“เข้ามาได้” ซูซูส่งเสียงตอบกลับให้นิ่งเรียบที่สุด นางไม่อยากแสดงออกมากนักว่านางรู้สึกอย่างไร หากนางผิดหวังในตัวพวกเขา นางก็แค่จากไปก็เท่านั้น
เสียงเดินเข้ามาด้านในห้องโดยมีเสี่ยวเอ้อเปิดประตูให้คนทั้งสามซึ่งดูท่าทางร่ำรวยและดูภูมิฐานไม่น้อย ซูซูกระพริบตาอย่างตกตะลึงกับคนทั้งสามที่กำลังเดินมาหานางพร้อมกับน้ำตาปริ่มใบหน้าของหญิงสาวที่ดูจะอายุยังไม่แก่มากนัก นางไม่นึกว่าทั้งสามคนจะหน้าตาละม้ายคล้ายนางมากถึงเพียงนี้
“พวกท่านเชิญนั่งลงก่อน”
“ฮึก...ลูกแม่” มู่อิงเอ๋อทนเก็บอารมณ์ความรักความคิดถึงไม่ไหวแล้ว นางสลัดอ้อมแขนของสามีออกแล้วรีบเดินเร็ว ๆ เข้าไปกอดซูซูอย่างแสนรัก
ซููซูที่จู่ ๆ ก็ได้รับความอบอุ่นจากคนที่เรียกนางว่าลูกก็ทำตัวไม่ถูกสักเท่าไหร่นัก นางไม่คิดว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับนาง ฟางเซียนหลงเห็นว่าลูกสาวถึงกับอึ้งไปที่ภรรยาของเขาเข้าไปกอดน
เสี่ยวเอ้อรีบนำม้ามาให้ซูซูที่หน้าโรงเตี๊ยม ฟางเซียนหลง มู่อิงเอ๋อและฟางฉือห่าวมองม้าของน้องสาวเป็นตาเดียวกัน ม้าตัวนี้สูงใหญ่มากกว่าตัวซูซูเสียอีก พวกเขาได้แต่สงสัยว่านางขี่มันมาจนถึงที่นี่ได้อย่างไร“พวกท่านมองข้าแปลก ๆ อีกแล้วนะเจ้าคะ” ซูซูที่รู้สึกถึงสายตาทางด้านหลังขณะที่กำลังลูบแผงคอม้าอย่างแสนรัก“อ้อ ไม่มีอะไร พวกเราแค่แปลกใจที่ม้าของเจ้าตัวสูงใหญ่มากขนาดนี้ แต่เจ้าตัวเล็กเพียงเท่านี้ แล้วเจ้าขี่มันมาได้อย่างไร?”“อ่า ก็ไม่เห็นยากนี่เจ้าคะ เดี๋ยวข้าขึ้นม้าให้พวกท่านดูเจ้าค่ะ”พรึ่บ! ซูซูใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าของนางพร้อมกับยิ้มแฉ่งให้คนในครอบครัวที่ต่างพากันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง หลังได้สติแล้วมู่อิงเอ๋อรีบร้องบอกลูกสาวให้ลงมาไว ๆ นางกลัวลูกของนางจะตกจากหลังม้า“โธ่
ซูซูเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้ไม่นานนักนางก็ออกมาหาพี่ชายที่รออยู่ในห้องรับแขกเรือนนาง ฟางฉือห่าวมองการแต่งตัวของน้องสาวก็ขัดตาไม่น้อย แต่ในเมื่อท่านพ่อท่านแม่บอกให้นางแต่งกายได้ตามใจชอบ เขาก็คงต้องปล่อยนาง“อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว เจ้าชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เล่าซูซู”“อืม...ไม่มีนะเจ้าคะพี่ใหญ่ ข้ากินอะไรก็ได้อ่ะ”“เช่นนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องสั่งที่ห้องครัวเพิ่มเติม เดี๋ยวหลังทานอาหาร บ่าวรับใช้ของเจ้าทั้งสี่คนคงมารอเจ้าอยู่ที่เรือนแล้วล่ะ ไปที่เรือนหลักกันเถอะ”“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” ซูซูยิ้มอย่างอารมณ์ดี การได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัวเป็นเช่นนี้นี่เอง นางที่ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้มาก่อนได้แต่ดีใจที่ตนเองมุ่งมั่นออกตามหาครอบครัวจนพบพวกเขาได้ในวันนี้ &nb
ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งกินของว่างกับน้ำชาที่บ่าวนำมาให้ในห้องรับแขกและพูดคุยกันจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น พวกเขาจึงพากันลุกขึ้นกลับไปที่ห้องอาหาร และแน่นอนว่าเมื่อนั่งตามตำแหน่งเดิมกันแล้ว บนถ้วยข้าวของซูซูก็เต็มไปด้วยอาหารที่คนในครอบครัวคีบมาวางไว้ให้นางลองกินดูจนพูนถ้วยอีกครั้ง“ซูซู ลูกกินเยอะ ๆ หน่อย พ่อว่าเจ้าผอมเกินไปแล้ว”“จริงด้วยเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าก็ว่าลูกผอมไปหน่อย”“น้องสาวกินเยอะ ๆ พี่ใหญ่จะคีบอาหารอร่อย ๆ ให้เจ้าเอง” ซูซูที่คิดว่าตัวเองรูปร่างสมส่วนดีกลับทำได้แค่ยิ้มรับความหวังดีของคนในครอบครัวเท่านั้น นางไม่อยากทำให้พวกเขาเสียใจที่ไม่ยอมทานอาหารที่พวกเขาคีบมาให้นาง ซูซูจึงได้แต่ยกถ้วยข้าวขึ้นมากินอย่างช้า ๆ ตามปกติของนาง พ่อ แม่และพี่ชายเห็นซูซูกินข้าวที่พวกเขาคีบให้ก็พากันยิ้
หลังจากซูซูทานอาหารเสร็จไม่นานนักก็มีคนจากเรือนท่านแม่มาตามนางไปเพื่อวัดตัวตัดชุดให้ทันงานในวันพรุ่งนี้ ซูซูจึงเดินไปพร้อมกับเจียงเหม่ยและเจียงฮวา ส่วยเจียงจิวกับเจียงเฟยต่างพากันเก็บสำรับและทำความสะอาดเรือนรอคุณหนูของพวกนางกลับมาพักผ่อน เมื่อพวกนางเดินไปถึงเรือนใหญ่แล้ว ซูซูที่เห็นท่านแม่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หลักในห้องรับแขกด้านหน้าเรือนใหญ่ก็รีบเข้าไปกอดและออดอ้อนท่านแม่ของนางอย่างน่ารัก ทำเอาบ่าวทั้งหลายที่ดูอยู่ต่างยิ้มตามความน่ารักของคุณหนูของพวกนาง ตั้งแต่มีคุณหนูเข้ามาเพียงวันเดียว ในจวนก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าอ้างว้างเหมือนที่ผ่านมาตลอดหลายปี“เอาล่ะ ๆ ลูกรัก เลิกอ้อนแม่ได้แล้ว เจ้ารีบไปยืนให้ช่างวัดตัวเสียเร็ว ๆ แล้วเจ้าก็ค่อยเลือกสีผ้าว่าเจ้าอยากใส่ชุดสีอะไรในวันพรุ่งนี้ ช่างจะได้ตัดมาให้เจ้าก่อน”“เจ้าค่ะท่านแม่ ฟอด” &nbs
ครอบครัวสี่คนทานอาหารไปคุยกันไป คราวนี้พ่อ แม่และพี่ชายนางไม่ได้คีบอาหารให้นางมากนัก ด้วยกลัวว่าจะเป็นการบังคับนางให้กินมากเกินไปเหมือนกับเมื่อวานนี้ ซูซูจึงกินข้าวอย่างมีความสุข เมื่ออิ่มแล้วนางก็คอยคีบอาหารให้กับคนในครอบครัวของนางเช่นเดียวกัน หลังจบมื้ออาหาร วันนี้มีเพียงพี่ชายของนางเท่านั้นที่เดินไปส่งซูซูที่เรือน ส่วนท่านพ่อกับท่านแม่ก็ถูกซูซูบอกให้รีบไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ท่านแม่ของนางจะต้องไปงานพร้อมกันกับนางและพี่ชาย ซูซูจึงไม่อยากให้ท่านเสียเวลาเดินมาส่งนางยังเรือนเหมือนเมื่อคืนนี้“เอาล่ะ พวกเจ้าดูแลน้องสาวข้าให้ดี พรุ่งนี้รอเจ้าแต่งตัวเสร็จแล้ว พี่ชายจะเดินมารับเจ้าที่เรือนเองนะซูซู”“เจ้าค่ะพี่ใหญ่ ท่านเดินกลับเรือนดี ๆ เล่าเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า รับรองว่าพี่ชายของเจ้าไม่เป็นอะไรแน่นอน ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วงพี่ใหญ่นะ”
ทั้งสามคนนั่งพักกันหลังทานข้าวเที่ยงไม่นานนักก็พากันขึ้นรถม้าไปยังจวนของเสนาบดีกรมพิธีการด้วยกัน ที่ฟางฉือห่าวไม่อยากแยกรถม้าก็เพราะเขาหวงน้องสาวนั่นเอง แน่นอนว่าเขาต้องประกบติดทั้งท่านแม่และน้องสาวภายในงานเพื่อป้องกันคนมาสร้างปัญหาให้กับพวกเขา ด้านอ๋องเฉิงที่ถูกเชิญมางานนี้เช่นเดียวกันก็ไปถึงจวนเสนาบดีกรมพิธีการก่อนหน้าฟางฉือห่าวไม่นานนัก พระองค์ถูกเชิญให้นั่งในตำแหน่งที่สูงที่สุดตามตำแหน่งทางการของท่านอ๋อง คนที่มางานต่างมาคารวะท่านอ๋องอย่างเต็มพิธีการก่อนที่จะแยกตัวออกไปและปล่อยให้ท่านอ๋องอยู่กับเสนาบดีกรมพิธีการที่นำบุตรีมาคอยดูแลท่านอ๋องอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนฮูหยินใหญ่ของเขานั้นก็ไปรอต้อนรับแขกที่หน้าประตูห้องโถงรับแขกตามหน้าที่ของนาง เมื่อรถม้าจวนตระกูลฟางหยุดลง ฟางฉือห่าวก็ออกไปก่อนใครเพื่อน เขานำบันไดมาแขวนเอาไว้ข้างรถม้าเพื่อให้ท่านแม่ลงมาก่อน โดยเขายังประคองท่านให้ลงมายืนอย่างมั่นคง ก่อนที่ซูซู
ซูซูที่เห็นท่านแม่ไม่พอใจกับคำพูดของหญิงสาวนางนั้นก็ได้แต่ปลอบท่านแม่เบา ๆ อย่างเป็นห่วง“ท่านแม่อย่าโกรธ หากข้าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกนางว่า แล้วท่านแม่จะโกรธให้เสียสุขภาพทำไมกันเจ้าคะ คนพวกนี้ก็ดีแต่ดูถูกคนอื่นก็เท่านั้นเอง”“เฮ้อ เหตุใดเจ้าจึงได้เป็นเด็กดีเช่นนี้กันนะ รอพี่ชายเจ้ากลับมาก่อน แม่จะบอกให้เขาจัดการตระกูลเจ้าไม่ให้เข้าร้านค้าของบ้านเราอีกเลย คอยดูสิ”“อืม ข้าแล้วแต่ท่านแม่เจ้าค่ะ นั่นไง พี่ใหญ่กลับมาแล้ว ท่านแม่ยิ้มหน่อยสิเจ้าคะ” มู่อิงเอ๋อได้แต่ยิ้มกับความเป็นห่วงของลูกสาว นับว่าไม่เสียแรงที่นางยังมีลูกสาวคนนี้อีกคน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันนับสิบกว่าปี แต่ความผูกพันธ์ระหว่างสายเลือดนั้นยังเข้มข้นอยู่เช่นเคย“นี่ของว่างกับน้ำชาขอรับท่านแม่”“เจ้าวางไว้โต๊ะด้านข้า
ซูซูหรี่ตาหันไปมองเจ้าหน้ากากของนางว่าเขาจะตัดสินเรื่องราวนี้ให้นางอย่างไร หากเขาไม่ลงโทษคนทำผิดให้นางล่ะก็ รับรองว่านางจะอาละวาดจนจวนเสนาบดีต้องสร้างใหม่เลยทีเดียวเชียวล่ะ อ๋องเฉิงที่เห็นสายตาแม่เสือตัวน้อยของพระองค์ก็ถึงกับแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ พระองค์นึกอยู่แล้วว่านางคงไม่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ เป็นแน่ เพื่อช่วยคนในจวนเสนาบดีสักเล็กน้อย เขาจึงต้องตัดสินความให้นางอย่างยุติธรรม ฉวนเหมยอิงที่เห็นว่าภัยลามมาถึงตัวนางจึงรีบคุกเข่าลงต่อหน้าอ๋องเฉิงและร้องไห้ขอความเมตตาว่านางไม่ได้เป็นคนสั่งในทันที ทำเอาทุกคนในงานที่รู้นิสัยของนางต่างพากันเบ้ปากอย่างหมั่นไส้กับความเสแสร้งของนาง“ฮึ เจ้าจะให้ข้าปล่อยเจ้ากับบ่าวไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อเจ้าทำผิด พวกเจ้าก็ต้องรับโทษ ทหาร นำพวกนางไปที่กรมอาญา แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าพวกนางจงใจทำร้ายคนโดยไร้เหตุผล ให้ลงโทษโบยคนละห้าสิบไม้ จากนั้นส่งนางไป
อ๋องเฉิงที่เดินถือถุงผ้าใส่เครื่องประดับนำหน้าซูซูกับแม่ของนางกำลังจะก้าวออกจากประตูร้าน แต่เขากลับถูกเสียงถวายพระพรเสียงดังหยุดเอาไว้ก่อน“ถวายพระพรท่านอ๋องพะย่ะค่ะ กระหม่อมหลานเหอเสนาบดีคลัง ขอพระราชทานอภัยแทนบุตรสาวผู้โง่เขลาที่กล้ามาทำให้พระองค์ต้องทรงกริ้ว นี่เป็นของมีค่าประจำตระกูลของกระหม่อม กระหม่อมขอมอบให้ท่านอ๋องแทนคำขอโทษ ท่านอ๋องทรงโปรดรับเอาไว้ด้วยพะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงชายตามองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ซูซูที่ได้ยินคำพูดของเสนาบดีคลังกลับอยากรู้อยากเห็นว่าเขานำสิ่งใดมามอบให้กับว่าที่สามีของนางกัน นางจึงปล่อยมือออกจากแขนของท่านแม่แล้วเดินไปอยู่ด้านข้างท่านอ๋องพร้อมกับมองดูการกระทำของเสนาบดีคลังที่ยังคงคุกเข่ายกกล่องของขวัญขึ้นเหนือหัวเพื่อถวายท่านอ๋อง“นี่ เจ้าน่ะ เปิดออกมาดูสิว่าของมีค่าของตระกูลเจ้าเป็นอะไร หากเป็นสิ่งของทั่วไปท่านอ๋องของข้าคงไม่คิดจะรับมาให้รกจ
ไม่ถึงหนึ่งเค่อทั้งสามคนก็มาถึงหน้าร้านเครื่องประดับตระกูลฟาง ผู้จัดการร้านรีบออกมาต้อนรับเจ้านายใหญ่ทั้งสามอย่างตื่นเต้น เขารู้ดีว่าหากฮูหยินมาร้านเมื่อไหร่ ที่ร้านมักจะขายเครื่องประดับชุดใหญ่ ๆ ได้เสมอ ถึงแม้รายได้ทั้งหมดจะกลับไปยังตระกูลฟางก็เถอะ แต่ก็ทำให้เขามีผลงานไม่น้อยเช่นเดียวกับผู้จัดการร้านคนอื่น“เจ้าพาพวกข้าไปที่ห้องรับรองก่อน แล้วค่อยนำชุดเครื่องประดับใหม่ ๆ ออกมาให้ข้ากับลูกเลือกสักหลายชุด ของพวกนี้จะถูกนำไปเป็นสินเดิมให้กับลูกสาวข้า”“ขอรับนายหญิง เชิญด้านในเลยขอรับ” ผู้จัดการร้านสั่งให้คนงานรีบไปนำของว่างกับน้ำชาตามไปที่ห้องรับรองทันที ส่วนเขาก็ทำหน้าที่เดินนำทั้งสามคนไปยังห้องบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องประจำที่ฮูหยินมักจะมาตรวจสอบบัญชีที่ร้านทุก ๆ สามเดือน เมื่อเข้าไปในห้องรับรองแล้ว ผู้จัดการร้านก็ขอให้พวกเขารอสัก
ซูซูได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจกลับไปให้อ๋องเฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูร้าน นางล่ะเบื่อจริง ๆ ที่มีคนคอยมาหาเรื่องนางเพราะเขาเนี่ย แต่ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางเองก็กำลังจะแต่งงานกับเขาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ซูซูจึงทำได้เพียงพยักหน้าและปล่อยให้เขาจัดการเรื่องราวอย่างที่เขาต้องการ“เจ้าเป็นใครจึงได้คิดจะมาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าต่อหน้าว่าที่พระชายาของข้า” เสียงเย็น ๆ ของอ๋องเฉิงทำเอาบุตรสาวเสนาบดีคลังถึงกับตัวสั่นอย่างหวาดกลัว นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาที่นี่ ความจริงนางเห็นซูซูในงานเมื่อคืนนี้แล้วจึงได้อิจฉาที่นางได้ท่านอ๋องไปครอง หลานเสี่ยวชิงจึงได้หาเรื่องพวกนางสองแม่ลูกเช่นนี้ อีกอย่างวันนี้นางพาองครักษ์ประจำตัวมาถึงสี่คน นางจึงไม่กลัวว่าซูซูจะรอดพ้นจากคนของนางได้ หลานเสี่ยวชิงได้แต่รีบหันหลังกลับไปถวายพระพรอ๋องเฉิงอย่างเต็มพิธีการพร้อมกับก้มหน้าลง บรรดาบ่าวรับใช้และอง
ฟางเซียนหลงที่ประคองภรรยาเดินกลับห้องอยู่ หันหลังไปบอกพ่อบ้านให้นำน้ำมาให้พวกเขาล้างหน้าล้างตาก่อนเข้านอน พ่อบ้านรีบรับคำแล้วเดินไปสั่งบ่าวให้นำน้ำมาให้ในเวลาไม่นานนัก จากนั้นฟางเซียนหลงก็บอกให้พวกเขาไปพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยมานำอ่างน้ำออกไป พ่อบ้านกับบ่าวทั้งสองจึงจากไปตามคำสั่งของฟางเซียนหลง สองสามีภรรยาต่างล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเป็นชุดนอนก่อนที่จะพากันขึ้นไปนอนบนเตียง ฟางเซียนหลงที่รักลูกสาวมากนอนไม่หลับเพราะไม่อยากให้นางออกเรือนเร็วเช่นนี้ มู่อิงเอ๋อเห็นสามีเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ“ท่านพี่อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ถึงแม้ซูซูจะออกเรือนไปแล้ว เราก็ยังสามารถไปเยี่ยมลูกได้ตลอด ไม่เหมือนกับก่อนที่พวกเราจะพบนาง ที่เราพ่อแม่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าลูกของเรานั้นอยู่ที่ไหน”“อืม… พี่แค่เป็นห่วงลูกน่ะน้องหญิง”“ท่านพี่ก็เห็นในงานเลี้ยงแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่าท
หลังการแสดงของกรมพิธีการ ขันทีก็ขานเรียกเหล่าบุตรสาวขุนนางทั้งหลายที่เตรียมการแสดงมาแต่แรกให้ขึ้นมาแสดงทีละคน ซึ่งการแสดงของพวกนางไม่ร่ายรำก็เล่นพิณหรือไม่ก็วาดภาพเขียนอักษรเท่านั้น การแสดงที่ซ้ำซากทำให้หลายคนเบื่อหน่ายไม่น้อย รวมทั้งฮ่องเต้กับฮองเฮาที่ไม่ได้แปลกใจนัก พวกเขาชมการแสดงและมอบรางวัลเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกนางเท่านั้น เพราะพวกเขาประทับใจการแสดงของซูซูมากกว่า จึงมองไม่เห็นถึงความสามารถเดิม ๆ ของเหล่าบุตรสาวขุนนางเหล่านี้ อ๋องเฉิงเองก็ไม่ปรายตามองการแสดงของพวกนางแม้แต่น้อย พระองค์เอาแต่ดูแลอาหารการกินให้กับซูซูเท่านั้น ซูซูเองก็ไม่ชอบการแสดงที่ชวนง่วงเช่นนี้ นางจึงเอาแต่กินอาหารที่อ๋องเฉิงให้คนนำมาเพิ่ม ไหนจะขนมต่าง ๆ ที่อร่อยมากอย่างที่นางไม่เคยกินมาก่อน กระทั่งการแสดงทั้งหมดจบลง ฮ่องเต้เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงสั่งเลิกงานเลี้ยง พระองค์กับฮองเฮาเสด็จกลับก่อนเหมือนเช่นทุกครั้ง ส่
อ๋องเฉิงที่ถูกเรียกชื่อได้แต่ต้องยืนขึ้นคำนับฮ่องเต้ผู้เป็นลุงพร้อมกับตอบคำถามที่เสด็จลุงของเขาสอบถามมา“ขอบพระทัยเสด็จลุงพะย่ะค่ะ หลานอยากได้เพียงพระราชโองการไม่รับหญิงอื่นเข้าจวนนอกจากว่าที่พระชายาฟางซูซูพะย่ะค่ะ ควรมิควรแล้วแต่เสด็จลุงจะทรงโปรดพะย่ะค่ะ”“หืม… เจ้าแน่ใจหรือ?”“แน่ใจพะย่ะค่ะเสด็จลุง” ขุนนางที่หวังจะให้บุตรสาวเข้าจวนอ๋องได้แต่รีบลุกขึ้นไปคุกเข่ากราบทูลฮ่องเต้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการผิดธรรมเนียมของราชวงศ์ที่มักจะต้องมีทายาทให้มากเข้าไว้มาแต่ไหนแต่ไร“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องขอเช่นนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมนักพะย่ะค่ะ ตั้งแต่โบราณมา ราชวงศ์ต่างต้องมีพระชายาเอก พระชายารอง รวมทั้งอนุทั้งหลายเพื่อให้มีทายาทมาสานต่อหน้าที่ให้มากไว้นะพะย่ะค่ะ” &nb
รถม้าสองคันใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงหน้าพระราชวัง งานในวันนี้จัดขึ้นที่ลานด้านหน้าท้องพระโรงซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง เหล่าครอบครัวรองแม่ทัพ และนายกองเองก็ได้รับเชิญให้มาเป็นครั้งแรกด้วย ไหนจะบรรดาครอบครัวขุนนางที่ชอบนักกับงานเลี้ยงในวังเช่นนี้อีกไม่ใช่น้อย สถานที่การจัดงานจึงต้องใช้บริเวณที่กว้างขวางที่สุดในวัง อ๋องเฉิงลงจากรถม้าก่อนที่จะยื่นมือไปรับมือเล็ก ๆ ของซูซูที่ค่อย ๆ ยื่นออกมาจากรถม้าของพระองค์ เหล่าขุนนางที่เดินทางมาไล่เลี่ยกันต่างมองกันตาค้างด้วยไม่คิดว่าท่านอ๋องจะไปรับคู่หมั้นมางานด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ส่วนครอบครัวฟางก็ลงจากรถม้าแล้วเช่นเดียวกัน พวกเขารู้แล้วว่าท่านอ๋องจะนั่งกับซูซู จึงไม่มีใครแปลกใจอะไรที่เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ซูซูยิ้มหวานให้กับอ๋องเฉิงที่พระองค์จับมือนางเอาไว้แน่นเหมือนกลัวหายอย่างไรอย่างนั้น ฟางฉือห่าวได้แต่มองบรรยากาศของทั้งสองคนที่ทำเหมือนในโลกนี้มีเพียงพวกเขาสอ
ก่อนที่ซูซูจะแต่งตัวเสร็จ อ๋องเฉิงก็มาที่จวนตระกูลฟางเพื่อมารอรับคู่หมั้นของพระองค์ไปร่วมงานพร้อมกัน ทำเอาฟางเซียนหลงกับมู่อิงเอ๋อรีบออกมาต้อนรับท่านอ๋องแทบไม่ทัน“พวกท่านตามสบาย ข้าแค่มารอซูซูเพื่อไปที่งานพร้อมกันเท่านั้น พวกท่านไปแต่งตัวให้เสร็จเสียก่อนเถอะ ข้าไม่ได้รีบร้อนอันใด”“พะย่ะค่ะ/เพคะ ท่านอ๋อง” ฟางเซียนหลงสั่งพ่อบ้านให้ดูแลท่านอ๋องอย่างดี ตอนนี้พวกเขายังแต่งตัวกันไม่เสร็จดีเลย ทั้งสองจึงได้แต่ต้องรีบกลับเข้าไปแต่งกายให้เหมาะสมกับงานในวันนี้โดยเร็ว ด้วยพวกเขาไม่อยากให้ท่านอ๋องต้องรอนาน ด้านมู่อิงเอ๋อก็ให้คนไปดูว่าบุตรสาวนางแต่งตัวเสร็จหรือยัง เพราะตอนนี้ท่านอ๋องมารอนางแล้ว ซูซูที่วันนี้ใส่ชุดสีม่วงอ่อนประดับด้วยดิ้นเงินลายดอกโบตั๋นก็พอใจกับชุดนี้ไม่น้อย นางไม่คิดว่าท่านแม่จะหาชุดสวย ๆ เช่นนี้มาให้นางได้ในเวลาเพียงไม
ก่อนเข้าไปยังโถงรับแขกของเรือนหลัก ฟางฉือห่าวสั่งให้บ่าวเก็บของฝากลงมาให้กับท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วเดินตามหลังทุกคนเข้าไปนั่งตามตำแหน่งเดิม“ซูซู ลูกเป็นยังไงบ้าง เหตุใดจึงได้ดำคล้ำเช่นนี้เล่า”“แฮะ ๆ ลูกขี่ม้าตากแดดเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่อย่ากังวลเลย อีกไม่กี่วันข้าก็กลับมาขาวเหมือนเดิมแล้วนะเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ เช่นนั้นช่วงนี้แม่จะให้แม่นมกับคนของแม่ไปดูแลช่วยบำรุงผิวให้เจ้าจนกว่าจะหายก็แล้วกัน เจ้ายิ่งดูแลตัวเองไม่เป็นอยู่ด้วย”“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้ว”“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ ของพวกนี้เป็นของฝากจากแคว้นจ้านที่ข้ากับน้องซื้อมาฝากพวกท่าน ลองดูก่อนว่าชอบหรือไม่นะขอรับ” ฟางฉือห่าวเห็นบ่าวยกสิ่งของต่าง ๆ เข้ามามากมายจึงรีบออกหน้าให้พ่อกับแม่ของเขาก่อนที่จะบ่นน้องส