แล้วมื้ออาหารเย็นที่แสนจะยาวนานและอึดอัดมากที่สุดกว่าทุกๆ ครั้งอย่างที่เธอรู้สึกได้ก็สิ้นสุดลง คุณป้าเคียร่าชวนเธอเข้าไปรับประทานของหวานที่ห้องนั่งเล่น เพื่อจะได้อ่านหนังสือและดูทีวีกันสองป้าหลานอีกทั้งยังไม่ชอบใจที่นาวีเอาแต่ทำหน้าตาดุใส่หลานสาวที่รัก นางจึงพาบุษกรหลบคนพาลมาเสีย
“หนูบูมเหลืออีกเทอมเดียวก็จะเรียนจบแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
“ค่ะคุณป้า”
“แล้วคิดไว้รึยังว่าจะไปฝึกงานที่ไหน”
“ก็ว่าจะไปฝึกงานกับเพื่อนๆ ที่ต่างจังหวัด ญาติของเพื่อนบูมเขามีโรงแรมแล้วก็รีสอร์ตและบริษัทขนส่งอยู่โคราช บูมว่าจะไปฝึกงานที่นั่นค่ะ”
บุษกรตอบยิ้มๆ ขณะบีบนวดแข้งขาให้ผู้สูงวัยอย่างเอาใจรักใคร่ซึ่งตอนเด็กๆ เธอมักทำเช่นนี้ให้กับคุณป้าเคียร่าเสมอๆ แม้ตอนนี้เธอก็ยังอยากจะทำเช่นนั้นและคุณป้าเองก็ชอบด้วย
“จะลำบากไปไหนไกลๆ ทำไมล่ะจ๊ะ ป้าเป็นห่วง ฝึกงานกับพี่วีเขาไม่ดีกว่าเหรอลูก”
“เอ่อ.. คือว่าบูม...”
“ไม่ต้องกลัวว่าพี่เขาจะว่าหรือดุหรอกลูก ป้าได้ยินคุณลุงบ่นๆ ว่าเลขาของคุณลุงเพิ่งลาออก ตอนนี้ก็มีตำแหน่งว่างอยู่ตั้งหลายตำแหน่งในบริษัทเรา อีกอย่างคุณลุงเองก็งานเยอะ หากหนูบูมไปช่วยแบ่งเบาก็ดีนะลูก อีกหน่อยคุณลุงก็ต้องวางมือแล้ว ป้าก็ได้แต่หวังว่าหนูบูมกับพี่วีจะช่วยกันสานงานต่อจากคุณลุง”
ป้าเคียร่าพูดเรียบๆ แต่สีหน้าค่อนข้างยุ่งยากใจ อาจจะเป็นเพราะนางเห็นว่าช่วงนี้คุณบดินทร์นั้นดูเครียดๆ เพราะงานเยอะเนื่องจากมีอะไรหลายๆ อย่างที่จะต้องทำก่อนจะวางมือ และให้นาวีรับช่วงต่อไปทั้งหมด เนื่องจากท่านเองก็อายุมากแล้วตอนนี้ท่านก็เพียงแต่เข้าไปดูแลความเรียบร้อย และคอยแนะนำสอนงานการบริการทุกอย่างให้กับบุตรชาย เพราะถึงแม้นาวีจะเป็นนักบริหารหนุ่มไฟแรงและมีประสบการณ์พอสมควร แต่คุณบดินทร์ก็ต้องการให้นาวีนั้นเป็นนักบริหารที่สมบูรณ์แบบและแข็งแกร่งในเชิงธุรกิจรอบด้าน อีกทั้งช่วงนี้มีพนักงานหลายตำแหน่งกำลังขาดคนทำงานเพราะการขยายสาขางานออกไปในพื้นต่างจังหวัดและประเทศในแถบอาเซียน
“ขอบูมคิดดูก่อนนะคะ เพราะรับปากเพื่อนไปแล้วค่ะ”
สาวน้อยบอกเสียงแผ่ว ความจริงแล้วบุษกรไม่ได้รับปากอะไรกับพี่ชายของเพื่อนแต่เพราะเธอไม่อยากอยู่ใกล้ยักษ์ใหญ่ใจร้ายต่างหาก แม้จะอยู่ในฐานะเลขาของคุณบดินทร์ก็ตามที
“เอาเถอะ นี่ก็มืดแล้วหนูบูมกลับเรือนได้แล้วล่ะ พี่ส้มล่ะเก็บของเสร็จหรือยัง”
“ใกล้แล้วค่ะถ้าอย่างนั้นบูมขอตัวนะคะคุณป้า”
“จ้า.. ไปเถอะ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ป้าว่าหนูบูมน่าขึ้นมาอยู่บนเรือนกับป้าได้แล้วนะจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา ลำบากเปล่าๆ คนแก่ก็เหงาอยากมีเพื่อน” คุณป้าเคียร่าพูดยิ้มๆ ลูบเรือนผมสลวยอย่างเอ็นดู
“เอาไว้เมื่อไหร่ที่พี่วีออกเรือนไป บูมจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณป้าค่ะจะได้ไม่ต้องเจอยักษ์ใหญ่หน้าบึ้งๆ ไงคะ”
ยื่นหน้ามาพูดเบาๆ ในประโยคสุดท้ายทั้งยังหันไปมองซ้ายมองขวากลัวว่ายักษ์ที่พูดถึงจะมาปรากฏตัวตรงนี้
“โธ่.. หนูบูมก็ไปว่าพี่วีเขาแบบนั้น ฮ่าๆ”
คุณป้าเคียร่าหัวเราะร่วนกับฉายาที่บุษกรตั้งให้ลูกชายของตน นางเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม นาวีถึงได้ตั้งแง่กับบุษกรนักเห็นหน้ากันทีไรพ่อลูกชายของนางก็หน้าบึ้งหน้ายักษ์ใส่แม่สาวน้อยหน้าใสผู้น่าสงสารนี้เสียทุกครั้งไป
“ก็น้องบูมกลัวยักษ์ใหญ่นี่คะคุณป้า... บูมไปนะคะราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
บุษกรยิ้มกว้างแล้วจูบแก้มเหี่ยวย่นตามวัยของป้าเคียร่าเบาๆ เช่นทุกวัน ก่อนค่อยๆ ลุกเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น
คุณเคียร่ามองตามร่างบางไปอย่างรักใคร่และแอบคาดหวังว่าจะได้สาวน้อยคนนี้มาเป็นสะใภ้ แต่ก็คงยากเมื่อลูกชายของนางนั้นดูจะไม่นิยมชมชอบบุษกรนัก นางถอนหายใจแล้วเปิดหนังสืออ่านรอสามี นางกับสามีจะมาใช้เวลาร่วมกันในห้องนี้ อ่านหนังสือฟังเพลงด้วยกันก่อนขึ้นนอน ในบางวันก็อาจจะเต้นรำกันสักครึ่งชั่วโมง และบางครั้งบุษกรก็ได้เป็นคู่ซ้อมเต้นรำกับคุณลุงบดินทร์บ่อยๆ และเธอก็เป็นนักเต้นรำที่เก่งหาตัวจับยากเลยทีเดียว เพราะคุณบดินทร์เคยเป็นถึงแชมป์เต้นรำของมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองไทย
บุษกรเดินมานั่งที่ชิงช้าตัวสวยที่ซุ้มดอกบานบุรีและพวงพูที่แข่งกันออกดอกเป็นพุ่มเป็นพวงสีเหลืองกับชมพูตัดกันงดงามลงตัวแม้จะเป็นเวลาค่ำแล้วแต่สีสันของดอกไม้ทั้งสองก็ยังไม่ลดความงดงามลง กลิ่นดอกราตรีหอมรวยรื่นคละเคล้ากับดอกแก้วริมรั้วทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย เท้าเล็กยันพื้นและโล้ให้ชิงช้าแกว่งไกวเบาๆ อย่างรื่นรมย์ขณะรอพี่ส้มที่กำลังช่วยสาวใช้อีกคนเก็บครัว และตรวจสอบความเรียบร้อยบนเรือนใหญ่
ร่างสูงใหญ่ที่เดินออกมารับลมเย็นๆ ช่วงหัวค่ำหยุดชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ชิงช้าซุ้มบานบุรี ดูท่าทางเจ้าหล่อนจะมีความสุขอยู่ไม่น้อยเพราะเขาได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ ลอยมาตามสายลมแผ่วๆ นาวีเองก็กำลังจะเดินไปที่นั่นเพราะเป็นที่ที่เขาโปรดปรานเช่นกัน หลังจากที่เคร่งเครียดกับงานมาทั้งวัน ทั้งงานที่บริษัทและที่มหาวิทยาลัยที่เขาเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ คืนนี้เขาก็คิดว่าเมื่อมารับลมตรงนี้แล้วจะกลับไปเคลียร์งานจากมหาวิทยาลัยให้เรียบร้อยก่อนเพราะเทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายที่เขาจะเป็นอาจารย์พิเศษ และนับจากนี้เขาก็จะไม่รับเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยแห่งไหนอีกแล้ว
“ทำไมยังไม่กลับไปที่เรือนเล็ก...”
ตอนที่5.เสียงห้าวๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำให้คนที่นั่งหลับตาฮัมเพลงเบาๆ ในลำคอขณะไกวชิงช้าเบาๆ นั้นลืมตาขึ้นทันทีด้วยอารามตกใจทำให้ร่างเล็กหงายหลังจนแทบจะตกชิงช้าหากเขาไม่รั้งเอวบางไว้พร้อมทั้งจับเชือกชิงช้าไว้ด้วยมืออีกข้าง“อะ เอ่อ...” ดวงตากลมโตเบิกกว้างหาเสียงของตนเองไม่เจอและบุษกรมักเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าเขา และการที่เธอเงียบไปนานทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจคิดไปว่าเธอรังเกียจที่เห็นหน้าเขาหรือไม่ก็กลัวเพราะทำงานส่งเขาไม่ทัน“เป็นใบ้เหรอ แล้วงานที่เอากลับมาแก้น่ะทำเสร็จรึยัง”บุษกรหน้าซีดลงทันทีที่เขาตวัดเสียงใส่หน้าตาขึงขัง ยิ่งทำให้ชายหนุ่มหน้าตึงมากขึ้นเมื่อเห็นเธอไม่พูดอะไรเสียทีเอาแต่นิ่งเงียบทีอยู่กับบิดามารดาของเขาหรืออยู่กับคนอื่น เจ้าหล่อนคุยจ้อยิ้มแย้มสดใส และยิ่งเวลาคุยกับผู้ชายคนอื่นยิ่งระริกรี้เชียวล่ะ นาวีรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่นึกถึงภาพเธอคุยกับหนุ่มๆ คนอื่น...“บะ บูม เอ่อดิฉันกำลังจะกลับไปแก้ค่ะ เอ่อ ขะ ขอตัวนะคะ”บอกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วพร่าติดๆ ขัดๆ น้ำเสียงและสรรพนามฟังดูห่างเหินยิ่งทำให้เขาไม่พอใจดิฉัน อย่างนั้นหรือ ทีคุยกับคนอื่น น้องบูมอย่างนั้น บ
ตอนที่1เสียงสัญญาณบอกเวลาว่าหมดคาบเรียนดังขึ้นสาวน้อยวัยยี่สิบเศษรีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องเรียนของตนทันทีท่าทางร้อนรนเหมือนว่า บุษกร กำลังหนีอะไรสักอย่างจนเพื่อนรักที่เดินตามมาต้องร้องทัก...“เฮ้ บูม หยุดก่อน นั่นเธอจะรีบไปไหนน่ะ รอด้วยสิ...”น้ำผึ้ง เพื่อนสาวคนสนิทร้องเรียกพลางเดินแกมวิ่งมาขวางหน้าเพื่อนของตนไว้ด้วยอาการหอบแฮ่กๆ ร่างอวบอิ่มแทบทรุดไปเพราะความเหนื่อยหอบเลยทีเดียว“ผึ้งมีอะไรกับบูมรึเปล่า บูมรีบ” บุษกรกล่าวร้อนรนพลางหันมองข้างหลังของตนอย่างหวั่นระแวง“ท่าทางบูมเหมือนกำลังหนีอะไรเลยนะ ผึ้งสังเกตว่าบูมเป็นแบบนี้มาสักระยะแล้วนะโดยเฉพาะในคาบเรียนของอาจารย์ นาวี มีอะไรรึเปล่า...”บุษกรหน้าซีดลงยิ่งกว่าเดิมดวงตากลมโตดำขลับนั้นเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึงว่าตนจะแสดงอาการออกมาชัดเจนขนาดนั้น “ปละ เปล่านี่ แค่บูมรีบเพราะมีธุระด่วนเท่านั้นเอง...”“แต่ก็รีบ และมีธุระด่วนเฉพาะวิชาเรียนของฉันสินะ...”เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของคนที่เธอพยายามจะหลบหน้ามายืนอยู่ตรงหน้ายิ่งทำให้บุษกรรู้สึกหวิวๆ เหมือนจะเป็นลมเมื่อเจอสายตาคมกริบของเขาที่มองเมื่อไหร่ก็ทำให้ใจของเธอสั่นไหวร
ตอนที่2.ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอ่านเอกสารนิ่งโดยไม่พูดจาทำให้เธอมีโอกาสลอบมองเขาเงียบๆ ด้วยใจที่สั่นไหวไม่หาย ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยดวงตาคมใหญ่ใต้คิ้วหนายาวจรดหางตา จมูกโด่งเป็นสันสวยงามอย่างคนเลือดผสมและริมฝีปากหยักสีเข้มรับกับคางแกร่งมีรอยบุ๋มเล็กน้อยไรเคราที่มีตอหนวดขึ้นจางๆ นั้นไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของเขาลดลงไปแต่กลับทำให้นาวีดูหล่อเหลา เซ็กซี่น่าคลั่งไคล้อย่างที่สาวๆ ในมหาวิทยาลัยกล่าวขานกัน แต่สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาก็ส่งให้นาวีดูเคร่งขรึมเย็นชาจนเหมือนหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์...บุษกรแอบถอนหายใจเบาๆ ราวกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหายใจของตน ทั้งยังพยายามนั่งให้ชิดประตูรถฝั่งที่ตนนั่งมากที่สุดเพื่อไม่ให้ระยะห่างของเขากับเธอใกล้กันเกินไป แต่รถยนต์หรูกว้างใหญ่ทั้งรูปลักษณ์และยี่ห้อดังระดับโลกก็กว้างขวางจนมันทำให้เธอรู้สึกตัวเล็กลงไปมาก ยิ่งมานั่งอยู่กับคนร่างกายใหญ่โตอย่างนาวีด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งเหมือนมดตัวเล็กๆ ที่หลงเข้ามาในปราสาทของอสูรร่างยักษ์ผู้ดุดันเหี้ยมโหด... บุษกรหันมองถนนที่คลาคล่ำด้วยรถราขวักไขว่อย่างเหม่อลอยด้วยความอึดอัดและสับสน...“นั่งมากับฉันมันทำให้คิดหนักมากรึ
ตอนที่3.บิดานั้นยิงมารดาของเธอก่อนที่ท่านจะจ่อยิงตนเองจนเสียชีวิตแต่มารดาของเธอยังมีลมหายใจอยู่ ท่านถูกนำส่งโรงพยาบาลและพยายามยื้อลมหายใจสุดท้ายเพื่อจะได้พบเธอพร้อมทั้งได้สั่งเสียบางอย่าง มารดาฝากฝังเธอไว้กับครอบครัวของนาวี ซึ่งคุณ ป้าเคียร่า มารดาของนาวีนั้นมีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ของเธอเพราะ ลุงบดินทร์ บิดาของนาวีนั้นเป็นเครือญาติทางฝ่ายบิดาของเธอนั่นเอง ซึ่งท่านทั้งสองสนิทสนมกันมาก ก่อนที่มารดาจะสิ้นใจนางได้สั่งเสียให้นาวีดูแลเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นบุษกรก็ได้ยินเขารับปากหนักแน่นว่าจะทำตามที่มารดาร้องขอ ซึ่งป้าเคียร่าเองก็รับปากว่าจะดูแลเธออย่างดีเพราะท่านรักและเอ็นดูเธออยู่มากเพราะนางไม่มีลูกสาว มารดาของเธอจึงจากไปอย่างสงบท่ามกลางความเสียใจของทุกคน...หลังจากที่บิดามารดาเสียชีวิตลงครอบครัวของนาวีได้จัดการงานศพและเคลียร์ปัญหาทุกอย่างของครอบครัวเธออย่างรวดเร็ว และเรียบร้อยโดยที่บุษกรได้แต่มองอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านั้น อีกทั้งยังตกอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ ตลอดเวลาที่บำเพ็ญกุศลศพของบิดามารดาเธอก็เอาแต่ร้องไห้จนไม่เป็นอันทำอะไร และเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจึงได้รู้ว่