ทางที่ดีให้เขาบาดเจ็บหรือพิการจนต้องนอนเตียงไปทั้งชีวิตเลยก็ได้ สามีคนเดียวนางเลี้ยงไหวอยู่แล้ว แม้จะมีซาลาเปาน้อยแถมมาด้วยก็ไม่เป็นไรนางไม่ถือสา แต่ขออย่าได้ลุกขึ้นมายุ่มย่ามวุ่นวายกับนางเชียวล่ะ
เพราะถ้าไม่อย่างนั้นนางคงไม่ลังเลที่จะส่งเขาลงไปพบกับเหยียนหลัวหวางก่อนเวลาเป็นแน่!
เยว่อวิ๋นนอนนิ่งใช้ความคิดเมินเฉยต่อความวุ่นวายรอบตัวอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะได้ยินเสียงคนร้องตะโกนขึ้นว่าขบวนรับตัวเจ้าสาวมาถึงแล้ว
หลังจากนั้นร่างกายก็ถูกคนจับพยุงให้ลุกขึ้นนั่ง พอหันไปมองก็เป็นหลิวซื่อมารดาราคาถูกของร่างเดิมนั่นเอง นางหลับตาพลางสูดลมหายใจเข้าลึก อาการปวดทั้งหลายพอบรรเทาลงบ้างแล้ว ทว่าอาการวิงเวียนศีรษะยังคงหนักอยู่
เสียงท้องร้องดังโครกคราก ความรู้สึกหิวจนแสบท้องเช่นนี้ไม่ดีเอาซะเลย แต่น่าเสียดายบ้านสกุลเยว่มีแต่สัตว์ร้ายที่ล้วนหวังขย้ำกัดกินเลือดและเนื้อนาง จึงไม่มีใครให้ความสนใจว่านางจะได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า
คนจากบ้านเซี่ยมารับตัวเจ้าสาวอย่างเรียบง่าย พวกเขามาถึงก็ไม่พูดมากวาจา ตรงเข้าไปจับเจ้าสาวขึ้นเกวียนลา เสร็จแล้วก็หันเกวียนออกรีบเร่งฝีเท้าเดินทางในทันที
แน่นอนว่าที่คนพวกนี้ทำแบบนี้ย่อมมีเหตุผล นั่นก็เพราะแม่เฒ่าเยว่เป็นคนร้ายกาจโลภมากและเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด
นางไม่อยากคืนสินสอดของหมั้นให้บ้านเซี่ย จึงออกอุบายความคิดให้เยว่อวิ๋นแต่งออกไปแทนเยว่เจินเจิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่คิดใช้อุบายเล่นตัวเพื่อเรียกค่าสินสอดเพิ่มอีก ยิ่งโดยเฉพาะยามนี้ที่บุตรชายคนรองบ้านเซี่ยกลายเป็นคนพิการไร้ประโยชน์ไปแล้ว
ส่วนทางแม่เฒ่าเซี่ยเองก็หาใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน [1] นิสัยของนางนั้นร้ายกาจพอฟัดพอเหวี่ยงกับแม่เฒ่าเยว่ มีหรือจะคาดเดาลูกไม้ตื้นๆ เหล่านี้ไม่ออก จึงลอบสั่งกำชับบุตรชายคนโตที่นำคนไปรับตัวเจ้าสาวให้ทำตามที่นางบอก เพื่อป้องกันหญิงชราหน้าเลือดบ้านเยว่ถือโอกาสสูบเลือดสูบเนื้อพวกนาง
ดังนั้นเมื่อขบวนรับเจ้าสาวมาถึง แม่เฒ่าเยว่ยังไม่ทันได้เริ่มแผลงฤทธิ์ คนก็กรูกันเข้ามา จากนั้นพริบตาก็เผ่นหายไปไม่เห็นฝุ่นเสียแล้ว เห็นว่าทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แม่เฒ่าเยว่จึงได้แต่ร้องก่นด่าสาปแช่งไล่หลังอย่างฉุนเฉียว
“พวกผีอายุสั้นนี่รีบร้อนไปไหนกัน ยายแก่บ้านเซี่ยคงสั่งให้ทำแบบนี้สินะ เฮอะ! คนอย่างนางก็แบบนี้แหละ วันๆ ดีแต่วางอุบายใส่ผู้อื่น เห็นอย่างนี้แล้วไม่แปลกใจเลยที่ตาเฒ่าเซี่ยรีบด่วนจากไป ต้องอยู่กับคนแบบนี้จะมีอะไรดี”
พูดจบก็ถ่มน้ำลายไล่หลัง หลายคนมองท่าทางหยาบคายของนางแล้วส่ายหน้า หากจะบอกว่าผู้เฒ่าบ้านเซี่ยทนภรรยาร้ายกาจไม่ไหวจึงรีบด่วนจากไป แล้วผู้เฒ่าเยว่ที่ตายไปตั้งก่อนหลายปีนั้นเล่า
นี่ไยมิใช่จะบอกเป็นกลายๆ ว่าตัวนางนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าแม่เฒ่าเซี่ยอีกหรือ!
แม่เฒ่าเยว่ไม่รู้ความคิดของพวกเขา ทว่านางไม่สบอารมณ์กับสายตาที่มองมา จึงร้องเรียกสะใภ้กับบุตรสาวของตนเข้าบ้านทันที ก่อนจะร้องกราดด่าอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นถังอาหารไก่ที่วางยังมีอาหารข้างในอยู่เต็ม
“สะใภ้รอง! นางตัวขี้เกียจสันหลังยาว ป่านนี้ยังไม่ได้ให้อาหารไก่อีกหรือ! โอ๊ย! นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของข้ากันนะ ถึงต้องมานั่งเลี้ยงดูตัวขาดทุนอย่างพวกเจ้าแม่ลูก”
ลานหน้าบ้านยังมีชาวบ้านหลายคนที่มาเพื่อรอดูเรื่องสนุก พวกเขายืนฟังคำก่นด่าแล้วพากันเบ้ริมฝีปากโดยพร้อมเพรียง บ้านเยว่มีบุตรสามคน คนโตเยว่ฉิน คนรองเยว่หลิน แล้วก็เยว่เจินเจินคนสุดท้อง นับแต่อดีตแม่เฒ่าเยว่ก็ลำเอียงรักลูกชายคนโต เอ็นดูลูกสาวคนเล็ก
เจ้าใหญ่บ้านเยว่ขี้เกียจตัวเป็นขน ที่ผ่านมางานในไร่ในนาล้วนเป็นเจ้ารองเยว่ทำทุกอย่าง ส่วนเยว่เจินเจินยิ่งไม่ต้องพูดถึง วันๆ เอาแต่เดินเฉิดฉาย เชิดหน้าชูคอเสียยิ่งกว่าลูกคุณหนูตระกูลผู้ดีในเมือง
ต่อมาหลังจากเยว่หลินเสียชีวิตลง งานในไร่ในนาก็ถูกเหมาให้กับหลิวซื่อ จนกระทั่งเยว่อวิ๋นเริ่มโตจนรู้ความ นางก็กลายมาเป็นแรงงานในบ้านอีกคน
สตรีสองคนทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้าน ดูแลปรนนิบัติสกุลเยว่ของพวกเขายิ่งกว่าบ่าวรับใช้ โดยเฉพาะเยว่อวิ๋นนั้นน่าสงสารที่สุด นางทำงานหนักแทบตายสุดท้ายยายแก่นี่ก็ยังขายนางให้บ้านเซี่ยเพื่อสินสอด
แม่เฒ่าเยว่กล้าใช้คำว่าตัวเองเป็นคนเลี้ยงดูสองแม่ลูกนี่ ไม่คิดละอายแก่ใจตนเองบ้างหรือ
หลิวซื่อที่อยู่ด้านนอกไม่ได้สนใจฟังคำด่าของแม่สามี และยิ่งไม่ใส่ใจต่อสายตาสงสารที่ทุกคนมองมา นางยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตามองตามหลังกลุ่มคนที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ใบหน้าซีดเซียวนั้นแฝงไปด้วยร่องรอยของความทุกข์ตรม
นางแต่งให้เยว่หลินช่วงแรกๆ นั้นยังพอดีอยู่บ้าง แต่หลังจากคลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิง แม่สามีก็แสดงความไม่พอใจ ไม่ยอมให้นางกินอาหารบำรุงน้ำนม สามีเห็นนางไม่มีนมให้ลูกจึงกัดฟันเข้าป่าหวังหาอาหารมาบำรุง
ทว่าเขาไปแล้วไปลับไม่ได้กลับมาอีกเลย…
เดิมแม่เฒ่าเยว่ก็รังเกียจลูกสาวนางอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อเกิดเรื่องกับบุตรชายคนรองจึงยิ่งเกลียดชังทารกน้อย เอาแต่ด่าว่าทารกน้อยว่าเป็นตัวอัปมงคลเกิดมาก็ทำให้บิดาต้องตาย
หลังจากเยว่หลินเสียชีวิตลง หลิวซื่อก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในบ้านสกุลเยว่ เมื่อคิดถึงสามีที่จากไปก่อนวัยอันควร นางพลันนึกเห็นด้วยกับคำพูดว่าร้ายของแม่สามี การปฏิบัติต่อลูกสาวจึงไร้เย็นชาเยื่อใย นานวันเข้าความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกสาวก็ยิ่งห่างเหินต่อกัน
เดิมทีหลิวซื่อนึกว่าส่งบุตรสาวตัวภาระออกไปตามคำสั่งแม่สามี ตนเองก็จะหมดเรื่องสบายใจได้เสียที คิดไม่ถึงว่าความอึดอัดที่มีภายในใจกลับไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยสักนิด
โดยเฉพาะสายตาเฉยชาราวกับคนแปลกหน้าของบุตรสาวที่สบกันก่อนจะจากไป ยังคงฝังติดตาเป็นภาพจำในใจ หลิวซื่อเกิดความรู้สึกโหวงเหวงขึ้นในอกอย่างบอกไม่ถูก
ราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญได้หลุดลอยจากนางไปเสียแล้ว…
ส่วนทางด้านเยว่อวิ๋นที่กำลังอดทนกับความโคลงเคลงของเกวียนที่นั่ง ไม่ได้ตระหนักถึงความรู้สึกเสียใจของหลิวซื่อแม้แต่น้อย ทว่าต่อให้รับรู้แล้วอย่างไร อย่างไรเสียนางก็ไม่คิดสนใจอยู่ดี
นางปล่อยให้หลิวซื่อได้เป็นคนเลือกแล้ว นับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจนรู้ว่าตนเองสวมร่างของผู้อื่นอยู่ นางก็มอบโอกาสนี้ให้กับอีกฝ่ายมาโดยตลอด
ขอเพียงแค่หลิวซื่อหยิบยื่นความรักความห่วงใยให้แก่ ‘เยว่อวิ๋น’ สักเล็กน้อย เอ่ยปากช่วยพูดหรือแสดงท่าทีปกป้องบ้างสักนิด นางก็จะเคารพกตัญญูต่ออีกฝ่ายเสมือนมารดาและบุตรแท้ๆ
ทว่าน่าเสียดายหลิวซื่อเลือกที่จะละทิ้งบุตรสาวคนนี้อย่างไม่แยแส เช่นนั้นต่อไปในอนาคตหลิวซื่อจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางอีก
เพียงแต่ว่า…
เกวียนลานี้จะย่ำแย่เกินไปหน่อยไหม เยว่อวิ๋นปิดปากอาเจียนแห้งๆ ด้วยความคลื่นไส้ นางถูกกระแทกกระทั้นจนหูอื้อตาลายไปหมด ในใจพลันนึกสบถไม่หยุด
ดีชั่วข้าก็แต่งเข้าบ้านสกุลเซี่ยของพวกเจ้าแล้ว เรื่องง่ายๆ อย่างกับอีแค่การขับเกวียนบรรทุกเจ้าสาว ช่วยทำให้มันดีกว่านี้หน่อยจะได้หรือไม่!
โชคดีที่หมู่บ้านเซี่ยอยู่ห่างจากหมู่บ้านหลินที่ตระกูลเยว่อาศัยอยู่ไม่มากนัก ใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งชั่วยาม [2] กว่าๆ ก็ถึงแล้ว ดังนั้นเยว่อวิ๋นจึงทนทรมานอยู่ไม่นาน
ขณะที่เกวียนที่นางนั่งมาหยุดลง เยว่อวิ๋นก็ให้รู้สึกแปลกใจกับความเงียบตรงหน้าไม่น้อย หญิงสาวอาศัยช่วงเวลาถูกคนพยุงลงสังเกตรอบด้านอย่างรวดเร็ว
เบื้องหน้านางคือบ้านเก่าที่สภาพผุพังขนาดจะถล่มลงมาก็คงไม่น่าแปลกใจ ในขณะที่ส่วนผนังบ้านกระดำกระด่างทั้งยังมีที่ว่างเว้นเป็นรูกว้างในบางแห่ง หากจะบอกว่าเล้าหมูของบ้านเยว่ยังดีกว่าก็เรียกได้ว่าไม่เกินจริงนัก เยว่อวิ๋นมองแล้วอดนึกประหลาดใจไม่ได้
ไหนยายเฒ่าน่าตายนั่นบอกว่าบ้านเซี่ยมีฐานะไม่เลวเลยอย่างไรเล่า แล้วสภาพอัตคัดแลดูแสนจะขัดสนที่เห็นอยู่นี่คืออะไร
“มากันแล้วหรือ เหตุใดจึงไปนานนัก” หญิงชรานางหนึ่งก้าวเข้ามาถาม “ไม่ใช่ข้าสั่งให้รีบไปรีบกลับออกมารึ หรือยายแก่บ้านเยว่รั้งพวกเจ้าเพื่อขอสินสอดเพิ่มอีก ฮึ! ข้านึกไว้แล้วเชียว คนอย่างนางสบช่องมีหรือจะไม่หาโอกาส”
เยว่อวิ๋นฟังแล้วอดนึกขันไม่ได้ คงต้องบอกว่าคนจำพวกเดียวกันมักจะมองกันออกจริงๆ สินะ ขนาดอีกฝ่ายไม่อยู่ในขบวนรับตัวเจ้าสาวแท้ๆ กลับบรรยายการกระทำของแม่เฒ่าเยว่ได้ชัดเจนชนิดตาเห็นเลยทีเดียว ดูท่าแล้วหญิงชราผู้นี้คงเป็นแม่สามีราคาถูกของนางกระมั้ง
[1] เป็นคำอุปมา หมายถึงไม่ใช่คนไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
เยว่อวิ๋นฟังแล้วอดนึกขันไม่ได้ คงต้องบอกว่าคนจำพวกเดียวกันมักจะมองกันออกจริงๆ สินะ ขนาดอีกฝ่ายไม่อยู่ในขบวนรับตัวเจ้าสาวแท้ๆ กลับบรรยายการกระทำของแม่เฒ่าเยว่ได้ชัดเจนชนิดตาเห็นเลยทีเดียว ดูท่าแล้วหญิงชราผู้นี้คงเป็นแม่สามีราคาถูกของนางกระมั้ง“ท่านแม่ พวกข้าไม่ได้เสียเปรียบให้นางเลยขอรับ” เซี่ยจินกล่าวตอบมารดา ก่อนจะกระซิบเล่าเรื่องการพุ่งชนเสาของเจ้าสาวน้องชายให้นางฟังอย่างละเอียดอันที่จริงขบวนรับตัวเจ้าสาวของเขาไปถึงหมู่บ้านไป๋นานแล้ว เพียงแต่มีคนบอกเซี่ยจินว่าเจ้าสาวไม่ยินยอมแต่งงานจึงพุ่งศีรษะชนเสาเพื่อฆ่าตัวตาย พอได้ยินดังนั้นเขาจึงหยุดรั้งขบวนรอที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน ก่อนจะส่งคนไปดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรที่เซี่ยจินทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะมีใจเป็นห่วงหน้าตาคนสกุลเซี่ย เพียงแต่เขาเกรงว่าหากตนไปถึงไว แล้วเยว่อวิ๋นผู้นี้จะถูกยายของนางส่งตัวออกมาในสภาพปางตาย ถึงตอนนั้นพวกเขาคงได้รับเอาตัวภาระเข้ามาเพิ่มอีกเป็นแน่ไปถึงช้าสักหน่อย หากว่าที่เจ้าสาวเกิดตายไปก่อน ก็มีข้ออ้างเปลี่ยนตัวคนแล้ว ระหว่างหลานสาวที่เกลียดชังกับลูกสาวแสนรัก สินเดิมที่ติดตัวมาย่อมแตกต่างกันมากโข คิดถึงตรงนี้แล้วเซี
ยามฟ้าสางรุ่งอรุณมาเยือน แสงอาทิตย์สีทองเริ่มจับขอบฟ้า หมู่สกุณาเริงร่าร้องขับขาน เยว่อวิ๋นถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงพูดคุยเล็กๆ“ท่านพี่ ข้าหิวแล้ว” เสียงที่พอฟังออกว่าเป็นเด็กหญิงดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงตอบกลับจากเด็กชาย “ชู่ เบาๆ นางตื่นแล้ว”เยว่อวิ๋นลืมตาเหม่อมองหลังคาอยู่พักหนึ่ง นางนอนฟังเจ้าของเสียงคุยกัน ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นขึ้นนั่งช้าๆดวงตากลมหรี่มองไปทางที่มาของเสียง เห็นเพียงบานประตูที่ถูกแง้มเปิดไว้เท่านั้น หญิงสาวพลันเลิกคิ้วเล็กน้อยทว่าไม่เอ่ยวาจาเห็นว่าเจ้าของเสียงไม่กล้าปรากฏกาย เยว่อวิ๋นจึงรั้งสายตากลับมายังร่างบุรุษข้างกายพลางย่นจมูกเล็กน้อย กลิ่นเนื้อเน่าที่ลอยปะปนมากับกลิ่นอับชื้น บอกให้รู้ว่าสภาพบาดแผลของคนผู้นี้ย่ำแย่มากแค่ไหนฉับพลันเสียงโครกครากก็ดังจากส่วนกลางลำตัว เยว่อวิ๋นละความสนใจจากสามีหมาดๆ ของตน นางข่มอาการวิงเวียนที่ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเพราะแผลที่ศีรษะหรือความหิวลงท้อง พลางลุกก้าวเดินออกจากห้องอย่างไรเสียก็มีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน หาอะไรกินลงท้องก่อน แล้วค่อยมาดูหน้าสามีที่เพิ่งแต่งกันก็ยังไม่สาย ที่สำคัญนางต้องการดูท่าทีของอีกฝ่ายด้วยอนาคตนางจะช่วยเหลื
“ต้องซาวน้ำล้างเศษดินทิ้งก่อนหุงเจ้าค่ะ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ในกระแสเสียงปะปนด้วยอารมณ์หวาดหวั่นของผู้เป็นเจ้าของเยว่อวิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจบางอ้อขึ้นมาทันที ที่แท้เพราะนางยังไม่ได้ล้างข้าวก่อนนี่เอง สีของน้ำจึงมิต่างจากน้ำโคลนเช่นนี้ หญิงสาวหันไปยิ้มให้เจ้าตัวน้อยที่แอบอยู่ด้านหลังพี่ชาย พลางยกหม้อออกไปล้างเมล็ดข้าวตามคำบอก โดยไม่มีท่าทีเหนียมอายต่อการกระทำผิดพลาดของตนเลยแม้แต่น้อยเสี่ยวอวี้หลบอยู่ด้านหลังพี่ชายฝาแฝด คำพูดที่หลุดออกไปเมื่อครู่ทำให้นางเกิดอาการตื่นตระหนก คิดถึงยามอาหญิงเล็กที่ชอบหยิกตีตนยามไม่พอใจ เด็กหญิงก็ยิ่งหวาดกลัวว่ามารดาคนใหม่อาจไม่ชอบคำพูดที่ตนเองกล่าวออกมาทว่ารอยยิ้มบางของเยว่อวิ๋นเมื่อครู่ ทำให้เด็กหญิงงงงันไปพักหนึ่ง ดวงตาคู่เล็กเบิกกว้างในแววตาผุดประกายวาดหวังบางอย่าง “พี่ชาย ท่านแม่คนใหม่… นางดูใจดีมากเลยเจ้าค่ะ”ผู้เป็นพี่ฟังน้องสาวพูดพร้อมกับดึงชายเสื้อตนแล้วพูดไม่ออก น้องโง่เอ๋ย ผู้อื่นแค่ส่งยิ้มให้เล็กน้อย นางก็มอบป้ายคนดีให้อีกฝ่ายเสียแล้ว ช่าง…ต้าเป่าแม้จะมีอายุแค่ห้าขวบ ทว่าฉลาดเฉลียวมีความคิดเกินเด็กวัยเดียวกัน ก่อนที่พ่อเฒ่าเซี
“เด็กน้อย เจ้าดูไฟเป็นหรือไม่” หญิงสาวถามเบาๆเสี่ยวอวี้ประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักใบหน้ารัวๆ ประดุจไก่จิกข้าวสาร“เป็นเจ้าค่ะ ตั้งแต่เสี่ยวอวี้สี่ขวบก็มีหน้าที่คอยจุดไฟให้ท่านป้าใหญ่อยู่แล้ว” เด็กหญิงบอกน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ขณะทรุดลงนั่งยองๆ หน้าเตาไฟเยว่อวิ๋นหรี่นัยน์ตามองร่างเล็กตรงหน้าอย่างพินิจ ก่อนจะถอนลมหายใจแผ่วเบา เด็กบ้านยากจนจะโตไวกว่าเด็กปกติจริงๆ“พวกเจ้าชื่ออะไร อายุเท่าไรกันแล้ว” จากความชำนาญที่เห็น แสดงว่าเด็กคนนี้น่าจะทำหน้าที่นี้มานานแล้วจริงๆ“ข้าชื่อเซี่ยเสี่ยวอวี้ ส่วนพี่ชายชื่อเซี่ยต้าเป่า อายุห้าปีใกล้จะหกแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวอวี้เงยหน้าขึ้นตอบ เพียงแต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าจะครบหกขวบเดือนไหน เพราะที่ผ่านมาคนในบ้านเซี่ยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้นัก มีเพียงปีก่อนๆ ที่บิดายังไม่ป่วย มักจะไปหาไข่นกมาต้มให้พวกเขากินเป็นพิเศษเท่านั้นคิดถึงรสชาติของไข่นกที่ท่านพ่อเคยแอบให้กินลับหลังท่านย่า รอยยิ้มสดใสก็ปรากฎบนใบหน้าเล็ก ก่อนจะสลดลงในชั่วครู่ น่าเสียดายที่หลังๆ มาท่านพ่อล้มป่วยหนัก อย่าว่าแต่ไข่นกแสนอร่อยที่เคยกินเลย หลายเดือนมานี้ แม้แต่ข้าวต้มข้นๆ สักถ้
ในความคิดของเยว่อวิ๋น เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบเหล่านี้ หากถูกเลี้ยงดูดีๆ มีใครบ้างที่ไม่ขาวอวบนุ่มนิ่มดังเช่นซาลาเปาทว่าน่าเสียดายนัก ลูกเลี้ยงของนางทั้งสองคนกลับเป็นได้แค่หัวไชเท้าน้อยเปื้อนโคลน พวกเขาไม่เพียงมีร่างกายที่ผ่ายผอมแคระแกร็น ทั้งยังเต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลฟกช้ำตามเนื้อตัวชนิดไม่มีที่ว่าง เยว่อวิ๋นที่ปกติเป็นคนอารมณ์ดีเห็นแล้วยังนึกสบถสาปแช่งคนสกุลเซี่ยด้วยความรังเกียจไปหลายต่อหลายรอบโดยเฉพาะเซี่ยซื่อแม่สามีราคาถูกของนางหากเป็นคนอื่น แม้จะรังแกสองพี่น้องก็ยังพอจะมองข้ามไปได้บ้าง เพียงแต่ตัวแม่เฒ่าเซี่ยนั้นเป็นมารดาของเซี่ยฉงอวิ๋น เด็กสองคนนี้ก็คือสายเลือดแท้ๆ ของนาง เหตุใดจึงปล่อยปละละเลยทิ้งขว้างได้ถึงเพียงนี้เล่าคิดแล้วเยว่อวิ๋นก็ได้แต่ถอนลมหายใจให้กับชะตาชีวิตของเด็กน้อย เอาเถอะ นางตอนนี้มีศักดิ์ฐานะเป็นมารดาของอีกฝ่ายแล้ว ต่อไปภายหน้าก็ค่อยๆ ดูแลกันไปก็แล้วกันในอดีตเยว่อวิ๋นใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพ แม้จะไม่สันทัดในเรื่องการทำอาหาร แต่ด้านการใช้ชีวิตประจำวันนั้นไม่ถือว่าแย่ หญิงสาวพลิกเสื้อคลุมอังไฟไปมาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ยามส่งเสื้อคืนให้แก่เจ้าของ ข้าวต้มในหม้อก็เริ่
เยว่อวิ๋นนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าหัวไชเท้าน้อยที่นางกำลังคิดเลี้ยงดูนั้น กำลังวางแผนที่จะเลี้ยงดูนางในอนาคตเช่นกันเนื่องจากฟ้าด้านนอกยังสว่างไม่มากนัก ภายในห้องมีเพียงเแสงสว่างสลัวๆ เมื่อรวมกับกลิ่นอับชื้นอากาศจึงไม่น่าพิสมัยนัก เยว่อวิ๋นพลันขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะถือชามข้าวต้มเดินเข้าในห้องคนบนเตียงยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม ลมหายใจแผ่วเบายากจะสังเกตก็ยังไม่แปรเปลี่ยน ทว่าเยว่อวิ๋นกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังหลับอย่างท่าทางที่แสดงออก“ข้านำข้าวต้มมาให้” นางกล่าวพลางกวาดสายตาไปรอบห้อง “ยาของเจ้าเล่า ไม่มีงั้นหรือ”บนโต๊ะด้านนอกไม่มียาวางไว้ นางมองหาดูภายในห้องก็ไม่เห็น อาการของอีกฝ่ายย่ำแย่ขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ามารดาใจดำของเขาไม่คิดเตรียมไว้ให้คำถามถูกตอบกลับมาด้วยความเงียบ บุรุษบนเตียงไม่แม้แต่จะขยับลืมตาด้วยซ้ำ เยว่อวิ๋นเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่กล่าวอะไรต่อ คนผู้นี้คล้ายมีกลิ่นอายต่อต้านผู้อื่นแผ่ออกมาให้สัมผัสได้แต่เดิมนางก็ไม่มีนิสัยชอบเอาหน้าร้อนๆ ของตนไปนาบก้นเย็นๆ ของผู้อื่น [1] อยู่แล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าที่ไม่ยี่หระ ความคิดแวบแรกที่ผุดมาคือ หรือว่านางจะปล่อยให้คนผู้นี้ตายไปเช่นนี้
รอยยิ้มกลบเกลื่อนของเยว่อวิ๋นไม่นับว่าแนบเนียน แต่ตัวเซี่ยฉงอวิ๋นเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ทั้งคู่จึงไม่ทันมองออกถึงความในใจที่ต่างคนก็ต่างซ่อนเก็บไว้“นี่มันอะไรกัน ทำไมข้าวสารกับไข่ถึงได้เหลือแค่นี้!”เสียงร้องตะโกนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เยว่อวิ๋นราวกับได้ย้อนไปวันแรกที่นางฟื้นมาในร่างนี้แล้วมียายแก่แซ่เยว่นั่งก่นด่าอยู่ข้างหูอย่างไรอย่างนั้นหญิงสาวเหลือบมองไปทางด้านนอกประตู ก่อนจะค่อยๆ ประคองร่างบนเตียงให้เอนลงนอน “เจ้านอนพักไปก่อน รอข้าจัดการธุระแล้วจะมาเช็ดตัวให้”นางกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย ทว่าเซี่ยฉงอวิ๋นกลับรู้สึกหน้าร้อนผ่าว ต่อให้นางเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามา เขาก็รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่ดี แต่ยังไม่ทันเอ่ยปฏิเสธผู้พูดก็ก้าวเท้าหายลับออกจากห้องไปแล้วเยว่อวิ๋นได้ยินเสียงเมื่อครู่ ก็พอนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว นางแค่ดูจากร่างกายของเด็กๆ กับเซี่ยฉงอวิ๋น ก็พอคาดเดาได้แล้วว่าในยามปกติพวกเขาคงไม่ได้กินอิ่มท้องกันนัก โดยเฉพาะเด็กน้อยเสี่ยวอวี้นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ในยุคสมัยที่นางจากมา ผู้คนก็มักให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเช่นกัน ตัวยายเฒ่าเซี่ยเองก็ดูไม่ใช่ผู้อาวุโสที่
นี่ใช่นางเด็กบ้านเยว่ที่ตนเคยเจอจริงน่ะหรือแม่เฒ่าเซี่ยเบิกตากว้างมองคนตรงหน้า อีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย คำพูดที่ฉาดฉานแสดงออกถึงความมั่นใจ การกระทำท่าทางทุกอย่างล้วนสง่างาม แฝงด้วยไปกลิ่นอายข่มขวัญกดดันผู้คน แม้แต่ฮูหยินนายอำเภอที่นางเคยได้เห็นไกลๆ ก็ยังไม่อาจเทียบได้“เจ้าต้องการอะไร” แม่เฒ่าเซี่ยถาม ตอนนี้นางรู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ตัวเองยอมรับการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว เด็กนี่เลวร้ายยิ่งกว่าย่าของมันเสียอีก“ข้าต้องการแยกบ้านเจ้าค่ะ”“แต่ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้คิดว่าจะ… อะไรนะ!” แม่เฒ่าเซี่ยเกือบจะคิดว่าตนเองหูฝาดไปแล้ว นางตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง ประกายความยินดีแทบจะล้นปรี่ออกมาจากเบ้าตาที่นางกัดฟันยอมรับเงื่อนไขของยายแก่เยว่ก็เพื่อการนี้ไม่ใช่หรือ!“สกุลเซี่ยของเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่เอาเถอะในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็ไม่ขัดขวาง นับจากวันนี้พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ ส่วนเสบียงอาหารข้าได้จัดแจงไว้ให้แล้ว นี่เงินห้าตำลึงมอบให้เจ้าไว้เป็นค่าใช้จ่าย เมื่อแยกบ้านแล้วก็เก็บไว้ให้ดีๆ”แม้แม่เฒ่าเซี่ยจะคิดแยกครอบครัวลูกชายคนรองออกไป แต่ในใจนางก็ยังคิดยึดจับพวกเขาไว้ไม่ปล่อย วันนี้ที่มาตั
ฟังเสียงร้องที่ดังแต่ไร้ความจริงใจ มุมปากเยว่อวิ๋นคล้ายจะกระตุกเล็กน้อยกับความปลอมของอีกฝ่าย นางกับเซี่ยหู่ขึ้นเกวียนไปรอรับร่างสามี ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ“ออกเดินทางกันเถอะพี่ต้าจวง”แม่เฒ่าเซี่ยถูกเมินเฉยจนตั้งตัวไม่ติด นางคิดไว้แล้วว่าหากถูกเยว่อวิ๋นด่าทอลงมือ ก็จะร้องร่ำไห้คุกเข่าสำนึกผิดตรงนี้ หรือว่าหากอีกฝ่ายห่วงหน้าตาไม่ทำอะไรตัวเอง ก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ติดตามไปด้วยทว่าคิดเสียเยอะแยะกลับไม่เป็นอย่างใจ ความจริงไหนเลยเยว่อวิ๋นจะหันมาสนใจนาง อีกฝ่ายไม่แม้จะมองดูนางด้วยซ้ำ“หยุดนะ!” เห็นเซี่ยต้าจวงทำท่าจะบังคับเกวียนออก แม่เฒ่าเซี่ยก็รีบโดดไปจับเกวียนไว้ทันที ทว่ายังไม่ทันได้แตะถูก วัตถุสีดำบางอย่างก็พุ่งกระทบถูกมือนางเสียก่อน แม่เฒ่าเซี่ยพลันเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมา“โอ๊ย!”เยว่อวิ๋นไม่สนท่าทีเจ็บปวดของแม่เฒ่าเซี่ยสักนิด นางหลุบมองก้อนหินเล็กๆ ในมือตัวเองพลางขมวดคิ้วแน่น หญิงสาวครุ่นคิดอย่างหงุดหงิดว่าหากเซี่ยซื่อยังกล้าสร้างความวุ่นวายอีกนางจะดีดลูกหินใส่ดวงตาแม่สามีให้บอดเสียเลย ต่อไปจะได้ไม่ต้องออกจากบ้านมาสร้างความรำคาญให้นางอีกทว่าคิดยังไม่ทันลงมือ เซี่ยฉงอวิ๋นก็ยื่
“ท่านแม่ เรื่องนี้ข้าผิดเองขอรับ เป็นเพราะข้าเปิดประตูให้พวกท่านย่าจึงทำให้เกิดเรื่องขึ้น ข้าผิดไปแล้วขอรับ” ต้าเป่าเอ่ยรับผิด เด็กชายกล่าวต่อ “ท่านแม่ ท่านลงโทษข้าเถอะขอรับ”เยว่อวิ๋นไม่ได้พูดอะไรอีก นางเพียงหรี่เปลือกตาลงต่ำพลางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง“ดีนี่ ปกป้องความผิดกันเอง แล้วโกหกข้าสีหน้าไม่เปลี่ยน ช่างเถอะ ข้าคงลงโทษพวกเจ้าไม่ไหวหรอก”ต้าเป่าได้ยินก็ตกตะลึงอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่ามารดารู้ได้อย่างไรว่าตนเองโกหก แต่ฟังจากน้ำเสียงเขาสัมผัสได้ว่าคราวนี้ท่านแม่มีโทสะแล้วจริงๆแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้าเป่าไม่ได้รู้สึกไปเอง เยว่อวิ๋นโกรธแล้วจริงๆ พี่น้องรักใคร่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การที่อีกฝ่ายโกหกก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเช่นกันอ่างน้ำที่ยังไม่ได้เทน้ำทิ้งกับเซี่ยฉงอวิ๋นในเสื้อผ้าชุดใหม่ ทำให้เยว่อวิ๋นคาดเดาได้ว่าต้าเป่าน่าจะเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับบิดาอยู่ ส่วนเสี่ยวอวี้ที่ไม่เคยเห็นหมูป่ามาก่อนก็น่าจะออกมาดูมัน จากนั้นคนบ้านใหญ่ที่ได้ยินว่านางจับหมูป่าได้ก็น่าจะมาเพื่อส่วนแบ่งต้าเป่าอยู่ข้างในด้านนอกมีเพียงเสี่ยวอวี้ เด็กหญิงถูกคนบ้านใหญ่ทำร้ายมานาน มีความเกรงกลัวซึมลึกถึง
เยว่อวิ๋นใช้ไม้กระบองในมือส่งบ้านใหญ่ออกไป เซี่ยต้าจวงที่เลี่ยงออกมาเห็นว่าพวกเขาจากไป ก็รีบกลับมาจัดการร่างหมูป่าตามความตั้งใจเดิม โดยไม่สนใจจะถามถึงเรื่องที่นางทุบตีคนสักนิดแม้เซี่ยต้าจวงจะเป็นคนซื่อทว่าเขาไม่ได้โง่ ที่ผ่านมาอาสะใภ้สี่ถือดีว่าพวกเขาทำอะไรนางไม่ได้ เอาเปรียบบิดาเขาสร้างปัญหาให้ไว้เว้นวันมายามนี้ในใจเซี่ยต้าจวงจึงคิดเพียงว่าภรรยาฉงอวิ๋นตีได้ดีนัก เหมาะแล้ว สมควรยิ่งคนอย่างอาสะใภ้สี่ก็สมควรต้องเจอแบบนี้แหละ!“น้องสะใภ้ เจ้าจะให้เก็บส่วนไหนไว้หรือไม่” เซี่ยต้าจวงยกร่างหมูป่ามาล้างน้ำเสร็จก็หันมาถามเยว่อวิ๋นเยว่อวิ๋นคิดเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้เซี่ยต้าจวงตัดส่วนที่นางต้องการเก็บไว้ ด้วยความชำนาญของอีกฝ่าย ไม่นานส่วนที่ต้องการก็ถูกชำแหละออกมาตามที่ต้องการเห็นดังนั้นเยว่อวิ๋นจึงเดินไปเปิดประตูรั้วออกกว้าง ให้ชาวบ้านที่ต้องการซื้อเนื้อหมูป่าเข้ามาได้หลายคนที่รอด้านนอกพอเห็นประตูเปิด ก็รีบพากันกรูเข้ามาทันที เนื้อหมูป่าได้มายากกว่าหมูบ้าน อีกทั้งเยว่อวิ๋นก็ยังขายให้ในราคาที่ถูกกว่าอีกด้วย ทำให้เยว่อวิ๋นถูกรุมล้อมจนหัวหมุน“พี่สะใภ้ พวกข้ามาช่วยแล้วเจ้าค่ะ” ในขณะที่กำลังยุ่
“หยุดนะ! แข็งข้อแล้ว! สะใภ้รองเจ้าคิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ!” แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกหลานตัวเองที่ถูกตีจนดิ้นพล่านกับพื้นพลางกรีดเสียงร้องโหยหวนเยว่อวิ๋นไม่สนใจเสียงสาปแช่งของแม่เฒ่าเซี่ย และยิ่งไม่คิดใส่ใจต่อเสียงก่นด่าของคนที่ถูกนางตี นางเตะพวกเขามานอนเรียงรายกันบนพื้น แม้แต่เซี่ยจินกับอู๋ซื่อที่พยายามลดการมีอยู่ของตัวเองสุดชีวิตแล้ว ก็ยังถูกนางสังเกตเห็นและลากจับมารวมกลุ่มทุบตี“เซี่ยหู่ เจ้าไปตามหมอจางมาที พี่ต้าจวงข้ารบกวนพี่ออกไปเฝ้าประตูไว้ให้ทีนะเจ้าคะ เพราะอีกเดี๋ยวคนที่จะมาซื้อเนื้อหมูป่าคงจะมากันแล้ว”เซี่ยหู่หรือจะกล้าขัดขืน เขาเห็นสภาพบ้านสี่แล้วยังนึกสยดสยองไม่หาย ไม่รอให้เยว่อวิ๋นเอ่ยซ้ำเป็นรอบที่สอง ก็ออกวิ่งสุดฝีเท้าตามคำสั่งแต่โดยดีทันที“เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปดูคนให้นะ” เซี่ยต้าจวงกล่าวอย่างอึกอัก พยายามหลบเลี่ยงสายตาขอความช่วยเหลือของแม่เฒ่าเซี่ยสุดชีวิต พลางก่นว่าน้องชายที่ตัดช่องน้อยเอาตัวรอดคนเดียวในใจไม่หยุด“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ ก่อกบฏงั้นสินะ” เยว่อวิ๋นพลันรู้สึกขันจนพูดไม่ออก ชาติที่แล้วนางก็ตายตกด้วยข้อหานี้มิใช่หรือ “ข้าก่อกบฏอย่างไร พวกเจ้าเป็นเชื้อพร
มุมปากแม่เฒ่าเซี่ยเบี้ยวไปชั่วขณะ คล้ายคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้“จะ เจ้า เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโส” กล่าวจบนางก็ทำท่าจะหวีดร้องโวยวาย ทว่ากลับเห็นเยว่อวิ๋นหมุนร่างไปสั่งเซี่ยหูเสียก่อน“ปิดประตูซะ”เซี่ยหู่ที่ตามหลังมาพลันสะดุ้งเฮือก เขาสบสายตาเย็นชาของเยว่อวิ๋นแล้วรีบปิดประตูรั้วเสียงดังโครมโดยไม่ต้องให้เอ่ยย้ำ“สะ… สะใภ้รองเจ้าคิดจะทำอะไร” แม่เฒ่าเซี่ยข่มความหวาดกลัวพลางถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหว“ฝีมือใคร” เยว่อวิ๋นไม่ได้ตอบคำถามของแม่เฒ่าเซี่ย ทว่ากลับเดินไปหยุดตรงหน้าเด็กสองคน พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้ากลมเล็กของเสี่ยวอวี้เบาๆ “ใครเป็นคนทำ”เสี่ยวอวี้อยู่ร่วมกับเยว่อวิ๋นจนคุ้นชินแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่ลึกถึงกระดูก เด็กหญิงพลันบังเกิดความหวาดกลัวในตัวอีกฝ่ายอย่างไร้สาเหตุ“ซะ… เซี่ยเสี่ยวเกอ กะ กับท่านอาเล็กเจ้าค่ะ”พอเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามา เซี่ยเสี่ยวเกอก็โวยวายจะเอาขนมในมือนาง พอนางไม่ยอมให้ท่านอาเล็กที่เดินตามมาก็ตบหน้านาง คิดแล้วเสี่ยวอวี้ก็ดวงตาแดงก่ำ น้ำใสๆ ร่วงหล่นราวสายน้ำหลากตั้งแต่แยกครอบครัวมา เสี่ยวอวี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เยว่อวิ๋นอย่าว่าแต
เกิดเติบโตมายี่สิบกว่าปี ครั้งแรกที่รู้สึกสนใจสตรีนางหนึ่ง ก็พบว่าหนทางเชื่อมหาคนถูกปิดตายหมดเสียแล้ว กู้เหยียนเซียวพลันส่ายหน้าจนใจบนถนนที่ขรุขระมีเสียงฝีเท้าและลมหายใจของม้าดังให้ได้ยินเป็นระยะ จึงไม่มีใครสังเกตถึงเสียงถอนลมหายใจอ่อนเบาของใครบางคนช่างน่าเสียดาย…เยว่อวิ๋นที่กำลังดีใจไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังนึกเสียดายโชคชะตาที่มาช้าไปนี้หญิงสาวกลับเข้าห้องไปบอกเรื่องราวกับเซี่ยฉงอวิ๋น ถึงกำหนดการผ่าตัดขาของเขาในวันพรุ่งนี้อย่างอารมณ์ดีหลังจากพูดคุยกับสามีเรื่องเดินทางไปหงจือหลินวันพรุ่งนี้จบ เยว่อวิ๋นก็เข้าครัวจัดการอาหารมื้อเช้าของครอบครัวอย่างเรียบง่าย ก่อนจะสะพายตะกร้ามุ่งหน้าขึ้นภูเขา โดยทิ้งให้ต้าเป่ากับเสี่ยวอวี้คอยอยู่ดูแลบิดาช่วงที่ผ่านมาเยว่อวิ๋นฟื้นร่างกายกลับมาจนเกือบเป็นปกติแล้ว การขึ้นภูเขาจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่อย่างใด นางใช้เวลาเดินเท้าเพียงไม่นานก็มาถึงหลุมกับดักสัตว์เพราะที่บ้านไม่ได้ขาดแคลนเนื้อสัตว์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เยว่อวิ๋นที่มีเรื่องให้ต้องจัดการมากมายในแต่ละวัน จึงแวะเวียนมาดูสัตว์ในหลุมสองถึงสามวันต่อครั้งเท่านั้นเสียงกู่ร้องของสัตว์บาดเจ็บดังกั
ต้นยามเหม่า[1] ท้องฟ้ายังมืดสลัวไม่สว่างดี เยว่อวิ๋นที่ตื่นมาล้างหน้าล้างตาแต่เช้า ก็พาสองซาลาเปาน้อยออกมาฝึกร่างกายเหมือนทุกทีหลายวันมานี้ช่วงเช้าเยว่อว๋นจะพาทั้งคู่ออกมาฝึกท่านั่งม้าตลอด จากที่แรกๆ เคยยืนขาสั่นตัวเอียง ยามนี้แม้แต่เสี่ยวอวี้น้อยก็สามารถยืนได้มั่นคงแล้ว“ท่านแม่ ครบชั่วยามหรือยังขอรับ” ต้าเป่าร้องถามมารดา ใบหน้าน้อยๆ ผุดไรเหงื่อชื้นไม่ต่างจากน้องสาวเยว่อวิ๋นมองแขนที่เริ่มตกกับขาที่เริ่มสั่นเพราะความล้าแล้วอมยิ้มเล็กน้อย ความจริงยังขาดไปอีกสองเค่อ แต่หญิงสาวก็พยักหน้าให้บุตรชาย“ต้าเป่ามานี่สิ” เยว่อวิ๋นก้าวมาหยุดยืนหน้าเสาไม้ต้นหนึ่งในลาน ซึ่งเสาไม้เหล่านี้ล้วนเป็นนางที่นำมาปักไว้ทั้งสิ้น“ขอรับ” ต้าเป่าได้ยินก็รีบวิ่งมาตามคำสั่งทันที เสี่ยวอวี้เห็นดังนั้นก็วิ่งตามพี่ชายมาอีกคน“เมื่อวานแม่บอกจะสอนวิชาหมัดให้เจ้า จำได้ไหม”“จำได้ขอรับ” เด็กชายรับคำดวงตาเป็นกายยินดี ต่อให้มีนิสัยสุขุมแค่ไหนอย่างไรเสียก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง เยว่อวิ๋นพาเขาฝึกท่านั่งม้ามาหลายวัน ต้าเป่าที่ไม่เข้าใจว่านี่คือการฝึกพื้นฐานก็อดเบื่อไม่ได้อยู่ดี“วิชานี้ชื่อว่าวิชาหมัดเหล็ก เดิมทีเจ้าของวิชาไ
นับว่าเป็นความโชคดีของสวีเหยา ที่เสียงคำรามของนางถูกข่มกลั้นไว้แค่ในลำคอ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเยว่อวิ๋นได้ยินคงหันกลับมาประเคนฝ่าเท้าให้นางอีกทีเป็นแน่เห็นว่าไม่มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว บรรดาชาวบ้านมุงก็พากันแยกย้ายสลายตัว ในลานบ้านที่เงียบสงัดจึงเหลือเพียงแม่ลูกสกุลจางกับสวีเหยาและเซี่ยหว่านหรูหลัวซื่อคิดถึงเงินห้าตำลึงที่จะต้องเสีย ในใจเจ็บปวดแทบหลั่งเลือด นางนึกก่นด่าตัวเองเป็นร้อยรอบ ว่าทำไมตอนที่เยว่อวิ๋นมาพูดเรื่องบุตรชายรุมทุบตีต้าเป่า ตัวเองถึงได้ไปยั่วโมโหอีกฝ่ายจนเรื่องราวลุกลามใหญ่โตเช่นนี้กันมาถึงตอนนี้ต่อให้ยอมรับผิดก็ไร้ประโยชน์แล้ว คิดถึงใบหน้าสามีหลังรู้ว่านางทำให้ต้องเสียเงินถึงห้าตำลึง หลัวซื่อก็แทบร่ำไห้ออกมาเป็นสายเลือด พอเห็นสวีเหยากับเซี่ยหว่านหรูความขุ่นเคืองก็ยิ่งพุ่งสูงจนไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เห็น“เพราะเจ้า…” หลัวซื่อกัดฟันคำรามลั่น นางอยากวิ่งเข้าไปตบคนตรงหน้าสักหลายที ทว่าถึงสวีเหยาจะเป็นลูกของน้องสาวสามี แต่หลัวซื่อก็รู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์ไปตบตีอีกฝ่าย นางจึงได้แต่หันหน้าหนี ถือคติตามองไม่เห็นใจก็ไม่คิดเสียทว่าพอหันหนีมาอีกด้านสายตาก็พลันสบกับเซี่ยหว่านหรู ในใจ
เยว่อวิ๋นไม่รู้ความคิดของคนเหล่านี้ หากนางรู้คงปรบมือให้พวกเขาแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า ‘ยินดีด้วย พวกเจ้าเดาถูกแล้ว’ เป็นแน่ถูกแล้ว นางจงใจพูดทำลายชื่อเสียงเซี่ยหว่านหรู ก็แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่ออีกฝ่ายป่าวประกาศไปทั่วว่านางคบชู้ แล้วทำไมนางจะโยนคำว่าบ้าผู้ชายใส่ศีรษะอีกฝ่ายบ้างไม่ได้ล่ะโดนตบแก้มซ้ายแล้วยังจะให้ยื่นแก้มขวาให้โดยไม่ตีคืนงั้นหรือ เฮอะ! ฝันไปเถอะ นางไม่ใช่พระโพธิสัตว์เสียหน่อย!ผู้ใหญ่บ้านเองก็คิดไม่ต่างจากคนอื่น แต่เขาก็เห็นด้วยกับที่เยว่อวิ๋นบอกเหมือนกัน จึงหันไปถามกับหลัวซื่ออีกครั้ง“หลัวซื่อ ที่เถี่ยตั้นพูดมาทั้งหมด ที่แท้มาจากตัวเจ้าเองที่กล่าวใช่หรือไม่!”หลัวซื่ออ้าปากอึกอัก นางไม่คิดว่านิสัยพูดไม่คิดของเซี่ยหว่านหรูจะเปิดเผยความผิดพลาดของตัวเองออกมาในเวลานี้ ยิ่งเห็นใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของผู้ใหญ่บ้าน คำพูดบอกปัดที่คิดเอาไว้ก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก“ข้า…”“ในฐานะสตรีคนหนึ่ง ชื่อเสียงถือได้ว่าสำคัญยิ่งกว่าชีวิต การปล่อยข่าวลือเช่นนี้ออกมา ก็เหมือนกับคนผู้นั้นต้องการฆ่าข้า หากวันนี้เรื่องราวไม่กระจ่าง ข้าจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่ว่าการ” ก่อนที่หลัวซื่อจะพูดต่อ เสียงราบ