอดเขาไว้แน่น “ท่านแม่ทัพ อิงเอ๋อร์ปรนนิบัติท่านเช่นนี้ ท่านพอใจหรือไม่เจ้าคะ” ฮวาอิงหลงรีบออดอ้อนเอาใจเขาอย่างหนัก นางต้องรีบชิงรุกก่อนที่อารมณ์ใคร่จะดับลง
ฟางซินเย่หรี่ตามองนางก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “นับว่าไม่เลวทีเดียว คืนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว”
คำพูดของฟางซินเย่ ทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตนเอง นางลงทุนลงแรงขนาดนี้ เขายังไม่ใจอ่อนให้นางอีก หากพ้นคืนนี้ไปใช่ว่านางจะมีโอกาสอีกเสียเมื่อไหร่กัน
ฮวาอิงหลงพยักหน้าพร้อมตีสีหน้าเศร้าสร้อย นางค่อยๆ ขยับกายลุกด้วยท่าทางที่ยากลำบาก มือน้อยค่อยๆ บรรจงคลุมเสื้อไว้แนบกายด้วยมือที่สั่นเทา
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพโปรดพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ” ฮวาอิงหลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอที่สองตาแต่ควบคุมไม่ให้ไหลออกมาจนดูน่ารังเกียจ
ฮวาอิงหลงค่อยๆ ลุกจากเตียงด้วยท่าทางอ่อนแรง นางเดินออกไปได้เพียงสองสามก้าวก็ล้มพับลงกับพื้นอย่างน่าสงสาร
ฟางซินเย่ที่จ้องมองฮวาอิงหลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นนางล้มลงกับพื้น เขาก็ตื่นตกใจ ฟางซินเย่รีบตรงเข้าพยุงร่างบางเอาไว้ “เจ้าเป็นอะไร” เขาถามขึ้นมาด้วยความตระหนก
ฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองหน้าฟางซินเย่ น้ำตาหยดลงจากปรายหางตาอย่างได้จังหวะพอดิบพอดี “ท่านแม่ทัพเคี่ยวกรำข้า จนแข้งขาข้าล้าไปหมดเจ้าค่ะ” นางหลุบตาต่ำพร้อมแสดงสีหน้าน้อยใจอย่างที่สุด
ฟางซินเย่ถึงกับกระแอมออกมาด้วยความกระดากใจ ก่อนจะช้อนร่างบางขึ้นแนบอก พร้อมเดินกลับมายังเตียงนอนอีกครั้ง เขาค่อยๆ บรรจงวางร่างบางลงนอนราบอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นคืนนี้เจ้าก็นอนที่นี่แล้วกัน”
ฟางซินเย่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่เต็มปาก เขาล้มตัวลงนอนพร้อมหันหลังให้ฮวาอิงหลงในทันที
ฮวาอิงหลงมองปฏิกิริยาดังกล่าวอย่างรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก นางผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะโผกายเข้าสวมกอดร่างหนาจากทางด้านหลัง “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่เมตตาเจ้าค่ะ” ฮวาอิงหลงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยล้าในที่สุด
เช้าวันต่อมา ฮวาอิงหลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย ร่างกายปวดร้าวไปแทบทุกส่วน นางเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ ห้องก็ไม่พบฟางซินเย่ ฮวาอิงหลงรีบลุกขึ้น พร้อมใช้ความคิดอย่างหนักฟางซินเย่ไม่พอใจอะไรในตัวนางกันแน่ หากเป็นคนปกติทั่วไปเจอมารยาที่นางงัดมาใช้แทบทุกเม็ด อย่างน้อยก็ย่อมต้องเอ็นดูนางบ้างเป็นแน่ ผิดกับท่าทีของฟางซินเย่ที่มีต่อนาง เขาสุขสมกับสิ่งที่นางปรนเปรอให้อย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่ภายหลังกลับทำท่าทีบึ้งตึงราวกับคนที่มีความเคียดแค้นกันมายาวนานอย่างไรอย่างนั้นเชียวยังไม่ทันที่ฮวาอิงหลงจะได้คิดหาคำตอบ เจ้าหมัวมัวก็เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร “ท่านแม่ทัพให้เจ้าทานข้าวให้เรียบร้อย แล้วรีบกลับเรือนพักของเจ้าเสีย” น้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรมากนัก ทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับขมวดคิ้วแน่นเจ้าหมัวมัวรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก นางนึกว่าเช้านี้นายท่านจะเรียกให้ไปรับรางวัลใหญ่ แต่เรื่องราวกลับกลายเป็นนายท่านกลับมีท่าทางเย็นชา พร้อมสั่งให้นางพาฮวาอิงหลงกลับเรือนพักเสียนี่ นี่ไม่เท่ากับท่านแม่ทัพไม่โปรดปรานฮวาอิงหลงหรอกหรือ เสียแรงที่นางทุ่มเทไปไม่น้อย นึกว่าจะได้ประจบเอาใจนายท่านเสียหน่อยฮวาอิงหลงเม้มปากแน่น
หลังจากผ่านไปอยู่หลายวัน ฮวาอิงหลงก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับฟางซินเย่เพิ่มขึ้นสักนิด หนำซ้ำเขายังอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีเรื่องราวค่ำคืนนั้นเกิดขึ้นฮวาอิงหลงเอาแต่กระสับกระส่ายด้วยความร้อนรน นางรู้สึกคับแค้นใจอย่างหนัก ตั้งแต่เกิดมาฮวาอิงหลงไม่เคยคิดจะยอมแพ้ และไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบนางง่ายๆ เช่นนี้เป็นแน่ฮวาอิงหลงยืนอยู่หน้าเรือนโกโรโกโส พร้อมทอดสายตามองไปเบื้องบน ฟ้าส่งข้ามาเช่นนี้ก็ควรให้โชคกับข้าเสียบ้างสิ เหตุใดจึงต้องกลั่นแกล้งข้าขนาดนี้ด้วยเล่า ฮวาอิงหลงนึกโกรธเคืองฟ้าดินที่นำพาโชคชะตาอันเลวร้ายนี้มาให้กับนาง“คุณหนู เข้าไปภายในบ้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งหายไข้ได้ไม่นาน ระวังจะล้มป่วยขึ้นมาอีกหน” เสี่ยวม่านร้องท้วงออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ร่างกายของนายหญิงยังไม่แข็งแรงมากนัก นางเพิ่งจะหายป่วยหนัก ซ้ำยังต้องไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพอีก เสี่ยวม่านจึงเกรงว่าร่างกายของฮวาอิงหลงจะรับไม่ไหวเอาฮวาอิงหลงได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจ นางนึกแผนการดีๆ ขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณเสี่ยวม่านจริงๆ ที่กระตุ้นให้นางได้ฉุกคิดขึ้นมา แผนทรมานกายมีอยู่ในบทละครทั้งหลายที่นางเล
บทที่ 11 ร้อนรนฟางซินเย่เดินจ้ำอ้าวอย่างเร่งร้อนมาจนถึงหน้าเรือนพักของฮวาอิงหลง เขากวาดสายตามองรอบๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปภายในเรือน สภาพด้านในเก่าโทรมจนแทบจะไม่อาจป้องกันภัยอันใดได้ ลมหนาวพัดผ่านเข้ามายังช่องไม้ทำให้ด้านในเย็นยะเยือก กลิ่นอับชื้นแตะเข้าที่จมูกของเขาอย่างแรง จนเขานิ่วหน้าลง ยิ่งเมื่อได้เห็นฮวาอิงหลงที่นอนหลับใหลอย่างไม่ได้สติ ดวงตาของเขาก็ยิ่งหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ฟางซินเย่รู้สึกผิดในใจต่อร่างบางตรงหน้าเป็นอย่างยิ่งฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นมาแนบอกอย่างทะนุถนอม ก่อนจะอุ้มฮวาอิงหลงเดินกลับไปที่เรือนนอนของเขาด้วยความเร่งรีบ“ข้าคิดถึงบ้าน...ข้าอยากกลับบ้าน...ท่านแม่ทัพ...ท่านช่างใจร้ายกับข้าเหลือเกิน” ฮวาอิงหลงเพ้อออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยฟางซินเย่เหลือบมองฮวาอิงหลงด้วยความรู้สึกผิดระคนสงสาร ร่างบางยังคงสั่นเทาอยู่ใต้อ้อมกอดของเขาราวกับลูกนกที่พลัดหลงทางร่างบางของฮวาอิงหลงที่ร้อนราวกับเปลวไฟแนบเข้ากับแผงอกหนา ลมหายใจร้อนเป่ารดลงบนเสื้อผ้า ความร้อนแผ่ซ่านแทรกลงไปยังเสื้อหนาจนร่างกายเขาสัมผัสถึงความร้อนผ่าว ฟางซินเย่ถึงกับตื่นตระหนกที่เห็นนางป่วยหน
บทที่ 12 ขอความเมตตาฮวาอิงหลงหลับไปราวสองวัน นางปรือตาตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย ร่างกายเริ่มสร่างไข้ลงไปมาก นางเหลียวหน้ามองไปด้านข้าง ฮวาอิงหลงเห็นฟางซินเย่ที่กำลังฟุบหลับอยู่ข้างเตียง ใบหน้าสงบเรียบราวกับไร้พิษสง ฮวาอิงหลงถึงกับยิ้มออกมาเมื่อแผนทรมานกายของนางสำเร็จไปอีกขั้นฮวาอิงหลงยกมือขึ้นลูบศีรษะของฟางซินเย่อย่างแผ่วเบา สัมผัสดังกล่าวทำให้ฟางซินเย่รู้สึกตัวตื่นขึ้น เขาสะบัดหน้าเล็กน้อยไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจะมองฮวาอิงหลงอย่างเต็มตา“คุณหนูฮวา เจ้าตื่นแล้วเหรอ” ฟางซินเย่เอ่ยขึ้นพร้อมยกมือขึ้นอังที่หน้าผากของฮวาอิงหลง เมื่อเห็นว่าความร้อนเริ่มลดลงไปจนเกือบเป็นปกติ เขาจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเบาใจท่าทางที่อ่อนโยนทำให้ฮวาอิงหลงรู้สึกย่ามใจ นางมองตาฟางซินเย่ด้วยแววตาหวานซึ้ง ก่อนจะโผตัวเข้ากอดฟางซินเย่ไว้แน่น น้ำตาเอ่อคลอออกมาพร้อมร่วงหล่นลงบนแผงอก ร่างบางสะอื้นไห้จนตัวโยนให้ความรู้สึกสงสารจับใจ“ข้าคิดว่าท่านจะไม่สนใจข้าอีกแล้ว ท่านช่างใจร้ายกับข้ายิ่งนัก” คำพูดตัดพ้อพรั่งพรูออกมา พร้อมสายตาที่น้อยใจอย่างยิ่ง“ข้าไม่รู้ว่าข้าทำสิ่งใดผิดต่อท่าน จึงทำให้ท่านหมางเมินกับข้าถึงเ
บทที่ 13 รุกคืบฮวาอิงหลงเห็นท่าทางลังเลใจของฟางซินเย่ นางยิ้มกริ่มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับคิดในใจว่านางจะไม่ยอมปล่อยโอกาสที่มีให้หลุดมือไปอีกเป็นแน่ นางต้องเร่งลงมือทำอะไรสักอย่างให้ฟางซินเย่ยอมใจอ่อนและยกโทษให้กับนางให้จงได้ฮวาอิงหลงรีบขยับตัวเข้าซุกไซร้ใบหน้าลงบนแผงอกของเขาอีกครั้งอย่างเอาใจ “ท่านแม่ทัพ...ได้โปรดเมตตาอิงเอ่อร์สักครั้งนะเจ้าคะ” เสียงหวานยังคงอ้อนวอนฟางซินเย่ต่อไปอีกครั้ง สายตาหวานเยิ้มจ้องมองหน้าฟางซินเย่อย่างไม่กะพริบตา ท่าทางงอนง้อดั่งคนที่รู้สำนึก เมื่อฮวาอิงหลงยังคงเห็นฟางซินเย่มีท่าทีนิ่งเฉย ร่างบางก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาขึ้นคร่อมเขาไว้ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกดลงไปยังริมฝีปากหนาอย่างรุกเร้า ลิ้นร้อนเลียไล้ไปตามริมฝีปากคลอเคลียไปมา ก่อนจะแทรกเข้าไปในโพรงปากอย่างชำนาญ ลิ้นร้อนพันเกี่ยวกระวัดรัดรึงดูดดึงอย่างต้องการยั่วยวนให้หลงเคลิ้มฮวาอิงหลงยังคงทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง นางซุกไซร้ใบหน้าไปที่ติ่งหู ก่อนจะขบเม้มให้เขารู้สึกเสียวซ่าน จากนั้นจึงเลื่อนไล้ลงต้องบริเวณซอกคอ ริมฝีปากขบเม้มผิวหนาอย่างจงใจเอาคืน ปรากฏเป็นรอยแดงระเรื่อขึ้นเป็นจุดเป็นดวงๆ ไปทั่วบริเว
บทที่ 14 เหตุใดจึงเป็นข้าในยามเช้าวันต่อมาฟางซินเย่ลืมตาตื่นขึ้นมา ในอ้อมกอดของเขามีร่างบางซุกไซร้อยู่อย่างแนบแน่น บทรักที่ฮวาอิงหลงปรนเปรอให้เขาอย่างสุขสมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอาเขายิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุขแต่แล้วฟางซินเย่ก็ถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อพบความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฮวาอิงหลงร่างกายร้อนผ่าวราวกับเปลวไฟ ฟางซินเย่ยกมือขึ้นอังหน้าผากของนางอย่างร้อนใจ ก่อนจะพบว่าไข้ที่เริ่มลดลงก่อนหน้านี้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้งฟางซินเย่รีบลุกขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมทับอย่างรีบร้อน พร้อมเร่งฝีเท้าเดินออกไปภายนอกทันที“พวกเจ้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณหนูฮวาเสีย พ่อบ้านรีบให้คนไปตามหมอมาดูอาการของนางเดี๋ยวนี้” ฟางซินเย่รีบตะโกนเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา พร้อมสั่งพ่อบ้านให้ไปตามหมอมาดูอาการของฮวาอิงหลงทันทีด้วยความร้อนใจฮวาอิงหลงสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เมื่อเสี่ยวม่านเข้ามาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางอย่างร้อนรน “คุณหนู ไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพส่งคนไปตามหมอมาแล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงร้อนรนทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับปรือตาขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มอ่อนให้นางเบาใจ แต่เพราะพิษไข้ที่มีทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับร่างกายอ่อนปวกเปียก ร่างกายอ
บทที่ 15 รวมตัวอีกครั้งสักพักเสี่ยวม่านและเฉินเม่าก็เข้ามารายงานตัว ฮวาอิงหลงได้สั่งให้พ่อบ้านและเจ้าหมัวมัวแต่งตั้งเสี่ยวม่านเป็นสาวรับใช้คนสนิท และตั้งเฉินเม่าขึ้นเป็นเฉินหมัวมัวคอยดูแลความเรียบร้อยภายในเรือนทั้งหมดแม้ว่าเจ้าหมัวมัวจะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ฮวาอิงหลงก็โน้มน้าวเจ้าหมัวมัวทันที“หมัวมัวเจ้าคะ ท่านเป็นหมัวมัวของจวนแห่งนี้ย่อมต้องใช้เวลาดูแลรับใช้ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียง จะให้ท่านลดตัวลงมารับใช้ข้าได้เยี่ยงไร หากให้เฉินเม่าคอยดูแลเรือนของข้า เช่นนั้นมิใช่เป็นการแบ่งเบาภาระของท่านหรอกหรือ” ฮวาอิงหลงพูดพร้อมยกเหตุผลมากมายเจ้าหมัวมัวได้ฟังก็นึกคล้อยตาม อันที่จริงฮวาอิงหลงแม้เป็นที่โปรดปรานแต่ก็เป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงเท่านั้น หากนางรับใช้หญิงสาวแล้ววันข้างหน้าท่านแม่ทัพแต่งฮูหยินเข้ามา นางก็อาจตกที่นั่งลำบากเสียมิได้ สู้นางคอยดูอยู่ห่างๆ เช่นนั้นนางก็มิมีสิ่งใดต้องเสียเจ้าหมัวมัวพยักหน้าพร้อมยิ้มรับ “อิงหลงเจ้าเป็นคนมีความคิด ใช่ว่าข้ามิอยากรับใช้เจ้า แต่เพราะจวนแม่ทัพมีสิ่งที่ต้องจัดการมากมาย ได้เฉินเม่ามาดูแลเจ้าเช่นนี้ ข้าก็ค่อยวางใจ หากเจ้ามีสิ่งใดต้องการก
บทที่ 16 สิ่งที่ข้าปรารถนาเมื่อประตูปิดลงเฉินเม่ารีบเดินเข้ามาหาฮวาอิงหลงด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้ามอบเงินมากมายให้เจ้าหมัวมัวทำไมกัน เมื่อก่อนนางร้ายกาจกับเจ้าขนาดไหนเจ้าย่อมรู้ดี เหตุใดเจ้ายังทำดีกับนางเช่นนี้อีกเล่า” เฉินเม่าพูดอย่างคับแค้นใจแทนฮวาอิงหลงฮวาอิงหลงส่ายหน้ากับท่าทีดังกล่าวของเฉินเม่าอย่างนึกเอ็นดู “เหตุใดข้าต้องขุ่นเคืองกันเล่า ข้ามิใช่คนที่ชอบสร้างศัตรู หากข้าสามารถสร้างมิตรได้ นั่นย่อมเป็นการดีกว่าไม่ใช่หรือ” ฮวาอิงหลงตอบกลับเฉินเม่าด้วยเหตุผลที่เหนือกว่า ทำเอาเฉินเม่าได้แต่ค้อนขวับใส่นางอย่างไม่ได้ดั่งใจ“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วเรื่องข้าวของล้ำค่ามากมาย เจ้ากลับปฏิเสธหน้าตาเฉย นี่เจ้าป่วยจนสมองกลับแล้วหรือ” เฉินเม่ายังคงบ่นต่อไปอย่างอิดออด นางนึกเสียดายข้าวของเหล่านั้นอย่างยิ่ง ข้าวของเหล่านั้นแทบจะเรียกได้ว่าพวกนางหากันทั้งชีวิตก็มิอาจได้เชยชมเสียด้วยซ้ำ“เจ้าใจเย็นก่อนเถิด ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า” ฮวาอิงหลงรีบพูดปลอบเฉินเม่าที่ยังคงทำตาละห้อยอย่างนึกเสียดาย“เหตุผลอะไรกันข้าไม่เห็นจะเข้าใจ” เฉินเม่ายังคงบ่นอุบอย่างไม่ยอมแพ้“เจ้านี่นะ..เอาเถอะ ข้ามีสิ่งอื่นที่อยากได
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ
บทที่ 66 กำจัดทิ้งภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนสกุลเฉิน เสียงแผดคำรามของเฉินเซียวหยงดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง พ่อบ้านได้แต่ยืนตัวสั่นเทาด้วยกลัวแรงโทสะของนายท่านที่มี มือของเฉินเซียวหยงกำขยุ้มกระดาษรายงานที่เพิ่งส่งข่าวมาให้เขารับรู้ หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความโกรธแค้น เขาขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นริ้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต"พวกมันช่างอาจหาญยิ่งนัก กล้าข่มเหงรังแกบุตรสาวของข้า ทำเช่นนี้มิเท่ากับกล้าลบหลู่ข้าอย่างนั้นหรือ" เฉินเซียวหยงสบถออกมา เมื่อได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียวเหยา ทั้งยังเรื่องที่นางถูกละเลยและถูกลบหลู่สารพัดจากคนในจวนแม่ทัพ“พ่อบ้านเตรียมรถม้าข้าจะไปพบแม่ทัพฟางที่จวนแม่ทัพ เร็วเข้า” คำสั่งดังก้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ พ่อบ้านลนลานรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจัดการในทันทีขณะที่เฉินเซียวหยงกำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ฉับพลันพ่อบ้านก็รีบเดินปรี่เข้ามาแจ้ง “เรียนนายท่าน ท่านอ๋องโจวอี้เสวียนมาขอพบขอรับ”เฉินเซียวหยงได้ฟังก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาเร่งเดินออกมาต้อนรับโจวอี้เสวียนในทันที ใบหน้าของเขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาทอประกายความยินดีอย่างยิ่ง“ค
บทที่ 65 ข่าวดีภายในเรือนหนิงหลง เฉินเฉียวเหยากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มือบางทั้งสองข้างบวมขึ้นจนน่าตกใจ ผิวที่เคยขาวซีดของนางบัดนี้แดงก่ำจากการถูกน้ำร้อนลวก เฉินเฉียวเหยาเจ็บแสบจนแทบทนไม่ไหว นางนึกเคืองแค้นจนเผลอตัวกำหมัดแต่เพราะผิวที่เป่งตึงทำให้นางถึงกับร้องครางออกมา เฉินเฉียวเหยาได้แต่ขบฟันแน่น ใบหน้าบูดบึ้งจนทำให้หน้าที่เคยสวยหวานกลับดูน่าเกลียดขึ้นมาหว่านหลงรีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้นายหญิงของตนด้วยความทะนุถนอม นางเช็ดไปพลางเป่าไปพลางเพื่อให้เฉินเฉียวเหยาคลายความเจ็บลงไป “คุณหนู เจ็บมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะต้องรายงานใต้เท้าแล้วนะเจ้าคะ บ่าวทนเห็นคุณหนูถูกรังแกเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”ยังไม่ทันที่เฉินเฉียวเหยาจะตอบกลับอันใดออกมา พ่อบ้านก็พาตัวหมอเข้ามาดูอาการ เฉินเฉียวเหยาจึงได้แต่เม้มปากก่อนจะตีสีหน้าเศร้าหมองออกไปหมอรีบเข้ามาดูอาการของเฉินเฉียวเหยาในทันที ความเจ็บปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทันทีที่หมอแตะต้องบริเวณที่บวมแดง เฉินเฉียวเหยาก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางกายที่นางได้รับยังไม่ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกเจ็บปวดทางใจที่มี ดวงตาสั่นไหวระริกไปด้วยค
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก