ซูซูที่ส่งอ๋องเฉิงเสร็จแล้วนางก็ยังไม่ง่วง ซูซูจึงชวนแม่นมฉู่กับสองบ่าวคนสนิทไปดูของขวัญที่ได้มาเมื่อวาน เพราะพ่อบ้านมาแจ้งนางเอาไว้แล้วว่าเขาส่งของขวัญเหล่านั้นไปไว้ที่เรือนเล็กของนางให้ตรวจสอบแต่เช้าแล้ว
“พระชายาจะไม่พักผ่อนก่อนจริง ๆ หรือเพคะ”
“ก็ข้ายังไม่ง่วงนี่นาแม่นมฉู่ นะ นะ เราไปตรวจดูของขวัญกันก่อนดีกว่า”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ พระชายาค่อย ๆ เดินนะเพคะ”
“อืม… ข้ารู้น่า แม่นมอย่ากังวลนักเลย”
ซูซูที่กำลังคิดจะเดินเร็ว ๆ จึงได้แต่ต้องผ่อนฝีเท้าลงเพื่อไม่ให้แม่นมฉู่มีเรื่องไปฟ้องอ๋องเฉิงทีหลัง ไม่เช่นนั้นนางคงต้องเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในห้องของเขาเป็นแน่
แม่นมฉู่ที่เห็นว่าพระชายาเดินช้าลงแล้วก็ได้แต่เป่าปากอย่างโล่งอก นางอยากเป็นคนประ
หนึ่งเดือนต่อมา วันนี้เป็นวันที่หมอหลวงนัดตรวจดูการตั้งครรภ์ของซูซู อ๋องเฉิงที่ไปขออนุญาตเสด็จลุงมาคอยดูแลซูซูที่จวนได้เกือบครึ่งเดือนแล้วจึงพานางไปนั่งรอหมอหลวงที่ห้องโถงรับแขก โดยมีแม่นมฉู่บอกให้บ่าวนำของว่างและน้ำชามาให้ทั้งสองพระองค์นั่งกินนั่งดื่มเพื่อฆ่าเวลา ซูซูกับอ๋องเฉิงนั่งคุยกันอยู่ได้เกือบสองเค่อ ก่อนที่องครักษ์ของจวนจะเดินนำหมอหลวงเข้ามาคารวะทั้งสองพระองค์ แล้วลงมือตรวจชีพจรของพระชายาตามหน้าที่ หมอหลวงตรวจไม่นานนักก็ปล่อยมือออกพร้อมกับหยิบผ้าขาวบางออกมาก่อนจะรายงานอาการของพระชายาให้อ๋องเฉิงฟัง“ตอนนี้พระชายาตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพะย่ะค่ะ เด็กในครรภ์มีชีพจรเต้นอย่างสม่ำเสมอดีมากพะย่ะค่ะ เดือนนี้กระหม่อมจะถวายยาบำรุงครรภ์ให้อีกนะพะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้พระชายายังมีอาการคลื่นเหียนอาเจียนอีกหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ข้าไม่มีอาการแล้วหมอหลวง ตอนนี
องครักษ์ที่นำถ้วยขนมไปให้หมอหลวงตรวจสอบส่วนผสม ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งที่แยกส่วนผสมออกมาแล้ว ส่งให้เขานำกลับไปให้ท่านอ๋องและพระชายา แน่นอนว่าในส่วนผสมนั้นมีชะมดเชียงตามที่พระชายาสงสัยจริง หมอหลวงที่อยากสอบถามเรื่องราวว่าใครกล้าทำเช่นนี้แต่กลัวว่าภัยจะลามมาถึงตัว เขารู้ดีว่าของเหล่านี้ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถนำออกจากวังหลวงไปได้ง่าย ๆ อีกอย่างร้านยาทั่วไปไม่สามารถขายชะมดเชียงที่เป็นสินค้าต้องห้ามในแคว้นได้ นอกจากในวังหลวงที่ใช้บ้างในการรักษาโรคบางชนิด เขาจึงทำได้เพียงส่งข้อมูลให้กับองครักษ์นำไปแจ้งแก่ท่านอ๋องเฉิงเท่านั้น องครักษ์ที่ได้รับข้อมูลแล้วก็รีบใช้วิชาตัวเบากลับไปยังจวนอ๋องในทันที เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ในวังหลวงมากนัก ด้วยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สามารถปล่อยผ่านได้ง่าย ๆ ส่วนองครักษ์ที่ทำการสอบสวนนางกำนัลนั้นก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการและมีวิธีนำยาแปลกปลอมเข้ามาในจวนอ๋องได้อย่างไร พวกเขารี
ขันทีประจำพระองค์ของฮ่องเต้รีบเดินไปยังตำหนักของพระสนมจาง ด้านหน้าประตูตำหนักมีขันทีเฝ้าอยู่สองคน เขาสั่งให้ขันทีคนหนึ่งเข้าไปบอกพระสนมว่าฮ่องเต้มีเรื่องสอบถามนาง พระองค์จึงส่งเขามา ขันทีหน้าตำหนักรีบวิ่งเข้าไปรายงานพระสนมจางทันที ก่อนที่จะรีบกลับมาเชิญให้ขันทีประจำพระองค์ที่มาพร้อมคนของเขาอีกสองคนเข้าไปในตำหนัก ซึ่งตอนนี้พระสนมรีบออกมานั่งรอที่ห้องโถงรับแขกแล้ว ขันทีประจำพระองค์รีบสั่งให้คนของเขาจับพระสนมกับนางกำนัลผู้เป็นหลานสาวที่อยากเสนอหน้าออกมาดูว่าฮ่องเต้ต้องการทราบเรื่องอะไรจึงส่งขันทีขั้นสูงมาถึงตำหนักแห่งนี้“ปล่อยข้านะ ข้าเป็นพระสนมของฮ่องเต้ เจ้ามีสิทธิอะไรมาจับข้ากับหลานข้าเช่นนี้”“ฮึ สิทธิที่ฝ่าบาทสั่งการให้มาเค้นสอบเจ้าถึงเรื่องการวางยาพระชายาอ๋องเฉิงอย่างไรเล่า เจ้าจะบอกออกมาเองหรือต้องให้ข้าพาไปห้องทรมานเสียก่อน&rd
เจ็ดเดือนผ่านไป ในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมาด้วยการดูแลอย่างดีของแม่นมฉู่และอ๋องเฉิง ทำให้ซูซูรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากจนนางไม่คิดมากเรื่องที่เสนาบดีหลานจะสร้างเรื่องอะไรให้กับพวกนางอีก รวมทั้งทุก ๆ เดือน ท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ใหญ่ของนางจะมาเยี่ยมนางที่จวนอ๋องเดือนละสองครั้งเสมอ พวกท่านยังนำผลไม้และขนมมาให้นางกินเป็นจำนวนมาก ส่วนเสื้อผ้าของซูซูในตอนนี้นั้นก็มีคนในจวนอ๋องเย็บออกมาให้นางสวมใส่อย่างสบายตัวหลังจากที่ท้องของนางเริ่มใหญ่ขึ้นในเดือนที่สี่ ระหว่างที่อ๋องเฉิงอยู่ดูแลพระชายาของตนเอง พระองค์ก็ยังทรงงานอยู่เมื่อมีทหารเข้ามาขอพบที่จวนแทนการที่พระองค์จะไปประทับที่ค่ายทหาร ส่วนฮ่องเต้เองก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรที่อ๋องเฉิงไม่ออกไปที่ค่ายทหาร อย่างไรพระองค์ก็ทราบว่าหลานชายมีคนของเขาไม่น้อยที่จะเป็นมือเป็นเท้าให้เขาในการทำงาน หมอหลวงที่คอยดูแลสุขภาพของพระชายากับเด็กในครร
อ๋องเฉิงอุ้มบุตรชายที่ยังไม่ลืมตาของพระองค์เข้าไปในห้องหลังจากสั่งงานให้พ่อบ้านไปจัดการเสร็จแล้ว พระองค์คิดว่าจะขอให้เสด็จลุงพระราชทานชื่อให้กับลูกชายของพระองค์เพื่อเป็นศิริมงคล อ๋องเฉิงเข้ามาในห้องก็พบว่าซูซูกำลังหลับอยู่จริง ๆ อย่างที่แม่นมฉู่บอกก่อนหน้าที่พระองค์จะเข้ามาในห้อง อ๋องเฉิงได้แต่บอกเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนว่าให้เงียบ ๆ เพราะพระองค์กลัวจะรบกวนการพักผ่อนของภรรยาสุดที่รักนั่นเอง ไม่นานหลังจากอยู่ดูและจูบหน้าผากภรรยารักเสร็จ อ๋องเฉิงก็ออกไปด้านนอกพร้อมบุตรชายที่ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้วเช่นกัน แม่นมฉู่ เจียงเหม่ยและเจียงฮวาที่รออยู่ที่หน้าประตู ต่างย่อกายคารวะท่านอ๋องตามธรรมเนียม ก่อนที่จะฟังรับสั่งของท่านอ๋องอย่างตั้งใจ“หลังจากนี้ข้าคงต้องรบกวนพวกเจ้าดูแลพระชายาแล้ว ส่วนเจ้าเด็กอ้วนนี่ แม่นมฉู่ได้จ้างแม่นมมารอไว้หรือยัง?”“ทู
หนึ่งวันก่อนงานฉลองร้อยวัน ตั้งแต่ซูซูคลอดอ๋องน้อยออกมา ตระกูลฟางก็แทบจะมาที่จวนอ๋องวันเว้นวันกันเลยทีเดียว พวกเขารักหลานคนแรกที่อวบอ้วนมากจนอดทนไม่ไหวที่จะห่างจากหลานหลายวัน ท่านอ๋องเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีงานที่จะต้องออกจากจวน พระองค์ก็จะไม่ออกไปไหนนอกจากการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตรชาย พระองค์ยังเคยขอลองชิมน้ำนมจากภรรยาแต่กลับถูกนางมองแรงใส่จนพระองค์ไม่กล้าขอชิมอีกเลย ด้วยกลัวว่าพระองค์จะได้ชิมกระบี่บินแทนที่จะได้กินนมเหมือนเจ้าลูกชาย ทำอย่างไรได้ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ร่วมรักกับภรรยามาปีกว่าแล้วตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พระองค์ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียที่ไหน แต่ด้วยคำสั่งห้ามของภรรยาว่านางยังเจ็บแผลอยู่ จึงทำให้อ๋องเฉิงต้องอดทนมาจนกระทั่งลูกชายอายุจะครบร้อยวันในวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้ที่จวนอ๋องต่างวุ่นวายจัดเตรียมงานให้กับท่านอ๋องน้อยของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากท่านอ๋องแจ้งไว้ก่อนหน้าแล้วว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะเสด็จมาเป็นประธา
ณ จวนเสนาบดีหลาน วันนี้เขาไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับคนที่สั่งประหารภรรยาและลูกสาวคนเดียวของเขาได้ โดยเขาได้ส่งพ่อบ้านไปส่งของขวัญและขออภัยท่านอ๋องซึ่งใช้ข้ออ้างว่าตนเองไม่สบาย จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายตามไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เสนาบดีหลานได้จ้างนักฆ่าไปจัดการอ๋องน้อยก่อนหน้าวันงานแล้ว โดยเขายังให้นักฆ่าแฝงตัวเป็นบ่าวในจวนที่นำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีแทนตัวเขา ไม่ว่านักฆ่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาสืบทราบว่าจวนอ๋องนั้นมีความสุขเพียงใด ในใจของเขากลับยิ่งแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความผิดของภรรยากับบุตรสาวที่จากไปของเขานั้นร้ายแรงขนาดไหน ในใจเขาก็ยังคงยอมรับการตัดสินโทษในครั้งนั้นไม่ได้อยู่ดี ที่จวนอ๋องในตอนนี้ เสนาบดีกรมพิธีการกำลังดำเนินพิธีตามราชประเพณีที่ให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านอ๋องและพระชายาร่วมวางสิ่งของแทนเส้นทางในอ
ซูซูลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในสำนักกระบี่เมฆา นางเป็นที่รักของทุกคนในสำนัก ยิ่งกับเจ้าสำนักที่เป็นอาจารย์แล้ว ซูซูยิ่งเป็นความหวังของอาจารย์ที่จะให้นางเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป เพียงแต่ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ความอิจฉาริษยาจากเพื่อนร่วมอาจารย์อย่างเสี่ยวหง นางถูกเสี่ยวหงทำร้ายระหว่างที่กำลังจะข้ามขั้นพลังปราณไปสู่ขั้นที่ 9 ซูซูล้มลงกับพื้นพร้อมกระอักเลือดออกมาเต็มพื้นไปหมด นางได้แต่ฝืนกล่าวว่าทำไมกับเสี่ยวหง แต่ก่อนจะทราบคำตอบไปมากกว่านี้ นางกลับสิ้นลมแล้ว วิญญาณของซูซูล่องลอยไปจนนางสิ้นสติ เป็นเพราะสวรรค์เห็นใจคนดีอย่างซูซูที่เป็นกำพร้า อีกทั้งยังมีซูซูน้อยในอีกมิติหนึ่งซึ่งกำลังจะตกตายจากฝีมือของคนชั่ว จนซูซูน้อยได้แต่ก่นด่าสวรรค์ก่อนจะสิ้นใจไป เหล่าเทพแห่งสวรรค์รู้สึกสงสารทั้งคู่ พวกเขาจึงใช้พลังส่งวิญญาณซูซูพร้อมกำไลเก็บของของนางไปเข้าร่างซูซูตัวน้อย ส่วนซูซูตัวน้อยนั้นถูกส่งไปเกิดกับครอบครัวที่สมบูรณ์ในมิติอื่นเป็นการปลอบประโลมดวงวิญญาณในมิตินี้ของเด็กน้อย ซูซูได้สติพร้อมกับความเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่นานก็มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเข้ามาในหัวของนางจนรู้สึกเ
ณ จวนเสนาบดีหลาน วันนี้เขาไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับคนที่สั่งประหารภรรยาและลูกสาวคนเดียวของเขาได้ โดยเขาได้ส่งพ่อบ้านไปส่งของขวัญและขออภัยท่านอ๋องซึ่งใช้ข้ออ้างว่าตนเองไม่สบาย จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายตามไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เสนาบดีหลานได้จ้างนักฆ่าไปจัดการอ๋องน้อยก่อนหน้าวันงานแล้ว โดยเขายังให้นักฆ่าแฝงตัวเป็นบ่าวในจวนที่นำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีแทนตัวเขา ไม่ว่านักฆ่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาสืบทราบว่าจวนอ๋องนั้นมีความสุขเพียงใด ในใจของเขากลับยิ่งแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความผิดของภรรยากับบุตรสาวที่จากไปของเขานั้นร้ายแรงขนาดไหน ในใจเขาก็ยังคงยอมรับการตัดสินโทษในครั้งนั้นไม่ได้อยู่ดี ที่จวนอ๋องในตอนนี้ เสนาบดีกรมพิธีการกำลังดำเนินพิธีตามราชประเพณีที่ให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านอ๋องและพระชายาร่วมวางสิ่งของแทนเส้นทางในอ
หนึ่งวันก่อนงานฉลองร้อยวัน ตั้งแต่ซูซูคลอดอ๋องน้อยออกมา ตระกูลฟางก็แทบจะมาที่จวนอ๋องวันเว้นวันกันเลยทีเดียว พวกเขารักหลานคนแรกที่อวบอ้วนมากจนอดทนไม่ไหวที่จะห่างจากหลานหลายวัน ท่านอ๋องเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีงานที่จะต้องออกจากจวน พระองค์ก็จะไม่ออกไปไหนนอกจากการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตรชาย พระองค์ยังเคยขอลองชิมน้ำนมจากภรรยาแต่กลับถูกนางมองแรงใส่จนพระองค์ไม่กล้าขอชิมอีกเลย ด้วยกลัวว่าพระองค์จะได้ชิมกระบี่บินแทนที่จะได้กินนมเหมือนเจ้าลูกชาย ทำอย่างไรได้ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ร่วมรักกับภรรยามาปีกว่าแล้วตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พระองค์ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียที่ไหน แต่ด้วยคำสั่งห้ามของภรรยาว่านางยังเจ็บแผลอยู่ จึงทำให้อ๋องเฉิงต้องอดทนมาจนกระทั่งลูกชายอายุจะครบร้อยวันในวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้ที่จวนอ๋องต่างวุ่นวายจัดเตรียมงานให้กับท่านอ๋องน้อยของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากท่านอ๋องแจ้งไว้ก่อนหน้าแล้วว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะเสด็จมาเป็นประธา
อ๋องเฉิงอุ้มบุตรชายที่ยังไม่ลืมตาของพระองค์เข้าไปในห้องหลังจากสั่งงานให้พ่อบ้านไปจัดการเสร็จแล้ว พระองค์คิดว่าจะขอให้เสด็จลุงพระราชทานชื่อให้กับลูกชายของพระองค์เพื่อเป็นศิริมงคล อ๋องเฉิงเข้ามาในห้องก็พบว่าซูซูกำลังหลับอยู่จริง ๆ อย่างที่แม่นมฉู่บอกก่อนหน้าที่พระองค์จะเข้ามาในห้อง อ๋องเฉิงได้แต่บอกเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนว่าให้เงียบ ๆ เพราะพระองค์กลัวจะรบกวนการพักผ่อนของภรรยาสุดที่รักนั่นเอง ไม่นานหลังจากอยู่ดูและจูบหน้าผากภรรยารักเสร็จ อ๋องเฉิงก็ออกไปด้านนอกพร้อมบุตรชายที่ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้วเช่นกัน แม่นมฉู่ เจียงเหม่ยและเจียงฮวาที่รออยู่ที่หน้าประตู ต่างย่อกายคารวะท่านอ๋องตามธรรมเนียม ก่อนที่จะฟังรับสั่งของท่านอ๋องอย่างตั้งใจ“หลังจากนี้ข้าคงต้องรบกวนพวกเจ้าดูแลพระชายาแล้ว ส่วนเจ้าเด็กอ้วนนี่ แม่นมฉู่ได้จ้างแม่นมมารอไว้หรือยัง?”“ทู
เจ็ดเดือนผ่านไป ในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมาด้วยการดูแลอย่างดีของแม่นมฉู่และอ๋องเฉิง ทำให้ซูซูรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากจนนางไม่คิดมากเรื่องที่เสนาบดีหลานจะสร้างเรื่องอะไรให้กับพวกนางอีก รวมทั้งทุก ๆ เดือน ท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ใหญ่ของนางจะมาเยี่ยมนางที่จวนอ๋องเดือนละสองครั้งเสมอ พวกท่านยังนำผลไม้และขนมมาให้นางกินเป็นจำนวนมาก ส่วนเสื้อผ้าของซูซูในตอนนี้นั้นก็มีคนในจวนอ๋องเย็บออกมาให้นางสวมใส่อย่างสบายตัวหลังจากที่ท้องของนางเริ่มใหญ่ขึ้นในเดือนที่สี่ ระหว่างที่อ๋องเฉิงอยู่ดูแลพระชายาของตนเอง พระองค์ก็ยังทรงงานอยู่เมื่อมีทหารเข้ามาขอพบที่จวนแทนการที่พระองค์จะไปประทับที่ค่ายทหาร ส่วนฮ่องเต้เองก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรที่อ๋องเฉิงไม่ออกไปที่ค่ายทหาร อย่างไรพระองค์ก็ทราบว่าหลานชายมีคนของเขาไม่น้อยที่จะเป็นมือเป็นเท้าให้เขาในการทำงาน หมอหลวงที่คอยดูแลสุขภาพของพระชายากับเด็กในครร
ขันทีประจำพระองค์ของฮ่องเต้รีบเดินไปยังตำหนักของพระสนมจาง ด้านหน้าประตูตำหนักมีขันทีเฝ้าอยู่สองคน เขาสั่งให้ขันทีคนหนึ่งเข้าไปบอกพระสนมว่าฮ่องเต้มีเรื่องสอบถามนาง พระองค์จึงส่งเขามา ขันทีหน้าตำหนักรีบวิ่งเข้าไปรายงานพระสนมจางทันที ก่อนที่จะรีบกลับมาเชิญให้ขันทีประจำพระองค์ที่มาพร้อมคนของเขาอีกสองคนเข้าไปในตำหนัก ซึ่งตอนนี้พระสนมรีบออกมานั่งรอที่ห้องโถงรับแขกแล้ว ขันทีประจำพระองค์รีบสั่งให้คนของเขาจับพระสนมกับนางกำนัลผู้เป็นหลานสาวที่อยากเสนอหน้าออกมาดูว่าฮ่องเต้ต้องการทราบเรื่องอะไรจึงส่งขันทีขั้นสูงมาถึงตำหนักแห่งนี้“ปล่อยข้านะ ข้าเป็นพระสนมของฮ่องเต้ เจ้ามีสิทธิอะไรมาจับข้ากับหลานข้าเช่นนี้”“ฮึ สิทธิที่ฝ่าบาทสั่งการให้มาเค้นสอบเจ้าถึงเรื่องการวางยาพระชายาอ๋องเฉิงอย่างไรเล่า เจ้าจะบอกออกมาเองหรือต้องให้ข้าพาไปห้องทรมานเสียก่อน&rd
องครักษ์ที่นำถ้วยขนมไปให้หมอหลวงตรวจสอบส่วนผสม ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งที่แยกส่วนผสมออกมาแล้ว ส่งให้เขานำกลับไปให้ท่านอ๋องและพระชายา แน่นอนว่าในส่วนผสมนั้นมีชะมดเชียงตามที่พระชายาสงสัยจริง หมอหลวงที่อยากสอบถามเรื่องราวว่าใครกล้าทำเช่นนี้แต่กลัวว่าภัยจะลามมาถึงตัว เขารู้ดีว่าของเหล่านี้ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถนำออกจากวังหลวงไปได้ง่าย ๆ อีกอย่างร้านยาทั่วไปไม่สามารถขายชะมดเชียงที่เป็นสินค้าต้องห้ามในแคว้นได้ นอกจากในวังหลวงที่ใช้บ้างในการรักษาโรคบางชนิด เขาจึงทำได้เพียงส่งข้อมูลให้กับองครักษ์นำไปแจ้งแก่ท่านอ๋องเฉิงเท่านั้น องครักษ์ที่ได้รับข้อมูลแล้วก็รีบใช้วิชาตัวเบากลับไปยังจวนอ๋องในทันที เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ในวังหลวงมากนัก ด้วยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สามารถปล่อยผ่านได้ง่าย ๆ ส่วนองครักษ์ที่ทำการสอบสวนนางกำนัลนั้นก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการและมีวิธีนำยาแปลกปลอมเข้ามาในจวนอ๋องได้อย่างไร พวกเขารี
หนึ่งเดือนต่อมา วันนี้เป็นวันที่หมอหลวงนัดตรวจดูการตั้งครรภ์ของซูซู อ๋องเฉิงที่ไปขออนุญาตเสด็จลุงมาคอยดูแลซูซูที่จวนได้เกือบครึ่งเดือนแล้วจึงพานางไปนั่งรอหมอหลวงที่ห้องโถงรับแขก โดยมีแม่นมฉู่บอกให้บ่าวนำของว่างและน้ำชามาให้ทั้งสองพระองค์นั่งกินนั่งดื่มเพื่อฆ่าเวลา ซูซูกับอ๋องเฉิงนั่งคุยกันอยู่ได้เกือบสองเค่อ ก่อนที่องครักษ์ของจวนจะเดินนำหมอหลวงเข้ามาคารวะทั้งสองพระองค์ แล้วลงมือตรวจชีพจรของพระชายาตามหน้าที่ หมอหลวงตรวจไม่นานนักก็ปล่อยมือออกพร้อมกับหยิบผ้าขาวบางออกมาก่อนจะรายงานอาการของพระชายาให้อ๋องเฉิงฟัง“ตอนนี้พระชายาตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพะย่ะค่ะ เด็กในครรภ์มีชีพจรเต้นอย่างสม่ำเสมอดีมากพะย่ะค่ะ เดือนนี้กระหม่อมจะถวายยาบำรุงครรภ์ให้อีกนะพะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้พระชายายังมีอาการคลื่นเหียนอาเจียนอีกหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ข้าไม่มีอาการแล้วหมอหลวง ตอนนี
ซูซูที่ส่งอ๋องเฉิงเสร็จแล้วนางก็ยังไม่ง่วง ซูซูจึงชวนแม่นมฉู่กับสองบ่าวคนสนิทไปดูของขวัญที่ได้มาเมื่อวาน เพราะพ่อบ้านมาแจ้งนางเอาไว้แล้วว่าเขาส่งของขวัญเหล่านั้นไปไว้ที่เรือนเล็กของนางให้ตรวจสอบแต่เช้าแล้ว“พระชายาจะไม่พักผ่อนก่อนจริง ๆ หรือเพคะ”“ก็ข้ายังไม่ง่วงนี่นาแม่นมฉู่ นะ นะ เราไปตรวจดูของขวัญกันก่อนดีกว่า”“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ พระชายาค่อย ๆ เดินนะเพคะ”“อืม… ข้ารู้น่า แม่นมอย่ากังวลนักเลย” ซูซูที่กำลังคิดจะเดินเร็ว ๆ จึงได้แต่ต้องผ่อนฝีเท้าลงเพื่อไม่ให้แม่นมฉู่มีเรื่องไปฟ้องอ๋องเฉิงทีหลัง ไม่เช่นนั้นนางคงต้องเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในห้องของเขาเป็นแน่ แม่นมฉู่ที่เห็นว่าพระชายาเดินช้าลงแล้วก็ได้แต่เป่าปากอย่างโล่งอก นางอยากเป็นคนประ
อ๋องเฉิงเชิญพ่อตาแม่ยายและพี่ชายภรรยาให้นั่งลงดื่มชากินของว่างกันก่อน พวกเขาจึงได้นั่งลงตรงที่ว่างก่อนที่เจียงเหม่ยและเจียงฮวาจะรินชากับนำของว่างมาวางเพิ่มให้บนโต๊ะ จากนั้นพวกนางรวมทั้งแม่นมฉู่ก็ถอยออกไปรอที่ด้านหน้าศาลาตามมารยาท“ซูซูเป็นยังไงบ้างลูก” มู่อิงเอ๋อที่เป็นห่วงลูกสาวรีบถามขึ้นมาก่อนใครเพื่อน“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เมื่อวานข้าเหม็นกลิ่นอาหารจนแทบอาเจียน ท่านอ๋องจึงให้คนไปเชิญหมอหลวงมาตรวจ จึงได้รู้ว่าข้าตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ”“แล้วตอนนี้เจ้ากินสิ่งใดได้บ้างเล่า หรือจะให้แม่ทำอาหารให้เจ้าลองกินดู”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ตอนนี้พ่อครัวรู้แล้วว่าข้ากินอาหารแบบใดได้บ้าง วันนี้ข้าก็กินได้เยอะขึ้นด้วยนะเจ้าคะ ท่านแม่อย่าได้กังวลเลย”“เฮ้อ เจ้าจะไม่ให้แม่ไม่กังวลได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าชอบซุกซนนัก ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ยิ่