หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เฉินเม่าก็มีท่าทีเป็นมิตรกับฮวาอิงหลงและเสี่ยวม่านมากขึ้น เมื่อใดที่ฮวาอิงหลงได้มีโอกาสพูดคุยกับเฉินเม่า นางก็มักจะพูดประจบเอาใจโดยมีเสี่ยวม่านคอยเป็นลูกคู่ให้อยู่เสมอ ส่งผลให้ในภายหลังฮวาอิงหลงและเสี่ยวม่านก็ได้รับงานที่น้อยและเบาลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
วันหนึ่งเฉินเม่าแวะมานั่งพูดคุยกับทั้งสองในช่วงบ่าย แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างไม้ของห้องพักขนาดเล็ก ฮวาอิงหลงเห็นเป็นโอกาสที่เหมาะสมจึงแอบถามเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับฟางซินเย่เป้าหมายสำคัญของนาง
เฉินเม่าเป็นคนปากมากอยู่แล้ว นางจึงรู้สึกคันปากขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินคำถามของฮวาอิงหลง นางจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของฟางซินเย่อย่างออกรสออกชาติ
"ท่านแม่ทัพใหญ่หรือ" เฉินเม่ามองซ้ายมองขวาอย่างกลัวว่าใครจะมาได้ยิน เมื่อนางเห็นว่าปลอดคน เฉินเม่าจึงเริ่มเล่าในทันที "ท่านแม่ทัพเป็นคนที่มีความเข้มงวดและเด็ดขาดมากแต่ก็มีความเมตตาต่อคนในจวนไม่น้อยทีเดียว ที่สำคัญท่านแม่ทัพยังไม่มีฮูหยินเสียด้วย สาวใช้ในจวนต่างจ้องมองท่านแม่ทัพตาเป็นมัน ทุกคนต่างหวังได้มีโอกาสปรนนิบัตินายท่านกันเสียถ้วนหน้า แต่ว่าข้าก็ไม่เคยเห็นนายท่านเลือกผู้ใดขึ้นไปรับใช้เป็นการส่วนตัวสักคน ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก"
ฮวาอิงหลงฟังอย่างตั้งใจ นางจับทุกคำพูดของเฉินเม่าและใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่าง นางจึงเปรยออกมาเบา ๆ ด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความฝันหวาน "แล้วพี่เฉินเม่าคิดว่า ข้าพอจะมีโอกาสได้รับใช้ท่านแม่ทัพสักครั้งหรือไม่"
เฉินเม่ามองฮวาอิงหลงอย่างจับพิรุธ ฮวาอิงหลงรีบยิ้มน้อยอย่างเอียงอาย "ข้าก็เพียงพูดส่งเดชไปเช่นนั้นเอง แต่ว่า...หากพวกเราคนใดคนหนึ่งเกิดได้รับวาสนาจากท่านแม่ทัพ พี่เฉินเม่าไม่คิดหรือเจ้าคะ ว่าพวกเราคงมีความเป็นอยู่ที่สบายขึ้นกว่านี้อีกเป็นกอง"
คำพูดของฮวาอิงหลงทำให้เฉินเม่าเริ่มคล้อยตาม นางคิดในใจว่าสิ่งที่ฮวาอิงหลงพูดมีความเป็นจริงอยู่หลายส่วนทีเดียว หากเปรียบเทียบรูปลักษณ์ของพวกนางทั้งสาม ฮวาอิงหลงย่อมมีโอกาสมากกว่าเพื่อนเป็นแน่
เฉินเม่าหันมามองหน้าฮวาอิงหลงอย่างจริงจัง "หากข้าช่วยเหลือเจ้า เจ้าคงไม่ลืมบุญคุณข้าหรอกนะ"
ฮวาอิงหลงรีบจับแขนของเฉินเม่าไว้แน่น "หากมีวาสนาพวกเราทั้งสามที่เสมือนดั่งพี่น้องย่อมไม่ทิ้งกันเป็นแน่ จริงหรือไม่เสี่ยวม่าน"
เสี่ยวม่านพยักหน้าตามนายหญิงของตน แต่นางกลับจ้องมองหน้าฮวาอิงหลงอย่างมีคำถามมากมาย แต่เพราะเฉินเม่ายังคงอยู่ตรงนี้ทำให้นางได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้น
เฉินเม่ายิ้มให้ฮวาอิงหลง "ข้ามองคนไม่ผิดนัก เอาเป็นว่าถ้าข้ามีโอกาส ข้าจะสนับสนุนเจ้าก็แล้วกัน"
ฮวาอิงหลงยิ้มรับพร้อมความคิดมากมายในหัว นางคิดถึงแผนการในอนาคตและเป้าหมายต่อไปก็คือฟางซินเย่ หากเจ้าได้เจอนักแสดงตัวแม่เช่นข้า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไม่ตกหลุมพรางคนอย่างข้าไปได้อย่างแน่นอน
วันหนึ่งขณะที่ฮวาอิงหลงกำลังช่วยเสี่ยวม่านตากผ้ากองพะเนินอยู่นั้น เฉินเม่าก็วิ่งหน้าตื่นมาหานางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“อิงหลง ข้ามีข่าวดีมาบอก ท่านแม่ทัพ...ท่านแม่ทัพมีคำสั่งให้เจ้าไปปรนนิบัติคืนนี้” เฉินเม่ากระหืดกระหอบพูดด้วยความเร่งรีบ
ฮวาอิงหลงเบิกตากว้างด้วยความดีใจ โอกาสของนางมาถึงแล้ว นางยกยิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ผิดกับเสี่ยวม่านที่มองหน้าฮวาอิงหลงด้วยความกลัดกลุ้ม
“พี่เฉินเม่า พี่พูดจริงหรือ ท่านแม่ทัพจะให้คุณหนูเอ่อ....คุณหนู” เสี่ยวม่านหันไปย้ำกับเฉินเม่า ก่อนจะส่งสายตากังวลไปยังฮวาอิงหลง
“แน่นอนสิ เรื่องเช่นนี้ข้าจะมาพูดเล่นได้อย่างไร อิงหลงข้าว่าเจ้ารีบไปเตรียมตัวเสียเถอะ ขืนชักช้ามีหวังแทนที่จะได้รับความโปรดปรานจะกลายเป็นต้องโทษเข้าให้เสีย” เฉินเม่ารีบคะยั้นคะยอฮวาอิงหลงอย่างตื่นเต้น
สักพักยังไม่ทันที่พวกนางทั้งสามจะพูดจบ เจ้าหมัวมัวก็เดินอาด ๆ เข้ามายังฮวาอิงหลง “ฮวาอิงหลง ท่านแม่ทัพมีคำสั่งให้เจ้าปรนนิบัติคืนนี้ เจ้ารีบตามข้ามา”
สาวใช้อีกสองคนเดินเข้ามาประกบฮวาอิงหลงเพื่อนำทางไปตระเตรียมร่างกายของนางให้พร้อม
เสี่ยวม่านรั้งแขนของฮวาอิงหลงเอาไว้ด้วยความกังวล ฮวาอิงหลงได้แต่ยิ้มอ่อนพร้อมตบมือเข้าที่หลังมือของนางอย่างให้คลายกังวล
ฮวาอิงหลงเดินเชิดหน้าตามเจ้าหมัวมัวอย่างไม่มีท่าทีหวั่นเกรงสิ่งใด แม้นางจะไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ใดมาก่อนทั้งในชาติที่แล้วและชาตินี้ แต่ฮวาอิงหลงก็เป็นสาวยุคสองพัน ตอนที่นางแสดงหนัง พวกฉากอย่างว่าล้วนแล้วแต่ผ่านมือนางมาแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งร่างกายนี้เดิมทีก็มิใช่ของนางเสียเมื่อไหร่ หากจะใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์กับนับว่าเป็นผลดีกับอนาคตของพวกนางไม่ใช่น้อย
ฮวาอิงหลงถูกพามายังห้องอาบน้ำ ถังไม้ขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำอุ่นพร้อมกลีบดอกไม้โปรยอยู่ทั่วบริเวณส่งกลิ่นหอมละมุนจนนางเผลอสูดดมเข้าไปอย่างชื่นใจ นานเท่าไหร่แล้วนะที่นางไม่ได้นอนแช่น้ำอุ่นผสมอโรม่าหอมฉุยเช่นนี้ ฮวาอิงหลงยกยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องราวหนหลัง ทำให้นางยิ่งมีพลังใจในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวให้สำเร็จให้จงได้
ฮวาอิงหลงถูกขัดสีฉวีวรรณจนร่างกายขาวผ่อง กลิ่นดอกไม้ถูกชโลมไปทั่วร่างจนทำให้เกิดกลิ่นกายที่หอมรัญจวนไม่ต่างจากการฉีดน้ำหอมในยุคสมัยของนางเลยทีเดียว
หลังจากนั้นฮวาอิงหลงก็ถูกจับสวมเสื้อผ้าเนื้อบางเบาจนแทบปิดสิ่งใดไม่มิด ผ้าคาดอกสีชมพูอ่อนที่แนบเข้ากับหน้าอกอวบพร้อมเสื้อทับสีขาวตัวบางยิ่งเสริมให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าอันน่าหลงใหล เสื้อคลุมผืนบางถูกคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง หากแต่ก็ไม่อาจปกปิดสายตาให้เห็นเรือนร่างอันยั่วยวนใจไปได้
เจ้าหมัวมัวมองผลงานตนเองอย่างภาคภูมิใจ นี่นับเป็นครั้งแรกที่นายท่านมีคำสั่งให้สาวใช้ในเรือนขึ้นไปปรนนิบัติข้างกาย ทำให้บ่าวรับใช้ทั้งหลายถึงกับตกตะลึง บ้างก็มองฮวาอิงหลงด้วยความอิจฉา บ้างก็มองด้วยความยินดีในวาสนาของนาง
ฮวาอิงหลงถูกพาตัวมายังเรือนของฟางซินเย่ นางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นรัวราวกับกลองศึกก็ไม่ปาน ฮวาอิงหลงสูดลมหายใจเข้าลึก พลางปลอบโยนตนเองว่าเป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น แค่เพียงนางแสดงได้สมจริงทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
“เรียนนายท่าน อิงหลงมาแล้วเจ้าค่ะ หากนายท่านไม่มีสิ่งใดแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เจ้าหมัวมัวรีบรายงานฟางซินเย่ ชายหนุ่มจ้องมองร่างบางที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะยกมือสะบัดไล่เจ้าหมัวมัวออกจากห้องไป เจ้าหมัวมัวยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้น นางคิดถึงรางวัลที่จะได้รับจากผลงานชิ้นดังกล่าว เมื่อได้เห็นฟางซินเย่มีท่าทีพึงพอใจฮวาอิงหลงอย่างมาก เจ้าหมัวมัวรีบโค้งตัวและเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วหลังจากเจ้าหมัวมัวจากไป ฮวาอิงหลงก็ก้าวเข้ามายืนอยู่บริเวณกลางห้องนอนของฟางซินเย่ นางมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสำรวจ ห้องนอนหลังใหญ่ประดับประดาไปด้วยข้าวของราคาแพง ทุกอย่างถูกจัดตกแต่งอย่างประณีตและเป็นระเบียบฟางซินเย่กำลังนั่งอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ เสื้อคลุมที่ถูกปลดเชือกออกเผยให้เห็นแผงหน้าอกที่มีมัดกล้ามแน่นเป็นลอนหนา รอยแผลเป็นจำนวนมากที่คาดอยู่ตามแผงอก บ้างขนาดใหญ่บ้างขนาดเล็ก แต่กลับยิ่งทำให้ฮวาอิงหลงรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา นางลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบากฮวาอิงหลงพบว่าฟางซินเย่มีรูปร่างหน้าตาดีมากทีเดียว ดวงตารียาวแฝงด้วยความเด็ดขาด รับกับจมูกที่เชิดรั้นอย่างหยิ่งทะนง ใบหน้าคมเข้มกรามเป็นสันยิ่งทำให้ดึง
บทที่ 6 อุ่นเตียงฟางซินเย่โน้มใบหน้าลงมาใกล้ จนกระทั่งริมฝีปากของเขาแตะที่ริมฝีปากของนางอย่างอ่อนโยน จูบแรกเริ่มด้วยความนุ่มนวล และพัฒนาไปเป็นความเร่าร้อนที่ไม่อาจควบคุมได้ ฮวาอิงหลงรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของนางฮวาอิงหลงคิดอย่างได้ใจ ทักษะการแสดงเลิฟซีนของนางมีแต่คนยกย่องว่าสมจริงแทบทั้งสิ้น ประสบการณ์ในการแสดงทำให้นางคิดอย่างย่ามใจ ฮวาอิงหลงตอบสนองจูบของเขาอย่างไม่ลดละ ลิ้นร้อนกระหวัดเกี่ยวพัวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทำเอาฟางซินเย่ถึงกับสติแตกกระเจิงมือของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปที่แก้มนวลของนาง ก่อนที่จะเลื่อนลงมาที่ลำคอและไหล่ ลุกลามไปยังหน้าอกนูนนุ่มได้รูป เขาบีบเคล้นอย่างเมามัน สัมผัสของฟางซินเย่ทำให้ฮวาอิงหลงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลอมละลายลงไปในพริบตา"เจ้าหวานเหลือเกิน" เขากระซิบข้างหูของนาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความปรารถนา นางรู้สึกถึงความอุ่นร้อนจากลมหายใจของเขาที่เป่ารดใบหูฮวาอิงหลงยกมือโอบรอบคอของฟางซินเย่อย่างยั่วยวน สายตาฉ่ำปรือมองเขาด้วยอารมณ์ปรารถนา “หากท่านแม่ทัพพอใจ ข้ายินดีให้ท่านลิ้มรสทั้งราตรีนี้เจ้าค่ะ” เสียงหวานออดอ้อนอย่างเอาใจ ทำให้ฟางซินเย่
ฟางซินเย่นอนแผ่หลาลงเมื่อจบกิจ ความสุขสมที่ได้รับทำเอาหัวใจของเขาสั่นไหวได้ไม่น้อยทีเดียว เขาหมวดคิ้วพร้อมกับความคิดมากมายในหัว เหตุใดฮวาอิงหลงถึงได้เปลี่ยนท่าทีไปมากเช่นนี้ฟางซินเย่ยังจำเหตุการณ์ในวัยเยาว์ได้ดี วันนั้นเป็นวันหิมะตกหนัก เมืองหลวงมีการจัดเทศกาลโคมไฟขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ฟางซินเย่ที่ตอนนั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้า ตั้งแต่จำความได้เขาก็ไม่มีพ่อแม่แล้ว ยังโชคดีที่ได้อาจารย์ของเขารับไปเลี้ยงดู พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ให้กับเขา ทำให้ฟางซินเย่พอมีฝีมืออยู่บ้างขณะที่ฟางซินเย่ออกไปเดินเล่นเพื่อชมความงดงามของโคมไฟหลากสี พลันเขาก็ได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่ง นางมีหน้าตางดงามจนเป็นที่สะดุดตาผู้ที่ได้พบเห็นเด็กสาวกำลังเอื้อมมือเพื่อคว้าโคมไฟที่แขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ด้วยท่าทางกระตือรือร้น ทำให้ฟางซินเย่ถึงกับยิ้มกว้างออกมาอย่างลืมตัว เขาเดินเข้าไปยืนด้านข้างพร้อมยกมือขึ้นเกี่ยวโคมไฟดังกล่าว ก่อนจะยื่นให้กับเด็กสาวตรงหน้า“นี่ข้ามอบให้ท่าน” ฟางซินเย่ยิ้มกว้างพร้อมมองหน้าเด็กสาวอย่างรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นคนหยิบยื่นโคมไฟที่นางต้องการฉับพลันเด็กสาวคนดังกล่าวก็ยกมือขึ้นปัดโคมไฟจนตกลงกับพื
ฟางซินเย่ยังคงนอนนิ่งอย่างกำลังใช้ความคิด ฮวาอิงหลงหันไปมองเขาด้วยความครุ่นคิดเช่นเดียวกัน หลังจากนางยอมพลีกายให้เขาเชยชมจนสมใจ ทว่าท่าทีของเขากลับไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เขาดูไม่ได้ยินดียินร้ายกับนางอีกเลยฮวาอิงหลงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นางไม่มีวันยอมแพ้เป็นแน่ ดาราสาวสวยอย่างนางจะยอมให้เขาเด็ดดมแล้วทิ้งขว้างได้อย่างไรกันฮวาอิงหลงพลิกกายพร้อมยกมือขึ้นโอบกอดร่างหนา ใบหน้าแนบชิดไปที่แผงอกใหญ่อย่างออดอ้อน มือเรียวบางเลื่อนไล้ไปตามหน้าอกอย่างเอาใจ“ท่านแม่ทัพ อิงเอ๋อร์รับใช้ท่านได้ดีหรือไม่” ฮวาอิงหลงพูดเสียงหวานออกมาพร้อมส่งสายตาเว้าวอนฟางซินเย่หรี่ตามองฮวาอิงหลงอย่างพิเคราะห์อีกหน “ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมาไม้ไหนกันแน่” เขาได้แต่คิดในใจพร้อมแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์“เจ้าคิดว่าข้าควรพอใจหรือไม่” ฟางซินเย่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกระชับร่างบางเข้าแนบกับร่างกายของเขาอีกครั้งฮวาอิงหลงถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบที่น่าหงุดหงิดเช่นนี้ ก่อนจะปรับสีหน้ายิ้มหวานออกมาเท่าที่นางจะยิ้มได้ “ท่านแม่ทัพช่างอารมณ์ขันนัก หากท่านพูดเช่นนี้ ข้าคงต้องขอแก้ตัวอีกสักหนแล้วกัน”ฮวาอิงหลงไม่เ
เช้าวันต่อมา ฮวาอิงหลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย ร่างกายปวดร้าวไปแทบทุกส่วน นางเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ ห้องก็ไม่พบฟางซินเย่ ฮวาอิงหลงรีบลุกขึ้น พร้อมใช้ความคิดอย่างหนักฟางซินเย่ไม่พอใจอะไรในตัวนางกันแน่ หากเป็นคนปกติทั่วไปเจอมารยาที่นางงัดมาใช้แทบทุกเม็ด อย่างน้อยก็ย่อมต้องเอ็นดูนางบ้างเป็นแน่ ผิดกับท่าทีของฟางซินเย่ที่มีต่อนาง เขาสุขสมกับสิ่งที่นางปรนเปรอให้อย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่ภายหลังกลับทำท่าทีบึ้งตึงราวกับคนที่มีความเคียดแค้นกันมายาวนานอย่างไรอย่างนั้นเชียวยังไม่ทันที่ฮวาอิงหลงจะได้คิดหาคำตอบ เจ้าหมัวมัวก็เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร “ท่านแม่ทัพให้เจ้าทานข้าวให้เรียบร้อย แล้วรีบกลับเรือนพักของเจ้าเสีย” น้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรมากนัก ทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับขมวดคิ้วแน่นเจ้าหมัวมัวรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก นางนึกว่าเช้านี้นายท่านจะเรียกให้ไปรับรางวัลใหญ่ แต่เรื่องราวกลับกลายเป็นนายท่านกลับมีท่าทางเย็นชา พร้อมสั่งให้นางพาฮวาอิงหลงกลับเรือนพักเสียนี่ นี่ไม่เท่ากับท่านแม่ทัพไม่โปรดปรานฮวาอิงหลงหรอกหรือ เสียแรงที่นางทุ่มเทไปไม่น้อย นึกว่าจะได้ประจบเอาใจนายท่านเสียหน่อยฮวาอิงหลงเม้มปากแน่น
หลังจากผ่านไปอยู่หลายวัน ฮวาอิงหลงก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับฟางซินเย่เพิ่มขึ้นสักนิด หนำซ้ำเขายังอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีเรื่องราวค่ำคืนนั้นเกิดขึ้นฮวาอิงหลงเอาแต่กระสับกระส่ายด้วยความร้อนรน นางรู้สึกคับแค้นใจอย่างหนัก ตั้งแต่เกิดมาฮวาอิงหลงไม่เคยคิดจะยอมแพ้ และไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบนางง่ายๆ เช่นนี้เป็นแน่ฮวาอิงหลงยืนอยู่หน้าเรือนโกโรโกโส พร้อมทอดสายตามองไปเบื้องบน ฟ้าส่งข้ามาเช่นนี้ก็ควรให้โชคกับข้าเสียบ้างสิ เหตุใดจึงต้องกลั่นแกล้งข้าขนาดนี้ด้วยเล่า ฮวาอิงหลงนึกโกรธเคืองฟ้าดินที่นำพาโชคชะตาอันเลวร้ายนี้มาให้กับนาง“คุณหนู เข้าไปภายในบ้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งหายไข้ได้ไม่นาน ระวังจะล้มป่วยขึ้นมาอีกหน” เสี่ยวม่านร้องท้วงออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ร่างกายของนายหญิงยังไม่แข็งแรงมากนัก นางเพิ่งจะหายป่วยหนัก ซ้ำยังต้องไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพอีก เสี่ยวม่านจึงเกรงว่าร่างกายของฮวาอิงหลงจะรับไม่ไหวเอาฮวาอิงหลงได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจ นางนึกแผนการดีๆ ขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณเสี่ยวม่านจริงๆ ที่กระตุ้นให้นางได้ฉุกคิดขึ้นมา แผนทรมานกายมีอยู่ในบทละครทั้งหลายที่นางเล
บทที่ 11 ร้อนรนฟางซินเย่เดินจ้ำอ้าวอย่างเร่งร้อนมาจนถึงหน้าเรือนพักของฮวาอิงหลง เขากวาดสายตามองรอบๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปภายในเรือน สภาพด้านในเก่าโทรมจนแทบจะไม่อาจป้องกันภัยอันใดได้ ลมหนาวพัดผ่านเข้ามายังช่องไม้ทำให้ด้านในเย็นยะเยือก กลิ่นอับชื้นแตะเข้าที่จมูกของเขาอย่างแรง จนเขานิ่วหน้าลง ยิ่งเมื่อได้เห็นฮวาอิงหลงที่นอนหลับใหลอย่างไม่ได้สติ ดวงตาของเขาก็ยิ่งหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ฟางซินเย่รู้สึกผิดในใจต่อร่างบางตรงหน้าเป็นอย่างยิ่งฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นมาแนบอกอย่างทะนุถนอม ก่อนจะอุ้มฮวาอิงหลงเดินกลับไปที่เรือนนอนของเขาด้วยความเร่งรีบ“ข้าคิดถึงบ้าน...ข้าอยากกลับบ้าน...ท่านแม่ทัพ...ท่านช่างใจร้ายกับข้าเหลือเกิน” ฮวาอิงหลงเพ้อออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยฟางซินเย่เหลือบมองฮวาอิงหลงด้วยความรู้สึกผิดระคนสงสาร ร่างบางยังคงสั่นเทาอยู่ใต้อ้อมกอดของเขาราวกับลูกนกที่พลัดหลงทางร่างบางของฮวาอิงหลงที่ร้อนราวกับเปลวไฟแนบเข้ากับแผงอกหนา ลมหายใจร้อนเป่ารดลงบนเสื้อผ้า ความร้อนแผ่ซ่านแทรกลงไปยังเสื้อหนาจนร่างกายเขาสัมผัสถึงความร้อนผ่าว ฟางซินเย่ถึงกับตื่นตระหนกที่เห็นนางป่วยหน
บทที่ 12 ขอความเมตตาฮวาอิงหลงหลับไปราวสองวัน นางปรือตาตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย ร่างกายเริ่มสร่างไข้ลงไปมาก นางเหลียวหน้ามองไปด้านข้าง ฮวาอิงหลงเห็นฟางซินเย่ที่กำลังฟุบหลับอยู่ข้างเตียง ใบหน้าสงบเรียบราวกับไร้พิษสง ฮวาอิงหลงถึงกับยิ้มออกมาเมื่อแผนทรมานกายของนางสำเร็จไปอีกขั้นฮวาอิงหลงยกมือขึ้นลูบศีรษะของฟางซินเย่อย่างแผ่วเบา สัมผัสดังกล่าวทำให้ฟางซินเย่รู้สึกตัวตื่นขึ้น เขาสะบัดหน้าเล็กน้อยไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจะมองฮวาอิงหลงอย่างเต็มตา“คุณหนูฮวา เจ้าตื่นแล้วเหรอ” ฟางซินเย่เอ่ยขึ้นพร้อมยกมือขึ้นอังที่หน้าผากของฮวาอิงหลง เมื่อเห็นว่าความร้อนเริ่มลดลงไปจนเกือบเป็นปกติ เขาจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเบาใจท่าทางที่อ่อนโยนทำให้ฮวาอิงหลงรู้สึกย่ามใจ นางมองตาฟางซินเย่ด้วยแววตาหวานซึ้ง ก่อนจะโผตัวเข้ากอดฟางซินเย่ไว้แน่น น้ำตาเอ่อคลอออกมาพร้อมร่วงหล่นลงบนแผงอก ร่างบางสะอื้นไห้จนตัวโยนให้ความรู้สึกสงสารจับใจ“ข้าคิดว่าท่านจะไม่สนใจข้าอีกแล้ว ท่านช่างใจร้ายกับข้ายิ่งนัก” คำพูดตัดพ้อพรั่งพรูออกมา พร้อมสายตาที่น้อยใจอย่างยิ่ง“ข้าไม่รู้ว่าข้าทำสิ่งใดผิดต่อท่าน จึงทำให้ท่านหมางเมินกับข้าถึงเ
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ
บทที่ 66 กำจัดทิ้งภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนสกุลเฉิน เสียงแผดคำรามของเฉินเซียวหยงดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง พ่อบ้านได้แต่ยืนตัวสั่นเทาด้วยกลัวแรงโทสะของนายท่านที่มี มือของเฉินเซียวหยงกำขยุ้มกระดาษรายงานที่เพิ่งส่งข่าวมาให้เขารับรู้ หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความโกรธแค้น เขาขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นริ้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต"พวกมันช่างอาจหาญยิ่งนัก กล้าข่มเหงรังแกบุตรสาวของข้า ทำเช่นนี้มิเท่ากับกล้าลบหลู่ข้าอย่างนั้นหรือ" เฉินเซียวหยงสบถออกมา เมื่อได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียวเหยา ทั้งยังเรื่องที่นางถูกละเลยและถูกลบหลู่สารพัดจากคนในจวนแม่ทัพ“พ่อบ้านเตรียมรถม้าข้าจะไปพบแม่ทัพฟางที่จวนแม่ทัพ เร็วเข้า” คำสั่งดังก้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ พ่อบ้านลนลานรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจัดการในทันทีขณะที่เฉินเซียวหยงกำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ฉับพลันพ่อบ้านก็รีบเดินปรี่เข้ามาแจ้ง “เรียนนายท่าน ท่านอ๋องโจวอี้เสวียนมาขอพบขอรับ”เฉินเซียวหยงได้ฟังก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาเร่งเดินออกมาต้อนรับโจวอี้เสวียนในทันที ใบหน้าของเขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาทอประกายความยินดีอย่างยิ่ง“ค
บทที่ 65 ข่าวดีภายในเรือนหนิงหลง เฉินเฉียวเหยากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มือบางทั้งสองข้างบวมขึ้นจนน่าตกใจ ผิวที่เคยขาวซีดของนางบัดนี้แดงก่ำจากการถูกน้ำร้อนลวก เฉินเฉียวเหยาเจ็บแสบจนแทบทนไม่ไหว นางนึกเคืองแค้นจนเผลอตัวกำหมัดแต่เพราะผิวที่เป่งตึงทำให้นางถึงกับร้องครางออกมา เฉินเฉียวเหยาได้แต่ขบฟันแน่น ใบหน้าบูดบึ้งจนทำให้หน้าที่เคยสวยหวานกลับดูน่าเกลียดขึ้นมาหว่านหลงรีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้นายหญิงของตนด้วยความทะนุถนอม นางเช็ดไปพลางเป่าไปพลางเพื่อให้เฉินเฉียวเหยาคลายความเจ็บลงไป “คุณหนู เจ็บมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะต้องรายงานใต้เท้าแล้วนะเจ้าคะ บ่าวทนเห็นคุณหนูถูกรังแกเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”ยังไม่ทันที่เฉินเฉียวเหยาจะตอบกลับอันใดออกมา พ่อบ้านก็พาตัวหมอเข้ามาดูอาการ เฉินเฉียวเหยาจึงได้แต่เม้มปากก่อนจะตีสีหน้าเศร้าหมองออกไปหมอรีบเข้ามาดูอาการของเฉินเฉียวเหยาในทันที ความเจ็บปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทันทีที่หมอแตะต้องบริเวณที่บวมแดง เฉินเฉียวเหยาก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางกายที่นางได้รับยังไม่ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกเจ็บปวดทางใจที่มี ดวงตาสั่นไหวระริกไปด้วยค
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก