แม้จะลังเลแต่การแต่งงานต้องเกิดขึ้นและไม่สามารถถอนตัวได้ เมื่อบัณฑิตหานกลับเป็นคนช่วยนางขณะที่กำลังจะจมน้ำ เนื่องจากเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วจึงไม่เป็นข้อครหา แต่ก็เป็นสิ่งที่รัดตัวทำให้จูเอ๋อร์ไม่สามารถบอกยุติการแต่งงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น
‘ผู้มีพระคุณ หากทุกอย่างที่ท่านบอกเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นข้าจะตั้งป้ายบูชาท่านเป็นปรมาจารย์ของตระกูลจูเรา’ จูเอ๋อร์อธิษฐานในใจ เนื่องจากคิดว่าผู้ส่งจดหมายปิดผนึกที่ล่วงรู้อนาคตได้ อาจเป็นเทพเซียนองค์ใดเนื่องจากความงดงามของอักษร นางก็ยิ่งปักใจเชื่อในคำเตือนมากขึ้นไปอีก แต่งานแต่งก็จัดแล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นมีแต่ต้องระวังและพยายามกอบโกยให้ตระกูลจู ให้คุ้มค่ากับที่ลงทุนไป
จูเอ๋อร์ไม่ใช่คนโง่งมในเรื่องความรัก แม้จะหลงบัณฑิตหานมากเพียงใด แต่ตรงนั้นของเขาก็ไม่ได้เลี่ยมทองคำ นางรักเงินมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นนอกจากสนุบสนุนสามีให้เป็นขุนนางจนสำเร็จ ยังกอบโกยเงินจำนวนมหาศาลเข้าตระกูลจูของตนอีกด้วย
“นายหญิง…” และแล้ววันที่ถูกเตือนก็มาถึง สาวใช้ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้า คือสาวใช้ที่จูเอ๋อร์ซื้อตัวไว้ ความจริงด้วยอำนาจเงินทำให้นางซื้อตัวข้ารับใช้ทุกคนในจวนเอาไว้แล้วโดยที่สามีไม่รู้ตัว ขอเพียงมีคำสั่งเกี่ยวกับการวางยาพิษ ก็สามารถจับเขาได้เลย
จูเอ๋อร์มองขวดยาพิษด้วยความเจ็บช้ำในใจ โชคดีที่ยังไม่มีบุตรด้วยกัน มิเช่นนั้นนางคงเสียใจยิ่งกว่านี้ สามีที่ไว้ใจกลับทำร้ายกันได้ลงคอ เมื่อหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งงั้นหรือ ดูเหมือนจะเป็นนางที่ได้พูดคำนี้มากกว่า
“หานเซียง เจ้าคิดว่าจะฆ่าข้าได้งั้นหรือ” ร่างอวบเดินเข้ามาในโรงน้ำชา ตอนนี้มีบัณฑิตจำนวนหนึ่งมาประชุมพบปะกัน ดังนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
บัณฑิตหานเห็นภรรยายังมีชีวิตก็ตกใจ คราวนี้จูเอ๋อร์มีเงินมากเขาจึงต้องวางแผนให้รอบคอบกว่าเดิม คิดว่าจะทำให้นางดูเหมือนโดนศัตรูของตนลอบวางยาพิษจนตาย ขณะที่ตนมีหลักฐานที่อยู่คือการประชุมครั้งนี้ แต่เหตุใดยาพิษจึงอยู่ในมือนางได้เล่า
“เจ้าคิดวางยาพิษข้าจนตาย แล้วยกย่องคุณหนูบุตรสาวใต้เท้าโจว ขุนนางขั้นสามขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน เจ้ามันคนไร้คุณธรรม!”
ทุกคนล้วนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ้างบอกให้หญิงสาวค่อยพูดค่อยจา บ้างรอดูความสนุก แต่ตอนนี้เรื่องที่หานเซียงก่อเหตุไม่อาจปกปิดไว้ได้
“ผู้ตรวจการ จับมันไปเข้าคุก! ฆาตรกร ซ้ำยังวางแผนฆ่าภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก คนเช่นนี้ไม่ต่างจากงูเห่า” เพียงแค่นางพูด ผู้ตรวจการที่ดูเหมือนมีหลักฐานครบมือก็เข้ามาจับหานเซียง
“ท่านหาน นี่เรื่องจริงหรือ”
“ใต้เท้าเหลียง ขออภัยที่ต้องบุกมากลางงานเลี้ยงของท่าน แต่ทางเรามีหลักฐานและพยานว่าใต้เท้าหานกระทำการวางแผนฆ่าภรรยาเอกจริง ๆ ขอรับ” คำพูดนั้นทำให้หานเซียงเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใครอีกต่อไป ไม่กี่วันหลังจากนั้นข่าวของบัณฑิตหานก็กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมือง
สาวใช้ชี้ตัวว่าบัณฑิตหานผู้เป็นสามีสั่งคนวางยาคิดฆ่าภรรยาเอก ทั้งคู่หย่าร้างกันแต่ชีวิตของชายหนุ่มจบลงแล้วเพราะชื่อเสียงที่ตั้งใจฆ่าภรรยาทำให้เขาหมดหนทางในชีวิต ถูกปลดไม่พอยังถูกผู้คนชังน้ำหน้า ไม่มีที่ให้กลับไป หลังจากนั้นหานเซียงก็เริ่มสติแตก ราวกับเขาเพิ่งระลึกชาติได้เลยพยายามที่จะกลับไปตามหาหนิงอันที่หมู่บ้านเพื่อยืนยัน แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะหนิงอันหนีหายจากไปนานแล้ว และไม่เคยได้กลับมาที่หมู่บ้านอีกเลย
ขณะที่หานเซียงมีชีวิตไม่ต่างจากหมูหมา บ้านตระกูลจูยังสั่งให้ซ้อมเขาปางตายขาหักแขนหักต้องพิการขอทานข้างถนน เข้าฤดูหนาวก็ตายจากไปในที่สุด
มนุษย์ทุกคนย่อมได้รับผลจากการกระทำของตนเอง หนิงอันเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้ นางยืนอึ้งขณะมองงานเลี้ยงส่งแปลก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า“ท่านลุงเซ่า นี่ออกจะเยอะเกินไปหรือไม่”หนิงอันเพิ่งมาถึงทางเหนือได้ไม่นาน นางลืมไปแล้วว่าแถบนี้หนาวเย็นกว่า แม้จะใช้เวลาเดินทางจากเมืองที่เคยอยู่มาไม่ไกล ยิ่งนอกเมืองก็ยิ่งหนาวเย็นเพราะมีต้นไม้เยอะ ดังนั้นพอมาถึงก็ดันหนาวสั่นจนต้าเซ่าทนไม่ได้ มอบเสื้อผ้าให้กองโต“ของเก่าขายไม่ได้แล้ว แม้จะขายก็ได้ไม่มาก เจ้าเอาไปใส่เถอะ”หนิงอันอ้าปากสั่น ๆ เมื่อมือใหญ่พยายามยัดผ้าคลุมขนจิ้งจอกอย่างดีในมือให้นางอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ รู้สึกว่าไม่น่าบอกเขาเลยจริง ๆก่อนหน้านี้พอเริ่มรู้สึกหนาว หนิงอันก็เพียงเปรยว่า บิดาสัญญากับนางปีนี้จะล่าจิ้งจอกเอาหนังมาทำผ้าคลุมให้ แต่เขากลับตายจากไปก่อน ต้าเซ่าที่คิดว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่ของหนิงอันไปแล้วคงอยากจะชดเชยให้นางจึงทำเช่นนี้ แต่นี่มันมากเกินไป“ไม่มากไปหรอก ต่อไปเจ้ากตัญญูต่อข้าก็เพียงพอ”“ทั้งที่ท่านยังไม่รู้จักข้าดี เหตุใดจึงไว้ใจข้าถึงเพียงนี้” เดินทางมาด้วยกันเพียงสองวัน แต่ต้าเซ่าดีกับนางจริง ๆ“อย่าพูดมากแล้วรับไปเถอะ”“แต
ยามเช้าในเมืองของวังมารอากาศยังคงดีมากเพราะมีป่าทึบล้อมรอบทำให้มีอากาศเย็นสบาย บรรยากาศดีอย่างที่หาในเมืองอื่น ๆไม่ได้ แม้จะมีเสียงจอแจเพราะมีคนมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่หนิงอันไม่น้อยชีวิตที่สองนางอยู่ในเมืองนี้กระทั่งวันตาย ชีวิตนี้นางเองจะมีอายุยืนยาวและอยู่ในเมืองนี้อย่างมีความสุขได้เช่นเดิม หนิงอันเชื่อมั่นในตนเองมาก“อรุณสวัสดิ์คุณหนูหนิง นายท่านให้มาเรียนว่าหากท่านจะออกไปข้างนอกก็สามารถใช้รถม้าได้”“อรุณสวัสดิ์ท่านพ่อบ้าน ข้าไม่รบกวน วันนี้ข้าคิดจะเดินเท้าเอาเจ้าค่ะ ฝากบอกท่านลุงด้วยนะเจ้าคะว่าข้าคงต้องขอตัวก่อน ไม่ได้อยู่รอลาท่านลุง เพราะวันหน้าข้าย่อมมาหาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนนี้บ้างแน่นอน” หนิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ได้ยินเช่นนั้นผู้น้อยก็ยินดี”พ่อบ้านชรามองส่งหญิงสาวจนลับสายตา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตุ่มดำแดงบริเวณผิวกายและใบหน้าของนายหายไปหมดแล้ว ตอนนี้หญิงสาวจึงดูงดงามขึ้นผิดหูผิดตา คงมีแค่บรรยากาศเย็นสบายรอบกายที่ยังเหมือนเดิมหนิงอันไม่ได้คิดปิดบังรูปร่างหน้าตาอีกแล้วเมื่อท่านลุงต้าเซ่าเตือนว่ามันเปล่าประโยชน์ อย่างไรคนก
กระทั่งนางโลมย้ายมาจากเมืองอื่น ยังต้องงดงามและมีความสามารถไม่น้อยจึงจะทำได้ แล้วตัวนางจะกล่าวว่าทำอาชีพอะไรจึงจะเหมาะสม หนิงอันนอนคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนเพราะถูกต้าเซ่าเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว“ขอบคุณพี่ทหารเจ้าค่ะ ข้าเป็นอาจารย์หญิง ตั้งใจเปิดโรงเรียนสอนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อยู่หมู่บ้านนอกเมืองไม่ไกล หากที่บ้านท่านมีเด็กผู้หญิง ก็สามารถส่งไปเรียนที่ข้าได้”“อาจารย์สอนหญิงงั้นหรือ ดี ดี! เจ้าน่าจะผ่านนะ” ทหารหนุ่มตอบรับ ทำให้หนิงอันมั่นใจมากขึ้นชีวิตที่สองเป็นถึงนางโลมอันดับหนึ่ง ศาสตร์ศิลป์ย่อมไม่มีขาดตกบกพร่อง สามารถยกตนขึ้นเป็นครูได้โดยไม่อาย“ว่าอย่างไร เจ้ามาจากที่ใด แล้วเหตุใดจึงอยากย้ายมาอยู่ในเมือง”เข้าพบผู้ดูแลแล้วหนิงอันไม่กล้าโกหกเพราะรู้ดีว่าการเข้าเมืองแตกต่างจากการสนทนากับต้าเซ่า นางสามารถสร้างเรื่องโกหกได้ แต่อาจมีปัญหาหนักเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เป็นจริง จึงไม่หยิบยกเรื่องท่านลุงขึ้นมาพูดสักคำ และตอบไปตามตรงก่อนจะรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย“ข้ามาจากเมืองทางใต้ห่างไปหนึ่งเมืองเท่านั้น บิดามารดาเสียชีวิตเพราะไข้ป่า ไร้ญาติขา
แค่ก ๆ ๆความแสบร้อนที่เกิดขึ้นในทรวงอกราวกับกลืนน้ำร้อนลงไปก็ไม่ปาน ยามนี้หากจะคายชาจอกนั้นออกมาก็ไม่ทันเสียแล้ว ซ้ำร้ายผู้ที่กำลังจับปากนางอ้าออกและกรอกชาที่เต็มไปด้วยยาพิษก็ไม่ใช่ใครอื่นใด แต่กลับกลายเป็นสามีที่นางรักนั่นเอง‘หนิงอัน’ นึกสงสัยในตนเอง นางเป็นสตรีเฝ้าครองเรือนหลังดูแลบ้านให้เรียบร้อย สามเชื่อฟังสี่กตัญญูไม่เคยขาดตกบกพร่อง เหตุไฉนเขาจึงต้องการกำจัดตนเพียงเพราะความมั่งคั่ง รุ่งเรืองเช่นนั้นหรือเพราะนางเป็นเพียงสาวชาวนาไม่สามารถกลายเป็นคู่ครองที่ดีของขุนนางได้ เช่นนั้นก็ควรปลดภรรยาเอก ตั้งภรรยาใหม่เอาที่เขาสบายใจ มิใช่ทำร้ายกันจนตายเช่นนี้นึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าก็ยิ่งเจ็บใจ ตนเองเชื่อฟังสามีทุกอย่างกระทั่งเสียชีวิตลงเพราะสามีไม่ใยดีปล่อยทิ้งขว้าง หลังจากสามีสอบติดได้งานราชการทั้งที่ลำบากมาด้วยกันมากมายแต่พอเขาสบายกลับทิ้งขว้างนางจนตายรู้สึกเหมือนคำสั่งสอนที่บิดามารดาสั่งสอนมาตลอดชีวิต คำสอนหญิงสามเชื่อฟังสี่จรรยานี้ไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อยเชื่อสามีแล้วอย่างไร เพราะเป็นหญิง เพราะเป็นลูกหลานจึงต้องกตัญญู โดยที่ไม่ต้องคำนึงเลยหรือว่า อีกฝ่ายจะปฏิบัติต่อตนอย่างไรเช
“มีปัจจัยหลากหลายในการเกิด มีโอกาสสามครั้งเช่นนี้ก็ถือว่าดีถมไปแล้ว”“หากเลือกได้ ข้าอยากตาย ๆ ไปเสียยังดีกว่า ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งกลับชาติมาเกิดใหม่โดยไม่ต้องจดจำสิ่งใด” ใบหน้าของหญิงสาวปรากฎความเศร้า บ่งบอกว่านางคิดดังที่พูดออกมาจริง ๆ“มนุษย์มีทางเลือกหลากหลาย คราก่อนเจ้าเลือกผิด เมื่อรู้แล้วยังจะเลือกผิดอยู่อีกหรือ”“เพราะมีทางเลือกหลากหลาย ดังนั้นเมื่อเลือกแล้วก็อยากลืมแล้วเลือกใหม่ มากกว่ายังจดจำแล้วเลือกใหม่อยู่ดี เว้นแต่ว่าข้ากลับไปเพื่อเลือกเส้นทางใหม่ในชีวิตเดิม ก็คงไม่มีทางเลือกเส้นทางเดิมอยู่แล้ว”“เจ้ามีโอกาสกลับไปเลือกเส้นทางใหม่แล้ว ใช้ชีวิตให้ดี หนิงอัน”“ข้าย่อมต้องการอย่างนั้นอยู่แล้ว คราวหน้าที่ข้าตายก็จะได้เจอท่านอีกใช่หรือไม่เจ้าคะท่านยมทูต”“ใช่”“เช่นนั้น ไว้เจอกันครั้งหน้านะเจ้าคะ ท่านจะส่งข้าไปหรือยัง”“ยัง”“อ้าว แล้วก็ไม่บอก”“จิบชารอก่อน ข้าต้องทำเอกสารสักครู่”ยมทูตหนุ่มโบกมือ ปรากฎโต๊ะน้ำชาพร้อมของว่างวางอยู่ตรงหน้าอย่างเรียบร้อย หนิงอันไม่เกรงใจนั่งลงเริ่มจิบชาไม่คิดเอ่ยปากขัดขวางการทำงานของยมทูตชุดดำชายหนุ่มกลับมีท่าทางขึงขัง แต่มีหลายคราวที่ขยับมือเป็นร
ยมทูตหนุ่มนั่งจิบชาอย่างใจเย็น นี่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริง ๆ หญิงสาวผู้มีโอกาสถึงสามครั้งให้เลือกใช้ชีวิต กลับจบชีวิตลงอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาด นึกสงสัยในตนเอง คิดว่ารู้จักมนุษย์ดีแล้ว ยังมีมนุษย์ผู้หนึ่งที่ทำให้การคำนวนของตนผิดพลาดอยู่ด้วย เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริง ๆ“ไหนว่ามาซิ เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็วนัก รู้ว่ามีเหลืออยู่อีกเพียงสองชีวิต ทำไมไม่ใช่ชีวิตให้คุ้มค่า รีบกลับมาทำไมกัน”“แหะ ๆ ท่านยมทูต ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้หรอก” หนิงอันจิบชาราวกับกระหายน้ำอย่างมาก พอดื่มเสร็จวางจอก ถึงได้เริ่มรำพึงรำพันต่อ“ข้าเองก็อยากมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ เพียงแต่มนุษย์ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก อะแฮ่ม ข้าหมายถึง ท่านยมทูต ครั้งนี้ข้าไม่ได้คิดที่จะตายเร็วเลยแม้แต่น้อยจริงๆ นะเจ้าคะ”“เช่นนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้น ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจแล้ว ชีวิตนี้เป็นชีวิตสุดท้ายของเจ้าแล้วนะ หากเจ้าเจอเรื่องไม่คาดฝันอีกจะทำอย่างไร ใช้ชีวิตสี่ห้าปีแล้วตายอีกครั้งหรือ”“โถ่~” โอดครวญแล้วก็หยิบน้ำชาขึ้นมากระดกอีกหลายอึก“…”“เป็นใครไม่เสียดายบ้างล่ะเจ้าคะ ข้าเองก็เสียดายเช่นเดียวกัน แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ มันเป็นเหตุ
“ท่านส่งข้าย้อนกลับไปตอนสิบหกหนาวพอดีใช่หรือไม่ ท่านยายหนิงข้างบ้านก็เพิ่งเสียชีวิต ข้าเองหมดที่พึ่งแล้ว ชีวิตแรกช่วงเวลานั้น สามีน่าตายผู้นั้นของข้าก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับปลุกปลอบ ทำเหมือนข้าเป็นน้องสาวที่เขาเอ็นดูหวงแหนจนข้าตกหลุมพราง”“...” เขาจำสามีคนนั้นของนางจากบันทึกความทรงจำวิญญาณได้ คนไร้คุณธรรมเช่นนั้นจะลืมได้อย่างไร“แต่ชีวิตนี้ข้าไม่ได้ตกหลุมพรางของสามีน่าตายผู้นั้น เขาจึงรามือจากข้าและไปเกี้ยวบุตรสาวของพ่อค้าเขียงหมูแทน ส่วนข้าก็มีความคิดที่จะเปิดร้านขายของป่า ดั่งที่เคยวางแผนไว้ในชาติภพแรก น่าเสียดาย…”“เจ้าโดนพ่อค้าทาสจับไป หรือโดนโจรปล้นล่ะ”“ท่านรู้ได้อย่างไร” หนิงอันอ้าปากค้างมองยมทูตหนุ่ม ซึ่งตอนนี้นางรู้สึกเหมือนเขาใกล้ชิดราวกับสหาย“เพิ่งออกจากหมู่บ้าน หญิงสาวตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร ซ้ำยังมีชีวิตต่อมาอีกหลายปี หากไม่กลายเป็นทาส ก็คือกลายเป็นภรรยาโจร”“ท่านเดาผิดแล้วนายท่าน”หนิงอันยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะพึมพำ“แม้จะใกล้เคียงก็ตาม..”“เช่นนั้นแล้วอย่างไร ใยจึงบอกตนเองใช้ชีวิตคุ้มค่า ตอนที่ฝึกฝนเพื่อเป็นภรรยาของขุนนางในชีวิตแรก ก็ถือว่าได้ความรู้มาไม่น้อยมิใช่หรือ” “ก
คราวนี้เมื่อได้ยินคำถาม หนิงอันพลันชะงัก มองเขาอย่างมึนงงไม่ต่างกัน“จะว่าอย่างไรดี ห้าปีที่ผ่านมานี้ ข้าใช้อย่างคุ้มค่ามาก เรียนรู้ทุกสิ่งที่เรียนได้ เพราะคิดว่าน่าจะต้องใช้เมื่อมีชีวิตสุดท้าย เพื่อตนเองจะได้สุขสบาย แต่…”“แต่…”“ห้าปีนั้นสั้นเกินไปจริง ๆ มีหลายเรื่องที่ข้าเสียดายในชีวิตนี้”“ข้าก็ยังไม่เข้าใจ ตกลงว่าเจ้าตายได้อย่างไร”“เหตุสุดวิสัยเจ้าค่ะ”“แล้วเหตุสุดวิสัยที่ว่าคืออะไรกันเล่า”“ท่านกำลังก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของข้าอยู่หรือเปล่า” จู่ ๆ หญิงสาวก็เอ่ยถามขึ้น ทำให้ยมทูตหนุ่มชะงักไป เขาอยากรู้อยากเห็นมากเกินไปจนก้าวก่ายจริง ๆ ดังว่า“ขออภัยด้วย ข้าแค่ผิดคาด…” ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำมืด “เพราะคาดไว้ว่าเจ้าน่าจะมีชีวิตอยู่อีกหลายสิบปี”“ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เราคาดหวังหรอกเจ้าค่ะ ชีวิตมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ข้าเองก็หวังว่าตนเองจะมีชีวิตที่ยืนยาวเช่นกัน ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าอยู่ในหอนางโลมได้อย่างมีความสุขเช่นนั้น ก็เพราะอาศัยบารมีของท่านจอมมาร”“...”“หอนางโลมที่อยู่ภายใต้เมืองแห่งนี้ ภายใต้วังมาร ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมีปัญหาด้วย ข้าได้ยินพี่น้องนางโลมหลายนาง มาจากเ
กระทั่งนางโลมย้ายมาจากเมืองอื่น ยังต้องงดงามและมีความสามารถไม่น้อยจึงจะทำได้ แล้วตัวนางจะกล่าวว่าทำอาชีพอะไรจึงจะเหมาะสม หนิงอันนอนคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนเพราะถูกต้าเซ่าเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว“ขอบคุณพี่ทหารเจ้าค่ะ ข้าเป็นอาจารย์หญิง ตั้งใจเปิดโรงเรียนสอนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อยู่หมู่บ้านนอกเมืองไม่ไกล หากที่บ้านท่านมีเด็กผู้หญิง ก็สามารถส่งไปเรียนที่ข้าได้”“อาจารย์สอนหญิงงั้นหรือ ดี ดี! เจ้าน่าจะผ่านนะ” ทหารหนุ่มตอบรับ ทำให้หนิงอันมั่นใจมากขึ้นชีวิตที่สองเป็นถึงนางโลมอันดับหนึ่ง ศาสตร์ศิลป์ย่อมไม่มีขาดตกบกพร่อง สามารถยกตนขึ้นเป็นครูได้โดยไม่อาย“ว่าอย่างไร เจ้ามาจากที่ใด แล้วเหตุใดจึงอยากย้ายมาอยู่ในเมือง”เข้าพบผู้ดูแลแล้วหนิงอันไม่กล้าโกหกเพราะรู้ดีว่าการเข้าเมืองแตกต่างจากการสนทนากับต้าเซ่า นางสามารถสร้างเรื่องโกหกได้ แต่อาจมีปัญหาหนักเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เป็นจริง จึงไม่หยิบยกเรื่องท่านลุงขึ้นมาพูดสักคำ และตอบไปตามตรงก่อนจะรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย“ข้ามาจากเมืองทางใต้ห่างไปหนึ่งเมืองเท่านั้น บิดามารดาเสียชีวิตเพราะไข้ป่า ไร้ญาติขา
ยามเช้าในเมืองของวังมารอากาศยังคงดีมากเพราะมีป่าทึบล้อมรอบทำให้มีอากาศเย็นสบาย บรรยากาศดีอย่างที่หาในเมืองอื่น ๆไม่ได้ แม้จะมีเสียงจอแจเพราะมีคนมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่หนิงอันไม่น้อยชีวิตที่สองนางอยู่ในเมืองนี้กระทั่งวันตาย ชีวิตนี้นางเองจะมีอายุยืนยาวและอยู่ในเมืองนี้อย่างมีความสุขได้เช่นเดิม หนิงอันเชื่อมั่นในตนเองมาก“อรุณสวัสดิ์คุณหนูหนิง นายท่านให้มาเรียนว่าหากท่านจะออกไปข้างนอกก็สามารถใช้รถม้าได้”“อรุณสวัสดิ์ท่านพ่อบ้าน ข้าไม่รบกวน วันนี้ข้าคิดจะเดินเท้าเอาเจ้าค่ะ ฝากบอกท่านลุงด้วยนะเจ้าคะว่าข้าคงต้องขอตัวก่อน ไม่ได้อยู่รอลาท่านลุง เพราะวันหน้าข้าย่อมมาหาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนนี้บ้างแน่นอน” หนิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ได้ยินเช่นนั้นผู้น้อยก็ยินดี”พ่อบ้านชรามองส่งหญิงสาวจนลับสายตา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตุ่มดำแดงบริเวณผิวกายและใบหน้าของนายหายไปหมดแล้ว ตอนนี้หญิงสาวจึงดูงดงามขึ้นผิดหูผิดตา คงมีแค่บรรยากาศเย็นสบายรอบกายที่ยังเหมือนเดิมหนิงอันไม่ได้คิดปิดบังรูปร่างหน้าตาอีกแล้วเมื่อท่านลุงต้าเซ่าเตือนว่ามันเปล่าประโยชน์ อย่างไรคนก
มนุษย์ทุกคนย่อมได้รับผลจากการกระทำของตนเอง หนิงอันเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้ นางยืนอึ้งขณะมองงานเลี้ยงส่งแปลก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า“ท่านลุงเซ่า นี่ออกจะเยอะเกินไปหรือไม่”หนิงอันเพิ่งมาถึงทางเหนือได้ไม่นาน นางลืมไปแล้วว่าแถบนี้หนาวเย็นกว่า แม้จะใช้เวลาเดินทางจากเมืองที่เคยอยู่มาไม่ไกล ยิ่งนอกเมืองก็ยิ่งหนาวเย็นเพราะมีต้นไม้เยอะ ดังนั้นพอมาถึงก็ดันหนาวสั่นจนต้าเซ่าทนไม่ได้ มอบเสื้อผ้าให้กองโต“ของเก่าขายไม่ได้แล้ว แม้จะขายก็ได้ไม่มาก เจ้าเอาไปใส่เถอะ”หนิงอันอ้าปากสั่น ๆ เมื่อมือใหญ่พยายามยัดผ้าคลุมขนจิ้งจอกอย่างดีในมือให้นางอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ รู้สึกว่าไม่น่าบอกเขาเลยจริง ๆก่อนหน้านี้พอเริ่มรู้สึกหนาว หนิงอันก็เพียงเปรยว่า บิดาสัญญากับนางปีนี้จะล่าจิ้งจอกเอาหนังมาทำผ้าคลุมให้ แต่เขากลับตายจากไปก่อน ต้าเซ่าที่คิดว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่ของหนิงอันไปแล้วคงอยากจะชดเชยให้นางจึงทำเช่นนี้ แต่นี่มันมากเกินไป“ไม่มากไปหรอก ต่อไปเจ้ากตัญญูต่อข้าก็เพียงพอ”“ทั้งที่ท่านยังไม่รู้จักข้าดี เหตุใดจึงไว้ใจข้าถึงเพียงนี้” เดินทางมาด้วยกันเพียงสองวัน แต่ต้าเซ่าดีกับนางจริง ๆ“อย่าพูดมากแล้วรับไปเถอะ”“แต
แม้จะลังเลแต่การแต่งงานต้องเกิดขึ้นและไม่สามารถถอนตัวได้ เมื่อบัณฑิตหานกลับเป็นคนช่วยนางขณะที่กำลังจะจมน้ำ เนื่องจากเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วจึงไม่เป็นข้อครหา แต่ก็เป็นสิ่งที่รัดตัวทำให้จูเอ๋อร์ไม่สามารถบอกยุติการแต่งงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น‘ผู้มีพระคุณ หากทุกอย่างที่ท่านบอกเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นข้าจะตั้งป้ายบูชาท่านเป็นปรมาจารย์ของตระกูลจูเรา’ จูเอ๋อร์อธิษฐานในใจ เนื่องจากคิดว่าผู้ส่งจดหมายปิดผนึกที่ล่วงรู้อนาคตได้ อาจเป็นเทพเซียนองค์ใดเนื่องจากความงดงามของอักษร นางก็ยิ่งปักใจเชื่อในคำเตือนมากขึ้นไปอีก แต่งานแต่งก็จัดแล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นมีแต่ต้องระวังและพยายามกอบโกยให้ตระกูลจู ให้คุ้มค่ากับที่ลงทุนไปจูเอ๋อร์ไม่ใช่คนโง่งมในเรื่องความรัก แม้จะหลงบัณฑิตหานมากเพียงใด แต่ตรงนั้นของเขาก็ไม่ได้เลี่ยมทองคำ นางรักเงินมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นนอกจากสนุบสนุนสามีให้เป็นขุนนางจนสำเร็จ ยังกอบโกยเงินจำนวนมหาศาลเข้าตระกูลจูของตนอีกด้วย“นายหญิง…” และแล้ววันที่ถูกเตือนก็มาถึง สาวใช้ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้า คือสาวใช้ที่จูเอ๋อร์ซื้อตัวไว้ ความจริงด้วยอำนาจ
“ว่าแต่เจ้ามีนามว่าอย่างไร”“หนิงอันเจ้าค่ะ ท่านลุงเล่า”“ต้าเซ่า ข้ามีนามว่าต้าเซ่า”“ท่านลุงต้าเซ่า” หนิงอันคำนับให้ ร่างโงนเงนไปมาเพราะอยู่บนเกวียนเทียม เห็นหญิงสาวนั่งลำบาก ด้วยใจที่รู้สึกเอ็นดูนางราวกับลูกหลานเนื่องจากคุยถูกคอ ก็ทำให้ต้าเซ่ารู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของหญิงสาวขึ้นมา“นั่งสบายหรือไม่ เฮ้ย เจ้าไปเอาเบาะรองนั่งมาให้นางหน่อย” ต้าเซ่าไม่วายหันไปสั่งลูกน้อง ขบวนจึงต้องหยุดลงชั่วคราว“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง”“ไม่ต้องเกรงใจไป ข้าจะแวะอยู่เมืองทางเหนือสักพัก หากเจ้าหาญาติไม่เจอ หรือมีสิ่งใดให้ช่วยก็ให้ตามหาข้าได้เลย”“ขอบคุณท่านลุงที่เมตตาข้า”“เจ้าเรียกข้าท่านลุง ตอนนี้ข้าก็นับว่าเจ้าเป็นหลานสาวคนหนึ่งแล้ว” ว่าแล้วชายร่างโตก็เริ่มคลำหาของมีค่าในตัว จับเจอถุงเงินก็หยิบออกมามอบให้นาง“...” หนิงอันนิ่งอึ้ง ตามธรรมเนียมของแคว้น มีเพียงภรรยาหรือลูกสาวที่ยุ่งกับถุงเงินพ่อแม่ได้ ตอนนี้เขานับนางเป็นหลานสาวจริง ๆ แล้ว“รับไปเสียสิ ในนี้มีอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ข้าเก็บเป็นตั๋วเงินฝากไว้ แต่ลุงของเจ้าร่ำรวยไม่น้อย หากมีอะไรก็มาพึ่งพาข้าได้”“ท่านใจดีกับข้าเกินไปแล้ว ทั้งที่เพิ่งพบกันแท้ ๆ”
“นะเจ้าคะท่านลุง ข้าเดินทางคนเดียวไม่รู้ว่าจะพบอันตรายใดบ้าง ให้ข้าเดินทางไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ” เส้นทางนี้เป็นทางขึ้นเหนือเท่านั้น ไม่มีทางที่จะผ่านไปเมืองอื่น เว้นแต่เลยไป แต่อย่างไรเมืองที่หนิงอันวางแผนว่าจะไปใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ก็ถึงก่อนจะไปเมืองอื่นอยู่แล้ว เมืองเดียวที่ไม่ได้รับผลของสงคราม เมืองภายใต้การปกครองของวังมาร หรือก็คือเมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่ในชาติที่สองนั่นเอง“ไร้สาระ เจ้าขอติดกองคาราวานเพื่อเข้าเมือง นี่ถึงเมืองแล้วก็รีบลงไป”“ท่านลุงเจ้าคะ จริง ๆ ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ไม่ได้หนีสิ่งใดมา แต่เพราะบิดามารดารวมถึงท่านยายล้วนเสียชีวิตด้วยไข้ป่า ก่อนตายท่านแม่สั่งเสียว่าข้ามีท่านลุงอยู่ในเมืองทางเหนือ จึงคิดจะออกตามหาท่านลุงด้วยตนเอง ข้าไม่เหลือใครแล้ว ได้โปรดให้ข้าติดตามไปด้วยหากท่านไปทางเดียวกันเถอะเจ้าค่ะ”“เมืองทางเหนือที่เจ้าว่า คือเมืองของวังมาร?” ในสามแคว้นนี้ มีเพียงเมืองเหนือของวังมารที่อยู่นอกเขตพื้นที่สงคราม เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด อยู่นอกกฎหมายแต่กลับสงบไร้ผู้ก่ออาชญากรรม แน่นอนว่าค่าครองชีพย่อมสูงมาก“ใช่เจ้าค่ะ”“อย่าไปเลย เกรงว่าเจ้าจะถูกจับไปเป็นนางโลม
“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ฝากบอกต้าหยางด้วยว่าข้าวางค่าจ้างเอาไว้ให้เขาแล้ว”“เอ้อ! เดินทางดี ๆ รีบ ๆ ไปเร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทันคาราวาน เจ้าเด็กคนนี้นี่ยังไง ระวังด้วยอย่าวิ่งสิเดี๋ยวล้มนะ เอ๊ะ เสี่ยวหนิงซนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” ตาเฒ่าหวังโบกมือไล่หญิงสาวที่เอาแต่สั่งลา ไม่ยอมเข้าร่วมคาราวานเสียทีกลุ่มพ่อค้าด้านหลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากหมู่บ้านมากขึ้นทุกทีทำให้ชายชราเริ่มเป็นกังวล เกรงว่าหญิงสาวจะตามไม่ทัน“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ รักษาสุขภาพตัวเองด้วย หากมีโอกาสข้าจะแวะมาเยี่ยมเยียนท่านอีกครั้งแน่นอน”“เอ้อ ๆ กระโดดเบา ๆ โอ๊ย หัวใจข้าจะขาดแทนวิญญาณบิดามารดาเจ้าแล้วเสี่ยวหนิงเอ้ย!” เห็นหญิงสาวกระโดดเหยง ๆ ขึ้นเกวียนที่กำลังวิ่งเหยาะก็ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่มีหลานสาว หลานชายก็กำลังเล็กแต่พอนึกถึงหลานชายตัวน้อยที่ทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ รับปากทำงานให้เด็กหญิงตาเฒ่าก็อดสงสัยไม่ได้ ไม่รู้เด็กน้อยทั้งสองมีความลับอะไรกัน ไม่รู้เสี่ยวหนิงจ้างวานอะไรเจ้าเด็กหวังอี้หยางหนิงอันถอนหายใจโล่งอกเมื่อขึ้นเกวียนได้ทัน นางหันไปยิ้มให้เพื่อนร่วมทางที่ไม่คิดจะรอแถมยังเร่งเดินทางจน
หญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นดั่งสาวงามในภาพวาดเซียนกำลังนั่งหย่อนขาอยู่ริมระเบียง บ้านของท่านยายหนิงเป็นเรือนแบบสองห้องนอน มีครัวแยกต่างหาก ดูเหมือนจะพอมีพอใช้ไม่ขาดมือ เพียงแต่ท่านยายนั้นไร้ญาติขาดมิตร สุดท้ายก็รับหนิงอันเป็นทายาทด้วยความเอ็นดูหากพูดแล้วชาวบ้านล้วนอิจฉาที่หนิงอันได้รับมรดกทั้งจากพ่อแม่ และจากท่านยายหนิงโดยไม่มีผู้ใดรู้ว่า สมบัติจากทางบิดามารดานางก็ได้มาไม่น้อยหน้ากัน ไม่เช่นนั้นคงชุบเลี้ยงบัณฑิตยากจนกระทั่งกลายเป็นขุนนางไม่ได้หนิงอันในชีวิตแรกไม่มีความสามารถใด ๆ นอกจากสินเจ้าสาวที่ติดตัวไป แต่ตอนนี้นางมีทั้งเงินและความสามารถ ย่อมต้องอยู่อย่างสุขสบายจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตได้อย่างแน่นอนถึงอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เกิดการผิดแผนขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวจำเป็นต้องวิเคราะห์และวางแผนอย่างรอบคอบ“กองคาราวานจะมาในอีกสามวัน” นับจากวันที่นางไปติดต่อกับท่านตาหวัง ก็ผ่านมานานแล้ว หนิงอันยังเฝ้ารอกองคาราวานทุกวันอย่างใจจดใจจ่อ“สมบัติทุกชิ้นข้าก็เตรียมเอาไว้หมดแล้ว เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เรียบร้อย ยังมีเกราะอ่อนของท่านลุง…” นึกถึงเกราะอ่อนทหารที่ท่านยายมักจะเอามาอวด ทำให้หนิงอันยิ้มน้อ
“ท่านตา ข้าต้องการเข้าเมือง แต่ว่า…ตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่ ท่านยายตาย ออกจากบ้านข้าก็ยังกลัว ข้ารู้สึกว่าหากมีอะไรที่รับรองความปลอดภัยของตนเองได้ จะรู้สึกดีกว่ามาก ท่านตาคิดว่าหากข้าจ้างทหารรับจ้างในหมู่บ้านจะดีหรือไม่เจ้าคะ”“เจ้ามีเงินหรือ ทหารรับจ้างใช้เงินไม่น้อย แม้จะเป็นกลุ่มที่แขนขาพิการแต่เป็นทหารเดนตายชายแดนมาก่อน พวกเขามีความสามารถมากก็ใช้เงินจ้างสูงมากตามไปด้วย ที่ข้ารู้จักก็เจ้าหู่ที่อยู่หลังเนินนู่นไง คิดตั้งห้าตำลึงเงินแน่ะ นี่แค่จะเข้าเมืองนะ”“...” หนิงอันอ้าปากเหวอ นางไม่สามารถใช้เงินได้เยอะขนาดนั้น เพราะวางแผนว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ไม่มีความคิดขายบ้านเดิม เนื่องจากเสียดายสถานที่แห่งความทรงจำ“เอาอย่างนี้ เจ้ารอไปก่อนสักครึ่งเดือน ได้ยินว่ามีคาราวานหนึ่งจะผ่านทางนี้ ท่านพ่อค้าใจดี หากจ่ายสักสองสามร้อยอีแปะก็คงติดตามไปได้”“ขบวนพ่อค้าเร่หรือเจ้าคะ” หนิงอันตาเป็นประกาย เมื่อครั้งอยู่หอนางโลม นางได้มีโอกาสได้รับแขกต่างบ้านต่างเมืองเป็นพ่อค้าเร่ แต่แท้จริงฐานะกลับสูงส่ง จึงพอจะรู้ว่าขบวนพ่อค้าเร่นั้น แม้จะเป็นขบวนเล็ก ๆ แต่ก็ต้องจ้างสำนักคุ้มภัยมาคุ้มกันสินค้า กลุ่มโจรที