องครักษ์ที่ติดตามอ๋องเฉิงในครั้งนี้ต่างพากันไม่เชื่อว่าท่านอ๋องจะยอมซื้อหมูป่าในราคาสูงถึงหนึ่งพันตำลึงจริง ๆ พวกเขาไม่กล้าสอบถามว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงได้ทำเช่นนี้ องครักษ์ชุดนี้เป็นคนละชุดกับที่ออกเดินทางไปนอกเมืองหลวงกับอ๋องเฉิง พวกเขาจึงไม่เคยพบซูซูมาก่อน เพราะพวกเขาเป็นองครักษ์คนสนิทที่คอยทำงานในเมืองหลวงให้กับท่านอ๋องเวลาพระองค์ไม่อยู่ จึงทำให้พวกเขาไม่ทราบที่มาของแม่นางคนงามที่ท่านอ๋องขอซื้อหมูป่าก่อนหน้านี้ พวกเขาได้แต่คิดในใจว่ารอให้ไปถึงค่ายทหารเสียก่อน เขาจะสอบถามองครักษ์ที่ติดตามท่านอ๋องออกนอกเมืองว่าแม่นางน้อยคนนี้เป็นใคร
ภายในเมืองหลวงก็วุ่นวายกันไม่น้อย ด้วยข่าวลือที่แพร่ออกไปอย่างรวดเร็วว่าอ๋องเฉิงนั้นพูดคุยอย่างสนิทสนมกับแม่นางน้อยรูปร่างหน้าตางดงามราวกับนางฟ้า แถมยังแข็งแกร่งกว่าหญิงสาวทั่วไปอีกต่างหาก ข่าวลือที่ผิดเพี้ยนไปเพราะกระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงกลายเป็นว่า ท่านอ๋องมีไมตรีกับสตรีแปลกหน้าท่ามกลางชาวบ้านที่สามารถเป็นพยานได้หลายคน
หลังจากเสี่ยวเอ้อวางอาหารเรียบร้อยแล้ว ซูซูก็บอกเขาว่าหากนางกินเสร็จจะนำถ้วยชามวางไว้ที่หน้าห้อง เขาค่อยมาเก็บทีหลังก็แล้วกัน และห้ามไม่ให้ใครมารบกวนนางพักผ่อนด้วย เสี่ยวเอ้อพยักหน้ารับคำแขกที่ดูจะร่ำรวยไม่น้อยจนถึงขนาดได้เข้าพักในห้องใหญ่ที่สุดของโรงเตี๊ยม แถมอาหารของนางยังมีแต่อาหารขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย เมื่อซูซูสั่งเสี่ยวเอ้อเสร็จนางก็บอกให้เขาออกไปได้ นางจะกินข้าวแล้วจะได้รีบพักผ่อน เสี่ยวเอ้อรีบขอตัวออกไปจากห้องของนางในทันใด เขามัวแต่ตกตะลึงกับความงามของนางจนลืมไปว่านางสั่งงานเขาเสร็จแล้ว โชคดีที่แม่นางน้อยไม่คิดว่าเขาทำกิริยาไม่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกเถ้าแก่ไล่ออกเป็นแน่ ซูซูที่เข้าใจดีว่าตนเองสวยสดงดงามมากเพียงใดก็ไม่ได้ถือสาเสี่ยวเอ้อที่มัวแต่ตะลึงในความงามของนาง ซูซูนั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย นับว่าที่นี่สมแล้วกับที่มีคนแนะนำน
ซูซูเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเอ้อออกไปแล้ว นางนำหยกออกมาจากกำไลเก็บของ ก่อนจะนำมีดสั้นมาตัดกระดาษแผ่นใหญ่ออกเป็นสี่ส่วน เสร็จแล้วซูซูก็นำกระดาษไปทาบกับหยกด้านที่มีตัวอักษรฟางแล้วใช้ก้อนถ่านค่อย ๆ ถูเพื่อให้ขึ้นลวดลายตามหยกที่นางมีอยู่ ซูซูทำอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าลวดลายจะผิดแปลกออกไปจนทำให้คนที่มาอ่านประกาศเห็นได้ไม่ชัดเจน หลังจากได้ลวดลายตามที่ต้องการแล้ว ซูซูใช้พู่กันแตะหมึกที่นางฝนเอาไว้ไม่นานนักแล้วเขียนในใบประกาศว่า“ข้ามีหยกชิ้นนี้มาตั้งแต่จำความได้ หากใครรู้จักคนที่ให้หยกนี้แก่ข้า ได้โปรดมาพบข้าที่โรงเตี๊ยมไฉ่หลงภายในสามวัน ที่ห้องพักชั้นสองห้องด้านในสุด ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางตามหาเจ้าของหยกต่อไปยังเมืองอื่น ลงชื่อซูซู” ซูซูอ่านทวนว่ามีตรงไหนผิดพลาดหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีตรงไหนผิดพลาด ซูซูก็นำกระดาษอีกสามแผ่นมาทำเช่นเดิม นางจะนำกระดาษทั้งสี่แผ่นติดที่ป้ายประกาศทั้งหมด เผื่อว่ามีคนรู้จักหยกชิ้นนี้แล้วนำแผ่นกระดาษที่นางติดเ
ฟางเซียนหลงที่รีบเดินกลับเรือนทำให้ฟางฉือห่าวที่กำลังจะออกไปทำงานเกิดสงสัยว่าท่านพ่อมีเรื่องอะไรเร่งด่วนตั้งแต่เช้ากัน เขาจึงเปลี่ยนทิศทางที่กำลังจะออกจากจวนเป็นเดินไปที่เรือนท่านพ่อท่านแม่แทน เมื่อไปถึงเรือน ฟางเซียนหลงที่ยังเห็นภรรยานั่งหน้าอมทุกข์อยู่ก็รีบเดินเข้าไปหานางพร้อมกับยื่นกระดาษประกาศให้นางอ่านด้วยตัวเอง ไม่นานนักหลังอ่านรายละเอียดจบแล้ว มู่อิงเอ๋อรีบเงยหน้ามองสามีพร้อมน้ำตา“นี่...นี่จริงเหรอเจ้าคะท่านพี่ เราจะได้เจอลูกแล้วเหรอเจ้าคะ ฮึก…” ฟางเซียนหลงโอบภรรยาเอาไว้ในอ้อมแขน ตัวเขาเองก็น้ำตารื้นขึ้นมาเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะบอกกับภรรยาว่าจะไปหานางในวันพรุ่งนี้เลย“ประกาศใบนี้เป็นของจริงแน่นอนน้องหญิง อีกอย่างลวดลายบนกระดาษก็เป็นหยกของตระกูลเราที่เคยมัดติดกับแขนของลูกเอาไว้ในคราวนั้นด้วย ตอนนี้น้องหญิงต้องทำใจให้สบา
“เข้ามาได้” ซูซูส่งเสียงตอบกลับให้นิ่งเรียบที่สุด นางไม่อยากแสดงออกมากนักว่านางรู้สึกอย่างไร หากนางผิดหวังในตัวพวกเขา นางก็แค่จากไปก็เท่านั้น เสียงเดินเข้ามาด้านในห้องโดยมีเสี่ยวเอ้อเปิดประตูให้คนทั้งสามซึ่งดูท่าทางร่ำรวยและดูภูมิฐานไม่น้อย ซูซูกระพริบตาอย่างตกตะลึงกับคนทั้งสามที่กำลังเดินมาหานางพร้อมกับน้ำตาปริ่มใบหน้าของหญิงสาวที่ดูจะอายุยังไม่แก่มากนัก นางไม่นึกว่าทั้งสามคนจะหน้าตาละม้ายคล้ายนางมากถึงเพียงนี้“พวกท่านเชิญนั่งลงก่อน”“ฮึก...ลูกแม่” มู่อิงเอ๋อทนเก็บอารมณ์ความรักความคิดถึงไม่ไหวแล้ว นางสลัดอ้อมแขนของสามีออกแล้วรีบเดินเร็ว ๆ เข้าไปกอดซูซูอย่างแสนรัก ซููซูที่จู่ ๆ ก็ได้รับความอบอุ่นจากคนที่เรียกนางว่าลูกก็ทำตัวไม่ถูกสักเท่าไหร่นัก นางไม่คิดว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับนาง ฟางเซียนหลงเห็นว่าลูกสาวถึงกับอึ้งไปที่ภรรยาของเขาเข้าไปกอดน
เสี่ยวเอ้อรีบนำม้ามาให้ซูซูที่หน้าโรงเตี๊ยม ฟางเซียนหลง มู่อิงเอ๋อและฟางฉือห่าวมองม้าของน้องสาวเป็นตาเดียวกัน ม้าตัวนี้สูงใหญ่มากกว่าตัวซูซูเสียอีก พวกเขาได้แต่สงสัยว่านางขี่มันมาจนถึงที่นี่ได้อย่างไร“พวกท่านมองข้าแปลก ๆ อีกแล้วนะเจ้าคะ” ซูซูที่รู้สึกถึงสายตาทางด้านหลังขณะที่กำลังลูบแผงคอม้าอย่างแสนรัก“อ้อ ไม่มีอะไร พวกเราแค่แปลกใจที่ม้าของเจ้าตัวสูงใหญ่มากขนาดนี้ แต่เจ้าตัวเล็กเพียงเท่านี้ แล้วเจ้าขี่มันมาได้อย่างไร?”“อ่า ก็ไม่เห็นยากนี่เจ้าคะ เดี๋ยวข้าขึ้นม้าให้พวกท่านดูเจ้าค่ะ”พรึ่บ! ซูซูใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าของนางพร้อมกับยิ้มแฉ่งให้คนในครอบครัวที่ต่างพากันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง หลังได้สติแล้วมู่อิงเอ๋อรีบร้องบอกลูกสาวให้ลงมาไว ๆ นางกลัวลูกของนางจะตกจากหลังม้า“โธ่
ซูซูเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้ไม่นานนักนางก็ออกมาหาพี่ชายที่รออยู่ในห้องรับแขกเรือนนาง ฟางฉือห่าวมองการแต่งตัวของน้องสาวก็ขัดตาไม่น้อย แต่ในเมื่อท่านพ่อท่านแม่บอกให้นางแต่งกายได้ตามใจชอบ เขาก็คงต้องปล่อยนาง“อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว เจ้าชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เล่าซูซู”“อืม...ไม่มีนะเจ้าคะพี่ใหญ่ ข้ากินอะไรก็ได้อ่ะ”“เช่นนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องสั่งที่ห้องครัวเพิ่มเติม เดี๋ยวหลังทานอาหาร บ่าวรับใช้ของเจ้าทั้งสี่คนคงมารอเจ้าอยู่ที่เรือนแล้วล่ะ ไปที่เรือนหลักกันเถอะ”“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” ซูซูยิ้มอย่างอารมณ์ดี การได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัวเป็นเช่นนี้นี่เอง นางที่ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้มาก่อนได้แต่ดีใจที่ตนเองมุ่งมั่นออกตามหาครอบครัวจนพบพวกเขาได้ในวันนี้ &nb
ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งกินของว่างกับน้ำชาที่บ่าวนำมาให้ในห้องรับแขกและพูดคุยกันจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น พวกเขาจึงพากันลุกขึ้นกลับไปที่ห้องอาหาร และแน่นอนว่าเมื่อนั่งตามตำแหน่งเดิมกันแล้ว บนถ้วยข้าวของซูซูก็เต็มไปด้วยอาหารที่คนในครอบครัวคีบมาวางไว้ให้นางลองกินดูจนพูนถ้วยอีกครั้ง“ซูซู ลูกกินเยอะ ๆ หน่อย พ่อว่าเจ้าผอมเกินไปแล้ว”“จริงด้วยเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าก็ว่าลูกผอมไปหน่อย”“น้องสาวกินเยอะ ๆ พี่ใหญ่จะคีบอาหารอร่อย ๆ ให้เจ้าเอง” ซูซูที่คิดว่าตัวเองรูปร่างสมส่วนดีกลับทำได้แค่ยิ้มรับความหวังดีของคนในครอบครัวเท่านั้น นางไม่อยากทำให้พวกเขาเสียใจที่ไม่ยอมทานอาหารที่พวกเขาคีบมาให้นาง ซูซูจึงได้แต่ยกถ้วยข้าวขึ้นมากินอย่างช้า ๆ ตามปกติของนาง พ่อ แม่และพี่ชายเห็นซูซูกินข้าวที่พวกเขาคีบให้ก็พากันยิ้
หลังจากซูซูทานอาหารเสร็จไม่นานนักก็มีคนจากเรือนท่านแม่มาตามนางไปเพื่อวัดตัวตัดชุดให้ทันงานในวันพรุ่งนี้ ซูซูจึงเดินไปพร้อมกับเจียงเหม่ยและเจียงฮวา ส่วยเจียงจิวกับเจียงเฟยต่างพากันเก็บสำรับและทำความสะอาดเรือนรอคุณหนูของพวกนางกลับมาพักผ่อน เมื่อพวกนางเดินไปถึงเรือนใหญ่แล้ว ซูซูที่เห็นท่านแม่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หลักในห้องรับแขกด้านหน้าเรือนใหญ่ก็รีบเข้าไปกอดและออดอ้อนท่านแม่ของนางอย่างน่ารัก ทำเอาบ่าวทั้งหลายที่ดูอยู่ต่างยิ้มตามความน่ารักของคุณหนูของพวกนาง ตั้งแต่มีคุณหนูเข้ามาเพียงวันเดียว ในจวนก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าอ้างว้างเหมือนที่ผ่านมาตลอดหลายปี“เอาล่ะ ๆ ลูกรัก เลิกอ้อนแม่ได้แล้ว เจ้ารีบไปยืนให้ช่างวัดตัวเสียเร็ว ๆ แล้วเจ้าก็ค่อยเลือกสีผ้าว่าเจ้าอยากใส่ชุดสีอะไรในวันพรุ่งนี้ ช่างจะได้ตัดมาให้เจ้าก่อน”“เจ้าค่ะท่านแม่ ฟอด” &nbs
อ๋องเฉิงอุ้มบุตรชายที่ยังไม่ลืมตาของพระองค์เข้าไปในห้องหลังจากสั่งงานให้พ่อบ้านไปจัดการเสร็จแล้ว พระองค์คิดว่าจะขอให้เสด็จลุงพระราชทานชื่อให้กับลูกชายของพระองค์เพื่อเป็นศิริมงคล อ๋องเฉิงเข้ามาในห้องก็พบว่าซูซูกำลังหลับอยู่จริง ๆ อย่างที่แม่นมฉู่บอกก่อนหน้าที่พระองค์จะเข้ามาในห้อง อ๋องเฉิงได้แต่บอกเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนว่าให้เงียบ ๆ เพราะพระองค์กลัวจะรบกวนการพักผ่อนของภรรยาสุดที่รักนั่นเอง ไม่นานหลังจากอยู่ดูและจูบหน้าผากภรรยารักเสร็จ อ๋องเฉิงก็ออกไปด้านนอกพร้อมบุตรชายที่ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้วเช่นกัน แม่นมฉู่ เจียงเหม่ยและเจียงฮวาที่รออยู่ที่หน้าประตู ต่างย่อกายคารวะท่านอ๋องตามธรรมเนียม ก่อนที่จะฟังรับสั่งของท่านอ๋องอย่างตั้งใจ“หลังจากนี้ข้าคงต้องรบกวนพวกเจ้าดูแลพระชายาแล้ว ส่วนเจ้าเด็กอ้วนนี่ แม่นมฉู่ได้จ้างแม่นมมารอไว้หรือยัง?”“ทู
เจ็ดเดือนผ่านไป ในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมาด้วยการดูแลอย่างดีของแม่นมฉู่และอ๋องเฉิง ทำให้ซูซูรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากจนนางไม่คิดมากเรื่องที่เสนาบดีหลานจะสร้างเรื่องอะไรให้กับพวกนางอีก รวมทั้งทุก ๆ เดือน ท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ใหญ่ของนางจะมาเยี่ยมนางที่จวนอ๋องเดือนละสองครั้งเสมอ พวกท่านยังนำผลไม้และขนมมาให้นางกินเป็นจำนวนมาก ส่วนเสื้อผ้าของซูซูในตอนนี้นั้นก็มีคนในจวนอ๋องเย็บออกมาให้นางสวมใส่อย่างสบายตัวหลังจากที่ท้องของนางเริ่มใหญ่ขึ้นในเดือนที่สี่ ระหว่างที่อ๋องเฉิงอยู่ดูแลพระชายาของตนเอง พระองค์ก็ยังทรงงานอยู่เมื่อมีทหารเข้ามาขอพบที่จวนแทนการที่พระองค์จะไปประทับที่ค่ายทหาร ส่วนฮ่องเต้เองก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรที่อ๋องเฉิงไม่ออกไปที่ค่ายทหาร อย่างไรพระองค์ก็ทราบว่าหลานชายมีคนของเขาไม่น้อยที่จะเป็นมือเป็นเท้าให้เขาในการทำงาน หมอหลวงที่คอยดูแลสุขภาพของพระชายากับเด็กในครร
ขันทีประจำพระองค์ของฮ่องเต้รีบเดินไปยังตำหนักของพระสนมจาง ด้านหน้าประตูตำหนักมีขันทีเฝ้าอยู่สองคน เขาสั่งให้ขันทีคนหนึ่งเข้าไปบอกพระสนมว่าฮ่องเต้มีเรื่องสอบถามนาง พระองค์จึงส่งเขามา ขันทีหน้าตำหนักรีบวิ่งเข้าไปรายงานพระสนมจางทันที ก่อนที่จะรีบกลับมาเชิญให้ขันทีประจำพระองค์ที่มาพร้อมคนของเขาอีกสองคนเข้าไปในตำหนัก ซึ่งตอนนี้พระสนมรีบออกมานั่งรอที่ห้องโถงรับแขกแล้ว ขันทีประจำพระองค์รีบสั่งให้คนของเขาจับพระสนมกับนางกำนัลผู้เป็นหลานสาวที่อยากเสนอหน้าออกมาดูว่าฮ่องเต้ต้องการทราบเรื่องอะไรจึงส่งขันทีขั้นสูงมาถึงตำหนักแห่งนี้“ปล่อยข้านะ ข้าเป็นพระสนมของฮ่องเต้ เจ้ามีสิทธิอะไรมาจับข้ากับหลานข้าเช่นนี้”“ฮึ สิทธิที่ฝ่าบาทสั่งการให้มาเค้นสอบเจ้าถึงเรื่องการวางยาพระชายาอ๋องเฉิงอย่างไรเล่า เจ้าจะบอกออกมาเองหรือต้องให้ข้าพาไปห้องทรมานเสียก่อน&rd
องครักษ์ที่นำถ้วยขนมไปให้หมอหลวงตรวจสอบส่วนผสม ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งที่แยกส่วนผสมออกมาแล้ว ส่งให้เขานำกลับไปให้ท่านอ๋องและพระชายา แน่นอนว่าในส่วนผสมนั้นมีชะมดเชียงตามที่พระชายาสงสัยจริง หมอหลวงที่อยากสอบถามเรื่องราวว่าใครกล้าทำเช่นนี้แต่กลัวว่าภัยจะลามมาถึงตัว เขารู้ดีว่าของเหล่านี้ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถนำออกจากวังหลวงไปได้ง่าย ๆ อีกอย่างร้านยาทั่วไปไม่สามารถขายชะมดเชียงที่เป็นสินค้าต้องห้ามในแคว้นได้ นอกจากในวังหลวงที่ใช้บ้างในการรักษาโรคบางชนิด เขาจึงทำได้เพียงส่งข้อมูลให้กับองครักษ์นำไปแจ้งแก่ท่านอ๋องเฉิงเท่านั้น องครักษ์ที่ได้รับข้อมูลแล้วก็รีบใช้วิชาตัวเบากลับไปยังจวนอ๋องในทันที เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ในวังหลวงมากนัก ด้วยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สามารถปล่อยผ่านได้ง่าย ๆ ส่วนองครักษ์ที่ทำการสอบสวนนางกำนัลนั้นก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการและมีวิธีนำยาแปลกปลอมเข้ามาในจวนอ๋องได้อย่างไร พวกเขารี
หนึ่งเดือนต่อมา วันนี้เป็นวันที่หมอหลวงนัดตรวจดูการตั้งครรภ์ของซูซู อ๋องเฉิงที่ไปขออนุญาตเสด็จลุงมาคอยดูแลซูซูที่จวนได้เกือบครึ่งเดือนแล้วจึงพานางไปนั่งรอหมอหลวงที่ห้องโถงรับแขก โดยมีแม่นมฉู่บอกให้บ่าวนำของว่างและน้ำชามาให้ทั้งสองพระองค์นั่งกินนั่งดื่มเพื่อฆ่าเวลา ซูซูกับอ๋องเฉิงนั่งคุยกันอยู่ได้เกือบสองเค่อ ก่อนที่องครักษ์ของจวนจะเดินนำหมอหลวงเข้ามาคารวะทั้งสองพระองค์ แล้วลงมือตรวจชีพจรของพระชายาตามหน้าที่ หมอหลวงตรวจไม่นานนักก็ปล่อยมือออกพร้อมกับหยิบผ้าขาวบางออกมาก่อนจะรายงานอาการของพระชายาให้อ๋องเฉิงฟัง“ตอนนี้พระชายาตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพะย่ะค่ะ เด็กในครรภ์มีชีพจรเต้นอย่างสม่ำเสมอดีมากพะย่ะค่ะ เดือนนี้กระหม่อมจะถวายยาบำรุงครรภ์ให้อีกนะพะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้พระชายายังมีอาการคลื่นเหียนอาเจียนอีกหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ข้าไม่มีอาการแล้วหมอหลวง ตอนนี
ซูซูที่ส่งอ๋องเฉิงเสร็จแล้วนางก็ยังไม่ง่วง ซูซูจึงชวนแม่นมฉู่กับสองบ่าวคนสนิทไปดูของขวัญที่ได้มาเมื่อวาน เพราะพ่อบ้านมาแจ้งนางเอาไว้แล้วว่าเขาส่งของขวัญเหล่านั้นไปไว้ที่เรือนเล็กของนางให้ตรวจสอบแต่เช้าแล้ว“พระชายาจะไม่พักผ่อนก่อนจริง ๆ หรือเพคะ”“ก็ข้ายังไม่ง่วงนี่นาแม่นมฉู่ นะ นะ เราไปตรวจดูของขวัญกันก่อนดีกว่า”“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ พระชายาค่อย ๆ เดินนะเพคะ”“อืม… ข้ารู้น่า แม่นมอย่ากังวลนักเลย” ซูซูที่กำลังคิดจะเดินเร็ว ๆ จึงได้แต่ต้องผ่อนฝีเท้าลงเพื่อไม่ให้แม่นมฉู่มีเรื่องไปฟ้องอ๋องเฉิงทีหลัง ไม่เช่นนั้นนางคงต้องเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในห้องของเขาเป็นแน่ แม่นมฉู่ที่เห็นว่าพระชายาเดินช้าลงแล้วก็ได้แต่เป่าปากอย่างโล่งอก นางอยากเป็นคนประ
อ๋องเฉิงเชิญพ่อตาแม่ยายและพี่ชายภรรยาให้นั่งลงดื่มชากินของว่างกันก่อน พวกเขาจึงได้นั่งลงตรงที่ว่างก่อนที่เจียงเหม่ยและเจียงฮวาจะรินชากับนำของว่างมาวางเพิ่มให้บนโต๊ะ จากนั้นพวกนางรวมทั้งแม่นมฉู่ก็ถอยออกไปรอที่ด้านหน้าศาลาตามมารยาท“ซูซูเป็นยังไงบ้างลูก” มู่อิงเอ๋อที่เป็นห่วงลูกสาวรีบถามขึ้นมาก่อนใครเพื่อน“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เมื่อวานข้าเหม็นกลิ่นอาหารจนแทบอาเจียน ท่านอ๋องจึงให้คนไปเชิญหมอหลวงมาตรวจ จึงได้รู้ว่าข้าตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ”“แล้วตอนนี้เจ้ากินสิ่งใดได้บ้างเล่า หรือจะให้แม่ทำอาหารให้เจ้าลองกินดู”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ตอนนี้พ่อครัวรู้แล้วว่าข้ากินอาหารแบบใดได้บ้าง วันนี้ข้าก็กินได้เยอะขึ้นด้วยนะเจ้าคะ ท่านแม่อย่าได้กังวลเลย”“เฮ้อ เจ้าจะไม่ให้แม่ไม่กังวลได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าชอบซุกซนนัก ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ยิ่
อ๋องเฉิงได้แต่มองภรรยาของพระองค์พร้อมรอยยิ้มบาง ในที่สุดพระองค์ก็กำลังจะกลายเป็นพ่อคนแล้ว ภรรยาผู้ซุกซนของพระองค์หลังจากนี้คงไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้แล้ว พระองค์ได้แต่หวังว่านางจะคิดถึงลูกให้มาก ๆ และไม่ทำสิ่งใดสุ่มเสี่ยงต่อการบาดเจ็บระหว่างที่กำลังตั้งครรภ์“นี่ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าลูกเราจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันน่ะ”“อืม… ข้าคิดว่าน่าจะผู้ชายนะ”“อ้าว เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเป็นผู้ชายล่ะ ข้าอยากได้ลูกสาวนี่นา หรือว่าเจ้าไม่อยากได้”“เปล่าสักหน่อย ข้าเพียงคิดตามที่แม่นมฉู่บอกเมื่อครู่ว่าเสด็จแม่ของข้าก็มีอาการเช่นเดียวกับเจ้าอย่างไรเล่า ข้าจึงคิดว่าน่าจะเป็นลูกชายก็เท่านั้นเอง อีกอย่างนะ ไม่ว่าเจ้าจะคลอดลูกชายหรือหญิง ข้าก็รักทั้งคู่นั่นแหละ เพราะนั่นคือลูกของเรา”“เฮ้อ ข้าเข้าใจแล้ว เอ้อ แล้วเราจะส่งคนไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ที่จวนดีหร
ขันทีประจำพระองค์เมื่อกลับถึงวังหลวงแล้วก็รีบรายงานทุกอย่างให้ฮ่องเต้ทราบ รวมทั้งข้อสังเกตของเขาที่มีต่อเสนาบดีหลานอีกด้วย“อืม…เช่นนั้นส่งองครักษ์เงาของเราไปคอยติดตามเสนาบดีหลานอย่าให้คลาดสายตา ข้าเชื่อว่าหากเขาคิดแก้แค้นจะต้องมีสักวันที่เขาทำตัวผิดปกติ เรื่องนี้เจ้ายังไม่ต้องส่งคนไปบอกหลานชายของข้า ปล่อยให้องครักษ์เงาของข้าสืบเรื่องราวมาให้ได้เสียก่อนค่อยวางแผนกันก็ไม่สาย”“พะย่ะค่ะฝ่าบาท”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าเองก็จะไปทานข้าวที่ตำหนักเฟิ่งหวงกับฮองเฮาสักหน่อย ป่านนี้ไม่รู้ว่านางรู้ข่าวเรื่องหลานสะใภ้หรือยัง”“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลลาพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้โบกมือให้ขันทีประจำพระองค์อย่างเคยชิน จากนั้นพระองค์สั่งขันทีวัยกลางคนที่เป็นผู้ช่วยของขันทีชราว่าให้เตรียมเกี้ยวไปยังตำห