เสี่ยวเอ้อรีบนำม้ามาให้ซูซูที่หน้าโรงเตี๊ยม ฟางเซียนหลง มู่อิงเอ๋อและฟางฉือห่าวมองม้าของน้องสาวเป็นตาเดียวกัน ม้าตัวนี้สูงใหญ่มากกว่าตัวซูซูเสียอีก พวกเขาได้แต่สงสัยว่านางขี่มันมาจนถึงที่นี่ได้อย่างไร
“พวกท่านมองข้าแปลก ๆ อีกแล้วนะเจ้าคะ” ซูซูที่รู้สึกถึงสายตาทางด้านหลังขณะที่กำลังลูบแผงคอม้าอย่างแสนรัก
“อ้อ ไม่มีอะไร พวกเราแค่แปลกใจที่ม้าของเจ้าตัวสูงใหญ่มากขนาดนี้ แต่เจ้าตัวเล็กเพียงเท่านี้ แล้วเจ้าขี่มันมาได้อย่างไร?”
“อ่า ก็ไม่เห็นยากนี่เจ้าคะ เดี๋ยวข้าขึ้นม้าให้พวกท่านดูเจ้าค่ะ”
พรึ่บ!
ซูซูใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าของนางพร้อมกับยิ้มแฉ่งให้คนในครอบครัวที่ต่างพากันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง หลังได้สติแล้วมู่อิงเอ๋อรีบร้องบอกลูกสาวให้ลงมาไว ๆ นางกลัวลูกของนางจะตกจากหลังม้า
“โธ่
ซูซูเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้ไม่นานนักนางก็ออกมาหาพี่ชายที่รออยู่ในห้องรับแขกเรือนนาง ฟางฉือห่าวมองการแต่งตัวของน้องสาวก็ขัดตาไม่น้อย แต่ในเมื่อท่านพ่อท่านแม่บอกให้นางแต่งกายได้ตามใจชอบ เขาก็คงต้องปล่อยนาง“อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว เจ้าชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เล่าซูซู”“อืม...ไม่มีนะเจ้าคะพี่ใหญ่ ข้ากินอะไรก็ได้อ่ะ”“เช่นนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องสั่งที่ห้องครัวเพิ่มเติม เดี๋ยวหลังทานอาหาร บ่าวรับใช้ของเจ้าทั้งสี่คนคงมารอเจ้าอยู่ที่เรือนแล้วล่ะ ไปที่เรือนหลักกันเถอะ”“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” ซูซูยิ้มอย่างอารมณ์ดี การได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัวเป็นเช่นนี้นี่เอง นางที่ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้มาก่อนได้แต่ดีใจที่ตนเองมุ่งมั่นออกตามหาครอบครัวจนพบพวกเขาได้ในวันนี้ &nb
ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งกินของว่างกับน้ำชาที่บ่าวนำมาให้ในห้องรับแขกและพูดคุยกันจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น พวกเขาจึงพากันลุกขึ้นกลับไปที่ห้องอาหาร และแน่นอนว่าเมื่อนั่งตามตำแหน่งเดิมกันแล้ว บนถ้วยข้าวของซูซูก็เต็มไปด้วยอาหารที่คนในครอบครัวคีบมาวางไว้ให้นางลองกินดูจนพูนถ้วยอีกครั้ง“ซูซู ลูกกินเยอะ ๆ หน่อย พ่อว่าเจ้าผอมเกินไปแล้ว”“จริงด้วยเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าก็ว่าลูกผอมไปหน่อย”“น้องสาวกินเยอะ ๆ พี่ใหญ่จะคีบอาหารอร่อย ๆ ให้เจ้าเอง” ซูซูที่คิดว่าตัวเองรูปร่างสมส่วนดีกลับทำได้แค่ยิ้มรับความหวังดีของคนในครอบครัวเท่านั้น นางไม่อยากทำให้พวกเขาเสียใจที่ไม่ยอมทานอาหารที่พวกเขาคีบมาให้นาง ซูซูจึงได้แต่ยกถ้วยข้าวขึ้นมากินอย่างช้า ๆ ตามปกติของนาง พ่อ แม่และพี่ชายเห็นซูซูกินข้าวที่พวกเขาคีบให้ก็พากันยิ้
หลังจากซูซูทานอาหารเสร็จไม่นานนักก็มีคนจากเรือนท่านแม่มาตามนางไปเพื่อวัดตัวตัดชุดให้ทันงานในวันพรุ่งนี้ ซูซูจึงเดินไปพร้อมกับเจียงเหม่ยและเจียงฮวา ส่วยเจียงจิวกับเจียงเฟยต่างพากันเก็บสำรับและทำความสะอาดเรือนรอคุณหนูของพวกนางกลับมาพักผ่อน เมื่อพวกนางเดินไปถึงเรือนใหญ่แล้ว ซูซูที่เห็นท่านแม่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หลักในห้องรับแขกด้านหน้าเรือนใหญ่ก็รีบเข้าไปกอดและออดอ้อนท่านแม่ของนางอย่างน่ารัก ทำเอาบ่าวทั้งหลายที่ดูอยู่ต่างยิ้มตามความน่ารักของคุณหนูของพวกนาง ตั้งแต่มีคุณหนูเข้ามาเพียงวันเดียว ในจวนก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าอ้างว้างเหมือนที่ผ่านมาตลอดหลายปี“เอาล่ะ ๆ ลูกรัก เลิกอ้อนแม่ได้แล้ว เจ้ารีบไปยืนให้ช่างวัดตัวเสียเร็ว ๆ แล้วเจ้าก็ค่อยเลือกสีผ้าว่าเจ้าอยากใส่ชุดสีอะไรในวันพรุ่งนี้ ช่างจะได้ตัดมาให้เจ้าก่อน”“เจ้าค่ะท่านแม่ ฟอด” &nbs
ครอบครัวสี่คนทานอาหารไปคุยกันไป คราวนี้พ่อ แม่และพี่ชายนางไม่ได้คีบอาหารให้นางมากนัก ด้วยกลัวว่าจะเป็นการบังคับนางให้กินมากเกินไปเหมือนกับเมื่อวานนี้ ซูซูจึงกินข้าวอย่างมีความสุข เมื่ออิ่มแล้วนางก็คอยคีบอาหารให้กับคนในครอบครัวของนางเช่นเดียวกัน หลังจบมื้ออาหาร วันนี้มีเพียงพี่ชายของนางเท่านั้นที่เดินไปส่งซูซูที่เรือน ส่วนท่านพ่อกับท่านแม่ก็ถูกซูซูบอกให้รีบไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ท่านแม่ของนางจะต้องไปงานพร้อมกันกับนางและพี่ชาย ซูซูจึงไม่อยากให้ท่านเสียเวลาเดินมาส่งนางยังเรือนเหมือนเมื่อคืนนี้“เอาล่ะ พวกเจ้าดูแลน้องสาวข้าให้ดี พรุ่งนี้รอเจ้าแต่งตัวเสร็จแล้ว พี่ชายจะเดินมารับเจ้าที่เรือนเองนะซูซู”“เจ้าค่ะพี่ใหญ่ ท่านเดินกลับเรือนดี ๆ เล่าเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า รับรองว่าพี่ชายของเจ้าไม่เป็นอะไรแน่นอน ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วงพี่ใหญ่นะ”
ทั้งสามคนนั่งพักกันหลังทานข้าวเที่ยงไม่นานนักก็พากันขึ้นรถม้าไปยังจวนของเสนาบดีกรมพิธีการด้วยกัน ที่ฟางฉือห่าวไม่อยากแยกรถม้าก็เพราะเขาหวงน้องสาวนั่นเอง แน่นอนว่าเขาต้องประกบติดทั้งท่านแม่และน้องสาวภายในงานเพื่อป้องกันคนมาสร้างปัญหาให้กับพวกเขา ด้านอ๋องเฉิงที่ถูกเชิญมางานนี้เช่นเดียวกันก็ไปถึงจวนเสนาบดีกรมพิธีการก่อนหน้าฟางฉือห่าวไม่นานนัก พระองค์ถูกเชิญให้นั่งในตำแหน่งที่สูงที่สุดตามตำแหน่งทางการของท่านอ๋อง คนที่มางานต่างมาคารวะท่านอ๋องอย่างเต็มพิธีการก่อนที่จะแยกตัวออกไปและปล่อยให้ท่านอ๋องอยู่กับเสนาบดีกรมพิธีการที่นำบุตรีมาคอยดูแลท่านอ๋องอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนฮูหยินใหญ่ของเขานั้นก็ไปรอต้อนรับแขกที่หน้าประตูห้องโถงรับแขกตามหน้าที่ของนาง เมื่อรถม้าจวนตระกูลฟางหยุดลง ฟางฉือห่าวก็ออกไปก่อนใครเพื่อน เขานำบันไดมาแขวนเอาไว้ข้างรถม้าเพื่อให้ท่านแม่ลงมาก่อน โดยเขายังประคองท่านให้ลงมายืนอย่างมั่นคง ก่อนที่ซูซู
ซูซูที่เห็นท่านแม่ไม่พอใจกับคำพูดของหญิงสาวนางนั้นก็ได้แต่ปลอบท่านแม่เบา ๆ อย่างเป็นห่วง“ท่านแม่อย่าโกรธ หากข้าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกนางว่า แล้วท่านแม่จะโกรธให้เสียสุขภาพทำไมกันเจ้าคะ คนพวกนี้ก็ดีแต่ดูถูกคนอื่นก็เท่านั้นเอง”“เฮ้อ เหตุใดเจ้าจึงได้เป็นเด็กดีเช่นนี้กันนะ รอพี่ชายเจ้ากลับมาก่อน แม่จะบอกให้เขาจัดการตระกูลเจ้าไม่ให้เข้าร้านค้าของบ้านเราอีกเลย คอยดูสิ”“อืม ข้าแล้วแต่ท่านแม่เจ้าค่ะ นั่นไง พี่ใหญ่กลับมาแล้ว ท่านแม่ยิ้มหน่อยสิเจ้าคะ” มู่อิงเอ๋อได้แต่ยิ้มกับความเป็นห่วงของลูกสาว นับว่าไม่เสียแรงที่นางยังมีลูกสาวคนนี้อีกคน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันนับสิบกว่าปี แต่ความผูกพันธ์ระหว่างสายเลือดนั้นยังเข้มข้นอยู่เช่นเคย“นี่ของว่างกับน้ำชาขอรับท่านแม่”“เจ้าวางไว้โต๊ะด้านข้า
ซูซูหรี่ตาหันไปมองเจ้าหน้ากากของนางว่าเขาจะตัดสินเรื่องราวนี้ให้นางอย่างไร หากเขาไม่ลงโทษคนทำผิดให้นางล่ะก็ รับรองว่านางจะอาละวาดจนจวนเสนาบดีต้องสร้างใหม่เลยทีเดียวเชียวล่ะ อ๋องเฉิงที่เห็นสายตาแม่เสือตัวน้อยของพระองค์ก็ถึงกับแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ พระองค์นึกอยู่แล้วว่านางคงไม่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ เป็นแน่ เพื่อช่วยคนในจวนเสนาบดีสักเล็กน้อย เขาจึงต้องตัดสินความให้นางอย่างยุติธรรม ฉวนเหมยอิงที่เห็นว่าภัยลามมาถึงตัวนางจึงรีบคุกเข่าลงต่อหน้าอ๋องเฉิงและร้องไห้ขอความเมตตาว่านางไม่ได้เป็นคนสั่งในทันที ทำเอาทุกคนในงานที่รู้นิสัยของนางต่างพากันเบ้ปากอย่างหมั่นไส้กับความเสแสร้งของนาง“ฮึ เจ้าจะให้ข้าปล่อยเจ้ากับบ่าวไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อเจ้าทำผิด พวกเจ้าก็ต้องรับโทษ ทหาร นำพวกนางไปที่กรมอาญา แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าพวกนางจงใจทำร้ายคนโดยไร้เหตุผล ให้ลงโทษโบยคนละห้าสิบไม้ จากนั้นส่งนางไป
มู่อิงเอ๋อเห็นสามีกลับมาเร็วก็รู้ว่าเขาน่าจะรู้เรื่องที่จวนเสนาบดีกรมพิธีการแล้วกระมัง เมื่อฟางเซียนหลงนั่งลงข้างกายภรรยา มู่อิงเอ๋อก็เล่าเรื่องให้สามีฟัง“โชคดีที่พวกเจ้าได้ท่านอ๋องช่วยเอาไว้ ไม่เช่นนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าเสนาบดีกรมพิธีการจะทำสิ่งใดเลวร้ายกับพวกเจ้าบ้าง ส่วนเรื่องไม่ให้ตระกูลเจ้าเข้าร้าน เดี๋ยวข้าจะสั่งพ่อบ้านไปแจ้งเอง รวมทั้งจวนเสนาบดีกรมพิธีการด้วย ข้าไม่ชอบใจเลยที่แค่พวกเจ้าไปงานเลี้ยงแต่กลับถูกรังแกเช่นนี้” ซูซูได้แต่มองหน้าท่านพ่อตาปริบ ๆ นางเพิ่งรู้ว่าท่านพ่อ กับท่านแม่ช่างคิดนักเรื่องการเอาคืนทั้งสองจวนนั้น นางยังสงสัยว่าท่านพ่อไม่กลัวว่าจะค้าขายไม่ดีหรืออย่างไร แต่ในเมื่อเป็นการตัดสินใจของพวกท่าน ซูซูก็ไม่คิดขัดขวางอันใด ส่วนพี่ชายของนางก็ดูท่าว่าจะมีวิธีการจัดการของเขาเองกระมัง“ซูซู ลูกไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนแน่นะลูก”“ข้าสบายดีเจ
สี่ปีผ่านไป อ๋องน้อยและท่านหญิงที่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังบ่อย ๆ วันนี้พวกเขาก็มาเล่นกับเสด็จปู่ เสด็จย่าที่ตำหนักเฟิ่งหวงพร้อมกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ โดยที่ฮ่องเต้ทรงงดเว้นธรรมเนียมให้กับหลานทั้งสองที่ร่าเริงสดใสของพระองค์“เจ้าดูสิ นับวันอ๋องน้อยยิ่งตัวสูงใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมากนัก ช่างเหมือนจ้าวหลงตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด”“จริงด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็คิดว่าอ๋องน้อยน่าจะเติบโตขึ้นมาตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อของเขาเป็นแน่” ฮ่องเต้กับฮองเฮาคุยกันพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า พวกเขาได้แต่นึกถึงตอนที่นำอ๋องเฉิงมาเลี้ยงในวัยเด็กแล้วก็ยิ่งอยากเลี้ยงอ๋องน้อยกับท่านหญิงอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองพระองค์พระชนมายุมากแล้ว ไม่สามารถวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนตอนเลี้ยงอ๋องเฉิง เพียงแค่ได้นั่งมองพวกเขาเล่นกัน ทั้งสองพระองค์ก็มีความสุขไม่น้อยแล้ว
เมื่ออ๋องน้อยมาถึงหน้าห้องคลอด พระองค์ทรงเห็นเสด็จพ่อนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย อ๋องน้อยจึงเดินเข้าไปหาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักเสด็จพ่อ อ๋องเฉิงไม่คิดว่าลูกชายจะมาเร็วขนาดนี้ ปกติอ๋องน้อยจะตื่นตอนสาย ๆ แต่วันนี้เขากลับมาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้พระองค์กับพระชายาที่กำลังจะคลอด“เด็จพ่อรอน้องกับข้านะขอรับ” เสียงเล็ก ๆ แสนรู้ความเอ่ยออกมาพร้อมอ้อมกอดน้อย ๆ ที่เอื้อมไปกอดคอพ่อของตนเอง“อืม… เจ้าเป็นพี่ที่ดี มานั่งดี ๆ รอน้องกันเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่มาให้กำลังใจเสด็จแม่ของเจ้า” อ๋องเฉิงลูบหัวบุตรชายแล้วปรับท่านั่งให้เขาได้นั่งบนตักอย่างสบาย ๆ ในห้องคลอด ซูซูปวดท้องมากจนนางอยากกรีดร้องออกมา แต่ด้วยนิสัยที่มักจะเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ นางจึงทำเพียงกัดฟันอดทนแล้วหายใจตามจังหวะที่หมอตำแยกับแม่นมฉู่ช่วยกันบอกนางเท่านั้น“พระชายาอดทนอีกสักนิดนะเพคะ อีกไม่นานก็น่า
วันต่อมามีขบวนของขวัญจากวังหลวงและจวนตระกูลฟางยาวนับหลายลี้มาจอดอยู่เต็มหน้าจวนอ๋อง ทำเอาชาวบ้านชาวเมืองต่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วกับจวนอ๋อง ขันทีที่ได้รับพระราชโองการแสดงความยินดีกับจวนอ๋องรีบประกาศราชโองการพร้อมกับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาที่ร่วมแสดงความยินดีกับจวนอ๋องเช่นเดียวกัน“ข้าขอแสดงความยินดีกับจวนอ๋องที่กำลังจะมีทายาทอีกหนึ่งคน สิ่งของเหล่านี้เป็นของรับขวัญหลานคนที่สองของข้า หวังว่าการตั้งครรภ์ของพระชายาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันประสูติ จบราชโองการ” ชาวเมืองที่พากันมามุงเมื่อได้ยินขันทีประกาศราชโองการเสียงดัง พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงได้มีขบวนของขวัญมากมายถึงเพียงนี้ สมแล้วที่จวนอ๋องได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาอย่างยาวนาน ไหนจะบ้านเดิมของพระชายาที่เป็นถึงคหบดีที่ร่ำรวยของแคว้นอีกเล่า ไม่แปลกที่เพียงแค่การตั้งครรภ์
สองสัปดาห์ต่อมา ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ซูซูรู้สึกหิวมากกว่าปกติอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมนางยังชอบกินขนมหวานแทบทั้งวันอีกด้วย กระทั่งหลังอาหารเช้าวันนี้ ขณะที่นางกำลังอุ้มบุตรชายพาเดินเล่นอยู่นั้นนางก็เกือบจะล้มลงบนพื้นทั้งแม่และลูก ด้วยเพราะซูซูจู่ๆ ก็หน้ามืดไปเสียเฉย ๆ โชคดีที่อ๋องเฉิงวันนี้อยู่กับพวกนางด้วย พระองค์รีบรับร่างภรรยากับบุตรชายแล้วอุ้มทั้งคู่เข้าไปยังห้องนอนในเรือนเล็กของซูซูที่อยู่ใกล้ที่สุด อ๋องเฉิงรีบร้องบอกให้องครักษ์ไปตามหมอหลวงมาทันที ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นห่วงภรรยาไม่น้อย เพราะตอนนี้นางยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย ส่วนบุตรชายของพระองค์ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อ๋องน้อยเพียงแต่มองท่านพ่อที่เรียกคนให้นำผ้ากับอ่างน้ำมาเพื่อเช็ดหน้าให้กับท่านแม่ของพระองค์“ซูซู ซูซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ลืมตาขึ้นมาให้ข้าเบาใจหน่อยภรรยา อย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ซูซู” อ๋องเฉิงเช็ดห
หนึ่งเดือนต่อมา อ๋องเฉิงที่ส่งทหารออกไปยังแคว้นจ้านเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้รับข่าวตอบกลับจากทหารที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงค่ายทหารนอกเมืองหลวง“ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นจดหมายจากองค์ชายสามที่ให้กระหม่อมนำมามอบให้พระองค์เพื่อส่งต่อไปยังฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เหตุการณ์ที่แคว้นจ้านนั้นสงบสุขดีพะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์ชายสามก็ส่งขุนนางเดินทางออกไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้เกือบครึ่งปีแล้วพะย่ะค่ะ อีกทั้งพระชายาก็คลอดองค์ชายน้อยได้สามเดือนแล้ว จึงทำให้องค์ชายสามไม่ค่อยมีเวลาที่จะส่งข่าวกลับมาให้พระองค์พะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงพยักหน้ารับจดหมายจากทหารแล้วเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก่อนที่จะเข้าวังและนำไปมอบให้กับเสด็จลุงของพระองค์ ภายในจดหมายนั้นเขียนถึงความสำเร็จในการซื้อใจประชาชนขององค์ชายสามและกองทหารรักษาเมือง ยิ่งเมื่อเหล่าประชาชนในแคว้นจ้านเห็นถึงความเมตตาขององค์ชายสามและขุนนางที่ตั้งใจจะมาพัฒนาแคว้นของ
“อืม… เอาล่ะ เราเลิกคุยเรื่องงานกันเถอะ ข้าอยากเล่นกับหลานแล้ว” อ๋องเฉิงเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของสหายที่พอพูดถึงหลานชายเข้าเมื่อไหร่ก็มักจะมีอาการเช่นนี้ พระองค์ได้แต่ยิ้มแล้วพาสหายเดินไปยังห้องโถงรับแขกที่เรือนเล็กของบุตรชายที่พระองค์สั่งคนเตรียมเอาไว้สำหรับอ๋องน้อยเมื่อเขาโตกว่านี้ในอีกไม่กี่ปี ในเรือนของอ๋องน้อยเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลท่านอ๋องน้อยเวลาเล่นของเล่นอยู่ในห้องโถงรับแขกกับพระชายา ท่านตาและท่านยายที่มาเยี่ยมก่อนหน้าที่ลูกชายอย่างฟางฉือห่าวจะมาถึง“อ้าว ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันขอรับ”“พ่อกับแม่มากันตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้พ่อนำของเล่นใหม่มาให้อ๋องน้อยด้วยนะเจ้าดูสิ พ่อสั่งคนทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เขาเลยนะเนี่ย” ฟางเซียนหลงชี้ไปที่ม้าโยกไม้ที่ดูแ
หลังจากงานเลี้ยงฉลองครบรอบร้อยวันของอ๋องน้อย ฮ่องเต้ก็ทราบแล้วว่าใครเป็นคนบงการให้นักฆ่ามาลอบทำร้ายอ๋องน้อยของพระองค์ พระองค์ไม่คิดว่าจะเป็นเสนาบดีหลานอีกครั้ง ครั้งนี้พระองค์ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใด ๆ นอกจากตั๋วแลกเงินที่อยู่ในตัวคนร้ายซึ่งมีตราประทับของจวนเสนาบดีหลานอย่างชัดเจน ถึงแม้พระองค์จะไม่รู้ว่าเขาใช้ใครไปจ้างคนก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้พระองค์ก็มีทั้งพยานที่เป็นนักฆ่าและตั๋วแลกเงินซึ่งสามารถเอาผิดเสนาบดีหลานได้แล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ทหารไปล้อมจวนเสนาบดีเอาไว้ตั้งแต่ทราบเรื่อง ก่อนที่พระองค์จะออกพระราชโองการให้ขันทีในวังไปประกาศความผิดที่หน้าจวนเสนาบดีหลานในวันถัดไป เสนาบดีหลานที่รู้ว่างานที่ส่งคนไปจัดการไม่สำเร็จอีกแล้วก็เตรียมตัวหนีออกจากจวน เพียงแต่เหล่าองครักษ์ที่คอยเฝ้าจวนเสนาบดีหลานไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้หนีไปง่าย ๆ พวกเขาส่งคนไปส่งข่าวกับทั้งฮ่องเต้และท่านอ๋อง กระทั่งจวนเสนาบดีหลานนั้นถูกล้อมรอบเอาไว้ทุกด้านจนแม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่สามารถที่จะเข้าและออกได
ณ จวนเสนาบดีหลาน วันนี้เขาไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับคนที่สั่งประหารภรรยาและลูกสาวคนเดียวของเขาได้ โดยเขาได้ส่งพ่อบ้านไปส่งของขวัญและขออภัยท่านอ๋องซึ่งใช้ข้ออ้างว่าตนเองไม่สบาย จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายตามไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เสนาบดีหลานได้จ้างนักฆ่าไปจัดการอ๋องน้อยก่อนหน้าวันงานแล้ว โดยเขายังให้นักฆ่าแฝงตัวเป็นบ่าวในจวนที่นำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีแทนตัวเขา ไม่ว่านักฆ่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาสืบทราบว่าจวนอ๋องนั้นมีความสุขเพียงใด ในใจของเขากลับยิ่งแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความผิดของภรรยากับบุตรสาวที่จากไปของเขานั้นร้ายแรงขนาดไหน ในใจเขาก็ยังคงยอมรับการตัดสินโทษในครั้งนั้นไม่ได้อยู่ดี ที่จวนอ๋องในตอนนี้ เสนาบดีกรมพิธีการกำลังดำเนินพิธีตามราชประเพณีที่ให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านอ๋องและพระชายาร่วมวางสิ่งของแทนเส้นทางในอ
หนึ่งวันก่อนงานฉลองร้อยวัน ตั้งแต่ซูซูคลอดอ๋องน้อยออกมา ตระกูลฟางก็แทบจะมาที่จวนอ๋องวันเว้นวันกันเลยทีเดียว พวกเขารักหลานคนแรกที่อวบอ้วนมากจนอดทนไม่ไหวที่จะห่างจากหลานหลายวัน ท่านอ๋องเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีงานที่จะต้องออกจากจวน พระองค์ก็จะไม่ออกไปไหนนอกจากการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตรชาย พระองค์ยังเคยขอลองชิมน้ำนมจากภรรยาแต่กลับถูกนางมองแรงใส่จนพระองค์ไม่กล้าขอชิมอีกเลย ด้วยกลัวว่าพระองค์จะได้ชิมกระบี่บินแทนที่จะได้กินนมเหมือนเจ้าลูกชาย ทำอย่างไรได้ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ร่วมรักกับภรรยามาปีกว่าแล้วตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พระองค์ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียที่ไหน แต่ด้วยคำสั่งห้ามของภรรยาว่านางยังเจ็บแผลอยู่ จึงทำให้อ๋องเฉิงต้องอดทนมาจนกระทั่งลูกชายอายุจะครบร้อยวันในวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้ที่จวนอ๋องต่างวุ่นวายจัดเตรียมงานให้กับท่านอ๋องน้อยของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากท่านอ๋องแจ้งไว้ก่อนหน้าแล้วว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะเสด็จมาเป็นประธา