เยว่อวิ๋นฟังแล้วอดนึกขันไม่ได้ คงต้องบอกว่าคนจำพวกเดียวกันมักจะมองกันออกจริงๆ สินะ ขนาดอีกฝ่ายไม่อยู่ในขบวนรับตัวเจ้าสาวแท้ๆ กลับบรรยายการกระทำของแม่เฒ่าเยว่ได้ชัดเจนชนิดตาเห็นเลยทีเดียว ดูท่าแล้วหญิงชราผู้นี้คงเป็นแม่สามีราคาถูกของนางกระมั้ง
“ท่านแม่ พวกข้าไม่ได้เสียเปรียบให้นางเลยขอรับ” เซี่ยจินกล่าวตอบมารดา ก่อนจะกระซิบเล่าเรื่องการพุ่งชนเสาของเจ้าสาวน้องชายให้นางฟังอย่างละเอียด
อันที่จริงขบวนรับตัวเจ้าสาวของเขาไปถึงหมู่บ้านไป๋นานแล้ว เพียงแต่มีคนบอกเซี่ยจินว่าเจ้าสาวไม่ยินยอมแต่งงานจึงพุ่งศีรษะชนเสาเพื่อฆ่าตัวตาย พอได้ยินดังนั้นเขาจึงหยุดรั้งขบวนรอที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน ก่อนจะส่งคนไปดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
ที่เซี่ยจินทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะมีใจเป็นห่วงหน้าตาคนสกุลเซี่ย เพียงแต่เขาเกรงว่าหากตนไปถึงไว แล้วเยว่อวิ๋นผู้นี้จะถูกยายของนางส่งตัวออกมาในสภาพปางตาย ถึงตอนนั้นพวกเขาคงได้รับเอาตัวภาระเข้ามาเพิ่มอีกเป็นแน่
ไปถึงช้าสักหน่อย หากว่าที่เจ้าสาวเกิดตายไปก่อน ก็มีข้ออ้างเปลี่ยนตัวคนแล้ว ระหว่างหลานสาวที่เกลียดชังกับลูกสาวแสนรัก สินเดิมที่ติดตัวมาย่อมแตกต่างกันมากโข คิดถึงตรงนี้แล้วเซี่ยจินก็ภาวนาให้เยว่อวิ๋นรีบๆ ตายไปเสียที
ทว่าน่าเสียดายที่เขาต้องผิดหวัง หลังจากถ่วงเวลารอคอยอยู่เนิ่นนานเยว่อวิ๋นกลับไม่ตาย แถมตอนไปรับตัวคน ยายเฒ่าเยว่ยังจ้องจะตามติดเขาเหมือนผีหิวโหย
มองสัมภาระเจ้าสาวที่มีเพียงถุงผ้าเก่าสีมอซอติดตัวมาถุงเดียว เซี่ยจินก็ได้แต่ถ่มน้ำลายด่าในใจว่าช่างสมกับเป็นตัวอัปมงคลเสียจริงๆ
แม่เฒ่าเซี่ยไม่ชื่นชอบเยว่อวิ๋นอยู่เป็นทุนเดิม พอมารู้ว่านางถึงกับยอมฆ่าตัวตายแต่ไม่ยินยอมแต่งเป็นภรรยาลูกชายตน ในใจหญิงชราก็ยิ่งทวีความไม่พอใจ
“นางมีสิทธิ์อะไรมารังเกียจเจ้ารอง หากไม่เพราะเจ้ารองเป็นแบบนี้ บ้านเซี่ยเรามีหรือจะยอมรับตัวโชคร้ายนาง!”
หลังจากหลิวซื่อตั้งครรภ์เยว่อวิ๋นได้ไม่นาน ผู้เฒ่าเยว่ก็เสียชีวิต จากนั้นก็เป็นเยว่หลินบิดาอีกฝ่าย บ้านเยว่ยามนี้ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ต่อให้เป็นตัวของเยว่เจินเจินเอง แม่เฒ่าเซี่ยก็ยังมองว่านางไม่คู่ควรกับบุตรชายคนเล็กซึ่งเป็นว่าที่ซิ่วไฉของตน
น่าเสียดายที่ตอนผู้เฒ่าเซี่ยมีชีวิตอยู่ เป็นตายก็ไม่ยินยอมให้นางบิดพลิ้วสัญญา ไม่อย่างนั้นยามที่เมียเจ้ารองจากไป นางคงนำการหมั้นหมายนี้มาสู่ขอเยว่เจินเจินให้เขาแล้ว
ดีเลยตอนนี้เลยหมดสิทธิ์จะต่อรองอะไร เนื่องจากบุตรชายคนรองบาดเจ็บร้ายแรง แม้นางจะเจรจาจนสามารถเปลี่ยนคนแต่งได้ แต่อีกฝ่ายก็เขี้ยวลากดินพอตัวไม่น้อย เอ่ยปากเรียกร้องต้องการเปลี่ยนตัวเจ้าสาวเช่นกัน
แม่เฒ่าเซี่ยจำต้องทำใจยอมรับเงื่อนไขของบ้านเยว่ รับเอาเยว่อวิ๋นที่ด้อยกว่าเยว่เจินเจินทุกอย่างมาแทน คราแรกนางยังพอโน้มน้าวใจตัวเองไว้ได้บ้าง ทว่าพอฟังคำพูดบุตรชายและเห็นสินเดิมที่แสนอัตคัดของอีกฝ่าย นางก็ยิ่งดูแคลนลูกสะใภ้คนนี้มากขึ้นไปอีก
เยว่อวิ๋นสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สายตาเย็นชาของคนบ้านเซี่ยแม้ไม่มองนางก็รู้สึกได้ หญิงสาวอดทนยืนนิ่งไม่ขยับ จนกระทั่งได้ยินเสียงแค่นฮึในลำคอจากคนเป็นแม่สามี ก่อนเจ้าตัวจะกล่าวเรียกคนให้พยุงนางตามไป
แม่เฒ่าเซี่ยพาเยว่อวิ๋นเดินเข้าไปในบ้าน จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงขานร้องให้คำนับฟ้าดิน ก่อนจะถูกมือของใครบางคนกดศีรษะลงเต็มแรง
เสร็จสิ้นพิธีการ เยว่อวิ๋นก็ถูกพาตัวเข้าไปในห้องด้านในสุดของบ้าน ร่างผอมบางที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของนางถูกประคองลงบนเตียง ยังไม่ทันกล่าววาจาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไป จากนั้นก็มีเสียงประตูปิดเบาๆ
“…”
ไปแล้ว…
เช่นนี้น่ะหรือ…
เยว่อวิ๋นขยับตัวลุกขึ้นนั่ง นางถอดผ้าคลุมศีรษะออกมองไปทางประตูอย่างมึนงง ช่างเป็นการแต่งงานที่ลวกๆ ขอไปทีเสียเหลือเกิน ไม่มีแม่สื่อทาบทาม ไม่มีสามหนังสือและหกพิธีการ [1] ไม่มีแม้กระทั่งเกี้ยวแปดคนหาม…
ทว่าพอคิดตรองดูแล้ว นางก็เผยรอยยิ้มบางเบาออกมาทันที ลืมไปได้อย่างไรกัน นางในยามนี้มิใช่เยว่อวิ๋นที่เป็นคนของราชวงศ์อีกแล้วนี่นา
ที่นี่ไม่มีท่านหญิงผู้สูงศักดิ์หรือแม่ทัพผู้เป็นวีรสตรีอะไรนั่นทั้งนั้น จะมีก็แต่เพียงหญิงสาวชนบทนามเยว่อวิ๋น ที่ถูกครอบครัวเดิมส่งออกมาเพื่อสินสอดเท่านั้น
เยว่อวิ๋นถอนสายตาจากบานประตูที่ปิดสนิท มองรอบด้านผ่านความมืดสลัวแล้วถอนใจอีกรอบ ในห้องแห่งนี้นอกจากโต๊ะไม้ที่วางชิดข้างผนังริมหน้าต่าง ก็มีแค่เตียงนอนที่นางกำลังนั่งอยู่เท่านั้น
บนโต๊ะไม้เพียงหนึ่งเดียวในห้องว่างเปล่า เยว่อวิ๋นคิดถึงตอนตนไปร่วมงานแต่งของลูกน้องในกองทัพแล้วนึกหดหู่ ดีชั่วเจ้าพวกนั้นก็ยังมีอาหารรับรองให้แขกอิ่มท้องบ้าง ทว่างานแต่งของตัวเองเจ้าสาวอย่างนางกลับต้องมานั่งฟังเสียงท้องร้อง
ความหิวโหยทำให้ทรมาน เยว่อวิ๋นอยากออกไปสำรวจหาของกิน ทว่าจนใจที่ไร้เรี่ยวแรงจะลุกเดิน อีกทั้งแผลที่ศีรษะก็เริ่มปวดร้าวขึ้นมากเรื่อยๆ นางถอนหายใจเบาๆ แล้วเลือกที่จะหงายหลังทิ้งตัวลงนอนเสียเลย
ทั้งหิวทั้งเหนื่อย ในเมื่อลุกไม่ไหวก็พักผ่อนเอาแรงดีกว่า คิดอย่างนี้สายตาก็สะดุดกับแผ่นกระเบื้องที่แตกร้าวเป็นรูโหว่ ไม่รู้ว่ายามใดแล้ว แต่มองเห็นพระจันทร์ขึ้นสูงเช่นนี้คงเลยยามซวี [2] แล้วเป็นแน่
พอได้ทิ้งตัวลงนอนสักพักอาการวิงเวียนศีรษะก็ดูเหมือนจะดีขึ้น เยว่อวิ๋นรู้สึกถึงลมหายใจอ่อนจางสายหนึ่งจากด้านข้าง หญิงสาวมองฝ่าความมืดพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ที่จริงตอนเข้ามาในห้องเยว่อวิ๋นก็สัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของคนผู้นี้แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นนางกำลังสู้รบกับอาการปวดศีรษะ จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับอีกฝ่าย ดูท่าแล้วบุรุษตัวสูงกว่าแปดฉื่อ [3] ผู้นี้คงเป็นสามีที่นางเพิ่งแต่งงานด้วยกระมัง
ดวงตากลมหรี่มองด้านข้างของร่างที่แทบจับลมหายใจไม่ได้อย่างพินิจ ครั้นเห็นอีกฝ่ายนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก อีกทั้งลมหายใจก็ยังสม่ำเสมอ จึงค่อยบรรเทาความหวาดระแวงภายในใจลง
“คนในบ้านเจ้าก็ช่างไร้มนุษย์ธรรมเสียจริง ไม่ให้อาหารกับข้ายังไม่เท่าไร ทว่าแม้แต่ยาของเจ้าก็ไม่มีให้ด้วยงั้นหรือ” ลูกคนรองของบ้านมักมีชะตากรรมถูกละเลยหรือไรนะ บิดาของร่างเดิมก็ใช่ คนตรงหน้านางก็ใช่
“ดีชั่ว ข้าก็แต่งให้บุตรชายนาง เป็นสะใภ้วันแรกโจ๊กสักชามก็ไม่มีให้ดื่ม โหดเหี้ยมเสียจริง” เยว่อวิ๋นอดบ่นงึมงำไม่ได้ ดูๆ ไปแล้วการแต่งงานครั้งนี้สำหรับร่างเดิม เป็นแค่การย้ายจากหลุมหนึ่งมาตกอีกหลุมหนึ่งเท่านั้นเอง
“เฮ้อ เอาเถอะวันนี้เหนื่อยมามากพอแล้ว นอนพักสักหน่อยจะดีกว่า” นอนหลับเสียร่างกายจะได้ไม่ต้องรู้สึกหิวรู้สึกเจ็บปวด
“เซี่ยฉงอวิ๋นเอ๋ยเซี่ยฉงอวิ๋น คอยดูเถอะ อนาคตหากเจ้ากล้าคิดไม่ซื่อกับข้าเยว่อวิ๋นผู้นี้ละก็…” นางจะทำให้เขาทรมานชนิดอยู่ก็ไม่ได้ตายก็ไม่ดีเลยทีเดียว
หากไม่ใช่เพราะนามของอีกฝ่าย นางมีหรือยินยอมแต่งให้คนป่วยพิการที่ใกล้ตายผู้หนึ่ง
เซี่ยฉงอวิ๋นกับเยว่อวิ๋น แม้เพียงแค่ตัวอักษรในนามของชื่อ นางก็อยากให้มันเป็นความจริง...
เยว่อวิ๋นพึมพำอยู่พักหนึ่งก็ผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย นางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าสามีที่ตนเอ่ยถึงอยู่นั้น แท้จริงแล้วหาได้กำลังนอนหลับอย่างที่คิดไม่
พอได้ยินเสียงลมหายใจทอดยาวเป็นจังหวะจากคนที่เมื่อครู่ยังบ่นงึมงัม ดวงตาเรียวก็ค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ในแววตาขุ่นมัวไร้ประกาย ทว่าทั่วร่างกลับแผ่กลิ่นอายความเฉียบคมที่ไม่ควรมีในตัวชาวบ้านธรรมดาออกมา หากเยว่อวิ๋นยังไม่หลับได้เห็นจะต้องนึกประหลาดใจเป็นแน่
เซี่ยฉงอวิ๋นที่อยู่บนเตียงไม่สามารถขยับร่างกายส่วนล่างได้ ทำได้เพียงนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก พลางคิดถึงประโยคพึมพำของภรรยาหมาดๆ เมื่อครู่
นี่คือสตรีที่มารดาของร่างนี้หามารับเคราะห์แทนตัวเอง?
นางบอกว่าตัวเองชื่อเยว่อวิ๋นสินะ มือยาวเรียวเห็นข้อชัดเลื่อนออกจากใต้หมอนช้าๆ
ช่างเถอะ ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการล้ำเส้น ดังนั้นเพื่อเห็นแก่นามนี้ของนาง เขาจะปล่อยให้นางมีชีวิตรอดต่อไปก่อนก็แล้วกัน
เซี่ยฉงอวิ๋นกับเยว่อวิ๋นงั้นหรือ
ไม่เลว แม้จะเป็นเพียงแค่ในนามก็ตาม
เสมือนบุปผางดงามในคันฉ่อง ประดุจจันทราส่องสว่างบนวารี [4]
อย่างน้อยก็พอให้หลอกตัวเองต่อไปได้บ้าง…
[1] สามหนังสือหกพิธีการ โดยสามหนังสือที่กล่าวถึงนั้น ได้แก่ หนังสือหมั้นหมาย หนังสือแสดงสินสอด และหนังสือรับตัวเจ้าสาว ส่วน หกพิธีการเป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่เริ่มตั้งแต่การหมั้นกระทั่งถึงพิธีแต่งงาน ได้แก่ 1. สู่ขอ – ผู้ใหญ่ฝ่ายชายและแม่สื่อเดินทางไปสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง พร้อมมอบของขวัญที่มีความหมายมงคลให้แก่บ้านผู้หญิง ส่วนครอบครัวฝ่ายหญิงเองจะถือโอกาสนี้สอบถามแม่สื่อเกี่ยวกับครอบครัวฝ่ายชาย 2. ขอวันเดือนปีเกิด – หลังจากสู่ขอสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะมอบวันเดือนปีเกิดของลูกสาวให้แก่บ้านฝ่ายชายเพื่อนำไปเสี่ยงทาย 3. เสี่ยงทาย – หลังจากรับแผ่นกระดาษบันทึกวันเดือนปีเกิดฝ่ายหญิงมาแล้ว พ่อแม่ฝ่ายชายจะนำแผ่นวันเดือนปีเกิดไปวางไว้หน้ารูปปั้นเทพเจ้าหรือบนโต๊ะบูชาบรรพบุรุษ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือบรรพบุรุษชี้แนะว่าการแต่งงานครั้งนี้จะนำโชคดีหรือร้ายมาสู่ครอบครัว ว่าที่คู่บ่าวสาวดวงชงกันหรือไม่ หากไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงความไม่เป็นมงคลเกิดขึ้น การเตรียมงานแต่งก็เริ่มขึ้น ณ บัดนี้ 4. มอบสินสอด– ฝ่ายชายส่งหนังสือหมายหมั้น และหนังสือแสดงสินสอดมายังบ้านฝ่ายหญิง โดยก่อนวันสมรส 1 เดือน-2 สัปดาห์ ครอบครัวฝ่ายชายจะเชิญญาติที่เป็นหญิง 2 หรือ 4 คน (ต้องเป็นหญิงที่มีความสุขพร้อม) พร้อมทั้งแม่สื่อ นำสินสอดทองหมั้นไปให้ฝ่ายหญิง และครอบครัวฝ่ายหญิงก็จะมอบของขวัญตอบ 5. ขอฤกษ์ – ครอบครัวฝ่ายชายรับหน้าที่หาฤกษ์งามยามดีจัดงาน และนำวันที่ได้ไปขอความเห็นจากฝ่ายหญิง 6. รับเจ้าสาว – ในวันมงคลสมรส เจ้าบ่าวในชุดพิธีการ พร้อมด้วยแม่สื่อ ญาติสนิท มิตรสหาย เดินทางไปรับเจ้าสาวที่บ้าน เมื่อถึงบ้านเจ้าสาวแล้ว เจ้าบ่าวต้องไปเคารพศาลบรรพชนของฝ่ายหญิง หลังจากนั้นก็รับเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวมาทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่บ้านฝ่ายชาย (ขณะออกเดินทางครอบครัวฝ่ายหญิงบางครอบครัวจะนำน้ำสะอาดสาดตามหลังเกี้ยว หมายถึง ลูกสาวแต่งงานไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นสมาชิกของครอบครัวฝ่ายชาย เหมือนน้ำที่สาดออกไป) เมื่อเสร็จพิธีไหว้ฟ้าดินแล้วก็ถือว่าบ่าวสาวทั้งสองเป็นสามีภรรยากันโดยถูกต้อง จากนั้นก็ส่งตัวทั้งคู่เข้าสู่ห้องหอ
[2] ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00-21.00
[3] ฉื่อ หน่วยวัดของจีน สิบฉื่อเท่ากับหนึ่งจั้ง ความยาวจะแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย เช่น ในสมัยราชวงศ์ฮั่น 1 ฉื่อเท่ากับราว 23.1 เซนติเมตร ในสมัยราชวงศ์เว่ยและจิ้น 1 ฉื่อเท่ากับราว 24.2 เซนติเมตร ในสมัยราชวงศ์ถัง 1 ฉื่อเท่ากับราว 30.6 เซนติเมตร ในสมัยราชวงศ์ซ่ง 1 ฉื่อเท่ากับราว 31.4
[4] อุปมาถึงภาพมายา ไม่เป็นความจริง
ยามฟ้าสางรุ่งอรุณมาเยือน แสงอาทิตย์สีทองเริ่มจับขอบฟ้า หมู่สกุณาเริงร่าร้องขับขาน เยว่อวิ๋นถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงพูดคุยเล็กๆ“ท่านพี่ ข้าหิวแล้ว” เสียงที่พอฟังออกว่าเป็นเด็กหญิงดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงตอบกลับจากเด็กชาย “ชู่ เบาๆ นางตื่นแล้ว”เยว่อวิ๋นลืมตาเหม่อมองหลังคาอยู่พักหนึ่ง นางนอนฟังเจ้าของเสียงคุยกัน ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นขึ้นนั่งช้าๆดวงตากลมหรี่มองไปทางที่มาของเสียง เห็นเพียงบานประตูที่ถูกแง้มเปิดไว้เท่านั้น หญิงสาวพลันเลิกคิ้วเล็กน้อยทว่าไม่เอ่ยวาจาเห็นว่าเจ้าของเสียงไม่กล้าปรากฏกาย เยว่อวิ๋นจึงรั้งสายตากลับมายังร่างบุรุษข้างกายพลางย่นจมูกเล็กน้อย กลิ่นเนื้อเน่าที่ลอยปะปนมากับกลิ่นอับชื้น บอกให้รู้ว่าสภาพบาดแผลของคนผู้นี้ย่ำแย่มากแค่ไหนฉับพลันเสียงโครกครากก็ดังจากส่วนกลางลำตัว เยว่อวิ๋นละความสนใจจากสามีหมาดๆ ของตน นางข่มอาการวิงเวียนที่ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเพราะแผลที่ศีรษะหรือความหิวลงท้อง พลางลุกก้าวเดินออกจากห้องอย่างไรเสียก็มีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน หาอะไรกินลงท้องก่อน แล้วค่อยมาดูหน้าสามีที่เพิ่งแต่งกันก็ยังไม่สาย ที่สำคัญนางต้องการดูท่าทีของอีกฝ่ายด้วยอนาคตนางจะช่วยเหลื
“ต้องซาวน้ำล้างเศษดินทิ้งก่อนหุงเจ้าค่ะ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ในกระแสเสียงปะปนด้วยอารมณ์หวาดหวั่นของผู้เป็นเจ้าของเยว่อวิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจบางอ้อขึ้นมาทันที ที่แท้เพราะนางยังไม่ได้ล้างข้าวก่อนนี่เอง สีของน้ำจึงมิต่างจากน้ำโคลนเช่นนี้ หญิงสาวหันไปยิ้มให้เจ้าตัวน้อยที่แอบอยู่ด้านหลังพี่ชาย พลางยกหม้อออกไปล้างเมล็ดข้าวตามคำบอก โดยไม่มีท่าทีเหนียมอายต่อการกระทำผิดพลาดของตนเลยแม้แต่น้อยเสี่ยวอวี้หลบอยู่ด้านหลังพี่ชายฝาแฝด คำพูดที่หลุดออกไปเมื่อครู่ทำให้นางเกิดอาการตื่นตระหนก คิดถึงยามอาหญิงเล็กที่ชอบหยิกตีตนยามไม่พอใจ เด็กหญิงก็ยิ่งหวาดกลัวว่ามารดาคนใหม่อาจไม่ชอบคำพูดที่ตนเองกล่าวออกมาทว่ารอยยิ้มบางของเยว่อวิ๋นเมื่อครู่ ทำให้เด็กหญิงงงงันไปพักหนึ่ง ดวงตาคู่เล็กเบิกกว้างในแววตาผุดประกายวาดหวังบางอย่าง “พี่ชาย ท่านแม่คนใหม่… นางดูใจดีมากเลยเจ้าค่ะ”ผู้เป็นพี่ฟังน้องสาวพูดพร้อมกับดึงชายเสื้อตนแล้วพูดไม่ออก น้องโง่เอ๋ย ผู้อื่นแค่ส่งยิ้มให้เล็กน้อย นางก็มอบป้ายคนดีให้อีกฝ่ายเสียแล้ว ช่าง…ต้าเป่าแม้จะมีอายุแค่ห้าขวบ ทว่าฉลาดเฉลียวมีความคิดเกินเด็กวัยเดียวกัน ก่อนที่พ่อเฒ่าเซี
“เด็กน้อย เจ้าดูไฟเป็นหรือไม่” หญิงสาวถามเบาๆเสี่ยวอวี้ประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักใบหน้ารัวๆ ประดุจไก่จิกข้าวสาร“เป็นเจ้าค่ะ ตั้งแต่เสี่ยวอวี้สี่ขวบก็มีหน้าที่คอยจุดไฟให้ท่านป้าใหญ่อยู่แล้ว” เด็กหญิงบอกน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ขณะทรุดลงนั่งยองๆ หน้าเตาไฟเยว่อวิ๋นหรี่นัยน์ตามองร่างเล็กตรงหน้าอย่างพินิจ ก่อนจะถอนลมหายใจแผ่วเบา เด็กบ้านยากจนจะโตไวกว่าเด็กปกติจริงๆ“พวกเจ้าชื่ออะไร อายุเท่าไรกันแล้ว” จากความชำนาญที่เห็น แสดงว่าเด็กคนนี้น่าจะทำหน้าที่นี้มานานแล้วจริงๆ“ข้าชื่อเซี่ยเสี่ยวอวี้ ส่วนพี่ชายชื่อเซี่ยต้าเป่า อายุห้าปีใกล้จะหกแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวอวี้เงยหน้าขึ้นตอบ เพียงแต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าจะครบหกขวบเดือนไหน เพราะที่ผ่านมาคนในบ้านเซี่ยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้นัก มีเพียงปีก่อนๆ ที่บิดายังไม่ป่วย มักจะไปหาไข่นกมาต้มให้พวกเขากินเป็นพิเศษเท่านั้นคิดถึงรสชาติของไข่นกที่ท่านพ่อเคยแอบให้กินลับหลังท่านย่า รอยยิ้มสดใสก็ปรากฎบนใบหน้าเล็ก ก่อนจะสลดลงในชั่วครู่ น่าเสียดายที่หลังๆ มาท่านพ่อล้มป่วยหนัก อย่าว่าแต่ไข่นกแสนอร่อยที่เคยกินเลย หลายเดือนมานี้ แม้แต่ข้าวต้มข้นๆ สักถ้
ในความคิดของเยว่อวิ๋น เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบเหล่านี้ หากถูกเลี้ยงดูดีๆ มีใครบ้างที่ไม่ขาวอวบนุ่มนิ่มดังเช่นซาลาเปาทว่าน่าเสียดายนัก ลูกเลี้ยงของนางทั้งสองคนกลับเป็นได้แค่หัวไชเท้าน้อยเปื้อนโคลน พวกเขาไม่เพียงมีร่างกายที่ผ่ายผอมแคระแกร็น ทั้งยังเต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลฟกช้ำตามเนื้อตัวชนิดไม่มีที่ว่าง เยว่อวิ๋นที่ปกติเป็นคนอารมณ์ดีเห็นแล้วยังนึกสบถสาปแช่งคนสกุลเซี่ยด้วยความรังเกียจไปหลายต่อหลายรอบโดยเฉพาะเซี่ยซื่อแม่สามีราคาถูกของนางหากเป็นคนอื่น แม้จะรังแกสองพี่น้องก็ยังพอจะมองข้ามไปได้บ้าง เพียงแต่ตัวแม่เฒ่าเซี่ยนั้นเป็นมารดาของเซี่ยฉงอวิ๋น เด็กสองคนนี้ก็คือสายเลือดแท้ๆ ของนาง เหตุใดจึงปล่อยปละละเลยทิ้งขว้างได้ถึงเพียงนี้เล่าคิดแล้วเยว่อวิ๋นก็ได้แต่ถอนลมหายใจให้กับชะตาชีวิตของเด็กน้อย เอาเถอะ นางตอนนี้มีศักดิ์ฐานะเป็นมารดาของอีกฝ่ายแล้ว ต่อไปภายหน้าก็ค่อยๆ ดูแลกันไปก็แล้วกันในอดีตเยว่อวิ๋นใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพ แม้จะไม่สันทัดในเรื่องการทำอาหาร แต่ด้านการใช้ชีวิตประจำวันนั้นไม่ถือว่าแย่ หญิงสาวพลิกเสื้อคลุมอังไฟไปมาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ยามส่งเสื้อคืนให้แก่เจ้าของ ข้าวต้มในหม้อก็เริ่
เยว่อวิ๋นนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าหัวไชเท้าน้อยที่นางกำลังคิดเลี้ยงดูนั้น กำลังวางแผนที่จะเลี้ยงดูนางในอนาคตเช่นกันเนื่องจากฟ้าด้านนอกยังสว่างไม่มากนัก ภายในห้องมีเพียงเแสงสว่างสลัวๆ เมื่อรวมกับกลิ่นอับชื้นอากาศจึงไม่น่าพิสมัยนัก เยว่อวิ๋นพลันขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะถือชามข้าวต้มเดินเข้าในห้องคนบนเตียงยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม ลมหายใจแผ่วเบายากจะสังเกตก็ยังไม่แปรเปลี่ยน ทว่าเยว่อวิ๋นกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังหลับอย่างท่าทางที่แสดงออก“ข้านำข้าวต้มมาให้” นางกล่าวพลางกวาดสายตาไปรอบห้อง “ยาของเจ้าเล่า ไม่มีงั้นหรือ”บนโต๊ะด้านนอกไม่มียาวางไว้ นางมองหาดูภายในห้องก็ไม่เห็น อาการของอีกฝ่ายย่ำแย่ขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ามารดาใจดำของเขาไม่คิดเตรียมไว้ให้คำถามถูกตอบกลับมาด้วยความเงียบ บุรุษบนเตียงไม่แม้แต่จะขยับลืมตาด้วยซ้ำ เยว่อวิ๋นเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่กล่าวอะไรต่อ คนผู้นี้คล้ายมีกลิ่นอายต่อต้านผู้อื่นแผ่ออกมาให้สัมผัสได้แต่เดิมนางก็ไม่มีนิสัยชอบเอาหน้าร้อนๆ ของตนไปนาบก้นเย็นๆ ของผู้อื่น [1] อยู่แล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าที่ไม่ยี่หระ ความคิดแวบแรกที่ผุดมาคือ หรือว่านางจะปล่อยให้คนผู้นี้ตายไปเช่นนี้
รอยยิ้มกลบเกลื่อนของเยว่อวิ๋นไม่นับว่าแนบเนียน แต่ตัวเซี่ยฉงอวิ๋นเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ทั้งคู่จึงไม่ทันมองออกถึงความในใจที่ต่างคนก็ต่างซ่อนเก็บไว้“นี่มันอะไรกัน ทำไมข้าวสารกับไข่ถึงได้เหลือแค่นี้!”เสียงร้องตะโกนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เยว่อวิ๋นราวกับได้ย้อนไปวันแรกที่นางฟื้นมาในร่างนี้แล้วมียายแก่แซ่เยว่นั่งก่นด่าอยู่ข้างหูอย่างไรอย่างนั้นหญิงสาวเหลือบมองไปทางด้านนอกประตู ก่อนจะค่อยๆ ประคองร่างบนเตียงให้เอนลงนอน “เจ้านอนพักไปก่อน รอข้าจัดการธุระแล้วจะมาเช็ดตัวให้”นางกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย ทว่าเซี่ยฉงอวิ๋นกลับรู้สึกหน้าร้อนผ่าว ต่อให้นางเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามา เขาก็รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่ดี แต่ยังไม่ทันเอ่ยปฏิเสธผู้พูดก็ก้าวเท้าหายลับออกจากห้องไปแล้วเยว่อวิ๋นได้ยินเสียงเมื่อครู่ ก็พอนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว นางแค่ดูจากร่างกายของเด็กๆ กับเซี่ยฉงอวิ๋น ก็พอคาดเดาได้แล้วว่าในยามปกติพวกเขาคงไม่ได้กินอิ่มท้องกันนัก โดยเฉพาะเด็กน้อยเสี่ยวอวี้นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ในยุคสมัยที่นางจากมา ผู้คนก็มักให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเช่นกัน ตัวยายเฒ่าเซี่ยเองก็ดูไม่ใช่ผู้อาวุโสที่
นี่ใช่นางเด็กบ้านเยว่ที่ตนเคยเจอจริงน่ะหรือแม่เฒ่าเซี่ยเบิกตากว้างมองคนตรงหน้า อีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย คำพูดที่ฉาดฉานแสดงออกถึงความมั่นใจ การกระทำท่าทางทุกอย่างล้วนสง่างาม แฝงด้วยไปกลิ่นอายข่มขวัญกดดันผู้คน แม้แต่ฮูหยินนายอำเภอที่นางเคยได้เห็นไกลๆ ก็ยังไม่อาจเทียบได้“เจ้าต้องการอะไร” แม่เฒ่าเซี่ยถาม ตอนนี้นางรู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ตัวเองยอมรับการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว เด็กนี่เลวร้ายยิ่งกว่าย่าของมันเสียอีก“ข้าต้องการแยกบ้านเจ้าค่ะ”“แต่ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้คิดว่าจะ… อะไรนะ!” แม่เฒ่าเซี่ยเกือบจะคิดว่าตนเองหูฝาดไปแล้ว นางตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง ประกายความยินดีแทบจะล้นปรี่ออกมาจากเบ้าตาที่นางกัดฟันยอมรับเงื่อนไขของยายแก่เยว่ก็เพื่อการนี้ไม่ใช่หรือ!“สกุลเซี่ยของเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่เอาเถอะในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็ไม่ขัดขวาง นับจากวันนี้พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ ส่วนเสบียงอาหารข้าได้จัดแจงไว้ให้แล้ว นี่เงินห้าตำลึงมอบให้เจ้าไว้เป็นค่าใช้จ่าย เมื่อแยกบ้านแล้วก็เก็บไว้ให้ดีๆ”แม้แม่เฒ่าเซี่ยจะคิดแยกครอบครัวลูกชายคนรองออกไป แต่ในใจนางก็ยังคิดยึดจับพวกเขาไว้ไม่ปล่อย วันนี้ที่มาตั
เยว่อวิ๋นมองตามหลังแม่สามีที่เดินจากไปจนลับตา จึงไม่พลาดสีหน้าท่าทางทั้งหมดของอีกฝ่าย ทว่านางไม่คิดแยแสแต่อย่างใด คนอย่างแม่เฒ่าเซี่ยยิ่งอ่อนข้อให้ก็มีแต่จะยิ่งได้ใจเท่านั้นร่างบางหันหลังเดินกลับมุ่งหน้าไปยังห้องนอนที่สามพ่อลูกอยู่ หากรอพวกเขาจนปรึกษากันเสร็จ เงินนี่คงถูกเรียกร้องขอคืนเป็นแน่ เพราะฉะนั้นที่ควรทำก็ควรรีบ“ท่านแม่” พอเห็นนางเปิดประตูเดินเข้ามา ใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวอวี้ก็เผยรอยยิ้มหวานออกมาทันทีเนื่องจากเยว่อวิ๋นให้นางกินอาหาร แล้วยังช่วยเหลือนางกับพี่ชายไม่ให้ถูกผู้เป็นย่าทุบตี ในใจเด็กหญิงจึงเชื่อมั่นและรู้สึกดีกับมารดาคนใหม่เป็นอย่างมาก“ท่านแม่ ท่านย่าไม่ได้ตีท่านใช่ไหมเจ้าคะ” เสี่ยวอวี้รีบถามอย่างเป็นห่วง เด็กหญิงรู้ดีว่าท่านย่าของตนเป็นคนใจร้าย ท่านแม่ขัดใจนางเช่นนี้มีหรือนางจะไม่ทำอะไรเด็กน้อยวิ่งมาหยุดเบื้ิองหน้าเยว่อวิ๋น พลางเอียงศีรษะมองสำรวจร่างกายเยว่อวิ๋นด้วยดวงตากลมโตแวววาวเหมือนลูกแมว“ข้าไม่เป็นอะไร” เยว่อวิ๋นชะงักเล็กน้อยกับคำเรียกขานอันสนิทสนม นางเป็นคนความรู้สึกไว จึงรับรู้ได้ว่าความห่วงใยที่เจ้าตัวเล็กแสดงออกมานั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน นี่เป็นสิ่งที
ฟังเสียงร้องที่ดังแต่ไร้ความจริงใจ มุมปากเยว่อวิ๋นคล้ายจะกระตุกเล็กน้อยกับความปลอมของอีกฝ่าย นางกับเซี่ยหู่ขึ้นเกวียนไปรอรับร่างสามี ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ“ออกเดินทางกันเถอะพี่ต้าจวง”แม่เฒ่าเซี่ยถูกเมินเฉยจนตั้งตัวไม่ติด นางคิดไว้แล้วว่าหากถูกเยว่อวิ๋นด่าทอลงมือ ก็จะร้องร่ำไห้คุกเข่าสำนึกผิดตรงนี้ หรือว่าหากอีกฝ่ายห่วงหน้าตาไม่ทำอะไรตัวเอง ก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ติดตามไปด้วยทว่าคิดเสียเยอะแยะกลับไม่เป็นอย่างใจ ความจริงไหนเลยเยว่อวิ๋นจะหันมาสนใจนาง อีกฝ่ายไม่แม้จะมองดูนางด้วยซ้ำ“หยุดนะ!” เห็นเซี่ยต้าจวงทำท่าจะบังคับเกวียนออก แม่เฒ่าเซี่ยก็รีบโดดไปจับเกวียนไว้ทันที ทว่ายังไม่ทันได้แตะถูก วัตถุสีดำบางอย่างก็พุ่งกระทบถูกมือนางเสียก่อน แม่เฒ่าเซี่ยพลันเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมา“โอ๊ย!”เยว่อวิ๋นไม่สนท่าทีเจ็บปวดของแม่เฒ่าเซี่ยสักนิด นางหลุบมองก้อนหินเล็กๆ ในมือตัวเองพลางขมวดคิ้วแน่น หญิงสาวครุ่นคิดอย่างหงุดหงิดว่าหากเซี่ยซื่อยังกล้าสร้างความวุ่นวายอีกนางจะดีดลูกหินใส่ดวงตาแม่สามีให้บอดเสียเลย ต่อไปจะได้ไม่ต้องออกจากบ้านมาสร้างความรำคาญให้นางอีกทว่าคิดยังไม่ทันลงมือ เซี่ยฉงอวิ๋นก็ยื่
“ท่านแม่ เรื่องนี้ข้าผิดเองขอรับ เป็นเพราะข้าเปิดประตูให้พวกท่านย่าจึงทำให้เกิดเรื่องขึ้น ข้าผิดไปแล้วขอรับ” ต้าเป่าเอ่ยรับผิด เด็กชายกล่าวต่อ “ท่านแม่ ท่านลงโทษข้าเถอะขอรับ”เยว่อวิ๋นไม่ได้พูดอะไรอีก นางเพียงหรี่เปลือกตาลงต่ำพลางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง“ดีนี่ ปกป้องความผิดกันเอง แล้วโกหกข้าสีหน้าไม่เปลี่ยน ช่างเถอะ ข้าคงลงโทษพวกเจ้าไม่ไหวหรอก”ต้าเป่าได้ยินก็ตกตะลึงอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่ามารดารู้ได้อย่างไรว่าตนเองโกหก แต่ฟังจากน้ำเสียงเขาสัมผัสได้ว่าคราวนี้ท่านแม่มีโทสะแล้วจริงๆแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้าเป่าไม่ได้รู้สึกไปเอง เยว่อวิ๋นโกรธแล้วจริงๆ พี่น้องรักใคร่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การที่อีกฝ่ายโกหกก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเช่นกันอ่างน้ำที่ยังไม่ได้เทน้ำทิ้งกับเซี่ยฉงอวิ๋นในเสื้อผ้าชุดใหม่ ทำให้เยว่อวิ๋นคาดเดาได้ว่าต้าเป่าน่าจะเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับบิดาอยู่ ส่วนเสี่ยวอวี้ที่ไม่เคยเห็นหมูป่ามาก่อนก็น่าจะออกมาดูมัน จากนั้นคนบ้านใหญ่ที่ได้ยินว่านางจับหมูป่าได้ก็น่าจะมาเพื่อส่วนแบ่งต้าเป่าอยู่ข้างในด้านนอกมีเพียงเสี่ยวอวี้ เด็กหญิงถูกคนบ้านใหญ่ทำร้ายมานาน มีความเกรงกลัวซึมลึกถึง
เยว่อวิ๋นใช้ไม้กระบองในมือส่งบ้านใหญ่ออกไป เซี่ยต้าจวงที่เลี่ยงออกมาเห็นว่าพวกเขาจากไป ก็รีบกลับมาจัดการร่างหมูป่าตามความตั้งใจเดิม โดยไม่สนใจจะถามถึงเรื่องที่นางทุบตีคนสักนิดแม้เซี่ยต้าจวงจะเป็นคนซื่อทว่าเขาไม่ได้โง่ ที่ผ่านมาอาสะใภ้สี่ถือดีว่าพวกเขาทำอะไรนางไม่ได้ เอาเปรียบบิดาเขาสร้างปัญหาให้ไว้เว้นวันมายามนี้ในใจเซี่ยต้าจวงจึงคิดเพียงว่าภรรยาฉงอวิ๋นตีได้ดีนัก เหมาะแล้ว สมควรยิ่งคนอย่างอาสะใภ้สี่ก็สมควรต้องเจอแบบนี้แหละ!“น้องสะใภ้ เจ้าจะให้เก็บส่วนไหนไว้หรือไม่” เซี่ยต้าจวงยกร่างหมูป่ามาล้างน้ำเสร็จก็หันมาถามเยว่อวิ๋นเยว่อวิ๋นคิดเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้เซี่ยต้าจวงตัดส่วนที่นางต้องการเก็บไว้ ด้วยความชำนาญของอีกฝ่าย ไม่นานส่วนที่ต้องการก็ถูกชำแหละออกมาตามที่ต้องการเห็นดังนั้นเยว่อวิ๋นจึงเดินไปเปิดประตูรั้วออกกว้าง ให้ชาวบ้านที่ต้องการซื้อเนื้อหมูป่าเข้ามาได้หลายคนที่รอด้านนอกพอเห็นประตูเปิด ก็รีบพากันกรูเข้ามาทันที เนื้อหมูป่าได้มายากกว่าหมูบ้าน อีกทั้งเยว่อวิ๋นก็ยังขายให้ในราคาที่ถูกกว่าอีกด้วย ทำให้เยว่อวิ๋นถูกรุมล้อมจนหัวหมุน“พี่สะใภ้ พวกข้ามาช่วยแล้วเจ้าค่ะ” ในขณะที่กำลังยุ่
“หยุดนะ! แข็งข้อแล้ว! สะใภ้รองเจ้าคิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ!” แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกหลานตัวเองที่ถูกตีจนดิ้นพล่านกับพื้นพลางกรีดเสียงร้องโหยหวนเยว่อวิ๋นไม่สนใจเสียงสาปแช่งของแม่เฒ่าเซี่ย และยิ่งไม่คิดใส่ใจต่อเสียงก่นด่าของคนที่ถูกนางตี นางเตะพวกเขามานอนเรียงรายกันบนพื้น แม้แต่เซี่ยจินกับอู๋ซื่อที่พยายามลดการมีอยู่ของตัวเองสุดชีวิตแล้ว ก็ยังถูกนางสังเกตเห็นและลากจับมารวมกลุ่มทุบตี“เซี่ยหู่ เจ้าไปตามหมอจางมาที พี่ต้าจวงข้ารบกวนพี่ออกไปเฝ้าประตูไว้ให้ทีนะเจ้าคะ เพราะอีกเดี๋ยวคนที่จะมาซื้อเนื้อหมูป่าคงจะมากันแล้ว”เซี่ยหู่หรือจะกล้าขัดขืน เขาเห็นสภาพบ้านสี่แล้วยังนึกสยดสยองไม่หาย ไม่รอให้เยว่อวิ๋นเอ่ยซ้ำเป็นรอบที่สอง ก็ออกวิ่งสุดฝีเท้าตามคำสั่งแต่โดยดีทันที“เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปดูคนให้นะ” เซี่ยต้าจวงกล่าวอย่างอึกอัก พยายามหลบเลี่ยงสายตาขอความช่วยเหลือของแม่เฒ่าเซี่ยสุดชีวิต พลางก่นว่าน้องชายที่ตัดช่องน้อยเอาตัวรอดคนเดียวในใจไม่หยุด“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ ก่อกบฏงั้นสินะ” เยว่อวิ๋นพลันรู้สึกขันจนพูดไม่ออก ชาติที่แล้วนางก็ตายตกด้วยข้อหานี้มิใช่หรือ “ข้าก่อกบฏอย่างไร พวกเจ้าเป็นเชื้อพร
มุมปากแม่เฒ่าเซี่ยเบี้ยวไปชั่วขณะ คล้ายคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้“จะ เจ้า เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโส” กล่าวจบนางก็ทำท่าจะหวีดร้องโวยวาย ทว่ากลับเห็นเยว่อวิ๋นหมุนร่างไปสั่งเซี่ยหูเสียก่อน“ปิดประตูซะ”เซี่ยหู่ที่ตามหลังมาพลันสะดุ้งเฮือก เขาสบสายตาเย็นชาของเยว่อวิ๋นแล้วรีบปิดประตูรั้วเสียงดังโครมโดยไม่ต้องให้เอ่ยย้ำ“สะ… สะใภ้รองเจ้าคิดจะทำอะไร” แม่เฒ่าเซี่ยข่มความหวาดกลัวพลางถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหว“ฝีมือใคร” เยว่อวิ๋นไม่ได้ตอบคำถามของแม่เฒ่าเซี่ย ทว่ากลับเดินไปหยุดตรงหน้าเด็กสองคน พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้ากลมเล็กของเสี่ยวอวี้เบาๆ “ใครเป็นคนทำ”เสี่ยวอวี้อยู่ร่วมกับเยว่อวิ๋นจนคุ้นชินแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่ลึกถึงกระดูก เด็กหญิงพลันบังเกิดความหวาดกลัวในตัวอีกฝ่ายอย่างไร้สาเหตุ“ซะ… เซี่ยเสี่ยวเกอ กะ กับท่านอาเล็กเจ้าค่ะ”พอเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามา เซี่ยเสี่ยวเกอก็โวยวายจะเอาขนมในมือนาง พอนางไม่ยอมให้ท่านอาเล็กที่เดินตามมาก็ตบหน้านาง คิดแล้วเสี่ยวอวี้ก็ดวงตาแดงก่ำ น้ำใสๆ ร่วงหล่นราวสายน้ำหลากตั้งแต่แยกครอบครัวมา เสี่ยวอวี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เยว่อวิ๋นอย่าว่าแต
เกิดเติบโตมายี่สิบกว่าปี ครั้งแรกที่รู้สึกสนใจสตรีนางหนึ่ง ก็พบว่าหนทางเชื่อมหาคนถูกปิดตายหมดเสียแล้ว กู้เหยียนเซียวพลันส่ายหน้าจนใจบนถนนที่ขรุขระมีเสียงฝีเท้าและลมหายใจของม้าดังให้ได้ยินเป็นระยะ จึงไม่มีใครสังเกตถึงเสียงถอนลมหายใจอ่อนเบาของใครบางคนช่างน่าเสียดาย…เยว่อวิ๋นที่กำลังดีใจไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังนึกเสียดายโชคชะตาที่มาช้าไปนี้หญิงสาวกลับเข้าห้องไปบอกเรื่องราวกับเซี่ยฉงอวิ๋น ถึงกำหนดการผ่าตัดขาของเขาในวันพรุ่งนี้อย่างอารมณ์ดีหลังจากพูดคุยกับสามีเรื่องเดินทางไปหงจือหลินวันพรุ่งนี้จบ เยว่อวิ๋นก็เข้าครัวจัดการอาหารมื้อเช้าของครอบครัวอย่างเรียบง่าย ก่อนจะสะพายตะกร้ามุ่งหน้าขึ้นภูเขา โดยทิ้งให้ต้าเป่ากับเสี่ยวอวี้คอยอยู่ดูแลบิดาช่วงที่ผ่านมาเยว่อวิ๋นฟื้นร่างกายกลับมาจนเกือบเป็นปกติแล้ว การขึ้นภูเขาจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่อย่างใด นางใช้เวลาเดินเท้าเพียงไม่นานก็มาถึงหลุมกับดักสัตว์เพราะที่บ้านไม่ได้ขาดแคลนเนื้อสัตว์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เยว่อวิ๋นที่มีเรื่องให้ต้องจัดการมากมายในแต่ละวัน จึงแวะเวียนมาดูสัตว์ในหลุมสองถึงสามวันต่อครั้งเท่านั้นเสียงกู่ร้องของสัตว์บาดเจ็บดังกั
ต้นยามเหม่า[1] ท้องฟ้ายังมืดสลัวไม่สว่างดี เยว่อวิ๋นที่ตื่นมาล้างหน้าล้างตาแต่เช้า ก็พาสองซาลาเปาน้อยออกมาฝึกร่างกายเหมือนทุกทีหลายวันมานี้ช่วงเช้าเยว่อว๋นจะพาทั้งคู่ออกมาฝึกท่านั่งม้าตลอด จากที่แรกๆ เคยยืนขาสั่นตัวเอียง ยามนี้แม้แต่เสี่ยวอวี้น้อยก็สามารถยืนได้มั่นคงแล้ว“ท่านแม่ ครบชั่วยามหรือยังขอรับ” ต้าเป่าร้องถามมารดา ใบหน้าน้อยๆ ผุดไรเหงื่อชื้นไม่ต่างจากน้องสาวเยว่อวิ๋นมองแขนที่เริ่มตกกับขาที่เริ่มสั่นเพราะความล้าแล้วอมยิ้มเล็กน้อย ความจริงยังขาดไปอีกสองเค่อ แต่หญิงสาวก็พยักหน้าให้บุตรชาย“ต้าเป่ามานี่สิ” เยว่อวิ๋นก้าวมาหยุดยืนหน้าเสาไม้ต้นหนึ่งในลาน ซึ่งเสาไม้เหล่านี้ล้วนเป็นนางที่นำมาปักไว้ทั้งสิ้น“ขอรับ” ต้าเป่าได้ยินก็รีบวิ่งมาตามคำสั่งทันที เสี่ยวอวี้เห็นดังนั้นก็วิ่งตามพี่ชายมาอีกคน“เมื่อวานแม่บอกจะสอนวิชาหมัดให้เจ้า จำได้ไหม”“จำได้ขอรับ” เด็กชายรับคำดวงตาเป็นกายยินดี ต่อให้มีนิสัยสุขุมแค่ไหนอย่างไรเสียก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง เยว่อวิ๋นพาเขาฝึกท่านั่งม้ามาหลายวัน ต้าเป่าที่ไม่เข้าใจว่านี่คือการฝึกพื้นฐานก็อดเบื่อไม่ได้อยู่ดี“วิชานี้ชื่อว่าวิชาหมัดเหล็ก เดิมทีเจ้าของวิชาไ
นับว่าเป็นความโชคดีของสวีเหยา ที่เสียงคำรามของนางถูกข่มกลั้นไว้แค่ในลำคอ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเยว่อวิ๋นได้ยินคงหันกลับมาประเคนฝ่าเท้าให้นางอีกทีเป็นแน่เห็นว่าไม่มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว บรรดาชาวบ้านมุงก็พากันแยกย้ายสลายตัว ในลานบ้านที่เงียบสงัดจึงเหลือเพียงแม่ลูกสกุลจางกับสวีเหยาและเซี่ยหว่านหรูหลัวซื่อคิดถึงเงินห้าตำลึงที่จะต้องเสีย ในใจเจ็บปวดแทบหลั่งเลือด นางนึกก่นด่าตัวเองเป็นร้อยรอบ ว่าทำไมตอนที่เยว่อวิ๋นมาพูดเรื่องบุตรชายรุมทุบตีต้าเป่า ตัวเองถึงได้ไปยั่วโมโหอีกฝ่ายจนเรื่องราวลุกลามใหญ่โตเช่นนี้กันมาถึงตอนนี้ต่อให้ยอมรับผิดก็ไร้ประโยชน์แล้ว คิดถึงใบหน้าสามีหลังรู้ว่านางทำให้ต้องเสียเงินถึงห้าตำลึง หลัวซื่อก็แทบร่ำไห้ออกมาเป็นสายเลือด พอเห็นสวีเหยากับเซี่ยหว่านหรูความขุ่นเคืองก็ยิ่งพุ่งสูงจนไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เห็น“เพราะเจ้า…” หลัวซื่อกัดฟันคำรามลั่น นางอยากวิ่งเข้าไปตบคนตรงหน้าสักหลายที ทว่าถึงสวีเหยาจะเป็นลูกของน้องสาวสามี แต่หลัวซื่อก็รู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์ไปตบตีอีกฝ่าย นางจึงได้แต่หันหน้าหนี ถือคติตามองไม่เห็นใจก็ไม่คิดเสียทว่าพอหันหนีมาอีกด้านสายตาก็พลันสบกับเซี่ยหว่านหรู ในใจ
เยว่อวิ๋นไม่รู้ความคิดของคนเหล่านี้ หากนางรู้คงปรบมือให้พวกเขาแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า ‘ยินดีด้วย พวกเจ้าเดาถูกแล้ว’ เป็นแน่ถูกแล้ว นางจงใจพูดทำลายชื่อเสียงเซี่ยหว่านหรู ก็แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่ออีกฝ่ายป่าวประกาศไปทั่วว่านางคบชู้ แล้วทำไมนางจะโยนคำว่าบ้าผู้ชายใส่ศีรษะอีกฝ่ายบ้างไม่ได้ล่ะโดนตบแก้มซ้ายแล้วยังจะให้ยื่นแก้มขวาให้โดยไม่ตีคืนงั้นหรือ เฮอะ! ฝันไปเถอะ นางไม่ใช่พระโพธิสัตว์เสียหน่อย!ผู้ใหญ่บ้านเองก็คิดไม่ต่างจากคนอื่น แต่เขาก็เห็นด้วยกับที่เยว่อวิ๋นบอกเหมือนกัน จึงหันไปถามกับหลัวซื่ออีกครั้ง“หลัวซื่อ ที่เถี่ยตั้นพูดมาทั้งหมด ที่แท้มาจากตัวเจ้าเองที่กล่าวใช่หรือไม่!”หลัวซื่ออ้าปากอึกอัก นางไม่คิดว่านิสัยพูดไม่คิดของเซี่ยหว่านหรูจะเปิดเผยความผิดพลาดของตัวเองออกมาในเวลานี้ ยิ่งเห็นใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของผู้ใหญ่บ้าน คำพูดบอกปัดที่คิดเอาไว้ก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก“ข้า…”“ในฐานะสตรีคนหนึ่ง ชื่อเสียงถือได้ว่าสำคัญยิ่งกว่าชีวิต การปล่อยข่าวลือเช่นนี้ออกมา ก็เหมือนกับคนผู้นั้นต้องการฆ่าข้า หากวันนี้เรื่องราวไม่กระจ่าง ข้าจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่ว่าการ” ก่อนที่หลัวซื่อจะพูดต่อ เสียงราบ