พอรู้สึกตัวอีกที ฉันก็อยู่ในห้องสีขาว ...ไม่สิเหมือนกับว่าโลกใบนี้ ทั้งพื้นดินและท้องฟ้า ทั้งหมดมันเปลี่ยนเป็นสีขาวหมดเลย ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากฉัน เครื่องเกมที่น่าจะอยู่ติดตัวฉันเองก็ไม่มีด้วย
ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น รอบๆตัวของกรก็มี เหล่าผู้คนในวัยหนุ่มสาวปรากฏขึ้นมามากมาย มีกระทั่งที่สีผิวและเครื่องแบบแตกต่างจากเขา ทั้งที่ใส่ชุดนักเรียนอยู่ ชุดลำลองและชุดแปลกๆที่ไม่รู้จักเองก็มี
โอ๊ะ!!! ทางนั้นมีพี่สาวใส่ชุดมิโกะด้วยหล่ะ!
ไม่นะ! เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!
อย่าปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำสิตัวฉัน ก่อนอื่นเรียบเรียงสถานการณ์ก่อน ใจเย็น〜เข้าไว้〜
ฟู่-ฮ่า... ฟู่-ฮ่า... ฟู่-ฮ่า...
หลังจากกรหายใจเข้า-ออกยาวๆ 3 ครั้ง กรก็ตั้งสติแล้วกลับสู่ความเป็นจริงได้ในที่สุด
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ เท่าที่สังเกตมีแต่พวกหนุ่มสาวอายุประมาณเราหมดเลยแฮะ แต่ก็มีเด็ก ม.ต้น หรือวัยทำงานขึ้นไปอยู่บ้างเหมือนกัน
จะว่าไปแล้ว... ยังไม่เห็นเพื่อนของเราซักคนเลยแฮะ
วูม〜
หลังสิ้นเสียงที่เหมือนกับ Special Effect ในหนังอวกาศ เหล่าเพื่อนร่วมชั้นและนักเรียนในห้องอื่นๆ ทั้งพวกรุ่นพี่และรุ่นน้องในโรงเรียนของกรก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน
〝แฮ่กๆ!!! กร อยู่ไหนหน่ะ อ๊ะ! เจอแล้ว! อยู่นี่เอง... 〞
เสียงของรินที่เหนื่อยหอบกำลังเรียกฉันมาแต่ไกล เพราะความสามารถพิเศษของฉันเลยทำให้แยกเสียงของทุกคนได้จนรู้ที่อยู่หมดแล้ว
แต่เพราะคนมันเริ่มเยอะฉันเลยไม่ได้ฝ่าดงไปหาและคิดที่จะรอทุกคนโผล่ออกมาทั้งหมดก่อนแทน
แต่รินนี่พยายามมาหาฉันแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเลยแฮะ ผิดคาดเลย เริ่มอายแล้วสิ... ขอโทษที่ทำตัวขี้เกียจด้วยนะครับ
〝หวาๆ บรรยากาศแบบนี้มันหลอนสุดๆเลยอ่ะ 〜〞
〝ที่นี่มันที่ไหนกันฟะเนี่ย? 〞
〝ถึงถามแบบนั้นก็เถอะ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ〞
หลังจากนั้นไม่นานพวกเราทั้ง 5 คนก็รวมตัวกันได้ ถึงจะโผล่มาในที่แปลกๆก็เถอะ แต่มีเจ้าพวกนี้อยู่ก็อุ่นใจขึ้นเยอะเลย แล้วเราก็เลยลองคิดหาสาเหตุของสถานการณ์ในปัจจุบัน
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ท่าทางของทุกคนดูกังวลไม่น้อยเลย... ก็แน่หล่ะ อยู่ๆก็มาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้นี่นะ
〝ก่อนอื่นเลย คงไม่มีที่ไหนในโลกมีสภาพเป็นสีขาวล้วนทั้งหมดแบบนี้แน่〞
〝แล้วผมก็คิดว่าไม่มีที่ๆ บรรจุคนได้ขนาดนี้อยู่บนโลกเหมือนกัน〞กรเริ่มเปิดประเด็นก่อนตามด้วยชาญที่สนับสนุนข้อเสนอของกร
อืม... จำนวนเท่าที่สังเกตได้จากการใช้ตาและหู ก็มีประมาณเกือบ 6,000 คนแล้ว นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดเหรอ เยอะไปไหมเนี่ย? แต่ก็อย่างที่ว่ามา ไม่มีที่ๆให้คนอยู่ได้ขนาดนี้หรอก ความเป็นไปได้อื่นงั้นเหรอ…
ไม่อยากจะคิดเลยแหะ แต่ก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แล้วหล่ะ...
〝หรือว่าที่นี่... ต่างมิติ หรือ ต่างโลก งั้นเหรอ?〞
พอฉันพูดแบบนั้นออกมา ดูท่าจะมีคนยอมรับความเป็นจริงนี้ไม่ได้อยู่ คนๆนั้นก็คือ ชาญนั่นเอง
〝ต่างโลกเหรอ? ไร้สาระน่า มันจะเป็นไปได้ยังไง... จะ จริงสิหรือว่านี่เป็นโลกเสมือนจริงที่ไดร์ฟด้วยอุปกรณ์สุดทันสมัยกันหล่ะ? 〞
ข้อสันนิษฐานของชาญนั้นมีความสมเหตุสมผลและสามารถอธิบายได้ตามหลักความเป็นจริงอยู่หรอกนะ
แต่ว่า.....
〝โทษทีนะ แต่ทั้งหมดนี่หน่ะเป็นร่างกายที่มีเลือดเนื้อของแท้เลยหล่ะ... ฉันฟันธงได้เลย...〞
〝อะไรกัน.....〞
〝เห... ความสามารถของนายยังอยู่สินา〜 ค่อยโล่งอกหน่อย〞
ดูเหมือนความสามารถ『สุดยอดการประมวลผล』ของฉันจะมีความน่าเชื่อถือกับชาญในระดับนึงเลยนะเนี่ย แค่คำพูดก็เชื่อฉันซะแล้ว ส่วนอลิซที่รู้ว่าฉันยังคงใช้มันได้ก็รู้สึกโล่งใจแบบสุดๆ รู้สึกภูมิใจขึ้นมานิดๆเลยหล่ะ
〝อา...ฉันเองก็ลองตรวจสอบข้อมูลจากบทสนทนาของคนแถวๆนี้เท่าที่ระยะการรับรู้ของฉันไปถึงมาแล้วหล่ะน่ะ แต่ทั้งหมด 5,743 คนที่ฉันได้ยินหน่ะ ไม่มีใครรู้เรื่องเลยซักนิด ทุกคนสับสนกันหมดเลย..... 〞
〝เพราะงั้นคุณถึงคิดว่านี่เป็น... เรื่องเหนือธรรมชาติอย่างโลกต่างมิติงั้นเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน〞
〝ก็... ทำนองนั้นแหละมั้ง เพราะฉันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ออกแล้วนี่นะ ตอนนี้ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ ที่สำคัญคือ ใครทำ ? ต้องการอะไร ? จะกลับได้ยังไง ? ต่างหากหล่ะ——— อะ อ้าวทุกคนเป็นอะไรเหรอ ?〞
พอมองไปที่หน้าทุกคน ทุกคนดันทำหน้าอึ้งกันหมดซะงั้น
〝สุดยอดเลยนะ กรเนี่ย..... เวลาแบบนี้ยังใจเย็นได้อยู่อีก〞
〝ฮะฮะฮ่ะ....นายเนี่ย ยังพิลึกเหมือนเดิมเลย แต่ก็ทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นเยอะเลยหล่ะ...〞
รินกับอลิซแสดงสีหน้าอุ่นใจและภูมิใจขึ้นมาเมื่อเห็นฉันพึ่งพาได้ ฉันเขินนะพวกเธอ พอเถอะ...
〝ความสามารถของนายนี่มันทำได้ขนาดนี้เลยเหรอฟะ .....นายนี่จะสุดยอดเกินไปแล้วให้ตายสิ〞
〝ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน ผมต้องคิดว่าคุณเพ้อเจ้อแน่ๆ แต่ถ้ากรเป็นคนพูดเองล่ะก็ ผมไม่แปลกใจเลย〞
อืม... ความสามารถของฉันที่ทำให้วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วนี้คงทำให้ทุกคนตะลึงกัน แต่ที่ทุกคนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเป็นเพราะฉันพึ่งพาได้สินะ ฮะฮะ! รู้สึกดีใจสุดๆเลยแฮะที่ฉันมีประโยชน์กับเจ้าพวกนี้
ตู้ม!!!!!!!!
ขณะที่กรกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ก็เกิดเสียงเหมือนกับมีของหนักๆตกลงมาจากที่สูง จนเกิดควันบดบังทัศนวิสัยไปทั่ว แล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนหลังจากควันเหล่านั้นหายไปก็คือ ร่างของชายวัยชราผิวสีขาวที่ดูแล้วคล้ายชาวยุโรป มีผมและหนวดเครายาวเฟิ้ม แต่กลับมีสีขาวส่องประกายงดงาม ขนาดนั้นสูงใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาลูกใดๆที่ทุกคนรู้จัก กำลังนั่งเอามือซ้ายเท้าคางและมืออีกข้างวางพาดด้านข้างนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ทำจากหินอ่อนทั้งอัน การออกแบบคล้ายกับของโรมันโบราณมาก ท่าทางของชายชราที่นั่งอยู่นั้น ช่างดูแข็งแกร่งและน่ายำเกรงอย่างที่สุด สายตาที่มองมายังกรและทุกคนที่อยู่ที่นี้นั้น ราวกับสายตาของคนที่กำลังมองเศษดินหรือมดปลวกบนพื้นยังไงอย่างงั้น เห็นได้ชัดว่าไร้ความสนใจและรำคาญต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแบบสุดๆ
ไอ้แก่นี่.... ทำท่าทางน่ากระทืบชะมัด
เรื่องนั้นช่างมันก่อน แต่ว่าทั้งที่รู้สึกถึงแรงกดทับแท้ๆ แต่กลับสัมผัสร่างของตาแก่ที่นั่งอยู่นั่นไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แล้วแรงกดดันทางจิตใจที่มหาศาลขนาดนี้มันอะไรกันฟะ เหมือนกับถูกทั้งโลกกดทับอยู่อย่างงั้นแหละ เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยแหะ เป็นตัวตนที่ยากจะเข้าใจ....
ไม่สิ... ฉันในตอนนี้ไม่เข้าใจเลยซักนิดเดียว ตัวตนที่เหนือความเข้าใจนั่น อยู่นอกเหนือหลักเหตุและผลไปแล้ว ทฤษฎีที่ฉันรู้ก็ใช้อธิบายอะไรไม่ได้เลยซักนิด และถ้าหากหมอนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์แปลกๆนี้หล่ะก็ ตัวจริงของตาแก่นี่ก็คงจะเป็น...
〖อรุณสวัสดิ์ เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งหลาย ข้าคือคนที่พาพวกเจ้ามายังช่องว่างของมิติแห่งนี้เอง ตัวตนของข้าคือ ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของการปกครองพิภพและดวงดาราทั้งมวล นามของข้าคือ『พระเจ้า』 ยังไงหล่ะ!!!! 〗
ชัดเลย... เอาเถอะก็พอเดาได้อยู่แล้ว เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ ในอนิเมะ เกมหรือนิยายอยู่แล้ว ฉันเลยไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่
อะ อ้าว!? ทุกคนตกใจกันหมดเลยนี่หว่า คนที่ยังใจเย็นอยู่ได้มีไม่ถึง 100 คนด้วยซ้ำ เจ้าพวกนี้เองก็ตกใจเหมือนกัน .....นี่ฉันไม่ปกติงั้นสินะ
หลังจากที่กรกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ ชายชราก็เริ่มพูดอีกครั้ง
〖ข้าจะมิกล่าวเยิ่นเย้อนักหรอก ขอสรุปความเลยแล้วกัน ที่ข้าพาพวกเจ้ามานี้ก็เป็นเพราะว่าจะส่งพวกเจ้าไปยังต่างโล——— 〗
〝ต่างโลกงั้นเหรอ!!!!!!!?〞
อุ๊ป!!!!
ตัวฉันตอบสนองกับคำพูดของไอ้พระเจ้านั่นไปโดยไม่ทันคิดกำลังรีบเอามือปิดปากตัวเองแน่น เป็นการตอบสนองที่เร็วจนแม้แต่พระเจ้าก็ยังต้องตกตะลึง
〖.....ไอ้หนูข้ายังพูดไม่จบ แล้วก็ระวังคำพูดด้วย อยากกลับบ้านเก่านักรึไง 〗พระเจ้าพูดพร้อมกับมองมาทางกรด้วยสายตามีเลศนัย
〝อึก!!! ขะ...ขอโทษครับ ผมตกใจมากไปหน่อย ฮะฮ่ะ! ฮะฮ่ะ! 〞
ตัวฉันที่หัวเราะกลบเกลื่อนการกระทำที่โคตรวู่วามไปแบบนั้น รู้สึกเหมือนกับเพิ่งผ่านสถานการณ์เฉียดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเชียวหล่ะ ทุกคนส่งสายตาเป็นห่วงมาใหญ่เลย โดยเฉพาะรินกับอลิซ
ถ้าเป็นปกติ จังหวะนี้ทุกคนก็จะตะโกนแบบนั้นออกมาพร้อมกันอยู่หรอก แต่ฉันดันมีปฏิกิริยาเร็วที่สุด เพราะมีสุดยอดการประมวลผลเนี่ยสิ
คนอื่นนอกจากเจ้าพวกนี้เลยหันมามองฉันแบบประหลาดๆเต็มเลย... ต้องคิดว่าฉันเพี้ยนแหงๆ
หลังจากที่กรตอบสนองไปแบบนั้น พระเจ้าก็ถอนหายใจอย่างหน่ายๆหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นเสียงบ่นที่ราวกับด่าทอก็มาจากคนจำนวนมากที่อยู่ในที่นั้น ส่งมายังพระเจ้าที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์นั่น
【 พูดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!! 】
【 ไร้สาระน่า! ปล่อยฉันกลับไปนะโว้ย!!!!!!!! 】
【 อย่ามาทำบ้าๆงี้นะเฟ้ย! ไร้เหตุผลชะมัดเลย!!!! 】
【 ปล่อยฉันออกไปนะ! ฉันจะกลับบ้าน!!!!!!!!! 】
เจ้าพวกนี้นี่ไม่ควบคุมอารมณ์เอาซะเลยแฮะ แต่นี่คงเป็นการตอบสนองที่คนปกติเค้าทำกันสินะ... ฉันเองก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันแหละ แต่มันคงไม่ง่ายอย่างงั้นหรอก
〖 พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย!!! อย่าได้เข้าใจผิดไป ข้ามิได้กำลังถามความเห็นหรือขอความสมัครใจจากพวกเจ้าหรอกนะ 〗
เงียบกริบ————
สายตาและท่าทางหวาดกลัวของผู้คนทั้งหมดชัดเจนจนสังเกตได้ ทุกคนตอบสนองต่อคำพูดของชายชราที่พูดแบบนั้นโดยการไม่ปริปากออกมาอีกแม้แต่นิดเดียว ชายชราที่พูดแบบนั้นพลางมองมายังทุกคนด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างที่สุด ความกดดันที่ทำให้ทั้งตัวสั่นสะท้าน ช่างหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับความตายกำลังอยู่ตรงหน้า บางคนถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปเลยก็ยังมี
เนี่ยแหล่ะน้า... ถ้าไอ้แก่นี่เป็นพระเจ้าตัวจริงละก็ คงไม่มีเหตุผลที่ต้องฟังคำทัดทานจากพวกเราอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกับที่กรคิดแบบนั้นรินเขยิบเข้ามาใกล้กร แล้วใช้มืออันอ่อนนุ่มและแสนบอบบางนั่นจับแขนเสื้อของกรไว้ราวกับจะใช้ประคองสติของตน อลิสเองก็กลืนน้ำลายพร้อมกับทำหน้าตกใจสุดขีดแล้วก็แอบจำชายเสื้อของกรอยู่เหมือนกับริน โชตกับชาญเองก็ยืนตะลึง โดยมีเหงื่อไหลออกมามากมายจากทั่วทั้งใบหน้าจนสังเกตได้ชัดเจน
...ถ้างั้นแล้วพวกเราจะเป็นยังไงต่อไปกันฟะเนี่ย
〖อืม... ดีมาก!!! เอาเถอะ ข้าก็รู้สึกสงสารพวกเจ้าอยู่เหมือนกันล่ะนะ งั้นจะอธิบายสถานการณ์ให้ฟังซักหน่อยก็แล้วกัน 〗
อ้าว? พระเจ้าสุดหยิ่งคนนี้ก็ใจอ่อนเป็นเหมือนกันเหรอ ใจดีกว่าที่คิดนิดหน่อยนะเนี่ย...
〖ตัวข้านั้นมีโลกที่อยู่ในการดูแลทั้งหมด 2 ใบ คือ โลกที่พวกเจ้าจากมา กับ โลกอีกใบที่มีขนาดใหญ่กว่าโข แล้วโลกที่ว่านั่นก็เกิดสงครามขึ้นบ่อยครั้ง ประกอบกับปัญหาเรื่อง『ดันเจี้ยน』ที่ข้าเองก็แก้ไม่ตกเหมือนกัน〗
โลกที่มีสงครามงั้นเหรอ? โหดไปแล้วเฟ้ย! แล้วเมื้อกี้ก็พูดถึง『ดันเจี้ยน』ด้วยสินะ ถึงจะน่าดีใจที่มันคล้ายๆในเกมก็เถอะ แต่พวกเราเป็นคนธรรมดานะเฟ้ย!!!
นี่จะส่งพวกเราไปตายรึไงกันฟะ? ไร้เหตุผลซะจริง!!!
〖เพราะปัญหาที่ว่ามาทำให้ประชากรของโลกนั้นลดลงเรื่อยๆอย่างน่าใจหาย ต่างจากโลกของพวกเจ้าที่นับวันประชากรก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดความสมดุล ข้าเลยต้องโอนย้ายพวกเจ้าไปยังอีกโลกหนึ่งไงหล่ะ!〗
มักง่ายไปแล้วไอ้แก่นี่!!!!! .....เห็นท่าทางก็นึกว่าเป็นตาลุงนิสัยจริงจังซะอีก ที่แท้ก็ขี้เกียจเองหรอกเหรอ? ปัญหาของโลกนู้นก็ให้โลกนู้นจัดการกันไปเองสิโว้ย!!!!
.....แต่ถึงคิดแบบนั้นไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะไงๆไอ้แก่นี่ก็ไม่ฟังอยู่ดีนั่นแหล่ะนะ เฮ้อ!
【งะ งั้น ถะ ถ้าพวกเราหายตัวไปเยอะขนาดนี้ โลกเดิม... จะไม่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเหรอครับ?】
เพราะเสียงรอบๆ นั้นเงียบไปหมดหรืออำนาจพิเศษของมิตินี้ก็แล้วแต่ เสียงของเด็กหนุ่มที่เอ่ยถามพระเจ้าอยู่นั้นห่างจากกรไปไกลพอสมควรแท้ๆ แต่กลับมีเสียงดังขนาดที่ว่าทำให้ทุกคนได้ยินเสียงนั้นชัดเจนเลยทีเดียว รวมถึงลักษณะของเสียงที่มีการสั่นเครือเล็กน้อย เนื่องจากมีความกลัวปนอยู่ ก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนเช่นกัน
〖เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เพราะข้าได้ลบความทรงจำของคนรู้จักพวกเจ้าในโลกเดิม ทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ออกหมดแล้ว เสมือนพวกเจ้าไม่มีตัวตนในโลกนั้นมาตั้งแต่แรกเลยหล่ะนะ〗
อะไรนะ!!!!
อยากตะโกนออกไปแบบนั้นอยู่หรอก แต่ก็พูดอะไรไม่ออกซักนิด...
...ไอ้แก่นี่จะทำตัวไร้เหตุผลไปถึงไหนฟะ!
แต่เอาเถอะ ถึงฉันจะไม่มีพ่อแม่แล้วก็เถอะ เพื่อนสนิทที่มีอยู่น้อยนิดก็มากันหมดแล้วด้วย เลยไม่มีปัญหากับไอ้เรื่องความทรงจำนั่นนักหรอก แต่ว่า———
ที่โลกเดิมนั่นหน่ะ...
ยังมีเกม อนิเมะ นิยาย แล้วก็หนังที่ดองเอาไว้ ยังไม่ได้ดูอีกเพียบเลยนะโว้ยยยยย!!!!!!
ขณะเดียวกับที่กรคิดแบบนั้น คนรอบๆตัวก็แสดงอาการไม่พอใจออกมาเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าบ่นว่าหรือพูดโพล่งขึ้นมาขัดจังหวะซักนิด
〖โอ๊ะโอ้! เกือบลืมบอกไป… ถ้าพวกเจ้าถูกส่งไปทั้งอย่างงี้ละก็มีหวังตายตั้งแต่เจอสไลม์ในเมืองเริ่มต้นแหงๆ ข้าเลยปรับให้พวกเจ้าทุกคนมีพลังสูงกว่าปกติแม้แต่ในโลกนู้นแล้วหล่ะน่ะ หากไปยังโลกนู้นแล้วก็วางใจได้เลย.....〗
วางใจบ้านป้าแกสิ...
ยังมาพูดติดตลกอีก น่าโมโหชะมัด... แล้วท่าทีน่าเกรงขามตอนแรกมันหายไปไหนหมดแล้วฟะ
เอ๋!? แต่เมื่อกี้บอกว่าจะปรับพลังให้เหรอ? ก็ดีใจนิดหน่อยอยู่หรอกนะ ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าถ้าไปทั้งแบบนี้ ถึงเป็นทหารที่ผ่านศึกสุดโหดมาแล้วจากโลกของเราก็ตาม แต่ถ้ามาตัวเปล่าก็คงรอดจากพวกมอนสเตอร์ยากอยู่ดี แล้วพวกเราที่เป็นคนธรรมดาจะเอาอะไรไปสู้ พอเป็นแบบนี้ก็วางใจได้เปราะนึงอยู่....มั้งนะ
〖เอาหล่ะธุระของข้าก็มีเท่านี้แหล่ะน่ะ เหล่าหนุ่มสาวทั้งหลายเอ๋ย จงเตรียมพร้อมกับชะตากรรมของตัวเองจากนี้ต่อไปให้ดี แล้วจงมีชีวิตรอดให้ได้ซะ————〗
มีส่งลาด้วยแฮะ... สรุปแล้วเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย…
ความรู้สึกตอนแรกกลับมาอีกแล้ว... เอาเถอะยังไงก็ทำอะไรกับไอ้พระเจ้านั่นไม่ได้อยู่แล้ว ยอมรับสภาพเลยดีกว่า ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน
หลังจากที่กรคิดแบบนั้นทิวทัศน์รอบตัวก็หายไปอีกครั้ง ความมืดเข้าโอบล้อมด้วยเวลาอันสั้น แล้วหลังจากนั้นไม่นานภาพของสถานที่ที่ไม่เคยเห็นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของกรและเหล่าเพื่อนร่วมโรงเรียนของกรทุกคน
❖❖❖❖❖
นี่มัน ....ภายในปราสาทสินะ
ที่ทุกคนปรากฏตัวออกมาเป็นห้องโถงขนาดใหญ่พอจะบรรจุได้เกือบพันคน ราวกับเป็นสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่ยังไงอย่างงั้น ตรงกลางห้องมีพรมแดงปูเป็นแนวยาวจากประตูสุดอลังการที่ประดับด้วยเพชร นิล จินดามากมาย ไปยังสุดขอบอีกด้านหนึ่งซึ่งมีชายวัยกลางคนอายุราวๆ 50 ปี กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองอร่ามประดับด้วยเครื่องเพชรมากมาย ตำแหน่งนั้นสูงกว่าระดับสายตาอยู่เกือบๆ 2 เมตรเลยทีเดียว แล้วข้างๆก็มีทหารองค์รักษ์ ใส่ชุดเกราะคล้ายๆของยุคกลางดูน่าเกรงขามกับลูกน้องคนสนิทประกบข้างซ้ายขวาอย่างละคนอยู่ด้วย รอบตัวของทุกคนที่ถูกส่งมานั้น มีคนที่ใส่ชุดคล้ายๆนักบวช ใส่หมวกแหลมทรงสูง มีผ้าปิดบังทั้งใบหน้า คาดว่าน่าจะเป็นจอมเวทย์ ยืนอยู่รายล้อมมากมาย ด้านข้างของท้องพระโรงก็มีคนที่สวมชุดที่ดูสูงศักดิ์คล้ายขุนนางอังกฤษในยุคอดีต ยืนเรียงกันขนานกับพรมแดงมากมาย แต่ก็ยังคงมีความเป็นระเบียบอยู่
〖โอ้ว!!! ดูเหมือนจะสำเร็จงั้นสินะ.....〗
〝〝〝〝〝〝 ยินดีด้วยขอรับ องค์ราชา!!!!! 〞〞〞〞〞〞
เมื่อราชาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าดีใจ เหล่าขุนนางก็ตอบรับคำพูดนั้นกลับไปแทบจะทันที
เจ้าพวกนี้พูดภาษาไทยได้ด้วยแฮะ?
ซะที่ไหนกันหล่ะ นี่มันต่างโลกนะ! มันจะไปใช่ภาษาไทยได้ยังไง?
แต่ถึงแบบนั้น เรากลับฟังพวกนี้พูดรู้เรื่องซะงั้น...
เอาเถอะ... จะยังไงก็ตาม ขอแค่ฟังรู้เรื่องก็พอแล้วหล่ะ
บางทีอาจเป็นพลังของพระเจ้าหล่ะมั้งนะ... แต่ไม่มีหลักฐาน เพราะงั้นคิดไปก็เท่านั้น ตอนนี้ขอแค่สื่อสารรู้เรื่องเป็นพอ
〖อืม.... คนพวกนี้ คือเหล่าผู้กล้าจริงๆ สินะ 〗
〝ขอรับ ไม่ผิดแน่นอนขอรับ...〞
อาจเพราะเห็นสภาพที่กำลังสับสนอลหม่านของเหล่านักเรียน ราชาที่แคลงใจจึงถามกับขุนนางคนสนิท หลังจากขุนนางคนสนิทตอบด้วยความมั่นใจ ราชาก็เริ่มการแนะนำตัว
〖ขออภัยด้วยที่ไม่ได้รีบแนะนำตัวก่อน... เราคือ 『ลอร์ด เซารัส เดอ อาลันเชี่ยน』เป็นราชาของ『อาณาจักรอาลัน』แห่งนี้และเป็นผู้อัญเชิญพวกท่านมาที่นี่เอง〗
ดูเหมือนทุกคนจะยังคงสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่เลย... เป็นแบบนี้ฉันก็เกือบตามไม่ทันเหมือนกันล่ะนะ แต่จำนวนคนที่ถูกวาร์ปมากับเรานี่มีนิดเดียวเองถ้าเทียบกับตอนแรก
คงจะแบ่งกันไปในแต่ละพื้นที่ละมั้ง ไม่งั้นอึดอัดตายเลย แต่ก็ยังดีที่เจ้าพวกนี้ยังอยู่ครบทั้ง 4 คน..... เฮ้อ!!! โล่งอกไปที
แต่ไอ้พระเจ้านั่นไม่เห็นบอกเลยว่าต้องมาเล่นบทผู้กล้าแบบนี้ ไอ้แก่นั่น... ทำตัวไร้สาระอีกแล้ว คงจะลืมบอกไปแน่ๆ
แต่พูดถึงรับบทผู้กล้า... อดคิดไม่ได้เลยแฮะว่ามันเหมือนในไลท์โนเวลหรือเกมเลยหน่ะ... แต่ถึงจะเคยเจอในเกมหรือนิยาย มันก็ไม่ได้ช่วยให้หายกังวลหรอกนะ
〖พวกท่านเพิ่งมาจากต่างโลก จึงอาจจะยังสับสนกับสถานการณ์มาก แต่ช่วยฟังเรื่องที่เราจะพูดก่อนเถอะ〗
ดูเหมือนราชาจะเข้าใจสถานการณ์ของทางนี้อยู่ รู้สึกเหมือนกับกำลังเสียเปรียบเลยแฮะ.....
หลังจากนั้นราชาก็เล่าสถานการณ์ของอาณาจักรตนเองให้ฟังเรื่อยๆ
〖........เนื่องจากตกอยู่ในภาวะสงครามกับเผ่าพันธุ์อื่นมานาน มนุษย์เราตอนนี้จึงเหลือกำลังทหารน้อยลงเต็มที จนกองกำลังของเรานั้นแค่ป้องกันประเทศก็แทบจะล้นมือแล้ว แม้ตอนนี้จะฟื้นสภาพมาได้บ้างแล้ว แต่ทางด้านพลังนั้นเราก็ยังเสียเปรียบพวกปีศาจหรือเอลฟ์อยู่มากโข เราเลยไม่มีทางเลือก จึงได้อัญเชิญพวกท่านที่มีความสามารถมากกว่ามา....... 〗
มีพูดถึงปีศาจกับเอลฟ์ด้วย อย่างงี้อาจจะมีพี่สาวซัคคิวบัสยั่วสวาทสุดเซ็กซี่กับคุณพี่เอลฟ์สุดน่ารักอยู่ก็เป็นได้สินะ นี่หล่ะกลิ่นอายของต่างโลกสุดแฟนตาซี
อืม... แต่ก็นะ พอจะเข้าใจปัญหาของทางนั้นบ้างแล้วหล่ะ แต่ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องของพวกเราที่ต้องสนใจซักหน่อยนี่นา ไม่มีเหตุให้ต้องช่วยเลยด้วย
〖เพราะเหตุผลที่ได้บอกไปข้างต้น.... พวกเราจึงอยากยืมพลังอันแข็งแกร่งของพวกท่านทุกคน!!!! ท่านผู้กล้าทั้งหลาย ได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด!!!!! 〗
พระราชาพูดพลางก้มหน้าลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอร้องกับนักเรียน 500 กว่าคนที่อยู่ในท้องพระโรง ทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่งบนบัลลังก์
〖และแม้จะช่วยเหลือไม่ได้มากก็ตาม!!! แต่พวกเรายินดีสนับสนุนพวกท่านทุกอย่างที่ทำได้ ตั้งแต่เรื่องในชีวิตประจำวัน ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน การฝึกฝน หรือแม้กระทั่งตำแหน่งและเงินทองก็ตามถ้าจำเป็น และหากสงครามจบลงแล้ว เรายินดีที่จะส่งทุกท่านกลับโลกเดิมด้วยความยินดี!!! 〗
〝!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
ทุกคนที่กำลังสับสนกับสถานการณ์หันไปมองพระราชาด้วยสีหน้าตกตะลึงกึ่งมีความหวังส่องประกายบนใบหน้า พร้อมกันหมดทุกคน
【พะ พูดจริงงั้นเหรอ!?】
【มันเป็นไปได้งั้นเหรอ!?】
ทุกคนมีสีหน้าสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้รับความหวังที่จะกลับบ้าน ยกเว้นกรกับชาญแค่ 2 คนเท่านั้นที่ยังคงทำสีหน้าครุ่นคิดบางอย่างอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อสงครามจบ แล้วจะส่งพวกเรากลับงั้นเหรอ... พระราชาเนี่ยเป็นคนฉลาดเหมือนกันนี่หว่า เล่นเอาสิ่งที่ทุกคนอยากได้ยินมาเป็นของรางวัลล่อแบบนี้ แถมยังได้ผลผิดคาดจนน่าโมโหอีกต่างหาก
แต่ว่า.........
.......สิ่งที่พระราชาพูดนั่น เป็นการบลัฟกันพันเปอร์เซ็นต์แน่นอน
ถึงจะไม่ต้องใช้สุดยอดการประมวลผลตรวจสอบชีพจรของพระราชาเพื่อจับผิด ก็รู้เลยว่าโกหกกันแน่นอน แต่ถึงอย่างงั้นก็ลองตรวจดูแล้วหล่ะนะ........แล้วก็ปรากฏว่าพระราชาตั้งใจต้มกันชัดเจนเลย หัวใจเนี่ยเต้นรัวเชียว ไหล่ก็ยังเกร็งอีกต่างหาก ไม่เนียนเลยเฟ้ย
ก็สาเหตุที่เราถูกอัญเชิญมาต่างโลกหน่ะ ไม่ได้เป็นเพราะพระราชาซะหน่อยนี่นะ ตัวการคือไอ้แก่พระเจ้า ที่คิดจะแก้ปัญหาอย่างมักง่ายต่างหาก ถ้าจะบอกว่าพระเจ้ารับคำสั่งมาจากพระราชามันก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
ดูเหมือนชาญจะคิดแบบเดียวกันเลยกระซิบกับผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
〝เอายังไงดีกร ถ้าเป็นแบบนี้ทุกคนจะโดนหลอกกันหมดนะ〞
อืม... จริงๆ แล้วถ้าทุกคนใจเย็นกันหน่อยก็คงตีความคำพูดหลอกลวงนั่นได้ แต่คนที่กำลังสิ้นหวังคงไม่มีใครคิดอย่างใจเย็นได้อีกแล้วหล่ะนะ กลับกันยังถูกชักจูงได้ง่ายอีกด้วย
พระราชาที่หลอกใช้จุดนั้นได้อย่างแนบเนียนและมีประสิทธิภาพนั้น เป็นคนอันตรายแบบสุดๆอย่างแน่นอน เราเองก็ต้องระวังตัวไว้เหมือนกัน......
〝เรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้ซักนิด... ก่อนอื่นก็ยอมเล่นตามน้ำไปกับมันก่อนละกัน เพราะตอนนี้เราก็ไม่มีที่ไปด้วยนี่นะ กลับกัน... อยู่ในเมืองปลอดภัยกว่าเยอะ〞
ชาญเห็นด้วยกับความคิดของฉัน จึงกระซิบกลับมาว่า 〝งั้นเหรอ... เข้าใจแล้ว〞 แสดงว่าเชื่อใจฉันสินะ น่าดีใจจริงๆ ถึงจะซวยที่มาต่างถิ่นแต่วันนี้ก็มีเรื่องให้ดีใจเยอะชะมัดเลยแฮะ
【 ตะ แต่ว่า ถ้าจะให้เข้าร่วมสงคราม มันก็........】
〖แน่นอน... เราไม่อาจปล่อยให้พวกท่านไปเพชิญหน้ากับศัตรูในสงครามทั้งที่ยังไม่เคยจับอาวุธมาก่อนได้หรอก ทางเราจะให้พวกท่านฝึกฝนจนกว่าสเตตัสของพวกท่านจะสูงพอที่จะรอดชีวิตในสงครามเอง 〗
ดักทางไว้ได้หมดจดจริงๆ... ราชาเป็นคนอันตรายอย่างที่คิด พอเป็นแบบนี้ก็สามารถหลอกใช้งานพวกเราได้เรื่อยๆ เลยสินะ
ส่วนที่พูดว่าสเตตัสเนี่ย ยังกับในเกมเลยแฮะน่าสงสัยชะมัด...
แล้วอีกคำพูดนึงที่ว่า 〖ยังไม่เคยจับอาวุธมาก่อน〗 นั่น ก็ฟังดูแปลกๆแฮะ ภาพพจน์ของผู้กล้าในสายตาของคนโลกนี้ไม่ใช้คนที่สุดยอดโคตรๆหรอกเหรอ แล้วพระราชาก็พูดเหมือนกับว่ารู้เรื่องของพวกเราอยู่ก่อนแล้วอย่างงั้นแหละ หรือว่าหมอนี่...อาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้...
อืม... หรือฉันจะแค่คิดมากไปเองนะ?
แต่ก็เพราะแบบนั้น... ทุกคนเลยยินดีที่จะเป็นกำลังให้กับพระราชา จะถูกหลอกง่ายไปแล้วมั้งเนี่ย แต่ก็ว่ากันไม่ได้หรอกเนอะ
พอรู้ว่ามีหนทางกลับบ้านก็คงเหมือนถูกฉุดขึ้นมาจากขุมนรกที่สุดแสนจะสิ้นหวังนั่นหล่ะ พระราชานั้นรู้สึกยินดีมากกับคำตอบของทุกคนเลยคิดจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเราหลังจากนี้ด้วย แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของกองอัศวิน
หลังตื่นขึ้นมาตอนเช้า ฉันรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเลยหล่ะ สงสัยเป็นเพราะเมื่อวานเหนื่อยจัดละมั้ง เมื่อคืนเลยหลับซะลึกเลย ให้ตายสิ! ทั้งเรื่องไอ้แก่พระเจ้า การมาต่างโลก(แถมเป็นโลกแฟนตาซีอีกต่างหาก) สภาวะสงครามของอาณาจักรที่ถูกวาร์ปมา ถูกขอร้องให้ช่วยโดยพระราชาของอาณาจักรที่ว่า แล้วสุดท้ายก็ต้องเข้าฝึกกับกองอัศวินทุกอย่างเป็นเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อและกะทันหันเกินไป ไม่คิดว่าชั่วชีวิตจะได้เจอด้วยซ้ำ ทุกอย่างถาโถมเข้ามาในวันเดียวจนฉันยังล้าเลยหล่ะ จิตใจหน่ะนะ คิดว่าคนอื่นก็คงไม่ต่างกันก็อง!!!! ก็อง!!!! ก็อง!!!! เสียงระฆังหนักๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะ 3 ครั้ง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากระฆังดังขึ้น ทุกคนก็ตื่นขึ้นมาจากความฝันอันแสนหวานแล้วมาเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายอีกครั้ง อาจมีบางคนคิดว่าเรื่องทั้งหมดคงเป็นแค่ฝันร้ายที่น่ากลัว แต่พอตื่นขึ้นมาพบว่ามันเป็นความจริงเช่นนี้คงใจเสียไม่น้อย กรเองก็มีความรู้สึกนั้นอยู่บ้างเช่นกัน แต่เพราะนิสัยง่ายๆ เลยทำให้ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาจึงรีบลุกจากเตียงที่ทางอาณาจักรเตรียมไว้ให้ แม้เตียงในห้องท
〝ไว้เจอกันเน้อ! คุณโอตาคุ!!!〞〝อย่ามัวแต่เล่นจนมาซ้อมไม่ทันหล่ะคุณโอตาคุ ฮ่าฮ่าฮ่า!!!〞〝อะ อา ขอบใจ——〞 ผ่านมาแล้ว 1 สัปดาห์ที่ทุกคนถูกส่งมาต่างโลก หลังจากเหตุการณ์ที่กรถูกเสือประจาน บรรยากาศรอบตัวของกรก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ดังเช่นเหตุการณ์ที่มีนักเรียนชายหญิงมาทักทายกร แล้วกรเองก็โบกมือลาแล้วตอบกลับไปอย่างกล้าๆกลัวๆ เมื่อซักครู่นี่มัน... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ?คิดไปเองรึเปล่าว่าทุกคนทักเราเหมือนคนปกติ... แต่จะไม่ปกติก็ตรงที่เรียกว่า『คุณโอตาคุ』นั่นหล่ะ… อย่างน้อยๆก็เรียกฉันด้วยชื่อเล่นซักหน่อยเถอะ...แต่ถึงอย่างงั้น น้ำเสียงก็ไม่ได้มีการประชดประชันแฝงอยู่เลย.... รึว่าเพราะเหตุการณ์ครั้งก่อนทุกคนเลยรู้สึกสงสารงั้นเหรอ? แหม่ ไม่อยากจะคิดแบบนั้นเลยแฮะ น่าสงสารตัวเองจริงๆรึจะเป็นไอ้นั่น.... ไอ้『ปรากฏการณ์สะพานแขวน』ที่ว่า พอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้ใจเต้นกับเพศตรงข้ามแล้วเข้าใจผิดว่าตกหลุมรักนั่นหน่ะ แต่ในกรณีนี้คงไม่ใช่ตกหลุมรัก แต่เป็นรู้สึกผิดซะมากกว่าละมั้ง.....แต่ดูแล้วทุกคน(หรือบางคน)นี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนี่นา งั้นฉันจะไม่คิดมากก็แล้วกัน เนื่องด้วยเวลานี้เ
เฮ้อ!!!!!!!!! เสียงที่กำลังถอนหายใจของกรนั้นดังมากพอที่จะทำให้คนที่อยู่รอบๆหันมามองได้เลย แต่เพราะอยู่คนเดียวจึงทำแบบนั้นได้อย่างเต็มที่ หลังจากเกิดอุบัติเหตุนั่นขึ้น ก็เพิ่งผ่านมาชั่วโมงกว่าๆ กรที่กำลังคิดว่าจะขอโทษรินยังไงดีก็เลยมาหาสถานที่ผ่อนคลายอารมณ์ที่ม้านั่งในสวนของลานกว้างอยู่คนเดียวนั่นเองโอ๊ย!!!! ทำไมปัญหาของฉันมันเยอะแบบนี้ฟ้า!!!! อ๊ากกกก!!!! อยากหายไปชะมัดเลย....แล้วจะทำไงให้หายโกรธดีเนี่ย... รินคงไม่เกลียดขี้หน้าของฉันไปแล้วหรอกนะ…เฮ้อ!!!!!!!!! หลังจากที่คิดนู่นนี่ไปเรื่อย กรก็ถอนหายใจหนักๆแบบนั้นออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาทางม้านั่งที่กรนั่งอยู่〝เอ่อ กะ กร〞〝!!!!?〞ระ รินงั้นเหรอ มาหาฉันก่อนแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย? รึจะมาต่อว่าอะไร....เอาเถอะก็สมควรแล้วหล่ะ แต่จะให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายทำแบบนั้นก่อนไม่ได้ ก่อนอื่นเราต้องขอโทษอย่างใจจริงซะก่อน หลังจากนั้นค่อยรับฟังคำด่าทอก็ยังไม่สาย เอาหล่ะน่ะปฏิบัติการณ์ขอขมาสายฟ้าแลบเริ่มได้!!!!!!!〝คะ คือว่า เรื่องตอนประลองนั่นฉันขอโ——〞〝ขอประทานโทษด้วยคร้าบ!!! กระผมผิดไปแล้ว!!!
ฮี้ๆๆๆ〜!!!คลึ๊กๆๆๆๆ!!! เสียงของม้าที่กำลังลากเกวียนขนาดใหญ่ซึ่งสามารถบรรทุกคนสิบกว่าคนได้สบายๆดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอและเป็นจังหวะ เกวียนที่ม้าลากอยู่นี้มีลักษณะคล้ายกับที่ชาวนาใช้ขนฟาง แต่เนื่องจากมีหลังคาคลุมที่นั่งอย่างแน่นหนามันถึงได้ดูเหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกล และหากสังเกตดูจะเห็นว่ามีเกวียนที่มีม้าลากแบบเดียวกันนี้เป็นจำนวนกว่า 30 เล่ม เคลื่อนที่ติดกันเป็นขบวนอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนม้าทุกตัวจะได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี มันจึงสามารถเดินตามกันได้โดยที่ไม่ต้องมีคนคุมบังเหียนด้วยซ้ำ ส่วนด้านหน้าของขบวนก็มีทหารชายวัยกลางคนคนนึงสวมชุดเกราะหนาทั้งตัว มีบริเวณเนื้อหนังโผล่ออกมาให้เห็นบางส่วนเท่านั้นกำลังนั่งบนหลังม้าแล้วนำขบวนอยู่ คนๆนั้นก็คือ ฮันซี่นั่นเอง ส่วนรอบเกวียนของคณะเดินทางก็มีทหารคุ้มกันที่สวมชุดเกราะแบบเดียวกัน แต่สวมหมวกเหล็กไว้ทุกคนต่างจากฮันซี่ที่เปิดใบหน้าให้เห็น กำลังเดินตรวจตราอยู่รอบๆเกวียนที่มีนักเรียนทุกคนนั่งอยู่ข้างใน ในขณะที่เดินทางไปพร้อมกัน ใช่แล้ว ตอนนี้นักเรียนทุกคนกำลังอยู่ในระหว่างเดินทางไปยังแถบชานเมืองเพื่อฝึกฝนการต่อสู้กับมอนสเตอร์นั
〝เป็นยังไงบ้างกร ?〞〝ครับ คุณฮาว... ตรงทางแยก 3 แพร่งข้างหน้า ถ้าไปทางซ้ายจะมีลิซาร์ดแมนอยู่ 3 ตัว ส่วนทางขวายังไม่มีมอนสเตอร์ขวางทางจนกว่าจะถึงแยกต่อไป〞〝เป็นงั้นเหรอ? ได้ยินแล้วนะทุกคน รีบเดินไปข้างหน้า แล้วเลี้ยวขวาตรงแยกนั่นนะ... แล้วก็ระวังอย่าเดินส่งเสียงดังหล่ะ เข้าใจไหม〞〝〝.....ครับ/ค่ะ〞〞 ในทางเดินที่ปิดตายจากโลกภายนอกจนคล้ายกับจะมืดมิดแต่กลับมองเห็นได้ชัดเจน ที่ซึ่งไม่ทราบสถานที่แน่ชัดแต่ส่วนประกอบทั้งหมดนั้นสร้างมาจากหินและดินล้วนๆนี้ มีเสียงของคน 4 คนกระซิบกันอย่างเบาบางที่สุด จนแทบไม่ได้ยินเสียงอยู่ เหล่าคนที่กำลังกระซิบกันอยู่นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเหล่าสมาชิกปาร์ตี้ของกรนั่นเอง เพราะทั้งปาร์ตี้ถูกวาร์ปเข้ามาในดันเจี้ยนปริศนาที่ฮาวลี่ไม่รู้จักจึงทำให้ฮาวลี่กระวนกระวายเป็นอย่างมาก ฮาวลี่ยังเล่าอีกว่าดันเจี้ยนที่อยู่แถวๆที่ทุกคนล่านั้นมีแค่『ดันเจี้ยนเจ้าแห่งป่า』กับ『ดันเจี้ยนพรานแห่งพงไพร』ซึ่งเป็นดันเจี้ยนที่ได้รับการสำรวจจนครบถ้วนแล้ว แต่ดันเจี้ยนที่ทุกคนถูกวาร์ปมานี้กลับไม่ใช่ทั้ง 2 ดันเจี้ยนที่ว่ามา จากที่ฮาวลี่บอกกล่าว ดันเจี้ยนนั้นไม่ว่า
วูม!!!!——— พอแสงสว่างที่จ้าเสียจนแสบตาได้จางหายไป ทิวทัศน์ที่ปรากฏตรงหน้าของลินดาก็คือ บริเวณป่าแบบเดียวกับก่อนที่จะถูกวาร์ปเข้ามาในดันเจี้ยน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คงจะเป็นสมาชิกปาร์ตี้ที่ลดลงจนเหลือแค่สามคน อันได้แก่ตัวเธอ เชษฐ์และเสือนั่นเอง ลินดาในตอนนี้ยังอยู่ในอาการสะเทือนใจอยู่พอสมควร ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนร่วมปาร์ตี้ทั้ง 2 คนตายเพียงเพื่อให้ตัวเองหนีรอดไปได้ เชษฐ์ก็ยังคงนั่งคุกเข่าเอามือกุมศีรษะ ทั้งยังสั่นเป็นเจ้าเข้าอีกต่างหาก ต่างจากเสือที่แม้จะเพิ่งผ่านสถานการณ์เสี่ยงตายมาก็ยังคงทำตัวเรียบเฉยอยู่เช่นเคย〝นี่นาย!!! ตอนที่อยู่ในดันเจี้ยนเป็นบ้าอะไรหา!!!!!!〞 ทั้งที่เพิ่งออกมาจากดันเจี้ยนได้ แต่เธอกลับไม่ดีใจเลยซักนิด เพราะทนไม่ได้กับพฤติกรรมต่ำช้าแบบนั้นของเสือ ลินดาจึงได้ตะคอกใส่เสือออกไปอย่างรุนแรง〝………………〞〝ตอบฉันมาสิ!!! ทำไม... ทำไมถึงทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นได้ลงคอ!!!〞 เพราะเสือไม่ได้ตอบเธอกลับมา เธอถึงได้ตะคอกถามเสือต่อไปทั้งอย่างงั้น การตะคอกนั่นดังพอที่จะดึงสติของเชษฐ์กลับมาได้ แล้วทำให้เขาพยุงตัวขึ้นมาร่วมสนทนากับลินดาได้ใ
มืดสนิท.....ไม่รู้สึกหนาวซักนิด..... ไม่รู้สึกว่ามีร่างกายอยู่เลยด้วย....ความกลัวเอง... ก็หายไปแล้ว?ความรู้สึกที่มันอธิบายไม่ถูกนี่มันคืออะไร?หรือว่า ที่นี่จะเป็น.....ไอ้ที่เขาเรียกว่า.......โลกหลังความตายงั้นเหรอ.....ฉัน ตายไปแล้วสินะ.... ตอนนี้กรอยู่ในสภาวะที่ตัวเองไม่เข้าใจ จึงได้มีคำถามมากมายผุดเข้ามาในหัว แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาก็เข้าใจได้เป็นอย่างแรกเลยว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้วพอมาคิดดูแล้ว ยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งเยอะเลยนะเนี่ย....แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอีกต่อไปแล้วหล่ะ.....ความรู้สึกอ้างว้างแบบนี้มันก็ดีไปอีกแบบแฮะ...เอาเถอะ..... หายไปอย่างเงียบๆแบบไม่ต้องคิดอะไร ก็ดีเหมือนกันหล่ะนะ....เพราะเดิมทีตัวฉันก็ไม่มีตัวตนหรืออะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้คนอื่นจดจำอยู่แล้ว... เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้เท่านั้นเองเพราะงั้นถึงหายไปซะ... ก็ไม่เป็นไรหรอก......【คิดแบบนั้นจริงๆอย่างงั้นเหรอ?】!!!!!!!!!!!!!!!! หลังจากที่กรคิดแบบนั้นพลางกำลังปล่อยให้สติหลุดลอยออกไป ราบกับจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไม่สนอะไรอีกแล้วนั้น จู่ๆก็มีเสียงของเด็กผู้ชายด
.......นี่มันอะไรกันเนี่ย?อยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนกับว่าสติลอยหายไป... แล้วตอนนี้จู่ๆมันก็กลับมาซะอย่างงั้นแล้วเมื่อกี้ก็รู้สึกเหมือนกับว่า จะมีตาลุงสวมชุดเสื้อคลุมโทรมๆที่มีหมวกคลุมหน้า กำลังจะพายเรือมารับข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งด้วยกันหรือยังไงนี่แหล่ะ... เป็นฝันที่แปลกชะมัด อยากรู้จริงๆแฮะว่าถ้าฝันต่อไปลุงนั่นจะพาไปไหน?เอ....แต่ว่าจากความทรงจำล่าสุดเนี่ยรู้สึกว่าเราจะล้มมอนสเตอร์ทั้งหมดได้สินะ...แต่ว่าพอล้มเจ้าพวกนั้นได้ เราก็ล้มลงไป... แล้วก็เพิ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้รึว่า... เราคงแค่สลบไปละมั้ง …..หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะอืม ถ้างั้นก็.... กรที่กลับมาได้สติหลังจากฟื้นขึ้นมาจากความตายกำลังพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันอยู่ แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ แล้วพอคิดว่าตัวเองสลบไปทั้งแบบนั้น เขาจึงได้ลืมตาขึ้นมาในทันที.....〝อึก! แสบตาชะมัดยาดเลย!〞 เพราะลืมตาขึ้นมาทันทีหลังจากที่ไม่ได้รับแสงมานาน ทำให้ดวงตาที่ยังไม่ได้ปรับแสง แสบตาขึ้นมา แต่จากนั้นไม่นานเมื่อปรับแสงได้แล้วสิ่งที่กรกำลังเห็นอยู่นั้นก็คือเพดานของดันเจี้ยนที่มีส่วนประกอบเป็นดินหรือหินที
หลังจากนั้นกรก็จ่ายเงินให้กับพวกพ่อค้าตามปกติ เพราะถึงกรจะโกรธแต่ก็ไม่ใช่พวกไร้จริยธรรมที่จะชักดาบแล้วเผ่น ทว่าพวกพ่อค้ากลับคิดเงินกรเพียงแค่ 5 เหรียญทองเท่านั้นเอง แถมด้วยตอนที่พวกกรกำลังจะออกจากร้านพวกนั้นก็โค้งคำนับให้กรอย่างเกร็งๆกลัวๆอีกต่างหาก กรเองก็แอบสะใจไม่น้อย แต่เพราะไม่อยากให้เรเชลกับริต้ารู้สึกแย่เพราะอยู่ที่นี่นาน กรจึงรีบเดินออกมาจากที่นั่นในทันที แต่ก็ยังไม่รีบออกจากเขตชานเมืองที่ไม่ค่อยมีคนเพราะต้องการที่จะตกลงเรื่องส่วนตัวกันก่อนอืม... ในที่สุดก็ช่วยริต้าได้ก็รู้สึกผิดกับเรเชลอยู่หรอกนะที่ไปยุ่งไม่เข้าเรื่องเอาเป็นว่าช่างหัวมันแล้วกัน...แต่ตอนนี้คงจะยากที่จะให้ทั้งคู่ที่กำลังเหนื่อยเดินทางไปด้วยเรากำลังสืบคดีอยู่นี่นา...แต่ว่า... เจ้าบาทหลวงนั่นเพิ่งจะเข้าไปคุยกับเจ้าชายลำดับสองได้ไม่นานนี้เอง...คงจะต้องใช้เวลาซักหน่อย...ถ้างั้นก็ใช้ช่วงเวลานี้คุยกับเรเชลกับริต้าดีกว่าว่าจะเอายังไง... ในขณะที่คิดแบบนั้นกรก็มองผ่านไหล่ไปยังเรเชลกับริต้าที่อยู่ซะหลังสุด คล้ายกับว่าสาวๆคนอื่นกำลังกันเธอให้ห่างจากกรอยู่ยังไงอย่างงั้นเลย
————มุมมองของเรเชลหลังจากที่คุณกรกลับคาลิโอน่า เราก็กลับไปทำงานนักผจญภัยต่อถึงจะรู้สึกเหงา(มากๆ)ก็ตาม แต่ถ้าไปเกาะแกะยิ่งกว่านี้จะถูกคุณกรเกลียดเอาแบบนั้นไม่เอาเด็ดขาดเลย! อือ... แต่ถึงงั้นก็ยังอยากอยู่กับคุณกรอ่ะถ้าไม่ได้กลิ่นคุณกรหล่ะก็ฉันต้องแย่แน่ๆเลย...จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว...อยากโดนลูบหัวอีก อยากโดนลูบท้องด้วย... งือ... เรเชลที่กำลังเดินกลับจากการทำเควสในเมืองกำลังครวญครางในห้วงความคิดของตัวเอง โดยนึกถึงกรซึ่งเป็นชายที่เธอหลงรัก(หัวปักหัวปำ)อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้เนื้อหาจะแปลกๆก็ตามที หลังจากนั้นเรเชลก็ทำงานหาเงินมาตลอด พอรู้ตัวอีกทีก็มีเงินสะสมมากพอที่จะไถ่ตัวน้องคืนได้แล้ว ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณเรื่องที่เธอเป็นคนรู้จักเก็บออม และไม่ใช้สุรุ่ยสุร่ายนั่นแหล่ะ ที่นอนของเธอก็คือในป่า ที่อาบน้ำคือแม่น้ำที่ห่างออกไปจากตัวเมืองไปเล็กน้อย อาหารกินวันละมื้อแถมส่วนใหญ่ยังเป็นการล่าหากินเองในป่าอีกต่างหาก ส่วนค่าใช้จ่ายอย่างมากที่สุดก็คือคฑาที่ใช้สำหรับทำภารกิจเท่านั้นเอง เป็นเวลากว่า 1 ปีที่เธอใช้ชีวิตแบบนั้น แต่เงินที่เธอเก็บได้ก็ยังมีไม่พอที่จะไถ่ตัว
หลังจากกลับไปหาไมน์และรีเบคก้าที่ห้องของพวกเธอ กรได้อ้างว่าทันทีที่ไปถึงก็พบว่าเจนนี่เสียชีวิตอยู่ก่อนแล้ว เพราะรู้สึกว่าหากบอกความจริงไปตอนนี้มันคงหนักหนาเกินไปสำหรับพวกเธอ กรเลยคิดที่จะบอกเรื่องนี้กับพวกเธอทีหลัง แต่ถึงแบบนั้นตอนที่ไมน์ได้ยินครั้งแรกก็ถึงกับช็อคจนหมดสติไปเลย แล้ววันรุ่งขึ้นเหล่าทหารประจำเมืองก็เริ่มเคลื่อนย้ายศพออกจากดันเจี้ยนไปยังที่เก็บศพของกองทหาร และแน่นอนว่าพวกกรและไมน์ที่เป็นคนรู้จักของเจนนี่เองก็ถูกเรียกตัวมายืนยันศพและสอบถามข้อมูลด้วย… ชาลอต ซาช่าและลิลิธรออยู่ด้านนอกห้องสอบสวน เพราะงั้นตอนนี้คนที่อยู่ในห้องคือกร มีอา เมอร์ลิน ไมน์ที่ยังอยู่ในสภาพอิดโรยและอ่อนล้า กับรีเบคก้า 5 คน โดยมีทหารที่ทำหน้าที่สอบข้อมูล 2 คนนั่งอยู่ตรงข้าม〝 งั้นก่อนอื่น... เธอคือคนที่จัดการพวกโจรสินะ 〞หนึ่งในทหารถามกรออกมาในขณะที่ตัวกรนั่งกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ด้านหน้า เพราะถูกเรียกออกมาอย่างกะทันหัน〝 อืม ฉันนี่แหล่ะ... 〞ทหารทั้งสองกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินคำตอบแบบไม่ใส่ใจนักของกร เพราะข่าวลือที่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือแบล็ครุคกี้สุดโด่งดังนั่นก็มาถึงหู
หลังจากที่ได้ยินว่าเจนนี่ถูกลักพาตัว กรก็พาทั้งสองคนเข้ามาสงบสติในห้องเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนแขกท่านอื่น〝 ช่วยบอกรายละเอียดมาที? 〞หลังจากที่จับไมน์กับรีเบคก้านั่งเก้าอี้ กรที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ถามออกมาโดยที่ทำใจและท่าทางให้นิ่งสงบไว้อยู่〝 คือว่าก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วโมง เจนนี่เค้าบอกจะออกไปซื้อของแปปนึงหน่ะค่ะ แต่ไม่เห็นกลับมาซักที... 〞ไมน์พูดออกมาด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ รีเบคก้าเลยรับช่วงต่อพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นนึงออกมาด้วย〝 แล้วตอนที่กำลังจะออกไปตามหา ก็เจอเจ้านี่วางอยู่หน้าห้องพักหน่ะค่ะ 〞รีเบคก้าพูดจบก็ยื่นมันให้กับกร พร้อมกับสาวๆที่อยู่ด้านหลังกรได้ขยับเข้ามาใกล้เพื่อดูมันด้วย แล้วกรก็เริ่มอ่านข้อความนั้นในใจ....เพื่อนของพวกเธออยู่กับพวกเราถ้าไม่อยากให้ยัยนี่เป็นอะไรหล่ะก็ เข้ามาใน『ถ้ำหินออบซิเดียน』แค่สองคนซะ…เนื้อหาประมาณนี้แหล่ะ แถมอีกฝ่ายไม่ได้เรียกร้องอะไรเลยด้วย ไม่น่าจะใช่การเรียกค่าไถ่...บอกตรงๆนะ... นี่มันกับดักชัดเลยๆกะล่อทั้งสองคนเข้าไปหาเฉยๆเลยนี่หว่า เป้าหมายคงเป็นทั้งสามคนนั่นแหล่ะหรือว่า... คนร้ายเป็นพวกเดียวกับที่จัดการคุณแมซอืม... เป็นไปไ
หลังจากที่กรหลับหรือสลบไป เวลาก็ผ่านไปเกือบ 21 ชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลา 11 นาฬิกาของอีกวัน... กรลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ราวกับเครื่องจักรที่กำลังวอร์มอัพเครื่อง ทันทีที่กรตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าด้านขวาของเขามีมีอากำลังนอนอยู่ข้างๆและกำลังบีบเสื้อของกรไว้แน่น ส่วนด้านซ้ายไม่มีเมอร์ลินทั้งที่ปกติเป็นที่ของเธอ กลับกันแล้ว... ข้างๆเตียงมีชาลอตและซาช่านั่งกับพื้น โดยใช้พื้นที่ว่างของเมอร์ลินนั้นเป็นที่ฟุบอยู่ ส่วนลิลิธ เธอกำลังนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ใกล้กับพวกชาลอต เห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสี่คนอยู่ดูอาการกรมาตลอดตั้งแต่ที่กรหลับไปอย่างกะทันหันนั่น แล้วที่หลับไปนี่คงจะเพิ่งไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเองกระมั้ง ลิลิธที่นั่งผงกหัวอยู่แบบนั้นเป็นหลักฐานได้อย่างดี... ในขณะที่กรคิดแบบนั้น มีอาก็เริ่มตื่นขึ้นจากนิทรา〝 กร... กร!!! 〞มีอาที่กำลังสลึมสลือ พอเห็นว่ากรได้สติจนถึงขั้นชันตัวเองขึ้นมานั่งเองได้แล้ว ก็โผเข้าไปกอดรัดคอของกรอย่างแนบแน่นในทันที〝 ฮึก! ฉัน... ฉันนึกว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้วซะอีก 〞มีอาพูดแบบนั้นโดยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาในอ้อมอกของก
หลังจากที่กรตื่นนอนพร้อมกับพวกสาวๆ กรพยายามวางตัวและทำกิจวัตรตามปกติเหมือนที่เคยเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเธอ ชาลอตและซาช่ายังไม่ได้สังเกตกร... คงมีเพียงมีอากับเมอร์ลินที่รู้จักกรมานานที่สุด และลิลิธที่เห็นพลังเวทย์ในตัวกรเปลี่ยนไปเท่านั้นกระมั้งที่สังเกตเห็น❖❖❖❖❖ หลังจากนั้นพวกกรที่เตรียมตัวพร้อมเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ก็ลงไปเช็คเอาท์ที่ล็อบบี้โรงแรม〝 ฮ้าว... พี่ชาย อรุณสวัสดิ์ค่า 〞พีน่าที่กำลังจัดการสมุดบัญชีโรงแรมอยู่ ฮาวหวอดใหญ่ ทำให้กรยิ้มเจื่อนๆออกมา〝 เป็นสาวเป็นแซ่หน่ะนอนให้ตรงเวลาด้วยสิ... เอ้านี่กุญแจห้อง 〞〝 โถ่รู้แล้วหล่ะค่า... ก็ป๊ะป๋าไม่อยู่ช่วยงานเลยนี่นา 〞พีน่ารับกุญแจมาแล้วก็ลงข้อมูลปลีกย่อยในสมุดบัญชีด้วยท่าทีเหนื่อยๆก็แน่หล่ะ พ่อเธอเขาไปสืบคดีอยู่นี่นาแต่ดูท่าเรื่องนี้คาลอสจะไม่ได้เล่าให้ฟัง... ก็แน่หล่ะ ใครจะอยากดึงลูกตัวเองมาเกี่ยวด้วยกันหล่ะ〝 อ้อ! แล้วก็พี่ชาย... พอไปถึงโรงแรมสาขาคาลิโอน่า ถ้าออกตอนนี้คิดว่าคงไปถึงประมาณเที่ยงหล่ะนะ... พอถึงแล้วก็ไปบอกชื่อกับพนักงานได้เลย หนูจะเตรียมห้องแบบเดียวกันไว้ให้ที่นั่นนะคะ 〞〝 หืม? บอกเหรอ? เมือง
〝 แก... ยังไม่หายไปอีกเหรอ? 〞 กรที่แม้จะยังสับสน แต่ก็ถามตัวเขาเองอีกคนซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามออกไปในทันที ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันทั้งน้ำตานั้นของกร ตัวกรสีขาวดำก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะตอบกร〝 น่าเสียดายนะ ฉันเป็นคนละคนกับตอนทศกัณฑ์ 〞〝 .....แกเป็นใคร .....ต้องการอะไร 〞เมื่อไม่ได้คำตอบ กรจึงยังคงถามต่อ นั่นทำให้ตัวกรอีกคนหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูด〝 นั่นสินะ ก่อนอื่นเรียกฉันว่า『ความมืด』ก็แล้วกัน... ส่วนที่เหลือถึงอยากจะบอกแต่ก็บอกไม่ได้ซะด้วย เอางี้แล้วกัน! ถ้าเล่นด้วยกันอีกซักหน่อย ฉันจะใบ้ให้บ้างก็แล้วกัน... 〞〝 เล่น? 〞 กรถามย้ำเพราะไม่เข้าใจ นั่นทำให้ตัวกรอีกคน... ความมืดยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจ และนั่นเองที่ทำให้กรเข้าใจ ว่าไอ้ความมืดนี่... ต้องการ『เล่น』ด้วยการส่งเขาลงสู่ลูปนรกนั่นอีกครั้งนั่นเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้น กรก็รู้สึกเย็นวูบขึ้นที่หลังในทันที... แต่ก็ยังพยายามทำใจเย็นแล้วก็เช็ดน้ำตาออก ก่อนจะพูดต่อ〝 โทษทีหว่ะ... ฉันไม่ติดกับมุกเดิมเป็นหนที่สองหรอก... ในเมื่อรู้วิธีการแล้วกมันก
*คำเตือน ภายในตอนมีฉากกระทบกระเทือนอารมณ์บุคคลที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปีหรืออารมณ์และจิตใจอ่อนไหวง่าย ไม่ควรอ่านครับ❖❖❖❖❖〝 ขอนอนต่ออีกซักนิดเถอะนะ… 〞ฉันพูดแบบนั้นแล้วก็กลับไปนอนขดตัวอีกครั้งส่วนชาลอต… เมดประจำตัวของฉัน พอเห็นท่าทีไม่สนใจของฉันก็ทำแก้มป่องออกมาแหม่ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจซักหน่อย แต่ขออีกแค่ 5 นาทีก็ยังดีน่า อย่างอนไปเลยนะคนดี...〝 นาย! ท่าน! ค่ะ! 〞ชาลอตตะโกนแบบนั้นออกมาก่อนจะเดินเข้าไปทางกรและดึงผ้าห่มออก〝 วุ้ย! ใจร้ายชะมัดเลยอ่ะชาลอต 〞กรพูดสวนขึ้นมา พร้อมกับลุกจากเตียงมายืนกอดตัวเองโดยที่แกล้งตัวสั่นจากความหนาวไปด้วย〝 ขอทีเถอะค่ะนายท่าน! ที่ฉันทำก็เพื่อนายท่านนะคะ 〞〝 แต่จู่ๆ มาดึงผ้าห่มออกไปมันก็หนาวนะครับผม 〞กรพูดแบบนั้นทั้งที่ยังเดินเนื้อตัวสั่นๆ แล้วก็ไปปิดหน้าต่างที่เปิดอยู่ลงเสีย แต่ชาลอตที่อยู่ใกล้ๆก็กลับถอยหายใจออกมาอีกครั้งเสียอย่างงั้น〝 พูดเป็นเล่นนะคะ... นายท่านสวมอาภรณ์เวทย์ตอนนอนอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ? แล้วจะไปหนาวได้ยังไงกันคะ 〞อา... ยัยชาลอต ทำลายข้ออ้างในการนอนของฉันไปอีกแล้วไหมหล่ะแหม แต่ก็อย่างว่าหล่ะนะ... เพราะเห็นอย่างงี้ แต่ตอนที่อยู่โรงเร
〝 มาสาย! 〞 พอกรมาถึงห้องพักก็เป็นเวลา 4 โมงครึ่ง... เมอร์ลินที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนขอบเตียงจึงได้กอดอกและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด นั่นเพราะเวลานัดจริงๆคือ 30 นาทีที่แล้วนั่นเอง... กรและมีอาที่รู้ว่าตัวเองมาสายจึงรีบขอโทษทันที〝 ขะ ขอโทษทีเมอร์ลิน 〞〝 ขอโทษนะเมอร์ลิน! 〞 กรที่พูดอย่างเหนื่อยหอบ และมีอาที่ขอโทษพลางโค้งตัว... เมื่อเห็นภาพแบบนั้นเมอร์ลินที่ยังคงขมวดคิ้วกอดอกอยู่ก็เริ่มใจเย็นลง และถอนหายใจออกมาราวกับเปลี่ยนอารมณ์ พร้อมๆกับสายตาแบบแปลกๆของชาลอต ซาช่าและลิลิตที่มองมาทางพวกกร... และในขณะที่กรกำลังคิดว่าเมอร์ลินและสาวๆทุกคนโกรธเพราะกรมาสาย เมอร์ลินก็เริ่มเกริ่นขึ้นมา นั่นจึงทำให้กรตระหนักได้ว่าพวกเธอไม่ได้โมโหกรเรื่องนั้น...〝 รู้อะไรไหม... ระบบปาร์ตี้หน่ะ มันทำให้รู้ตำแหน่งของทุกคนในปาร์ตี้ด้วยนะ... เหมือนกับเรดาร์นั่นแหล่ะ? 〞〝 เอ๋? 〞กรและมีอาเบิกตาขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อได้ยินเมอร์ลินพูดแบบนั้นออกมา... ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างเก้อเขินด้วยเรื่องที่ร่วมกันมาเมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้ว... แล้วพอคิดตามที่เมอร์ลินบอก กรและมีอาก