เมื่อได้เวลามื้อกลางวันเขาจึงเดินทางจากบ้านพักเพื่อมารับนายสถานีคนโปรดไปทานมื้อเที่ยงด้วยกัน เขารู้สึกว่าท้ายปีที่เขาไม่มีงานใหญ่เข้ามาแบบนี้ช่างเป็นเวลาอันเหมาะที่จะได้เอาใจใส่คุณดลรวีเป็นที่สุด
หากเป็นวันที่อยู่ห้องเตรียมการสอนหรือใช้เวลาว่างไปกับการทำงานอดิเรกก็จะสวมเพียงกางเกงและเสื้อเชิ้ตเปล่า ๆ ทว่าแม้จะมีกิจเพียงออกไปเจอหวานใจเขาก็อยากรักษาภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าเจ้าตัวจึงเลือกหยิบเนกไทสีม่วงและเสื้อกั๊กน้ำเงินเข้าคู่ขึ้นสวม และตรวจทานตัวเองเป็นอย่างดีก่อนออกมา
เมื่อมาถึงเขาจึงไปนั่งรอยังที่เดิมนอกเขตชานชาลา นั่งมองผู้คนเตะฝุ่นเล่นไปสักพักก็มีสัมผัสของปลายนิ้วมาแตะบนไหล่ด้านขวาเมื่อเขาหันไปถึงเห็นเป็นฝ่ามือสีน้ำผึ้งและ ‘คุณคนรัก’ ในเครื่องแบบนายสถานีมอบรอยยิ้มมุมปากให้เขาอยู่
“ผมบอกกี่ครั้งแล้วไงว่าไม่ต้องมาก่อนเวลานาน ผมเกรงใจนะครับ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ”
“คุณเอาแต่พูดแบบนี้ ถ้าผมนิสัยเสียขึ้นมาจะทำยังไง”
อาจารย์ชาวญี่ปุ่นได้ยินคำตำหนิมาก็ไม่น้อยแต่เพราะเขามีใจจะรอและเคยชินกับการมาก่อนเวลาจึงขอขัดคำสั่งคุณคนรักข้อหนึ่งก็แล้ว
ไกรวิชญ์ถูกคุมตัวมายังห้องสืบสวนซึ่งตอนนี้ภายในห้องมีเพียงเขาและนายตำรวจสักคนกำลังนั่งเปิดเอกสารในมือไปพลางระหว่างรอจังหวะพูดห้องเล็ก ๆ มีกลิ่นอับพร้อมพื้นที่โต๊ะเพียงพอสำหรับการวางมือและกองหลักฐานรวมไปถึงเก้าอี้ทั้งสองตัวสำหรับตำรวจสอบสวนและเขาซึ่งอยู่ในฐานะผู้ต้องหาไกรวิชญ์แม้ยังคงสับสนงุนงงอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอันใดและกำลังเตรียมใจพร้อมรับทุกข้อกล่าวหาโดยไม่รอทนายส่วนตัว อย่างไรเจ้าพวกนี้ก็ดูจะเชื่อปักใจจนไม่ยอมให้เขาเรียกร้องสิทธิ์อะไรอยู่แล้ว“ข้อกล่าวหาที่คุณได้รับคือ…”หนึ่ง...ใช้อำนาจในทางมิชอบข่มขู่ผู้อื่น มีผู้เสียหายเป็นกลุ่มคนที่เขาเคยไปใช้เงินปิดปากตั้งแต่เมื่อ ๑๓ ปีก่อนสอง...มีส่วนรู้เห็นกับบิดาเรื่องบ่อนการพนันและการค้ายาเสพติด ไกรวิชญ์ได้ยินข้อกล่าวหาแล้วก็ขมวดคิ้ว เขาจำได้ว่าถึงจะมีส่วนรู้เห็นแต่ก็เพียงผิวเผิน รวมไปถึงเขายังเอาคืนพ่อด้วยการลงปิดบ่อนนั้นเองกับมือเสียด้วยซ้ำ หรือพวกมันกลับมาอีกครั้งและมีบันทึกทางธุรกรรมเก็บไว้อยู่สาม...ทำร้ายนักโทษในโรงพัก
“ขอความกรุณาทุกท่านยืนขึ้นเพื่อเคารพศาล”เมื่อสิ้นประโยคนั้นผู้คนที่เกี่ยวข้องต่างก็ยืนขึ้นในขณะที่ผู้พิพากษาทั้งสองคนเดินขึ้นมายังบัลลังก์ผู้ดำเนินงานกล่าวอีกครั้งก่อนที่ทุกคนจะนั่งลงรวมไปถึงจำเลยอย่างเขาด้วยเช่นกันห้องหับสี่เหลี่ยมขนาดย่อมทำจากไม้ล้วน ใจกลางประดับตาชั่งแสดงจุดประสงค์ของสถานที่แห่งนี้ ไกรวิชญ์เหลือบมองทนายมีอายุที่นั่งข้าง ๆ ในเครื่องแบบชุดครุยเนติบัณฑิตจัดแจงเอกสารบนโต๊ะ ซักซ้อมบทพูดกับเขาก่อนเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้แล้วเพราะมันเป็นจำนวนเกินกว่าเขาจะนับได้ตลอดเวลาก่อนวันนัดพิจารณาคดีทนายวิรัศมาบ้านเขาแทบจะทุกวัน และเพราะว่ามันเป็นคดีอาญาซึ่งยอมความกันได้ พวกเขาระหว่างนั้นจึงตระเวนไปพูดคุยทำข้อตกลงกับผู้เสียหาย แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมให้ไกล่เกลี่ยอยากจะให้ศาลเป็นผู้ตัดสินลูกเดียว ทว่ายังดีที่มีบางส่วนยอมผ่อนปรนเนื่องจากเห็นว่าเป็นอดีตที่ผ่านมานานมากแล้ว ทั้งการกระทำของเขาแม้จะเป็นการคุกคามแต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกผิดต่อผู้คนเหล่านั้นแม้ตนจะได้รับคำสั่งจากบิดามาอีกที เขาจึงไม่กระดากอายต่อการคุกเ
“อาด้วง ไม่เข้าไปรอฟังวันนัดฟังคำพิพากษาเหรอครับ?”“เราเข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวอานั่งรอตรงนี้แหละ”กันต์ธีร์ไม่เข้าใจความคิดอันซับซ้อนของคุณอาได้เลย ดูหน้าก็รู้ว่าอยากเข้าไปแท้ ๆ แต่ทำไมอาด้วงถึงได้ออกมานั่งข้างนอกเล่า และในเมื่อคุณอาไม่เข้าไปด้วยเขาก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนี้อยู่เป็นเพื่อนคุณอาไม่ไปไหนส่วนเรื่องของคุณพ่อ ลุงทนายอธิบายให้เขาฟังแล้ว และเขาตอนนี้กำลังทำใจเตรียมรอรับผลที่พ่อเขาสมควรได้ เพราะคุณพ่อเคยสอนเอาไว้ว่าคนไหนทำผิดต้องได้รับโทษที่สาสม เขาจึงทราบกระบวนการดำเนินคดีตั้งแต่ยังเล็ก เพียงแต่มันน่าตกใจที่เรื่องแบบนั้นมาเกิดกับพ่อตัวเองซึ่งเป็นตำรวจกันต์ธีร์นั่งแกว่งขามองหน้าปัดนาฬิกาที่ผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่พวกเขาสองคนออกมานั่งรอด้านนอก พี่ ๆ ทนาย/เสมียนซึ่งทำงานที่นี่เมื่อเห็นว่าเขาเป็นเด็กจึงเข้ามาทักทายให้กำลังใจ บ้างก็เอาขนมชิ้นเล็ก ๆ มาให้ระหว่างรอเพราะเข้าใจว่าต้องรอไปอีกนาน ส่วนคุณอาตอนนี้กำลังมองอะไรไปเรื่อยไม่ก็หาเรื่องคุยกับเขา เรื่องที่บ้าน เรื่องที่โรงเรียนเทอมที่แล้ว หรือเรื่องเรียนพิเศษระหว่างเขาและครูอุ่น
เพราะตอนนี้ที่สำนักงานตำรวจพระนครขาดผู้กำกับ ภาระงานส่วนใหญ่ของลูกพี่ไกรวิชญ์ถึงตกมาอยู่ในมือเขานายตำรวจพดุงกิตติ์ ชยธาดา ซึ่งมันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด! เขารู้ว่าไอ้ไกรมันทำผิดก็ต้องโดนโทษตามกฎหมายแต่นี้มันคล้ายกับการโยนขี้ชัด ๆ ดีหน่อยที่มันตั้งใจจะมอบตัวจึงจัดการงานเอาไว้จนเหลือส่วนน้อยแล้ว แต่คำว่า ‘น้อย’ ของคนเรามันไม่เท่ากัน และเขาซึ่งต้องก้มหน้าทำงานงก ๆ กับเอกสารกองพะเนิน ในตอนเย็นจึงต้องมารบกวนบ้านก้องภัชรกุล เพราะที่สน.ไม่มีใครจะให้บ่นให้ฟัง เนื่องจากเจ้าคนฟังมันกำลังนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์สบายใจเฉิบอยู่ ณโต๊ะทานข้าวชั้นสองพูนในเครื่องแบบตำรวจนอนฟุบหลอมเหลวไปกับโต๊ะไม้ ส่งเสียงโอดโอยด้วยความเหนื่อยล้า แล้วก็เชื่อเขาเลยว่าไอ้ไกรมันจะปิดบังเรื่องพวกนี้เอาไว้ ถึงมันจะนานมากมากกว่า ๑๐ ปีทั้งยังไม่ใช่ความผิดของเจ้าตัวเต็มประดาก็ตามทีเถอะ แต่หากมองในมุมไอ้ไกรเรื่องพวกนี้ก็ไม่ควรเอาไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่ดี“เฮ้อ”“เอ็งถอนหายใจมาจะสิบรอบแล้วนะไอ้พูน”“ก็มันเหนื่อย เอ็งทำงานแบบนั้นเข้าไปได้ยังไงทุกวันวะ”“มันชินมือไปแล้ว”
“คุณดลรวี วันนี้เราไปกินร้านอะไรดีครับ?”อาจารย์ชาวญี่ปุ่นวันนี้มาในเสื้อสูทแขนยาวเต็มยศอีกเช่นเคยทั้งยังใส่เสื้อกั๊กเอาไว้ด้านในเพิ่มความอบอุ่น เจ้าตัวกระชับแว่นเปิดสมุดจดเล่มน้อยขึ้นมาพูดจาเจื้อยแจ้วถึงชื่อร้านที่เขาเองก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง สุดท้ายเพราะความที่เขาอยากกินอะไรเบา ๆ จึงมาจบที่ร้านข้าวต้มร้านแห่งนี้เป็นร้านเล็ก ๆ สร้างขึ้นจากไม้เป็นส่วนใหญ่ ข้าวของเครื่องใช้ดูเก่าแก่และมีอายุมานาน รวมไปถึงคุณตาเจ้าของร้านที่ดูเหมือนจะเป็นคนญี่ปุ่นมาก่อน เจ้าตัวพอได้เจอคนชาติเดียวกันอย่างอาจารย์ดันกิก็จิตใจดีแถมเครื่องใส่นู่นนี่ให้ยกใหญ่จนจากชามถ้วยน้อยตอนนี้พูนไปด้วยเนื้อหมูผักสับและกระเทียมเจียวจนมองไม่เห็นเนื้อข้าวที่อยู่ด้านใต้กลิ่นหอมของชาที่ใส่แทนน้ำเปล่าโชยมา ชวนให้ด้วงรู้สึกผ่อนคลายจากความอ่อนล้าสะสมที่ไม่รู้ตัวเองไปเอามาจากไหน นายสถานีค่อย ๆ หยิบช้อนกระเบื้องขึ้นตักเนื้อข้าวขึ้นเป่าอย่างละเมียดละไมเป็นภาพอันน่ามองสำหรับดันกิเป็นอย่างมาก“ผมหวังว่าร้านนี้จะถูกปากคุณนะครับ”“มีร้านไหนที่คุณแนะนำแล้วผมไม่ชอบบ้างล่ะครับ”
ในคราวแรกเนื่องจากเขาและพี่ไกรต้องออกไปทำงานจึงไม่ได้จ้างอาจารย์เจ้ามาสอนตลอดทั้งสัปดาห์แม้กันต์ธีร์จะต้องการก็ตามเพราะอย่างไรเจ้าตัวก็ถือเป็นคนนอก คนที่อยู่บ้านมีเพียงแม่และลุงแดงพ่อบ้านมีอายุจึงไม่เป็นที่วางใจเท่าไรนัก แต่ในเมื่อตอนนี้พี่ต้องอยู่บ้านตลอดตามคำสั่งศาลพวกเขาจึงตกลงกับครูอุ่นอีกครั้งเรื่องมาสอนทั้งสัปดาห์และหยุดวันอาทิตย์แทนจนกว่าจะจบหนังสือม.๑ ที่หลานรักจำต้องเข้าใจก่อนเลื่อนระดับชั้นทีแรกเขาบอกปากเปียกปากแฉะว่าอยากให้ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์หยุดพักสองวันเสาร์-อาทิตย์ แต่เหมือนยิ่งสนิทยิ่งเข้ากันเป็นปี่ขลุ่ยพูดจาน้ำไหลไฟดับเกลี้ยกล่อมเขาให้ตามใจจนได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลามื้อเที่ยงวันเสาร์เขาจึงอาสาเป็นคนเอาสำรับอาหารไปให้ทั้งสองซึ่งกำลังเรียนอยู่บริเวณโถงชั้นล่างศิษย์อาจารย์นั่งพูดคุยในขณะที่ก้มหน้ามองตัวอักษรในกระดาษ หลานคนเก่งเมื่อได้ฟังก็พยักหน้าเข้าใจบ้าง ถามเมื่อสงสัยบ้าง เป็นบรรยากาศการเรียนการสอนที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจ“กันต์ พักมาทานมื้อเที่ยงก่อนมา อาจารย์ก็ด้วยนะครับ”“คร้าบ”“ถ้าคุณไม่ลงมาผมคงลืมเวลาไปแล้วนะเนี่ย”
“เครื่องแบบไม่มีที่เป็นแขนยาวสำหรับหน้าหนาวเหรอครับ?”“พวกเราใส่แบบเดียวกันตลอดทั้งปี ไม่มีแยกตามฤดูกาลหรอกครับ”“แบบนี้ก็ไม่ดีน่ะสิ”“ฮ่า ๆ ประเทศนี้ถ้าหนาวมาทีก็ถือว่าบุญส่งแล้วครับ ปกติร้อนเกือบทั้งปี”ด้วงรู้สึกว่าตัวเองตอบคำถามไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไรเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนทั้งตอนนี้คุณอุ่นยังเป็นคนเริ่มบทสนทนาอยู่ฝ่ายเดียว เขากลัวอีกฝ่ายจะตั้งแง่สงสัย อย่างน้อยเขาก็ควรเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง“ถุงหอมที่ให้ไปเป็นยังไงบ้างครับ?”“หอมผ่อนคลายมากเลยครับ ผมห้อยติดกระเป๋าไว้ตลอดเลย”ว่าแล้วอาจารย์แกก็ยกกระเป๋าถือขึ้นมาให้เขาดู บริเวณโลหะข้อต่อหูกระเป๋ามีตาข่ายถุงหอมห้อยอยู่ ด้วงเห็นแล้วก็สะกิดใจ ทั้งที่มันแขวนให้เขาเห็นมาตลอดแต่กลับไม่ได้สังเกตเลย สงสัยต่อจากนี้เขาควรใส่ใจคุณอุ่นให้มากกว่าที่เป็นอยู่เสียแล้ว“ขอบคุณที่เดินมาส่งถึงหน้าบ้านอีกแล้วนะครับ”“ผมก็ขอบคุณที่ให้ผมเดินมาส่งเช่นกันครับ”ก่อนที่อาจารย์เจ้าจะไป ด้วงก็บังเอิญสังเกตไปยังสีท้องฟ้าวันนี้ แล้วจึงหันมาแอบมองนาฬิกาข้อมือของอาจารย์ ไหน ๆ
‘แม่พึ่งถักแล้วซักเสร็จ ลูกเอาไปใส่ด้วยนะ’แม่บอกเขามาเช่นนั้นพร้อมมอบผ้าพันคอไหมพรมสีเทามาให้ ปกติแล้วบ้านเราไม่ค่อยมีของพวกนี้เท่าไรนักเพราะหน้าหนาวประเทศไทยก็ใช่ว่าจะหนาวมากมาย เผลอ ๆ บางวันร้อนเหมือนเตาถ่าน ทว่าวันนี้เพียงตื่นมาก็ต้องขนลุกซู่เพราะลมหวิวที่แทรกเข้ามาตามช่องไม้ เขาจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะรับมันมานายสถานีหลังทานข้าวต้มมื้อเช้าเสร็จก็ผูกผ้าพันคอเดินลงมาสวมรองเท้าคู่ใจออกจากบ้านตามปกติ บรรยากาศวันนี้ค่อนข้างอึมครึมพิกล ทั้งมือเขายังรู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ทุกครั้งที่ขยับ อาจเพราะความเย็นกัดผิวก็เป็นได้ เขาหวังว่าเจ็ดโมงที่สถานีจะมีคนต้มน้ำอุ่นเอาไว้จิบคลายความหนาวเดินไปเรื่อยจู่ ๆ ก็รู้สึกหิวทั้งที่พึ่งกินมา จะว่าไปเมื่อเช้าแทบไม่ได้แตะอะไรไปเท่าไรนัก ข้าวในถ้วยก็น้อยนิดแต่กว่าจะฝืนกินจนหมดก็นานโข กินอะไรไม่ลงแบบนี้ค่อนข้างส่งผลร้ายต่อร่างกายหลายด้านเลยเชียวยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนเขาก็ดันฝันถึงเรื่องเดิม ๆ จนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอีกแล้ว ตอนแรกคิดว่าอาจเพราะชอบนอนคุดคู้เอาหน้าซุกผ้าห่มจนหายใจไม่ออกแต่มันไม่ใช่เลย ที่ฝันร้ายนั่นกลับม
วันนี้เป็นวันที่ไกรวิชญ์อารมณ์ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ไม่ว่าเรื่องอะไรหรือปัญหาแบบไหนล้วนผ่านไปได้ด้วยดีเหลือเกินนายตำรวจในผ้านุ่งเปลือยท่อนบนเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ เสียงพรูลมหายใจเพราะความโล่งสบายถูกขับออกมาเมื่อเจ้าของห้องเดินมาพาดผ้าขนหนูกับราวไม้ในห้องตอนนี้เรียกได้ว่าเขาได้โอกาสกลับมาแล้วได้ไหมนะ... ตลอดมาด้วงปฏิเสธเขาตัวโยน ทั้งเขายังเผลอทำอะไรไม่ยั้งคิดลงไปตั้งหลายครั้ง ไม่รู้ป่านนี้เขาจะได้รับการให้อภัยแล้วรึยัง*ก๊อก ก๊อก*‘ผมเอง’เพียงแค่สองพยางค์ไกรวิชญ์ละมือจากราวผ้าเช็ดตัวเดินไปเปิดประตูให้ในทันทีโดยลืมไปว่าตัวเองลืมสวมเสื้อ แต่ด้วงนั้นไม่ได้คิดอะไรเดินเข้ามาแบบสบายใจพร้อมกล่าวหัวข้อการสนทนา โดยเป็นไกรวิชญ์เองที่ล่กเอื้อมมือไปหยิบเสื้อที่พาดอยู่มาสวมแทบไม่ทัน“พี่รู้เรื่องครูอุ่นเขารึยัง?”“หมายถึงเรื่องที่เขาเป็นทหารเหรอ?”“ใช่”ไกรวิชญ์เก็บสีหน้าเพราะเหมือนด้วงจะเข้ามาคุยเรื่องอนาคตการเรียนของลูกชายเขา ไกรวิชญ์จึงเดินไปเร่งไฟตะเกียงหัวเตียงให้สว่างพอที่จะทำการสนทนาอย่างเป็นกิจจะล
การกระทำที่ไม่เป็นตัวเองล้วนเกิดมาจากความกลัวภายใต้จิตสำนึกโดยที่เจ้าของร่างไม่อาจควบคุมได้ เหมือนกับการพยายามเปล่งเสียงตะโกนขอร้องความช่วยเหลือในกล่องมืดที่ไร้ซึ่งผู้คน น้องชายเขาคงเป็นเช่นนี้มาตลอด บอกใครไม่ได้เพราะกลัว หนีไม่ได้เพราะใจยังห่วง ทว่ากลับอ่อนแอจนไม่อาจมีแรงยืนหยัด ดังนั้นหนทางเดียวคือการสร้างเกราะ กีดกันทุกอย่างที่จิตใต้สำนึกสั่งให้เอาออกไปจากชีวิต‘แค่พูดคำไม่กี่คำ...’นั่นคือสาเหตุว่าทำไมน้องชายถึงได้ปฏิเสธเขาหนักหนา ด้วยแรงกดดันอันมหาศาลและสถานการณ์อันบีบคั้นส่งผลให้เด็กคนนั้นจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้รักกันไม่ได้เพราะกลัวมารดาจะเป็นอันตรายรักกันไม่ได้เพราะกลัวทำครอบครัวคนอื่นแตกแยกรักกันไม่ได้เพราะกลัวหลานชายที่กำเนิดมาจะผิดหวังมันเป็นปัญหาลูกโซ่ที่สืบเนื่องมาจากคำขู่ไม่กี่คำในวัยเยาว์ ค่อย ๆ ซึมลึกลงไปยังก้นบึ้ง แตกหน่อออกผลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างเงียบ ๆ กัดกินจิตใจเป็นอาหาร ประหนึ่งมีดคมที่ค่อย ๆ เฉือนเนื้อออกไปทีละนิดอย่างประณีตบรรจงเสียงร่ำไห้ที่เขาได้ยินเหมือนมันเป็นความโศกเศร้าตลอดร่วมสิบปี
สองชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นตำรวจคนหนึ่งเป็นอาจารย์พากันมานั่งรอรับยาหน้าโรงพยาบาล เพราะหลังจากเมื่อคืนที่ตากฝนกันไปร่วมชั่วโมงก็พลอยทำให้เชื้อหวัดลงปอดไอกะด้อกะเดี้ย น้ำมูกไหลจมูกแดงไปตาม ๆ กันไกรวิชญ์รู้เรื่องจากปากอาจารย์เจ้าว่าวันนั้นได้ทำอะไรกับน้องชายเขาไปบ้างก็มีน้ำโห กล้าทำกับผิวอันบอบบางแบบนั้นไปได้อย่างไรถึงมันจะเป็นการแสดงเพื่อให้ด้วงเลิกกับตัวเองก็เถอะดันกิเองเมื่อจัดการศัตรูที่เข้ามาและฝังกลบดินไปแล้วก็หันมามองเขม่นใส่นายตำรวจคนที่คุณดลรวีหลงนักหลงหนาแล้วมาใช้เขาเป็นตัวแทนเพื่อตัดใจ“ผมโคตรอยากต่อยคุณเลย”“เอาเข้าจริงผมก็อยากต่อยคุณเหมือนกัน”“…”“…”“สนใจมาแลกกันคนละหมัดไหม?”“ผมก็คิดอยู่แต่แบบนั้นคุณดลรวีน่าจะไม่ชอบ”“ผมก็ว่างั้น”‘ขอเชิญหมายเลข ๒๒๓ รับยาที่ช่องเจ็ดค่ะ’ ดันกิถอนหายใจออกมาพลางลุกขึ้นไปรับยาพร้อมถือกระเป๋าติดตัวไปด้วย เมื่อรับยาเสร็จทีแรกที่คุยกับไกรวิชญ์เขาว่าจะขึ้นไปเยี่ยมคุณดลรวีด้วยกัน แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้วคนที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าตัวได้อย่างเขาไม่มีสิทธิ์ไ
เสียงพื้นรองเท้ากระทบฝนยังคงไม่หายไปแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบหนึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่ที่ไกรวิชญ์ได้รับโทรศัพท์มาจากแม่เลี้ยงแล้วก็ตาม แน่นอนว่าเขาไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงสวมเครื่องแบบตำรวจวิ่งตามหาไปทั่วอยู่อย่างนั้น รวมไปถึงอาจารย์ชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นกันชายสองคนวิ่งกลับมาเจอกัน ณ หน้าจุดนัดพบหน้าบ้านเมื่อแยกกันไปหาคนละทางแต่ยังไม่พบวี่แววของคนน้องแม้สักนิด ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้ทั้งนายตำรวจและอาจารย์เป็นห่วงขึ้นไปอีก“ผม...ขอโทษ”ดันกิกล่าวขออภัยด้วยใจรู้สึกผิด หากเขาไม่ทำแบบนั้นบางทีคุณดลรวีคงจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยหรือไม่หากเขาทำหน้าหนาตามมาส่งสักหน่อยเรื่องแบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้“คำนั้นเอาไว้พูดหลังหาด้วงเจอก็แล้วกัน”ไกรวิชญ์พูดด้วยความร้อนรน พลางมองหาเบาะแสที่เขาอาจพลาดไป เมื่อสักครู่เขาแยกไปดูยังเส้นทางอื่นที่น้องชายสามารถเดินกลับบ้านได้แต่ก็ไม่เจอ จึงคิดจะวกกลับไปดูอีกครั้งยังทางเข้าหลักหน้าหมู่บ้านเป็นครั้งที่สองนายตำรวจก้าวขาเดินออกไปโดยไม่ได้บอกกล่าวอาจารย์ที่อาสาตามหาเจ้าน้องด้วยกัน ทว
เนื่องจากตำรวจยังไม่สามารถตามจับกุมนักโทษที่หลบหนีได้ทั้งหมด แม้มันจะเหลือเพียงส่วนน้อยแล้วก็ตามแต่อย่างไรเพื่อความปลอดภัยของผู้คนในเขตนั้น ๆ เมื่อได้เบาะแสอะไรมาพวกเขาจึงต้องเอามาร่วมพิจารณา ยิ่งไปกว่านั้นคดีที่ค้างคาอยู่ก็ยังต้องนำมาพูดถึงเป็นลำดับไปสำหรับการวางแผนในอนาคตอีก“ขอบคุณทุกคนมาก กลับบ้านได้”เป็นไกรวิชญ์ที่กล่าวประโยคนั้น แม้เพื่อนร่วมงานสน.นี้จะขยันขันแข็งกันขนาดไหน แต่เขาก็เข้าใจหัวอกบางคนที่มีลูกมีเมียอยู่บ้าน หากเขารั้งไว้คงจะไม่เป็นการดีนัก“ไอ้ไกร วันนี้ไม่ใช่เวรเอ็งไม่ใช่เหรอ?”พูนกลับมาจากโต๊ะประชุมพร้อมเพื่อนในขณะที่เขาเก็บของลงกระเป๋า แต่ไกรมันกลับนั่งลงหยิบสำนวนขึ้นมาเปิดไปมาเสียอย่างนั้น“ขอทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน”“ขี้เกียจบ้างเถอะพ่อคุณ”“ไว้ค่อยทีหลัง”“แบบนี้น้องไม่ห่วงแย่แล้วรึ?”“ด้วงจะมาห่วงอะไรฉัน”“ใช่ว่าเขามีชิ้นแล้วจะเมินเอ็งสักหน่อย”“ช่างฉันเถอะน่ะ”เพราะรำคาญเสียงจ้อกแจ้กของเพื่อนจึงบอกปัดไป ก่อนจะต่างฝ่ายต่างโบกมือลา ไกรวิชญ์จึงได้กลับมาตั้งสมาธิก
“แหม ถือร่มมารับเลยนะครับ”“ก็ฝนตกมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ครับ”แผนซึ่งมาโบกธงเจอหน้าคนรักของเพื่อนพอดีจึงถือโอกาสสนทนาระหว่างด้วงมันกลับมาจากห้องน้ำ หลังจากวันที่ไอ้ด้วงเป็นลม อาจารย์คนนี้คล้ายจะประคบประหงมเป็นพิเศษเพราะรถไฟพึ่งออกและยังอยากตากลมเย็นจึงนั่งบนเก้าอี้รอไอ้ด้วงเป็นเพื่อนอาจารย์ชาวญี่ปุ่น เรื่องราวที่เขาเข้าใจกับที่เกิดขึ้นมันย้อนแย้งกันไปคนละทิศละทาง แต่อย่างไรก็โต ๆ กันแล้ว หากเพื่อนเขาตัดสินใจแบบไหนเขาก็ตามนั้นไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหรอกเพียงแต่...เขาในฐานะเพื่อนจริง ๆ ก็คอยจับสังเกตมาตลอด เคยลองเซ้าซี้ทว่ามันกลับเอาแต่บอกว่าไม่มีอะไร ไม่นู่น ไม่นี่จนเขาเหนื่อยหน่าย ทำได้เพียงมองเมียงกลัวมันจะเป็นอะไรเข้าในสักวัน และก็เป็นไปตามคาดจริง ๆ ไม่รู้มันไปเอาความเครียดมาจากไหนเยอะแยะจนแต่ละวันน้อยครั้งนักที่จะเห็นมันยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ขนาดคนรักเจ้าตัวมาพูดคุยด้วยก็ยังคงทำหน้านิ่งเฉย ต่างจากสมัยยังเป็นเพื่อนผู้โดยสารลิบลับ“ขอโทษที่ต้องให้รอนะครับ”“ไม่เป็นไรครับ”แผนโบกมือลาเจ้าเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายของวันเพรา
“ขี้เกียจทำงานแล้ว...เฮ้อ”เสียงบ่นอิดออดนั่นออกมาจากปากเพื่อนเพียงคนเดียวของไกรวิชญ์อย่างเจ้าพูนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไร้เรี่ยวแรงจะทำงาน ไกรวิชญ์ซึ่งชินชากับนิสัยนั้นแล้วจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปหลังไม่ได้แตะปากกากับกระดาษมานานหลักเดือนพันโทหรี่ตามองคุณพ่อตำรวจทำงานไฟลุกด้วยหน้าตาอันเรียบเฉย ถ้าเป็นเขาโดนหักเงินเดือนคงไม่มานั่งตั้งใจทำงานเกินค่าจ้างแบบนี้หรอก ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้งเป็นการพ่นความเครียดที่ไม่มีอยู่จริงออกมา‘เมื่อไหร่จะจับพวกมันให้หมดสักที รู้ไหมพวกฉันกังวลแค่ไหน!?’‘ทำงานให้มันดี ๆ หน่อย!’‘ถ้าจะชักช้ายืดยาดแบบนี้ก็ไม่ต้องเป็นหรอกตำรวจน่ะ!!’พูนได้ยินเสียงโวยวายของชาวบ้านแว่วมาจากทางด้านนอกก็เอือมระอา ในตอนที่ไกรมันไม่อยู่ก็เป็นเขาที่บากหน้าออกไปรับคำดุด่าว่ากล่าวแทน เอาเข้าจริงใช่ว่าพวกเขาตลอดทั้งเดือนที่พยายามสืบหากันมาก็ทยอยจับมาได้เรื่อย ๆ แต่เพราะนี่เป็นข่าวใหญ่ที่ยังลงสื่อวิทยุและหนังสือพิมพ์ทางการ ไม่แปลกที่ผู้คนจะให้ความสนใจและเพ่งเล็งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างพวกเขาขนาดนี้“เมื่อวานก็มา พวกป้
‘แม่พึ่งถักแล้วซักเสร็จ ลูกเอาไปใส่ด้วยนะ’แม่บอกเขามาเช่นนั้นพร้อมมอบผ้าพันคอไหมพรมสีเทามาให้ ปกติแล้วบ้านเราไม่ค่อยมีของพวกนี้เท่าไรนักเพราะหน้าหนาวประเทศไทยก็ใช่ว่าจะหนาวมากมาย เผลอ ๆ บางวันร้อนเหมือนเตาถ่าน ทว่าวันนี้เพียงตื่นมาก็ต้องขนลุกซู่เพราะลมหวิวที่แทรกเข้ามาตามช่องไม้ เขาจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะรับมันมานายสถานีหลังทานข้าวต้มมื้อเช้าเสร็จก็ผูกผ้าพันคอเดินลงมาสวมรองเท้าคู่ใจออกจากบ้านตามปกติ บรรยากาศวันนี้ค่อนข้างอึมครึมพิกล ทั้งมือเขายังรู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ทุกครั้งที่ขยับ อาจเพราะความเย็นกัดผิวก็เป็นได้ เขาหวังว่าเจ็ดโมงที่สถานีจะมีคนต้มน้ำอุ่นเอาไว้จิบคลายความหนาวเดินไปเรื่อยจู่ ๆ ก็รู้สึกหิวทั้งที่พึ่งกินมา จะว่าไปเมื่อเช้าแทบไม่ได้แตะอะไรไปเท่าไรนัก ข้าวในถ้วยก็น้อยนิดแต่กว่าจะฝืนกินจนหมดก็นานโข กินอะไรไม่ลงแบบนี้ค่อนข้างส่งผลร้ายต่อร่างกายหลายด้านเลยเชียวยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนเขาก็ดันฝันถึงเรื่องเดิม ๆ จนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอีกแล้ว ตอนแรกคิดว่าอาจเพราะชอบนอนคุดคู้เอาหน้าซุกผ้าห่มจนหายใจไม่ออกแต่มันไม่ใช่เลย ที่ฝันร้ายนั่นกลับม
“เครื่องแบบไม่มีที่เป็นแขนยาวสำหรับหน้าหนาวเหรอครับ?”“พวกเราใส่แบบเดียวกันตลอดทั้งปี ไม่มีแยกตามฤดูกาลหรอกครับ”“แบบนี้ก็ไม่ดีน่ะสิ”“ฮ่า ๆ ประเทศนี้ถ้าหนาวมาทีก็ถือว่าบุญส่งแล้วครับ ปกติร้อนเกือบทั้งปี”ด้วงรู้สึกว่าตัวเองตอบคำถามไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไรเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนทั้งตอนนี้คุณอุ่นยังเป็นคนเริ่มบทสนทนาอยู่ฝ่ายเดียว เขากลัวอีกฝ่ายจะตั้งแง่สงสัย อย่างน้อยเขาก็ควรเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง“ถุงหอมที่ให้ไปเป็นยังไงบ้างครับ?”“หอมผ่อนคลายมากเลยครับ ผมห้อยติดกระเป๋าไว้ตลอดเลย”ว่าแล้วอาจารย์แกก็ยกกระเป๋าถือขึ้นมาให้เขาดู บริเวณโลหะข้อต่อหูกระเป๋ามีตาข่ายถุงหอมห้อยอยู่ ด้วงเห็นแล้วก็สะกิดใจ ทั้งที่มันแขวนให้เขาเห็นมาตลอดแต่กลับไม่ได้สังเกตเลย สงสัยต่อจากนี้เขาควรใส่ใจคุณอุ่นให้มากกว่าที่เป็นอยู่เสียแล้ว“ขอบคุณที่เดินมาส่งถึงหน้าบ้านอีกแล้วนะครับ”“ผมก็ขอบคุณที่ให้ผมเดินมาส่งเช่นกันครับ”ก่อนที่อาจารย์เจ้าจะไป ด้วงก็บังเอิญสังเกตไปยังสีท้องฟ้าวันนี้ แล้วจึงหันมาแอบมองนาฬิกาข้อมือของอาจารย์ ไหน ๆ