เสียงห้าวๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำให้คนที่นั่งหลับตาฮัมเพลงเบาๆ ในลำคอขณะไกวชิงช้าเบาๆ นั้นลืมตาขึ้นทันทีด้วยอารามตกใจทำให้ร่างเล็กหงายหลังจนแทบจะตกชิงช้าหากเขาไม่รั้งเอวบางไว้พร้อมทั้งจับเชือกชิงช้าไว้ด้วยมืออีกข้าง
“อะ เอ่อ...” ดวงตากลมโตเบิกกว้างหาเสียงของตนเองไม่เจอและบุษกรมักเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าเขา และการที่เธอเงียบไปนานทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจคิดไปว่าเธอรังเกียจที่เห็นหน้าเขาหรือไม่ก็กลัวเพราะทำงานส่งเขาไม่ทัน
“เป็นใบ้เหรอ แล้วงานที่เอากลับมาแก้น่ะทำเสร็จรึยัง”
บุษกรหน้าซีดลงทันทีที่เขาตวัดเสียงใส่หน้าตาขึงขัง ยิ่งทำให้ชายหนุ่มหน้าตึงมากขึ้นเมื่อเห็นเธอไม่พูดอะไรเสียทีเอาแต่นิ่งเงียบทีอยู่กับบิดามารดาของเขาหรืออยู่กับคนอื่น เจ้าหล่อนคุยจ้อยิ้มแย้มสดใส และยิ่งเวลาคุยกับผู้ชายคนอื่นยิ่งระริกรี้เชียวล่ะ นาวีรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่นึกถึงภาพเธอคุยกับหนุ่มๆ คนอื่น...
“บะ บูม เอ่อดิฉันกำลังจะกลับไปแก้ค่ะ เอ่อ ขะ ขอตัวนะคะ”
บอกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วพร่าติดๆ ขัดๆ น้ำเสียงและสรรพนามฟังดูห่างเหินยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ
ดิฉัน อย่างนั้นหรือ ทีคุยกับคนอื่น น้องบูมอย่างนั้น บูมอย่างนี้ ทีกับเขาเธอพูดอย่างกับเขาเป็นชายแก่ที่ควรวางไว้บนหิ้ง หรือยักษ์ใหญ่ที่น่ากลัวจนแทบอยากจะวิ่งหนีเสียทุกครั้ง...
“ยายเด็กแก่แดด เห็นหน้าฉันเป็นลุงเป็นตาแก่หรือไงถึงได้แทนตัวเองแบบนี้”
“มะ ไม่นะคะ เพียงแค่...”
“ยังจะมาเถียงอีก ทำไม.. ฉันนี่มันน่ากลัวมากหรือไงถึงได้ทำท่าเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้เวลาเจอหน้าฉันน่ะ”
นาวีกระชับวงแขนรั้งร่างเล็กให้เข้ามาชิดด้วยความฉุนเฉียวยิ่งเห็นท่าทางหวาดหวั่นของเธอก็ยิ่งกรุ่นในใจ
“คุณวี ปละ ปล่อย ฉันเถอะนะคะ” เธอคงจะรู้ตัวว่าใกล้ชิดกับเขามากเกินไปมือเล็กผลักอกแกร่งเบาๆ เบาจนเขาแทบไม่รู้สึก
ดีล่ะ.. ในเมื่อเธอกลัวเขานักเรียกเขาเสียห่างเหินนักเขาจะทำให้มันใกล้ชิดเอง..
ชายหนุ่มคิดอย่างเจ้าเล่ห์ยิ่งเห็นตาใสๆ นั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นนาวีก็ยิ่งกระหยิ่มใจ คอยดูเถอะพ่อจะทำให้เจ้าหล่อนนอนไม่หลับทั้งคืนเลย...
“ถ้าฉันไม่ปล่อยเธอจะมีปัญญาทำอะไรได้ฮึ ยายคุณหนูขี้แย...”
เสียงนั้นข่มขู่กรายๆ พร้อมทั้งกระชับวงแขนมากขึ้นแล้วโน้มใบหน้าลงไปหาใบหน้าเล็กๆ ที่แหงนเงยมองเขาอย่างตระหนกด้วยความอยากจะแกล้ง แต่กลิ่นหอมจากกายสาวนุ่มนิ่มในวงแขนทำให้นาวีนึกฉุนตัวเองที่คิดอะไรตื้นๆ แบบนั้น เพราะเมื่อถึงตอนนี้อารมณ์บางอย่างที่กักเก็บมานานก็ปะทุขึ้นมาอย่างที่เขาไม่อาจจะต้านทาน
ทันทีที่บุษกรเผยอปากจะค้านขัด เขาก็ทาบริมฝีปากหยักของตนลงไปปิดกลีบปากระเรื่อนั้นอย่างรวดเร็วและฉวยโอกาสที่เจ้าหล่อนมัวตื่นตะลึงสอดลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากสาวเกี่ยวกระหวัดฉกชิมรสชาติจากเรียวปากอิ่มที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ลิ้มลอง
ยังหวานไม่เปลี่ยน... นั่นคือสิ่งที่รับรู้ได้ทันทีที่เรียวลิ้นเล็กพลิกพลิ้วตอบสนองอย่างลืมตัวเพราะด้อยเดียงสากว่า นาวีบดเคล้าจุมพิตเร่าร้อนร่ายมนต์เสน่หาใส่คนตัวบางที่อ่อนระทวยอยู่ในวงแขนมือน้อยที่คอยผลักอกกว้างออกห่างตอนนี้เลื่อนไล้อยู่ในกลุ่มผมดกดำของเขาทั้งยังขยับกายเบียดชิดร่างแกร่งของเขาอย่างลืมตัว เสียงฝีเท้าเบาๆ ของใครสักคนเดินมาทางพวกเขาทำให้นาวีได้สติ ปล่อยร่างบางออกจากวงแขนเหมือนว่าเธอเป็นของร้อน ซึ่งทันทีที่เขาปล่อยบุษกรก็เซเล็กน้อยหน้าตาเหรอหราก่อนจะเปลี่ยนเป็นแดงซ่านด้วยความอับอาย ในขณะที่นาวีเดินเลี่ยงอีกทางโดยไม่ใส่ใจว่าคนที่ถูกเขาจูบอย่างเร่าร้อนเมื่อครู่จะรู้สึกอย่างไร...
“คุณหนูขาเรากลับเรือนกันเถอะค่ะพี่ส้มจัดการบนเรือนใหญ่เรียบร้อยแล้ว”
พี่ส้มยิ้มร่าเข้ามาหา บุษกรลูบใบหน้าตัวเองที่รู้สึกร้อนชาไปทั้งหน้าเบาๆ เพื่อเรียกสติของตนกลับมาแล้วรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดส่งยิ้มให้พี่ส้มบางๆ
“นึกว่าพี่ส้มจะลืมน้องบูมแล้ว”
“จะลืมได้ยังไงคะ พี่ส้มรีบช่วยเด็กๆ มันเก็บจานชุดใหม่เข้าตู้เลยช้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราไปกันเถอะค่ะ”
“เอ๊ะ แต่เมื่อกี้เหมือนพี่ส้มเห็นคุณวีแว้บๆ นะคะ เธอมาทำอะไรแถวนี้คะ” บุษกรใจเต้นแรงไม่คิดว่าพี่ส้มจะตาดีทันเห็นเขา
“เอ่อ.. มะ ไม่เห็นมีใครนี่คะ พี่ส้มตาฝาดหรือเปล่า คุณวีเขารังเกียจบูมจะตาย เขาจะมาตรงที่มีบูมอยู่ทำไมล่ะคะ” พูดออกไปแล้วก็ลอบถอนใจเบาๆ เมื่อพี่ส้มพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิคะ สงสัยพี่ส้มตาฝาด ช่างเถอะค่ะ เรากลับไปนอนพักผ่อนดีกว่านะคะ คุณหนูมีสอบไม่ใช่เหรอคะสองสามวันนี้”
“ค่ะ” บุษกรตอบเบาๆ แล้วเดินกลับเรือนเล็กกับพี่ส้มไปเงียบๆ และเมื่อกลับถึงห้องของตนเองสาวน้อยก็ทรุดนั่งลงบนเตียงเล็กสีหวานอย่างหมดแรง มือบางยกขึ้นลูบที่ริมฝีปากบวมน้อยๆ ของตนเบาๆ พร้อมทั้งรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั้งกายสาว ทั้งอับอาย น้อยเนื้อต่ำใจและร้อนรุ่มในเวลาเดียวกัน
“ทำไมพี่วีต้องทำแบบนี้กับบูมด้วยคะ พี่วีเกลียดอะไรบูมนักหนา”
บุษกรพึมพำกับตนเองเบาๆ น้ำใสๆ คลอหน่วยตางามดวงใจน้อยๆ ราวกับถูกบีบเค้นจากมือยักษ์ใหญ่ใจร้ายที่หมายเอาชีวิตผู้คนให้สิ้นซาก... และเธอก็เป็นหนึ่งในชีวิตเล็กๆ เหล่านั้นที่ตกอยู่ในอุ้งมือของยักษ์ใจร้ายนามว่านาวี...
ตอนที่1เสียงสัญญาณบอกเวลาว่าหมดคาบเรียนดังขึ้นสาวน้อยวัยยี่สิบเศษรีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องเรียนของตนทันทีท่าทางร้อนรนเหมือนว่า บุษกร กำลังหนีอะไรสักอย่างจนเพื่อนรักที่เดินตามมาต้องร้องทัก...“เฮ้ บูม หยุดก่อน นั่นเธอจะรีบไปไหนน่ะ รอด้วยสิ...”น้ำผึ้ง เพื่อนสาวคนสนิทร้องเรียกพลางเดินแกมวิ่งมาขวางหน้าเพื่อนของตนไว้ด้วยอาการหอบแฮ่กๆ ร่างอวบอิ่มแทบทรุดไปเพราะความเหนื่อยหอบเลยทีเดียว“ผึ้งมีอะไรกับบูมรึเปล่า บูมรีบ” บุษกรกล่าวร้อนรนพลางหันมองข้างหลังของตนอย่างหวั่นระแวง“ท่าทางบูมเหมือนกำลังหนีอะไรเลยนะ ผึ้งสังเกตว่าบูมเป็นแบบนี้มาสักระยะแล้วนะโดยเฉพาะในคาบเรียนของอาจารย์ นาวี มีอะไรรึเปล่า...”บุษกรหน้าซีดลงยิ่งกว่าเดิมดวงตากลมโตดำขลับนั้นเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึงว่าตนจะแสดงอาการออกมาชัดเจนขนาดนั้น “ปละ เปล่านี่ แค่บูมรีบเพราะมีธุระด่วนเท่านั้นเอง...”“แต่ก็รีบ และมีธุระด่วนเฉพาะวิชาเรียนของฉันสินะ...”เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของคนที่เธอพยายามจะหลบหน้ามายืนอยู่ตรงหน้ายิ่งทำให้บุษกรรู้สึกหวิวๆ เหมือนจะเป็นลมเมื่อเจอสายตาคมกริบของเขาที่มองเมื่อไหร่ก็ทำให้ใจของเธอสั่นไหวร
ตอนที่2.ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอ่านเอกสารนิ่งโดยไม่พูดจาทำให้เธอมีโอกาสลอบมองเขาเงียบๆ ด้วยใจที่สั่นไหวไม่หาย ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยดวงตาคมใหญ่ใต้คิ้วหนายาวจรดหางตา จมูกโด่งเป็นสันสวยงามอย่างคนเลือดผสมและริมฝีปากหยักสีเข้มรับกับคางแกร่งมีรอยบุ๋มเล็กน้อยไรเคราที่มีตอหนวดขึ้นจางๆ นั้นไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของเขาลดลงไปแต่กลับทำให้นาวีดูหล่อเหลา เซ็กซี่น่าคลั่งไคล้อย่างที่สาวๆ ในมหาวิทยาลัยกล่าวขานกัน แต่สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาก็ส่งให้นาวีดูเคร่งขรึมเย็นชาจนเหมือนหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์...บุษกรแอบถอนหายใจเบาๆ ราวกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหายใจของตน ทั้งยังพยายามนั่งให้ชิดประตูรถฝั่งที่ตนนั่งมากที่สุดเพื่อไม่ให้ระยะห่างของเขากับเธอใกล้กันเกินไป แต่รถยนต์หรูกว้างใหญ่ทั้งรูปลักษณ์และยี่ห้อดังระดับโลกก็กว้างขวางจนมันทำให้เธอรู้สึกตัวเล็กลงไปมาก ยิ่งมานั่งอยู่กับคนร่างกายใหญ่โตอย่างนาวีด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งเหมือนมดตัวเล็กๆ ที่หลงเข้ามาในปราสาทของอสูรร่างยักษ์ผู้ดุดันเหี้ยมโหด... บุษกรหันมองถนนที่คลาคล่ำด้วยรถราขวักไขว่อย่างเหม่อลอยด้วยความอึดอัดและสับสน...“นั่งมากับฉันมันทำให้คิดหนักมากรึ
ตอนที่3.บิดานั้นยิงมารดาของเธอก่อนที่ท่านจะจ่อยิงตนเองจนเสียชีวิตแต่มารดาของเธอยังมีลมหายใจอยู่ ท่านถูกนำส่งโรงพยาบาลและพยายามยื้อลมหายใจสุดท้ายเพื่อจะได้พบเธอพร้อมทั้งได้สั่งเสียบางอย่าง มารดาฝากฝังเธอไว้กับครอบครัวของนาวี ซึ่งคุณ ป้าเคียร่า มารดาของนาวีนั้นมีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ของเธอเพราะ ลุงบดินทร์ บิดาของนาวีนั้นเป็นเครือญาติทางฝ่ายบิดาของเธอนั่นเอง ซึ่งท่านทั้งสองสนิทสนมกันมาก ก่อนที่มารดาจะสิ้นใจนางได้สั่งเสียให้นาวีดูแลเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นบุษกรก็ได้ยินเขารับปากหนักแน่นว่าจะทำตามที่มารดาร้องขอ ซึ่งป้าเคียร่าเองก็รับปากว่าจะดูแลเธออย่างดีเพราะท่านรักและเอ็นดูเธออยู่มากเพราะนางไม่มีลูกสาว มารดาของเธอจึงจากไปอย่างสงบท่ามกลางความเสียใจของทุกคน...หลังจากที่บิดามารดาเสียชีวิตลงครอบครัวของนาวีได้จัดการงานศพและเคลียร์ปัญหาทุกอย่างของครอบครัวเธออย่างรวดเร็ว และเรียบร้อยโดยที่บุษกรได้แต่มองอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านั้น อีกทั้งยังตกอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ ตลอดเวลาที่บำเพ็ญกุศลศพของบิดามารดาเธอก็เอาแต่ร้องไห้จนไม่เป็นอันทำอะไร และเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจึงได้รู้ว่
ตอนที่4.แล้วมื้ออาหารเย็นที่แสนจะยาวนานและอึดอัดมากที่สุดกว่าทุกๆ ครั้งอย่างที่เธอรู้สึกได้ก็สิ้นสุดลง คุณป้าเคียร่าชวนเธอเข้าไปรับประทานของหวานที่ห้องนั่งเล่น เพื่อจะได้อ่านหนังสือและดูทีวีกันสองป้าหลานอีกทั้งยังไม่ชอบใจที่นาวีเอาแต่ทำหน้าตาดุใส่หลานสาวที่รัก นางจึงพาบุษกรหลบคนพาลมาเสีย“หนูบูมเหลืออีกเทอมเดียวก็จะเรียนจบแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”“ค่ะคุณป้า”“แล้วคิดไว้รึยังว่าจะไปฝึกงานที่ไหน”“ก็ว่าจะไปฝึกงานกับเพื่อนๆ ที่ต่างจังหวัด ญาติของเพื่อนบูมเขามีโรงแรมแล้วก็รีสอร์ตและบริษัทขนส่งอยู่โคราช บูมว่าจะไปฝึกงานที่นั่นค่ะ”บุษกรตอบยิ้มๆ ขณะบีบนวดแข้งขาให้ผู้สูงวัยอย่างเอาใจรักใคร่ซึ่งตอนเด็กๆ เธอมักทำเช่นนี้ให้กับคุณป้าเคียร่าเสมอๆ แม้ตอนนี้เธอก็ยังอยากจะทำเช่นนั้นและคุณป้าเองก็ชอบด้วย“จะลำบากไปไหนไกลๆ ทำไมล่ะจ๊ะ ป้าเป็นห่วง ฝึกงานกับพี่วีเขาไม่ดีกว่าเหรอลูก”“เอ่อ.. คือว่าบูม...”“ไม่ต้องกลัวว่าพี่เขาจะว่าหรือดุหรอกลูก ป้าได้ยินคุณลุงบ่นๆ ว่าเลขาของคุณลุงเพิ่งลาออก ตอนนี้ก็มีตำแหน่งว่างอยู่ตั้งหลายตำแหน่งในบริษัทเรา อีกอย่างคุณลุงเองก็งานเยอะ หากหนูบูมไปช่วยแบ่งเบาก็ดีนะลูก อีกหน่อยคุณลุ