ความจริงเวลานี้ทุกคนสมควรต้องกลับเรือนไปพักผ่อนแล้ว แต่ตอนที่ทานมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าหานกลับเอ่ยรั้งให้ท่านเจ้าเมืองกังอยู่พูดคุยกับเขาต่อ เพราะอาจจะได้ตัวคนร้ายในค่ำนี้เลยทั้งหมดออกไปจากจวนท่านเจ้าเมือง เพื่อเดินทางไปที่ว่าการ ที่เสี่ยวสือพาคนและหลักฐานที่จับกุมได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วซูเจินนางไม่ได้ติดตามไปด้วย แต่บอกกล่าวบิดาไว้แล้วว่านางจะขึ้นเขาไปดูแหล่งต้นน้ำ เพราะเรื่องนี้ก็ไม่อาจล่าช้าได้เช่นกันทางด้านใต้เท้าหานกับซูเต๋อ เมื่อมาถึงก็ต้องตกใจไม่น้อยที่คนร้ายทั้งหมดใบหน้าปูดบวมทั้งยังเสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยไม่เหลือชิ้นดี ไม่ต้องถามก็พอจะเดาได้ว่าเป็นสัตว์ในปกครองของซูเจินนางลงมืออย่างแน่นอนเจ้าเมืองกังเมื่อเห็นคนของตนถูกจับกุมตัวไว้ แข็งขาก็อ่อนแรงจนล้มไปกองกับพื้น ลำบากให้ซูเต๋อต้องประคองเขาลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้อีกทียิ่งเห็นคนที่ซูเต๋อไปจับตัวมาอีกเกือบสิบคน ท่านเจ้าเมืองก็จวนเจียนจะเป็นลมเสียให้ได้ ได้แต่คิดอยู่ในใจ เห็นทีครั้งนี้เขาคงไม่รอดแล้วแต่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างท่านเจ้าเมืองกังก็ไม่ยอมจนมุมกับเรื่องนี้ง่ายๆ เพราะไม่มีหลักฐานว่าเสบียงที่เขาขนออกจากจวนเ
ซูเจินเดินเข้าไปที่ฝายกั้นน้ำ นางเพ่งจิตทั้งหมดไปที่ก้อนหินเพื่อทำลาย แต่อาจจะเป็นเพราะด้วยอารมณ์ของนางที่มีโทสะอยู่เต็มท้องทำให้เกิดแรงระเบิดส่งเสียงดังไปทั่วผืนป่า แม้แต่ชาวเมืองซีจวงและเมืองที่อยู่ใกล้กันต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจนใต้เท้าหานกับซูเต๋อที่ยังวุ่นวายอยู่ที่ว่าการ ต้องลุกพรวดวิ่งออกมาด้านหน้าที่ว่าการด้วยความตกใจ ทั้งสองมองไปทางทิศเหนือของเมืองด้วยความกังวลเพราะครั้งนี้ไม่มีแสงสีขาวปรากฏเช่นที่เมืองเหอโจว แต่กลายเป็นเสียงที่ดังสะเทือนไปทั่วแผ่นดินแทนซูเต๋อได้แต่หวังว่าบุตรสาวของเขาจะปลอดภัย เขาได้แต่โทษตนเองที่ปล่อยให้นางไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองทางด้านซูเจินนางไม่ได้รับอันตรายตรงที่ใด เพราะหลันฮวาใช้พลังของนางปกป้องทั้งหมดเอาไว้ได้ทันพอฝายกั้นน้ำที่ทำจากหินพังทลายลง มวลน้ำขนาดใหญ่ก็ไหลไปตามเส้นทางน้ำแม่น้ำซีจวงทันที ถึงจะมองจากตรงที่นางยืนอยู่จะดูน่ากลัวราวกับว่ามวลน้ำจะซัดซูเจินที่ยืนริมตลิ่งหายไปกับสายน้ำแต่เมื่อน้ำจวนจะมาถึงตัวนางกลับม้วนตัวลงไปตามเส้นทางน้ำตามเดิม แม้แต่ละอองยังไม่กระเด็นมาโดนตัวนางเลยสักนิดซูเจินเดินไปที่ผืนป่า นางวางมือลงอีกครั้ง พร้อมทั้งเพ
เจ้าเมืองกังย่อมรู้เรื่องนี้ดี หากเขายอมรับสภาพออกมาทั้งหมดไม่แคล้วโทษที่ได้รับคงเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย จึงได้ยอมทนโดนทรมานไม่ยอมที่จะเปิดปากพูดออกมา“ส่งตัวเข้าเมืองหลวงเสีย ให้ฮ่องเต้สอบความด้วยพระองค์เอง” ใต้เท้าหานไม่ต้องการให้เจ้าเมืองกังตายก่อนที่จะรู้เรื่องราวทั้งหมด จึงให้เจ้าหน้าที่รีบนำตัวไปส่งที่เมืองหลวงทันทีเมื่อเห็นว่าเรื่องที่เมืองซีจวงจัดการเรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าหานจัดจัดการแต่งตั้ง รองเจ้าเมือง ให้ขึ้นรักษาการแทนเจ้าเมืองกังไปชั่วคราวก่อน รอคำสั่งแต่งตั้งจากราชสำนักอีกทีทั้งหมดจึงออกเดินทางพร้อมกับขบวนคุมตัวเจ้าเมืองกังเข้าเมืองหลวง หากเกิดเรื่องใดขึ้นระหว่างทาง อย่างน้อยองครักษ์ที่ใต้เท้าหานนำมาจะได้จัดการได้ทันซูเจินนางก็มีความคิดเห็นไม่ต่างจากใต้เท้าหาน เจ้าเมืองกังเป็นเพียงขุนนางขั้นแปดจะติดต่อคนของแคว้นต้าฉีได้อย่างไร“แต่หลักฐานเรื่องผลประโยชน์ที่แคว้นต้าฉีมอบให้เจ้าเมืองกังมิอาจจะหาได้พบ เรื่องนี้นับว่ายากจะเอาผิดเขาได้” ใต้เท้าหานถอนหายใจออกมาซูเจินที่รู้เรื่องนี้ดีก็อดที่จะสะดุ้งไม่ได้ เพราะหลักฐานเอาผิดอยู่ภายในมิติของนาง หากนางมอบให้ฮ่องเต้ไม่เท่ากับว่านางด
สุดท้ายก่อนที่ขบวนคุมตัวเดินทางจะเข้าเมืองหลวงจึงได้เกิดการปะทะกับกลุ่มของมือสังหาร เพราะตลอดการเดินทางที่เข้าใกล้เมืองหลวงไม่มีที่ลับตาให้สามารถปกปิดกลุ่มขบวนเดินทางที่ใหญ่ได้จำต้องเปิดเผยตัวแต่เรื่องนี้เห็นทีจะไม่ง่ายนัก เพราะใต้เท้าหานส่งสารไปแจ้งเรื่องกับฮ่องเต้ไว้ก่อนแล้ว ฮ่องเต้จึงส่งองครักษ์เสื้อแพรมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองเมื่อกลุ่มมือสังหารเปิดเผยตัวออกมา องครักษ์เสื้อแพรที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็เข้ามาจัดการ ซูเจินนางให้เสี่ยวมี่คอยคุ้มกันท่านเจ้าเมืองกังมิให้เขาโดนสังหารได้เสียก่อนในตอนนี้รอบรถม้าที่คุมขังท่านเจ้าเมืองกัง จึงมีนกหลายร้อยตัวล้อมไว้รอบ แทบจะมองไม่เห็นว่าด้านในขังผู้ใดเอาไว้ มือสังหารที่บุกเข้ามาใกล้รถม้าที่ท่านเจ้าเมืองกังถูกขังอยู่ก็ถูกนกจิกกัดเล่นงานจนเลือดอาบไปไม่น้อยถึงจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าประหลาด แต่จะมีผู้ใดอยากจะคิดหาคำตอบในเวลานี้ ได้แต่เร่งจัดการภารกิจที่ได้รับให้เรียบร้อย เมื่อมีองครักษ์เสื้อแพรเข้ามาจัดการเรื่องนี้ เสี่ยวสือจึงนำองครักษ์ทั้งหมดมาล้อมรอบรถม้าของใต้เท้าหานเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะมีมือสังหารเข้ามาโจมตีทางด้านใน ผิดกับคนที่นั่งในรถม้าทั
เมื่อไม่มีเรื่องใดที่ต้องจัดการซูเจินนางจึงได้มีเวลาเที่ยวเล่นในเมืองหลวงเสียที ตอนนี้นางได้สาวใช้ส่วนตัวที่มารดาจัดหาไว้ให้มาคอยดูแลความเป็นอยู่ของนางเสี่ยวผิง เป็นบุตรสาวของแม่ครัวที่ถูกซื้อตัวมาพร้อมกับบิดามารดาของนาง อายุของนางสิบสี่หนาวเท่านั้น แต่ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังพูดน้อย จิ่วเม่ยจึงคิดว่าเหมาะสมที่จะอยู่ข้างกายบุตรสาวของนางซูเจินนางจึงได้มีสหายวัยใกล้เคียงที่คอยพูดคุยได้บ้าง นางให้เสี่ยวผิงจัดการเรื่องเสื้อผ้า อาหารเท่านั้น มิต้องเข้ามานอนเฝ้าอยู่ในห้องของนาง หรือแม้แต่เรื่องอาบน้ำนางก็ชินที่จะจัดการด้วยตนเองแล้วซูเต๋อยังต้องเข้าไปจัดการเรื่องงานในกรมโยธาอยู่ทุกวัน เพราะตำแหน่งของเขาที่สูงขึ้น ในตอนนี้เป็นถึงผู้ช่วยใต้เท้าหาน จึงมีเรื่องที่เขาต้องจัดการมากขึ้นยังดีที่เมื่อมีเวลาว่าง เขามักจะนั่งทบทวนตำรา และฝึกคัดตัวอักษรตามคำแนะนำของบุตรสาว มิเช่นนั้น หากเขาไปทำงานในกรมโยธา ขุนนางผู้อื่นเห็นตัวอักษรที่โย้เย้ของเขาคงได้เป็นที่ขบขันอย่างแน่นอนหลังจากกลับมาจากเมืองซีจวงได้เพียงแต่สามวัน เจ้าเมืองกังก็ถูกตัดสินโทษทันที เจ้าเมืองกังและขุนนางท้องถิ่นที่มีส่วนเกี่ยว
ทั้งเรื่องที่ตลอดทั้งวัน ใต้เท้าฟู่ต้องการหาตัวเขาเพื่อพูดคุยเรื่องของฟู่อินอี้“หึ คงต้องถามเสียก่อน ว่าท่านต้องการรับนางเข้าจวนหรือไม่” ซูเจินกอดอกมองบิดาอย่างจริงจัง“เห้อ เจ้าก็รู้ว่าพ่อมิต้องหารแต่งสตรีนางใดเข้าจวนอีก” “หากเป็นดั่งเช่นที่ท่านบอกข้า เรื่องที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเองเจ้าค่ะ แต่หากข้ารู้ว่าท่านพ่อคิดจะรับสตรีเข้าจวน ข้าจะพาท่านแม่และอาจ้านหนีหายไปจากท่านเสีย” ซูเจินหยุดคิดก่อนจะเอ่ยออกมานางเชื่อว่าสายตาของบิดาที่มองนางอย่างรู้สึกผิด เขาคงไม่ต้องการแต่งฟู่อินอี้อย่างแน่นอน แต่ก็ต้องพูดดักคอไว้เสียก่อน เผื่อว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคตเมื่อบอกกล่าวบิดาว่านางจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตอนเอง ซูเจินก็แยกตัวกลับไปที่เรือนของนาง เพื่อวางแผนร่วมกับสหายของนางนางตัดสินใจแล้วว่าเรื่องที่จะไปดูตัวฟู่อินอี้นางคงไม่คิดที่จะไปแล้ว ปล่อยให้สัตว์ในปกครองของนางจัดการเรื่องนี้ไปเลยเสียดีกว่าเย็นวันนั้นภายในจวนตระกูลฟู่ก็เกิดเรื่องขึ้นทันที ไม่ว่าตัวฟู่อินอี้ นางจะเดินไปที่ใดก็จะมีนกที่ไม่รู้ว่าบินมาจากไหนขี้ใส่ที่หัวของนาง ทั้งเสื้อผ้าของนางก็เต็มไปด้วยแมลงจะหยิบขึ้นมาสวมใส่
ผ่านพ้นหน้าแล้งไปได้ด้วยดี เรื่องนี้ย่อมต้องยกความชอบให้คนตระกูลซู ของพระราชทานมาส่งถึงจวนมากมายจนเป็นที่อิจฉาของชาวเมืองและขุนนางน้อยใหญ่เข้าสู่หน้าฝนที่รอคอย ยังดีที่ปีนี้น้ำไม่มาก ซูเจินนางจึงได้ต้องเหนื่อยออกเดินทางไปจัดการปัญหาน้ำท่วมในหัวเมืองอื่นซูเจินนางใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ที่เมืองหลวงจนเข้าหน้าหนาว ตลอดเวลาที่ผ่านมา นอกจากเรื่องของตระกูลฟู่ก็ไม่มีขุนนางคนใดกล้ายัดเหยียดบุตรสาวเข้าจวนตระกูลซูอีกเลย“ท่านแม่ท่านตัดชุดให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” ซูเจินนำผ้าที่หลันฮวามอบให้นางมาให้มารดาได้ดู“เจ้าอยากได้กี่ชุดเล่า” จิ่วเม่ยมองบุตรสาวที่เติบโตขึ้นอีกปีอย่างรักใคร่ ซูจ้านตอนนี้ก็เริ่มที่จะเดินได้คล่องแล้ว“ตัดหลายชุดหน่อยเจ้าค่ะ ดูเหมือนข้าจะสูงขึ้นอีกไม่น้อยเลย ให้ป้าเหมย ป้าหง ช่วยนะเจ้าค่ะ ตัดให้ทุกคนในจวนเลย” เสื้อผ้าของนางเริ่มจะสวมใส่ไม่ได้แล้วอีกอย่างผ้าที่หลันฮวาให้มาก็แสนจะวิเศษนัก เมื่อสวมใส่ในหน้าหนาวก็อบอุ่นจนไม่ต้องสวมเสื้อตัวหนาๆ ทับ แต่เมื่อใส่ในหน้าร้อนก็แสนจะเย็นสบายซูเจินยังส่งผ้าไปให้จวนตระกูลหานและตระกูลหวงอีกหลายพับ นางยังไม่ลืมที่จะส่งไปให้หวังกงกงและฮ่องเต้อี
เมื่อพูดคุยเรื่องออกเดินทางได้แล้ว ทั้งหมดก็เดินทางออกจากวังหลวงไปจัดการเรื่องเตรียมตัวออกเดินทางทันทีใต้เท้าหานยังเป็นอีกคนที่เดินทางไปพร้อมกับสองคนพ่อลูกด้วย เพราะมีเขาอยู่ขุนนางทางหัวเมืองย่อมต้องเกรงใจอยู่ไม่น้อย ซูเจินนางจะได้ไม่ต้องเหนื่อยจัดการเรื่องปัญหาเล็กน้อยด้วยตัวเองการเดินทางครั้งนี้ นางต้องการไปให้ถึงโดยเร็วที่สุด นอกจากเสี่ยวสือที่เป็นคนของใต้เท้าหานแล้ว ก็มีองครักษ์ที่ออกเดินทางไปด้วยอีกห้าคนเท่านั้นทั้งหมดใช้ม้าของซูเจินเพื่อออกเดินทาง จำนวนคนที่ไม่ได้มาก และมีม้าของซูเจินทำให้การเดินทางเพียงวันเดียวก็ผ่านหัวเมืองทั้งสามที่อยู่ติดกับเมืองหลวงไปได้แล้วหากเดินทางเช่นปกติ คงใช้เวลาเดินทางถึงสองวันกว่าจะผ่านหัวเมืองทั้งสามไปได้ หากเป็นเช่นนี้คงถึงหัวเมืองเหนือในเวลาเพียงไม่เกินสิบห้าวันเท่านั้นจิ่วเม่ยกับซูจ้านที่รออยู่ที่จวนก็มีป้าหวงมาคอยอยู่เป็นเพื่อน ทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่าหานที่แวะเวียนมาเที่ยวหา และจิ่วเม่ยก็เดินทางไปเที่ยวหานางที่จวนตระกูลหานด้วย ซูเจินจึงหมดห่วงเรื่องมารดาและน้องชายของนางไปทันทีเมื่อออกเดินทางมาได้สิบวันก็เริ่มเข้าเขตแดนของหัวเมืองเหนือ อากา
สามวันต่อมาซูเต๋อก็กลับมาที่จวนแล้วแจ้งเรื่องที่อีกสองวันข้างหน้าจะออกเดินทางไปเมืองหนานไห่ เพื่อเตรียมการเรื่องสร้างเขื่อน ซูเจินที่ต้องออกเดินทางไปด้วยจึงให้เสี่ยวผิงจัดเตรียมข้าวของให้นางครั้งนี้นางจะพาเสี่ยวผิงไปด้วย ตอนนี้นางใกล้ถึงวัยออกเรือนของคนในยุคนี้แล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องมีสาวใช้ติดตาม เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากของผู้อื่นแม้แต่ตอนเดินทางนางก็ต้องมีรถม้าของนางต่างหากแล้ว มิอาจไปนั่งคันเดียวกับบิดาและใต้เท้าหานเช่นเดิมได้“เจินเออร์ เดินทางลงใต้ครั้งนี้คงอีกนานกว่าเจ้าจะเดินทางกลับมาเมืองหลวง หากพบบุรุษที่พึงใจเจ้าก็รีบแจ้งบอกแม่ แม่จะออกเดินทางไปหาเจ้าทันที” จิ่วเม่ยเอ่ยบอกบุตรสาวซูเจินที่กินของว่างอยู่ นางก็สำลักขึ้นมาทันที เพราะนางอายุเพิ่งจะสิบสี่หนาว จะให้รีบหาบุตรเขยไปทำไม“โถ่ ท่านแม่ ข้าเพียงสิบสี่หนาว ท่านจะรีบร้อนไปไยเล่าเจ้าค่ะ” เห็นพูดมาเช่นนี้หลายคนแล้ว ไม่แคล้วอีกไม่นานก็คงได้แต่งออกไป“ผู้อื่นก็ล้วนออกเรือนเมื่อเข้าสู่วัยปักปิ่น แม่มิได้เร่งเจ้า เพียงแค่พูดถึงเท่านั้น” จิ่วเม่ยตบที่หลังมือของบุตรสาวเบาๆต่อให้นางไม่คิดจะออกเรือนเลย ก็ไม่มีผู้ใดว่านางได้สองว
หลังจากนั้น ตลอดเวลาที่ตระกูลซูพักอยู่ในหมู่บ้านก็ไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวนอีกเลยซูเต๋อกับซูเจินเดินขึ้นเขาไปที่ถ้ำ เพื่อตรวจดูแร่เหล็กที่อยู่ด้านในก่อนที่จะเดินทางกลับเมืองหลวง“ท่านพ่อ ท่านคิดจะทำสิ่งใดกับแร่เหล็กพวกนี้เจ้าคะ”“ตอนนี้พ่อยังไม่มีความคิดที่จะทำอันใด พวกเราก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไปก่อนก็แล้วกัน” ซูเต๋อลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่นางเกือบจะสิบหนาวแล้ว เติบโตขึ้นไม่น้อย เรื่องที่นางทำล้วนแต่สร้างประโยชน์ให้กับแคว้น เขาผู้ที่เป็นบิดายังมิอาจเทียบนางได้ แต่นางกลับยกความดีทั้งหมดให้กับเขาซูเจินนางใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงอย่างจำเจ เพราะหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีเรื่องใดที่ต้องให้นางเป็นผู้ลงมือ ทั้งภัยแล้งหรือภัยหนาวที่เกิดขึ้นต่างก็มีทางออกที่นางได้เตรียมไว้เมื่อหลายปีที่แล้วปีนี้ซูเจินนางอายุได้สิบสี่หนาว ความงามของนางก็ยิ่งเผยออกมาจนมีขุนนางหลายคนเริ่มทาบทามกับซูเต๋อมาบ้างแล้วเมื่อสองปีที่แล้วหวงหลันได้แต่งให้กับฉู่จิ้งที่สอบผ่านจวี่เหรินเมื่อสองปีที่แล้ว ซูเต๋อก็ทำตามคำพูดเขาซื้อจวนให้ทั้งสองเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานนางฉู่ก็ได้ย้ายไปอยู่ดูแลบุตรชายกับสะใภ้ที่กำลังจะมี
อากาศที่เมืองหลวงกำลังดี ชาวบ้านเริ่มเดินทางเข้ามาเที่ยว พร้อมทั้งหาที่ค้าขาย เพราะใกล้จะถึงเทศกาลชุนเจี๋ย (ตรุษจีน) และเทศกาลหยวนเซียว (งานโคมไฟ)เมื่อมาถึงเมืองหลวง ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็เร่งเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อรายงานเรื่องที่ได้พบเจอมาตลอดทั้งหกเดือนที่ออกไปจัดการเรื่องทางหัวเมืองเหนือซูเจินนางเดินทางกลับมาที่จวนก่อน แต่ก็ไม่ลืมที่จะฝากผลไม้ไปให้ฮ่องเต้และหวังกงกงได้ลองชิม สุดท้ายปู่หวังของนางก็ได้กินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะถูกฮ่องเต้แย่งไปกินเสียหมด“เหอะ หวังกงกง เจ้าหวงเจิ้นเช่นนั้นรึ หลานสาวของเจ้ามีอีกมาก จะหวงเจิ้นเพื่ออันใด” ฮ่องเต้อดที่จะมองค้อนหวังกงกงไม่ได้“โถ่ ฝ่าบาท กระหม่อมจะกล้ารึพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงยิ้มอย่างเอาใจอย่างไรวันหยุดที่จะถึงนี้เขาก็ได้ออกไปเที่ยวหาหลานสาวที่ไม่ได้พบหลายเดือน ค่อยไปกินอีกครั้งที่จวนของนางก็ยังได้ซูเต๋อเมื่อเสร็จเรื่องในวังหลวงก็เร่งเดินทางกลับมาที่จวนทันที เพื่อบอกกล่าวเรื่องที่ราชสำนักหยุดให้ขุนนางเพื่อเดินทางกลับไปไหว้บรรพชน เขาจึงคิดจะกลับหมู่บ้านไปเคารพหลุมศพมารดาเช่นกัน“ข้ากำลังจะถามท่านพี่เรื่องนี้พอดี” จิ่วเม่ยเอ่ยออกมาอย่าง
ใต้เท้าหานกับซูเต๋อคิดตรงกันที่จะรอดูผลผลิตที่ปลูกเสียก่อนว่าเป็นเช่นไร จึงคิดจะเดินทางกลับเมืองหลวงเพราะในหัวเมืองอื่นก็มีเจ้าหน้าที่เดินทางมาจัดการเรื่องสร้างกำแพงไฟแล้ว และแม่ทัพจ้าวยังแบ่งทหารไปจัดการช่วยเหลือหัวเมืองอื่นอีกด้วยเจ้าเมืองและขุนนางหัวเมืองอื่นที่ใช้อำนาจของตนในทางที่ผิดก็ถูกลงโทษไปไม่น้อย เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้ผู้อื่นกระทำตามพอผลไม้ใกล้จะเก็บเกี่ยวได้ เยี่ยนเฟยหยางก็เริ่มจะเกาะติดซูเจินเพราะรู้ว่านางจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้วตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกที่ราวกับมีม้าวิ่งอยู่ภายในอกคืออาการเช่นใด เขานำเรื่องนี้ไปพูดกับขันทีข้างกายเพราะคิดว่าตนเองป่วยใกล้ตาย“โถ่องค์ชายของกระหม่อม พระองค์ตกหลุมรักสตรีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวีกงกงเอ่ยออกมาอย่างหยอกล้อ“เพ้ย จะเป็นไปได้อย่างไร” เยี่ยนเฟยหยางเม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิด ว่าเขารู้สึกกับซูเจินเช่นนั้นจริงหรือด้วยยังไม่เชื่อในสิ่งที่สวีกงกงพูด จึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาจ้าวลู่เทียนด้วยอีกคน“หรือพระองค์จะป่วย” จ้าวลู่เทียนที่อยู่ในวัยเดียวกันกับเยี่ยนเฟยหยางก็ขมวดคิ้วคิด“เพ้ย ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว” เยี่ยนเฟยหยางจำต้องเดินหน
นางลืมเรื่องที่ให้เสี่ยวอิงออกไปตรวจสอบหาบ่อน้ำพุร้อนไปเสียสนิท เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมด นางจึงได้มีเวลาออกไปสำรวจเรื่องนี้เสียที“พวกเจ้าจะไปที่ใด” เยี่ยนเฟยหยางที่กำลังจะไปค่ายทหารเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นใต้เท้าหาน ซูเต๋อและซูเจินเตรียมตัวจะออกจากจวน โดยมีแม่ทัพจ้าวและทหารบางส่วนที่ติดตามไปด้วยซูเจินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ นางคิดว่าเมื่อคืนเยี่ยนเฟยหยางกับจ้าวลู่เทียนจะพักในค่ายทหารเสียอีก“กระหม่อมจะออกไปสำรวจป่านอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ” เป็นใต้เท้าหานที่เอ่ยตอบแทนทุกคน“เช่นนั้นเปิ่นหวางจะไปด้วยก็แล้วกัน”ซูเจินเหลือกตาขึ้นมองด้านบนทันที นางทนมองเด็กหนุ่มที่แสร้งทำเป็นผู้ใหญ่ที่โตแล้ว ยืนเอามือไพล่หลังเอ่ยออกมาราวกับว่าหากเขาไม่ไปคนอื่นก็ไม่อาจทำงานได้เมื่อทุกคนไม่มีใครเอ่ยปฏิเสธ ขบวนเดินทางทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทาง เสี่ยวสือบังคับรถม้าอยู่ด้านหน้า ตามเสี่ยวอิงที่บินช้าๆ ไปตามทิศทางที่เขาพบเจอบ่อน้ำพุร้อนหนทางไม่ได้ไกลมากนัก แต่ค่อนข้างที่จะเดินลำบาก เพราะหิมะที่หนาจนซูเจินนางแทบจะยกขาเดินไม่ได้“ขึ้นมา” เยี่ยนเฟยหยางลดตัวลง เพื่อให้ซูเจินนางขึ้นหลัง เขาต้องการที่จะแบกนางเดิน“เหอะ ตัวท่านย
ใต้เท้าหานนำเรื่องที่พูดคุยกับซูเจินหารือกับท่านแม่ทัพ เขาก็เห็นเช่นเดียวกันกับใต้เท้าหานและซูเจิน“เช่นนั้น ข้าจะไปจัดการเรื่องทหารให้ขอรับ” แม่ทัพจ้าวเตรียมตัวจะไปที่ค่ายทหาร แต่ถูกใต้เท้าหานเอ่ยรั้งไว้เสียก่อน“ประเดี๋ยวก่อนยังมีอีกเรื่อง เจินเออร์นางอยากให้ท่านสร้างโรงเรือนให้นาง” “โรงเรือน คือสิ่งใด” แม่ทัพจ้าวเอ่ยถามอย่างสงสัยใต้เท้าหานจำต้องอธิบายรายละเอียดตามที่ซูเจินนางบอก “นางต้องการให้สร้างโครงไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงให้นาง เพื่อที่จะใช้ปลูกผลไม้” “ท่านว่าอย่างไรนะ ปลูกผลไม้” แม่ทัพจ้าวยังไม่เข้าใจ ว่าการปลูกผลไม้จะช่วยจัดการเรื่องความอดยากของชาวบ้านได้อย่างไร“หัวเมืองทางเหนือมีหิมะตกถึงแปดเดือน เจินเออร์นางจึงคิดจะปลูกผลไม้ที่ยังไม่มีในแคว้นต้าเยี่ยน เพื่อให้ชาวบ้านทำการค้ากับเมืองอื่นเพื่อแลกข้าวสาร ผัก อาหารแห้ง” เมื่อได้ยินสิ่งที่ใต้เท้าหานพูด ดวงตาของแม่ทัพจ้าวก็สว่างวาบออกมาทันที ทุกวันนี้อาหารทั้งหมดในกองทัพต้องรอเสบียงหลวงส่งมา หากกองทัพสามารถปลูกผลไม้ออกมาได้ ทหารคงได้ต้องอดมื้อกินมื้ออีกแล้ว“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ จะรีบจัดการเรื่องนี้ให้ทันที” แม่ทัพจ้าวเดินทางไปค่
ไม่รู้ว่าเขาจะไปโยนทิ้งที่ไหนหรือไม่ นางคงต้องบอกให้เสี่ยวอี่ไปแจ้งพวกมด แมลงในจวนคอยจับตาดูเสียแล้ว หากเขาโยนทิ้งนางจะได้ไปเก็บกลับมาแต่ผิดคาดเยี่ยนเฟยหยางมิได้โยนทิ้ง เขาเก็บรักษาไว้อย่างดี เมื่อเขากลับมาถึงเรือนพัก จึงได้รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าของนางช่างแตกต่างจากผ้าที่เขาเคยพบเห็นแม้มันจะห่อหุ้มหิมะไว้ แต่ก็มีเพียงความเย็นเท่านั้นที่ถูกส่งออกมา หาได้มีน้ำออกมาจนเปียกมือไม่ อีกทั้งตอนนี้ใบหน้าของเขาก็ยุบลงจนกลับมาเป็นเช่นเดิม แม้แต่รอยที่ถูกผึ้งต่อยก็ไม่หลงเหลือให้เห็นอีกแล้วเยี่ยนเฟยหยางได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ เขายังไม่คิดที่จะเอ่ยถามนาง คงได้แต่จับตาดูนางไปก่อน เพราะนางคงต้องอยู่ที่โจวเป่ยอีกหลายเดือนทางด้านใต้เท้าหานกับซูเต๋อ ที่ได้แม่ทัพจ้าวช่วยนำทหารในค่ายมาใช้แรงงานมากมายก็สร้างกำแพงไฟขึ้นมาในเรือนหลังหนึ่งภายในจวน โดยใช้เวลาเพียงห้าวันเท่านั้นเมื่อตรวจดูความแข็งแรงตามคำเตือนของซูเจินแล้ว ก็สั่งให้ทหารจุดไฟในช่องเตาขึ้นทันที พอควันไฟที่ออกมาไหลไปตามท่อไม้ไผ่ที่ทำขึ้นส่งไปยังห้องต่างๆ ภายในเรือน ก็พบว่าภายในเรือนและห้องนอนอุ่นขึ้น โดยไม่ต้องจุดเตาไฟในห้องเลย“อุ่นขึ้นจริงด้ว
เยี่ยนเฟยหยางเห็นเหยี่ยวแดงตัวงามบินออกมาจากเรือนของซูเจินเข้าพอดี เขามองตามไปอย่างสนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เรือนของนาง เพื่อดูว่าเหยี่ยวเพียงแค่บินผ่านหรือเป็นของนางกันแน่“โอ๊ยยย” เยี่ยนเฟยหยางกุมแก้มไว้แน่น เขากำลังจะเข้าไปในเรือนของซูเจินก็รู้สึกเจ็บปวดที่แก้มขึ้นมาทันทีซูเจินที่ได้ยินเสียงร้อง ทั้งยังรู้มาจากเสี่ยวมี่ด้วยว่ามีเยี่ยนเฟยหยางจะลอบเข้ามา นางจึงได้เดินออกมาดู ก็เห็นเยี่ยนเฟยหยางกุมแก้ม ใบหน้าแดงก่ำมองมาทางนางอย่างโกรธแค้น“เพ้ย เปิ่นหวางเข้าใกล้เจ้าครั้งใด เป็นต้องพบเคราะห์ร้ายไปเสียทุกครั้ง” แก้มของเขาเริ่มจะปูดบวมอย่างเห็นได้ชัด“แล้วผู้ใดให้พระองค์เข้ามากันเล่า” ซูเจินเกือบจะหลุดหัวเราะออกมานางเดินเข้ามาดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บมากเพียงใด และกลัวว่าเขาจะแพ้พิษผึ้งจนถึงแก่ชีวิตได้“เจ้าจะทำอันใด” เยี่ยนเฟยหยางถอยหนีไปสองก้าว“หม่อมฉันเพียงจะดูให้ว่าพระองค์เป็นเช่นใดบ้าง หากไม่ต้องการเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเพคะ” ซูเจินส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ที่นางต้องพบเจอเด็กดื้อรั้นเช่นเยี่ยนเฟยหยาง“ยังไปมิได้ เจ้าทำให้เปิ่นหวางบาดเจ็บ รีบมาดูให้เปิ่นหวางประเดี๋ยวนี้” เยี่ยนเฟยหยางเอ่ย
ก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะคว้าแขนของซูเจิน นางก็เตะเข้าที่ขาของเขา ตำแหน่งเดิมที่เขาถูกเตะในครั้งนั้นพอดี“โอ๊ยยย เจ้า” เยี่ยนเฟยหยางล้มไปกองกับพื้นหิมะ กุมขาอย่างเจ็บปวด“ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเก่งขึ้นแล้วเสียอีก ที่ไหนได้ ก็ยังเป็นเช่นเดิม” ซูเจินยื่นหน้าไปพูดกับเยี่ยนเฟยหยางอย่างเยาะเย้ย“เจ้า เจ้าบังอาจนัก กล้าพูดกับเปิ่นหวางเช่นนี้รึ” เขาร้องออกมาเสียงดัง จนผู้อื่นที่พูดคุยกันอยู่ภายในห้องโถงต้องรีบวิ่งมาดูทันที“แล้วอย่างไร ท่านจะเขียนสารไปฟ้องเสด็จพ่อของท่านหรือไม่เล่า” ซูเจินผายมือเช่นที่เขาทำตอนอยู่ในห้องโถง“เกิดเรื่องอันใดขึ้น อาเทียนเจ้ายังไม่ไปช่วยประคององค์ชายห้าอีกเล่า” แม่ทัพจ้าวหันไปตำหนิบุตรชาย“เจินเออร์ เจ้าทำอันใดลงไป” ซูเต๋ออดที่จะตำหนิบุตรสาวไม่ได้ซูเจินก้มหน้าลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบิดา ด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำอย่างน่าสงสาร“ข้าเพียงแค่ป้องกันตัวเจ้าค่ะ องค์ชายห้าจะเข้ามาทำร้ายข้า” นางแสร้งทำท่าทีหวาดกลัวเยี่ยนเฟยหยางมีเพียงซูเต๋อและใต้เท้าหานที่ส่ายหัวออกมา ทั้งสองรู้ดีว่านางมิได้หวาดกลัวองค์ชายห้าสักนิด เยี่ยนเฟยหยางกับจ้าวลู่เทียนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าน