“นะเจ้าคะท่านลุง ข้าเดินทางคนเดียวไม่รู้ว่าจะพบอันตรายใดบ้าง ให้ข้าเดินทางไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ” เส้นทางนี้เป็นทางขึ้นเหนือเท่านั้น ไม่มีทางที่จะผ่านไปเมืองอื่น เว้นแต่เลยไป แต่อย่างไรเมืองที่หนิงอันวางแผนว่าจะไปใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ก็ถึงก่อนจะไปเมืองอื่นอยู่แล้ว
เมืองเดียวที่ไม่ได้รับผลของสงคราม เมืองภายใต้การปกครองของวังมาร หรือก็คือเมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่ในชาติที่สองนั่นเอง
“ไร้สาระ เจ้าขอติดกองคาราวานเพื่อเข้าเมือง นี่ถึงเมืองแล้วก็รีบลงไป”
“ท่านลุงเจ้าคะ จริง ๆ ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ไม่ได้หนีสิ่งใดมา แต่เพราะบิดามารดารวมถึงท่านยายล้วนเสียชีวิตด้วยไข้ป่า ก่อนตายท่านแม่สั่งเสียว่าข้ามีท่านลุงอยู่ในเมืองทางเหนือ จึงคิดจะออกตามหาท่านลุงด้วยตนเอง ข้าไม่เหลือใครแล้ว ได้โปรดให้ข้าติดตามไปด้วยหากท่านไปทางเดียวกันเถอะเจ้าค่ะ”
“เมืองทางเหนือที่เจ้าว่า คือเมืองของวังมาร?” ในสามแคว้นนี้ มีเพียงเมืองเหนือของวังมารที่อยู่นอกเขตพื้นที่สงคราม เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด อยู่นอกกฎหมายแต่กลับสงบไร้ผู้ก่ออาชญากรรม แน่นอนว่าค่าครองชีพย่อมสูงมาก
“ใช่เจ้าค่ะ”
“อย่าไปเลย เกรงว่าเจ้าจะถูกจับไปเป็นนางโลมเสียก่อน”
เมืองทางเหนือปลอดภัยก็จริง แต่ไม่ใช่สำหรับหญิงสาวตัวคนเดียว โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งใจปกปิดรูปโฉมตนเองย่อมหน้าตาดีไม่น้อย
เมืองทางเหนือขึ้นชื่อเรื่องถนนนางโลม ที่นั่นมีหอนางโลมตั้งอยู่มากมายคอยต้อนรับแขกให้มาพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดในสามแคว้นล้วนต้องเคยไปพักผ่อนหย่อนใจในเมืองวังมารมาก่อนแล้วทั้งนั้น เพราะมีเพียงที่แห่งนั้นซึ่งไม่มีสงครามกล้ำกลายให้ต้องคิดหนัก
“แต่ข้าไม่เหลือใครแล้วเจ้าค่ะ หากไม่ไปตามหาท่านลุง ย่อมต้องเสียใจตลอดชีวิตอย่างแน่นอน” หนิงอันโป้ปดอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“เฮ้อ เอาเถอะ งั้นก็ไปด้วยกัน” เกวียนวิ่งทะลุออกทางประตูเมืองอีกฝั่งแล้ว ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ลงที่เมืองนี้จริง ๆ
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านเจ้าของคาราวานด้วยเจ้าค่ะ” หนิงอันหันไปคำนับให้ทางด้านหน้าด้วย ก่อนจะเห็นสีหน้าเหนื่อยใจของต้าเซ่า นางยิ้มแผล่ให้เขาเหมือนว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
“ท่านลุงมองข้าเช่นนี้ อย่าได้คิดไม่ดีไม่ร้ายกับข้าเชียวนะเจ้าคะ ข้าสู้สุดใจขาดดิ้นจริง ๆ ด้วย”
“เจ้าเด็กโง่ อายุของเจ้าเป็นลูกข้าได้ทีเดียว…” เอ่ยถึงตรงนี้ต้าเซ่าก็ราวกับจมดิ่งลงสู่ความทรงจำอันเลวร้าย กระทั่งรู้สึกเหมือนมีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นด้านข้าง หันไปมองก็เห็นหญิงสาวกำลังพยายามเป่าใบไผ่ให้มีเสียง แต่มันมีเพียงเสียงหวีดหวิวน่ารำคาญส่งออกมา
“เจ้าเด็กโง่ทำอะไร”
“ท่านพ่อเคยสอนข้าทำเช่นนี้ หากท่านพ่อยังอยู่ เราผ่านป่าไผ่เช่นนี้คงหยิบเอาใบไผ่มาเป่าเล่นให้ข้าฟังเช่นกัน” หนิงอันยิ้มเศร้า ทำให้ต้าเซ่ามองนางด้วยความเห็นใจ
“หากบุตรสาวข้ายังอยู่คงมีอายุเท่ากับเจ้า”
“ท่านลุง เช่นนั้นข้าจะเป็นบุตรสาวให้ท่านดีหรือไม่”
“ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากมีลูกลิงเพิ่ม”
“ท่านลุง~” หนิงอันเย้าแหย่กับต้าเซ่าเล่น อย่างไรก็ต้องเดินทางด้วยกันไปอีกเป็นวัน กว่าจะถึงเมืองทางเหนือ
“เด็กน้อย ถ้าเป็นลูกสะใภ้ก็ว่าไปอย่าง อายุเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว ยังอยากเป็นลูกคนอีกหรือ ไม่ใช่ต้องอยากมีครอบครัวแล้วอยากเป็นแม่คนแล้วหรือ?” คนตัวโตเอ่ยเย้า
“เช่นนั้นท่านลุงมีบุตรชายหรือไม่เจ้าคะ หากมีข้าก็ยินดีที่จะเป็นลูกสะใภ้ของท่าน พ่อสามีใจดีเยี่ยงนี้เหตุใดจึงไม่ชอบเล่า” หนิงอันยิ้มหวาน ทำให้ต้าเซ่าน้ำตาคลอ นางช่างคล้ายกับภรรยาของเขาเหลือเกิน
“เช่นนั้นหากข้ามีบุตรชาย จะให้เจ้าเป็นลูกสะใภ้แล้วกัน”
“โถ่ พูดเช่นนี้แสดงว่า ตอนนี้ท่านยังไม่มีบุตรชายด้วยซ้ำ กว่าเด็กจะเกิด กว่าจะโต ข้าไม่กลายเป็นยายแก่หนังเหี่ยวไปแล้วหรือเจ้าคะ”
“ฮ่า ๆ ๆ”
“ฮ่า ๆ ๆ”
หนิงอันหัวเราะกลั้วไปกับคนตัวโต รู้สึกคุยกับเขาแล้วสบายใจ ราวกับได้สหายต่างวัยมาหนึ่งคน
“ว่าแต่เจ้ามีนามว่าอย่างไร”“หนิงอันเจ้าค่ะ ท่านลุงเล่า”“ต้าเซ่า ข้ามีนามว่าต้าเซ่า”“ท่านลุงต้าเซ่า” หนิงอันคำนับให้ ร่างโงนเงนไปมาเพราะอยู่บนเกวียนเทียม เห็นหญิงสาวนั่งลำบาก ด้วยใจที่รู้สึกเอ็นดูนางราวกับลูกหลานเนื่องจากคุยถูกคอ ก็ทำให้ต้าเซ่ารู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของหญิงสาวขึ้นมา“นั่งสบายหรือไม่ เฮ้ย เจ้าไปเอาเบาะรองนั่งมาให้นางหน่อย” ต้าเซ่าไม่วายหันไปสั่งลูกน้อง ขบวนจึงต้องหยุดลงชั่วคราว“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง”“ไม่ต้องเกรงใจไป ข้าจะแวะอยู่เมืองทางเหนือสักพัก หากเจ้าหาญาติไม่เจอ หรือมีสิ่งใดให้ช่วยก็ให้ตามหาข้าได้เลย”“ขอบคุณท่านลุงที่เมตตาข้า”“เจ้าเรียกข้าท่านลุง ตอนนี้ข้าก็นับว่าเจ้าเป็นหลานสาวคนหนึ่งแล้ว” ว่าแล้วชายร่างโตก็เริ่มคลำหาของมีค่าในตัว จับเจอถุงเงินก็หยิบออกมามอบให้นาง“...” หนิงอันนิ่งอึ้ง ตามธรรมเนียมของแคว้น มีเพียงภรรยาหรือลูกสาวที่ยุ่งกับถุงเงินพ่อแม่ได้ ตอนนี้เขานับนางเป็นหลานสาวจริง ๆ แล้ว“รับไปเสียสิ ในนี้มีอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ข้าเก็บเป็นตั๋วเงินฝากไว้ แต่ลุงของเจ้าร่ำรวยไม่น้อย หากมีอะไรก็มาพึ่งพาข้าได้”“ท่านใจดีกับข้าเกินไปแล้ว ทั้งที่เพิ่งพบกันแท้ ๆ”
แม้จะลังเลแต่การแต่งงานต้องเกิดขึ้นและไม่สามารถถอนตัวได้ เมื่อบัณฑิตหานกลับเป็นคนช่วยนางขณะที่กำลังจะจมน้ำ เนื่องจากเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วจึงไม่เป็นข้อครหา แต่ก็เป็นสิ่งที่รัดตัวทำให้จูเอ๋อร์ไม่สามารถบอกยุติการแต่งงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น‘ผู้มีพระคุณ หากทุกอย่างที่ท่านบอกเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นข้าจะตั้งป้ายบูชาท่านเป็นปรมาจารย์ของตระกูลจูเรา’ จูเอ๋อร์อธิษฐานในใจ เนื่องจากคิดว่าผู้ส่งจดหมายปิดผนึกที่ล่วงรู้อนาคตได้ อาจเป็นเทพเซียนองค์ใดเนื่องจากความงดงามของอักษร นางก็ยิ่งปักใจเชื่อในคำเตือนมากขึ้นไปอีก แต่งานแต่งก็จัดแล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นมีแต่ต้องระวังและพยายามกอบโกยให้ตระกูลจู ให้คุ้มค่ากับที่ลงทุนไปจูเอ๋อร์ไม่ใช่คนโง่งมในเรื่องความรัก แม้จะหลงบัณฑิตหานมากเพียงใด แต่ตรงนั้นของเขาก็ไม่ได้เลี่ยมทองคำ นางรักเงินมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นนอกจากสนุบสนุนสามีให้เป็นขุนนางจนสำเร็จ ยังกอบโกยเงินจำนวนมหาศาลเข้าตระกูลจูของตนอีกด้วย“นายหญิง…” และแล้ววันที่ถูกเตือนก็มาถึง สาวใช้ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้า คือสาวใช้ที่จูเอ๋อร์ซื้อตัวไว้ ความจริงด้วยอำนาจ
มนุษย์ทุกคนย่อมได้รับผลจากการกระทำของตนเอง หนิงอันเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้ นางยืนอึ้งขณะมองงานเลี้ยงส่งแปลก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า“ท่านลุงเซ่า นี่ออกจะเยอะเกินไปหรือไม่”หนิงอันเพิ่งมาถึงทางเหนือได้ไม่นาน นางลืมไปแล้วว่าแถบนี้หนาวเย็นกว่า แม้จะใช้เวลาเดินทางจากเมืองที่เคยอยู่มาไม่ไกล ยิ่งนอกเมืองก็ยิ่งหนาวเย็นเพราะมีต้นไม้เยอะ ดังนั้นพอมาถึงก็ดันหนาวสั่นจนต้าเซ่าทนไม่ได้ มอบเสื้อผ้าให้กองโต“ของเก่าขายไม่ได้แล้ว แม้จะขายก็ได้ไม่มาก เจ้าเอาไปใส่เถอะ”หนิงอันอ้าปากสั่น ๆ เมื่อมือใหญ่พยายามยัดผ้าคลุมขนจิ้งจอกอย่างดีในมือให้นางอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ รู้สึกว่าไม่น่าบอกเขาเลยจริง ๆก่อนหน้านี้พอเริ่มรู้สึกหนาว หนิงอันก็เพียงเปรยว่า บิดาสัญญากับนางปีนี้จะล่าจิ้งจอกเอาหนังมาทำผ้าคลุมให้ แต่เขากลับตายจากไปก่อน ต้าเซ่าที่คิดว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่ของหนิงอันไปแล้วคงอยากจะชดเชยให้นางจึงทำเช่นนี้ แต่นี่มันมากเกินไป“ไม่มากไปหรอก ต่อไปเจ้ากตัญญูต่อข้าก็เพียงพอ”“ทั้งที่ท่านยังไม่รู้จักข้าดี เหตุใดจึงไว้ใจข้าถึงเพียงนี้” เดินทางมาด้วยกันเพียงสองวัน แต่ต้าเซ่าดีกับนางจริง ๆ“อย่าพูดมากแล้วรับไปเถอะ”“แต
ยามเช้าในเมืองของวังมารอากาศยังคงดีมากเพราะมีป่าทึบล้อมรอบทำให้มีอากาศเย็นสบาย บรรยากาศดีอย่างที่หาในเมืองอื่น ๆไม่ได้ แม้จะมีเสียงจอแจเพราะมีคนมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่หนิงอันไม่น้อยชีวิตที่สองนางอยู่ในเมืองนี้กระทั่งวันตาย ชีวิตนี้นางเองจะมีอายุยืนยาวและอยู่ในเมืองนี้อย่างมีความสุขได้เช่นเดิม หนิงอันเชื่อมั่นในตนเองมาก“อรุณสวัสดิ์คุณหนูหนิง นายท่านให้มาเรียนว่าหากท่านจะออกไปข้างนอกก็สามารถใช้รถม้าได้”“อรุณสวัสดิ์ท่านพ่อบ้าน ข้าไม่รบกวน วันนี้ข้าคิดจะเดินเท้าเอาเจ้าค่ะ ฝากบอกท่านลุงด้วยนะเจ้าคะว่าข้าคงต้องขอตัวก่อน ไม่ได้อยู่รอลาท่านลุง เพราะวันหน้าข้าย่อมมาหาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนนี้บ้างแน่นอน” หนิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ได้ยินเช่นนั้นผู้น้อยก็ยินดี”พ่อบ้านชรามองส่งหญิงสาวจนลับสายตา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตุ่มดำแดงบริเวณผิวกายและใบหน้าของนายหายไปหมดแล้ว ตอนนี้หญิงสาวจึงดูงดงามขึ้นผิดหูผิดตา คงมีแค่บรรยากาศเย็นสบายรอบกายที่ยังเหมือนเดิมหนิงอันไม่ได้คิดปิดบังรูปร่างหน้าตาอีกแล้วเมื่อท่านลุงต้าเซ่าเตือนว่ามันเปล่าประโยชน์ อย่างไรคนก
กระทั่งนางโลมย้ายมาจากเมืองอื่น ยังต้องงดงามและมีความสามารถไม่น้อยจึงจะทำได้ แล้วตัวนางจะกล่าวว่าทำอาชีพอะไรจึงจะเหมาะสม หนิงอันนอนคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนเพราะถูกต้าเซ่าเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว“ขอบคุณพี่ทหารเจ้าค่ะ ข้าเป็นอาจารย์หญิง ตั้งใจเปิดโรงเรียนสอนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อยู่หมู่บ้านนอกเมืองไม่ไกล หากที่บ้านท่านมีเด็กผู้หญิง ก็สามารถส่งไปเรียนที่ข้าได้”“อาจารย์สอนหญิงงั้นหรือ ดี ดี! เจ้าน่าจะผ่านนะ” ทหารหนุ่มตอบรับ ทำให้หนิงอันมั่นใจมากขึ้นชีวิตที่สองเป็นถึงนางโลมอันดับหนึ่ง ศาสตร์ศิลป์ย่อมไม่มีขาดตกบกพร่อง สามารถยกตนขึ้นเป็นครูได้โดยไม่อาย“ว่าอย่างไร เจ้ามาจากที่ใด แล้วเหตุใดจึงอยากย้ายมาอยู่ในเมือง”เข้าพบผู้ดูแลแล้วหนิงอันไม่กล้าโกหกเพราะรู้ดีว่าการเข้าเมืองแตกต่างจากการสนทนากับต้าเซ่า นางสามารถสร้างเรื่องโกหกได้ แต่อาจมีปัญหาหนักเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เป็นจริง จึงไม่หยิบยกเรื่องท่านลุงขึ้นมาพูดสักคำ และตอบไปตามตรงก่อนจะรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย“ข้ามาจากเมืองทางใต้ห่างไปหนึ่งเมืองเท่านั้น บิดามารดาเสียชีวิตเพราะไข้ป่า ไร้ญาติขา
แค่ก ๆ ๆความแสบร้อนที่เกิดขึ้นในทรวงอกราวกับกลืนน้ำร้อนลงไปก็ไม่ปาน ยามนี้หากจะคายชาจอกนั้นออกมาก็ไม่ทันเสียแล้ว ซ้ำร้ายผู้ที่กำลังจับปากนางอ้าออกและกรอกชาที่เต็มไปด้วยยาพิษก็ไม่ใช่ใครอื่นใด แต่กลับกลายเป็นสามีที่นางรักนั่นเอง‘หนิงอัน’ นึกสงสัยในตนเอง นางเป็นสตรีเฝ้าครองเรือนหลังดูแลบ้านให้เรียบร้อย สามเชื่อฟังสี่กตัญญูไม่เคยขาดตกบกพร่อง เหตุไฉนเขาจึงต้องการกำจัดตนเพียงเพราะความมั่งคั่ง รุ่งเรืองเช่นนั้นหรือเพราะนางเป็นเพียงสาวชาวนาไม่สามารถกลายเป็นคู่ครองที่ดีของขุนนางได้ เช่นนั้นก็ควรปลดภรรยาเอก ตั้งภรรยาใหม่เอาที่เขาสบายใจ มิใช่ทำร้ายกันจนตายเช่นนี้นึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าก็ยิ่งเจ็บใจ ตนเองเชื่อฟังสามีทุกอย่างกระทั่งเสียชีวิตลงเพราะสามีไม่ใยดีปล่อยทิ้งขว้าง หลังจากสามีสอบติดได้งานราชการทั้งที่ลำบากมาด้วยกันมากมายแต่พอเขาสบายกลับทิ้งขว้างนางจนตายรู้สึกเหมือนคำสั่งสอนที่บิดามารดาสั่งสอนมาตลอดชีวิต คำสอนหญิงสามเชื่อฟังสี่จรรยานี้ไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อยเชื่อสามีแล้วอย่างไร เพราะเป็นหญิง เพราะเป็นลูกหลานจึงต้องกตัญญู โดยที่ไม่ต้องคำนึงเลยหรือว่า อีกฝ่ายจะปฏิบัติต่อตนอย่างไรเช
“มีปัจจัยหลากหลายในการเกิด มีโอกาสสามครั้งเช่นนี้ก็ถือว่าดีถมไปแล้ว”“หากเลือกได้ ข้าอยากตาย ๆ ไปเสียยังดีกว่า ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งกลับชาติมาเกิดใหม่โดยไม่ต้องจดจำสิ่งใด” ใบหน้าของหญิงสาวปรากฎความเศร้า บ่งบอกว่านางคิดดังที่พูดออกมาจริง ๆ“มนุษย์มีทางเลือกหลากหลาย คราก่อนเจ้าเลือกผิด เมื่อรู้แล้วยังจะเลือกผิดอยู่อีกหรือ”“เพราะมีทางเลือกหลากหลาย ดังนั้นเมื่อเลือกแล้วก็อยากลืมแล้วเลือกใหม่ มากกว่ายังจดจำแล้วเลือกใหม่อยู่ดี เว้นแต่ว่าข้ากลับไปเพื่อเลือกเส้นทางใหม่ในชีวิตเดิม ก็คงไม่มีทางเลือกเส้นทางเดิมอยู่แล้ว”“เจ้ามีโอกาสกลับไปเลือกเส้นทางใหม่แล้ว ใช้ชีวิตให้ดี หนิงอัน”“ข้าย่อมต้องการอย่างนั้นอยู่แล้ว คราวหน้าที่ข้าตายก็จะได้เจอท่านอีกใช่หรือไม่เจ้าคะท่านยมทูต”“ใช่”“เช่นนั้น ไว้เจอกันครั้งหน้านะเจ้าคะ ท่านจะส่งข้าไปหรือยัง”“ยัง”“อ้าว แล้วก็ไม่บอก”“จิบชารอก่อน ข้าต้องทำเอกสารสักครู่”ยมทูตหนุ่มโบกมือ ปรากฎโต๊ะน้ำชาพร้อมของว่างวางอยู่ตรงหน้าอย่างเรียบร้อย หนิงอันไม่เกรงใจนั่งลงเริ่มจิบชาไม่คิดเอ่ยปากขัดขวางการทำงานของยมทูตชุดดำชายหนุ่มกลับมีท่าทางขึงขัง แต่มีหลายคราวที่ขยับมือเป็นร
ยมทูตหนุ่มนั่งจิบชาอย่างใจเย็น นี่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริง ๆ หญิงสาวผู้มีโอกาสถึงสามครั้งให้เลือกใช้ชีวิต กลับจบชีวิตลงอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาด นึกสงสัยในตนเอง คิดว่ารู้จักมนุษย์ดีแล้ว ยังมีมนุษย์ผู้หนึ่งที่ทำให้การคำนวนของตนผิดพลาดอยู่ด้วย เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริง ๆ“ไหนว่ามาซิ เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็วนัก รู้ว่ามีเหลืออยู่อีกเพียงสองชีวิต ทำไมไม่ใช่ชีวิตให้คุ้มค่า รีบกลับมาทำไมกัน”“แหะ ๆ ท่านยมทูต ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้หรอก” หนิงอันจิบชาราวกับกระหายน้ำอย่างมาก พอดื่มเสร็จวางจอก ถึงได้เริ่มรำพึงรำพันต่อ“ข้าเองก็อยากมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ เพียงแต่มนุษย์ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก อะแฮ่ม ข้าหมายถึง ท่านยมทูต ครั้งนี้ข้าไม่ได้คิดที่จะตายเร็วเลยแม้แต่น้อยจริงๆ นะเจ้าคะ”“เช่นนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้น ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจแล้ว ชีวิตนี้เป็นชีวิตสุดท้ายของเจ้าแล้วนะ หากเจ้าเจอเรื่องไม่คาดฝันอีกจะทำอย่างไร ใช้ชีวิตสี่ห้าปีแล้วตายอีกครั้งหรือ”“โถ่~” โอดครวญแล้วก็หยิบน้ำชาขึ้นมากระดกอีกหลายอึก“…”“เป็นใครไม่เสียดายบ้างล่ะเจ้าคะ ข้าเองก็เสียดายเช่นเดียวกัน แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ มันเป็นเหตุ
กระทั่งนางโลมย้ายมาจากเมืองอื่น ยังต้องงดงามและมีความสามารถไม่น้อยจึงจะทำได้ แล้วตัวนางจะกล่าวว่าทำอาชีพอะไรจึงจะเหมาะสม หนิงอันนอนคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนเพราะถูกต้าเซ่าเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว“ขอบคุณพี่ทหารเจ้าค่ะ ข้าเป็นอาจารย์หญิง ตั้งใจเปิดโรงเรียนสอนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อยู่หมู่บ้านนอกเมืองไม่ไกล หากที่บ้านท่านมีเด็กผู้หญิง ก็สามารถส่งไปเรียนที่ข้าได้”“อาจารย์สอนหญิงงั้นหรือ ดี ดี! เจ้าน่าจะผ่านนะ” ทหารหนุ่มตอบรับ ทำให้หนิงอันมั่นใจมากขึ้นชีวิตที่สองเป็นถึงนางโลมอันดับหนึ่ง ศาสตร์ศิลป์ย่อมไม่มีขาดตกบกพร่อง สามารถยกตนขึ้นเป็นครูได้โดยไม่อาย“ว่าอย่างไร เจ้ามาจากที่ใด แล้วเหตุใดจึงอยากย้ายมาอยู่ในเมือง”เข้าพบผู้ดูแลแล้วหนิงอันไม่กล้าโกหกเพราะรู้ดีว่าการเข้าเมืองแตกต่างจากการสนทนากับต้าเซ่า นางสามารถสร้างเรื่องโกหกได้ แต่อาจมีปัญหาหนักเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เป็นจริง จึงไม่หยิบยกเรื่องท่านลุงขึ้นมาพูดสักคำ และตอบไปตามตรงก่อนจะรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย“ข้ามาจากเมืองทางใต้ห่างไปหนึ่งเมืองเท่านั้น บิดามารดาเสียชีวิตเพราะไข้ป่า ไร้ญาติขา
ยามเช้าในเมืองของวังมารอากาศยังคงดีมากเพราะมีป่าทึบล้อมรอบทำให้มีอากาศเย็นสบาย บรรยากาศดีอย่างที่หาในเมืองอื่น ๆไม่ได้ แม้จะมีเสียงจอแจเพราะมีคนมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่หนิงอันไม่น้อยชีวิตที่สองนางอยู่ในเมืองนี้กระทั่งวันตาย ชีวิตนี้นางเองจะมีอายุยืนยาวและอยู่ในเมืองนี้อย่างมีความสุขได้เช่นเดิม หนิงอันเชื่อมั่นในตนเองมาก“อรุณสวัสดิ์คุณหนูหนิง นายท่านให้มาเรียนว่าหากท่านจะออกไปข้างนอกก็สามารถใช้รถม้าได้”“อรุณสวัสดิ์ท่านพ่อบ้าน ข้าไม่รบกวน วันนี้ข้าคิดจะเดินเท้าเอาเจ้าค่ะ ฝากบอกท่านลุงด้วยนะเจ้าคะว่าข้าคงต้องขอตัวก่อน ไม่ได้อยู่รอลาท่านลุง เพราะวันหน้าข้าย่อมมาหาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนนี้บ้างแน่นอน” หนิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ได้ยินเช่นนั้นผู้น้อยก็ยินดี”พ่อบ้านชรามองส่งหญิงสาวจนลับสายตา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตุ่มดำแดงบริเวณผิวกายและใบหน้าของนายหายไปหมดแล้ว ตอนนี้หญิงสาวจึงดูงดงามขึ้นผิดหูผิดตา คงมีแค่บรรยากาศเย็นสบายรอบกายที่ยังเหมือนเดิมหนิงอันไม่ได้คิดปิดบังรูปร่างหน้าตาอีกแล้วเมื่อท่านลุงต้าเซ่าเตือนว่ามันเปล่าประโยชน์ อย่างไรคนก
มนุษย์ทุกคนย่อมได้รับผลจากการกระทำของตนเอง หนิงอันเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้ นางยืนอึ้งขณะมองงานเลี้ยงส่งแปลก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า“ท่านลุงเซ่า นี่ออกจะเยอะเกินไปหรือไม่”หนิงอันเพิ่งมาถึงทางเหนือได้ไม่นาน นางลืมไปแล้วว่าแถบนี้หนาวเย็นกว่า แม้จะใช้เวลาเดินทางจากเมืองที่เคยอยู่มาไม่ไกล ยิ่งนอกเมืองก็ยิ่งหนาวเย็นเพราะมีต้นไม้เยอะ ดังนั้นพอมาถึงก็ดันหนาวสั่นจนต้าเซ่าทนไม่ได้ มอบเสื้อผ้าให้กองโต“ของเก่าขายไม่ได้แล้ว แม้จะขายก็ได้ไม่มาก เจ้าเอาไปใส่เถอะ”หนิงอันอ้าปากสั่น ๆ เมื่อมือใหญ่พยายามยัดผ้าคลุมขนจิ้งจอกอย่างดีในมือให้นางอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ รู้สึกว่าไม่น่าบอกเขาเลยจริง ๆก่อนหน้านี้พอเริ่มรู้สึกหนาว หนิงอันก็เพียงเปรยว่า บิดาสัญญากับนางปีนี้จะล่าจิ้งจอกเอาหนังมาทำผ้าคลุมให้ แต่เขากลับตายจากไปก่อน ต้าเซ่าที่คิดว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่ของหนิงอันไปแล้วคงอยากจะชดเชยให้นางจึงทำเช่นนี้ แต่นี่มันมากเกินไป“ไม่มากไปหรอก ต่อไปเจ้ากตัญญูต่อข้าก็เพียงพอ”“ทั้งที่ท่านยังไม่รู้จักข้าดี เหตุใดจึงไว้ใจข้าถึงเพียงนี้” เดินทางมาด้วยกันเพียงสองวัน แต่ต้าเซ่าดีกับนางจริง ๆ“อย่าพูดมากแล้วรับไปเถอะ”“แต
แม้จะลังเลแต่การแต่งงานต้องเกิดขึ้นและไม่สามารถถอนตัวได้ เมื่อบัณฑิตหานกลับเป็นคนช่วยนางขณะที่กำลังจะจมน้ำ เนื่องจากเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วจึงไม่เป็นข้อครหา แต่ก็เป็นสิ่งที่รัดตัวทำให้จูเอ๋อร์ไม่สามารถบอกยุติการแต่งงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น‘ผู้มีพระคุณ หากทุกอย่างที่ท่านบอกเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นข้าจะตั้งป้ายบูชาท่านเป็นปรมาจารย์ของตระกูลจูเรา’ จูเอ๋อร์อธิษฐานในใจ เนื่องจากคิดว่าผู้ส่งจดหมายปิดผนึกที่ล่วงรู้อนาคตได้ อาจเป็นเทพเซียนองค์ใดเนื่องจากความงดงามของอักษร นางก็ยิ่งปักใจเชื่อในคำเตือนมากขึ้นไปอีก แต่งานแต่งก็จัดแล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นมีแต่ต้องระวังและพยายามกอบโกยให้ตระกูลจู ให้คุ้มค่ากับที่ลงทุนไปจูเอ๋อร์ไม่ใช่คนโง่งมในเรื่องความรัก แม้จะหลงบัณฑิตหานมากเพียงใด แต่ตรงนั้นของเขาก็ไม่ได้เลี่ยมทองคำ นางรักเงินมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นนอกจากสนุบสนุนสามีให้เป็นขุนนางจนสำเร็จ ยังกอบโกยเงินจำนวนมหาศาลเข้าตระกูลจูของตนอีกด้วย“นายหญิง…” และแล้ววันที่ถูกเตือนก็มาถึง สาวใช้ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้า คือสาวใช้ที่จูเอ๋อร์ซื้อตัวไว้ ความจริงด้วยอำนาจ
“ว่าแต่เจ้ามีนามว่าอย่างไร”“หนิงอันเจ้าค่ะ ท่านลุงเล่า”“ต้าเซ่า ข้ามีนามว่าต้าเซ่า”“ท่านลุงต้าเซ่า” หนิงอันคำนับให้ ร่างโงนเงนไปมาเพราะอยู่บนเกวียนเทียม เห็นหญิงสาวนั่งลำบาก ด้วยใจที่รู้สึกเอ็นดูนางราวกับลูกหลานเนื่องจากคุยถูกคอ ก็ทำให้ต้าเซ่ารู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของหญิงสาวขึ้นมา“นั่งสบายหรือไม่ เฮ้ย เจ้าไปเอาเบาะรองนั่งมาให้นางหน่อย” ต้าเซ่าไม่วายหันไปสั่งลูกน้อง ขบวนจึงต้องหยุดลงชั่วคราว“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง”“ไม่ต้องเกรงใจไป ข้าจะแวะอยู่เมืองทางเหนือสักพัก หากเจ้าหาญาติไม่เจอ หรือมีสิ่งใดให้ช่วยก็ให้ตามหาข้าได้เลย”“ขอบคุณท่านลุงที่เมตตาข้า”“เจ้าเรียกข้าท่านลุง ตอนนี้ข้าก็นับว่าเจ้าเป็นหลานสาวคนหนึ่งแล้ว” ว่าแล้วชายร่างโตก็เริ่มคลำหาของมีค่าในตัว จับเจอถุงเงินก็หยิบออกมามอบให้นาง“...” หนิงอันนิ่งอึ้ง ตามธรรมเนียมของแคว้น มีเพียงภรรยาหรือลูกสาวที่ยุ่งกับถุงเงินพ่อแม่ได้ ตอนนี้เขานับนางเป็นหลานสาวจริง ๆ แล้ว“รับไปเสียสิ ในนี้มีอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ข้าเก็บเป็นตั๋วเงินฝากไว้ แต่ลุงของเจ้าร่ำรวยไม่น้อย หากมีอะไรก็มาพึ่งพาข้าได้”“ท่านใจดีกับข้าเกินไปแล้ว ทั้งที่เพิ่งพบกันแท้ ๆ”
“นะเจ้าคะท่านลุง ข้าเดินทางคนเดียวไม่รู้ว่าจะพบอันตรายใดบ้าง ให้ข้าเดินทางไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ” เส้นทางนี้เป็นทางขึ้นเหนือเท่านั้น ไม่มีทางที่จะผ่านไปเมืองอื่น เว้นแต่เลยไป แต่อย่างไรเมืองที่หนิงอันวางแผนว่าจะไปใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ก็ถึงก่อนจะไปเมืองอื่นอยู่แล้ว เมืองเดียวที่ไม่ได้รับผลของสงคราม เมืองภายใต้การปกครองของวังมาร หรือก็คือเมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่ในชาติที่สองนั่นเอง“ไร้สาระ เจ้าขอติดกองคาราวานเพื่อเข้าเมือง นี่ถึงเมืองแล้วก็รีบลงไป”“ท่านลุงเจ้าคะ จริง ๆ ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ไม่ได้หนีสิ่งใดมา แต่เพราะบิดามารดารวมถึงท่านยายล้วนเสียชีวิตด้วยไข้ป่า ก่อนตายท่านแม่สั่งเสียว่าข้ามีท่านลุงอยู่ในเมืองทางเหนือ จึงคิดจะออกตามหาท่านลุงด้วยตนเอง ข้าไม่เหลือใครแล้ว ได้โปรดให้ข้าติดตามไปด้วยหากท่านไปทางเดียวกันเถอะเจ้าค่ะ”“เมืองทางเหนือที่เจ้าว่า คือเมืองของวังมาร?” ในสามแคว้นนี้ มีเพียงเมืองเหนือของวังมารที่อยู่นอกเขตพื้นที่สงคราม เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด อยู่นอกกฎหมายแต่กลับสงบไร้ผู้ก่ออาชญากรรม แน่นอนว่าค่าครองชีพย่อมสูงมาก“ใช่เจ้าค่ะ”“อย่าไปเลย เกรงว่าเจ้าจะถูกจับไปเป็นนางโลม
“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ฝากบอกต้าหยางด้วยว่าข้าวางค่าจ้างเอาไว้ให้เขาแล้ว”“เอ้อ! เดินทางดี ๆ รีบ ๆ ไปเร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทันคาราวาน เจ้าเด็กคนนี้นี่ยังไง ระวังด้วยอย่าวิ่งสิเดี๋ยวล้มนะ เอ๊ะ เสี่ยวหนิงซนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” ตาเฒ่าหวังโบกมือไล่หญิงสาวที่เอาแต่สั่งลา ไม่ยอมเข้าร่วมคาราวานเสียทีกลุ่มพ่อค้าด้านหลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากหมู่บ้านมากขึ้นทุกทีทำให้ชายชราเริ่มเป็นกังวล เกรงว่าหญิงสาวจะตามไม่ทัน“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ รักษาสุขภาพตัวเองด้วย หากมีโอกาสข้าจะแวะมาเยี่ยมเยียนท่านอีกครั้งแน่นอน”“เอ้อ ๆ กระโดดเบา ๆ โอ๊ย หัวใจข้าจะขาดแทนวิญญาณบิดามารดาเจ้าแล้วเสี่ยวหนิงเอ้ย!” เห็นหญิงสาวกระโดดเหยง ๆ ขึ้นเกวียนที่กำลังวิ่งเหยาะก็ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่มีหลานสาว หลานชายก็กำลังเล็กแต่พอนึกถึงหลานชายตัวน้อยที่ทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ รับปากทำงานให้เด็กหญิงตาเฒ่าก็อดสงสัยไม่ได้ ไม่รู้เด็กน้อยทั้งสองมีความลับอะไรกัน ไม่รู้เสี่ยวหนิงจ้างวานอะไรเจ้าเด็กหวังอี้หยางหนิงอันถอนหายใจโล่งอกเมื่อขึ้นเกวียนได้ทัน นางหันไปยิ้มให้เพื่อนร่วมทางที่ไม่คิดจะรอแถมยังเร่งเดินทางจน
หญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นดั่งสาวงามในภาพวาดเซียนกำลังนั่งหย่อนขาอยู่ริมระเบียง บ้านของท่านยายหนิงเป็นเรือนแบบสองห้องนอน มีครัวแยกต่างหาก ดูเหมือนจะพอมีพอใช้ไม่ขาดมือ เพียงแต่ท่านยายนั้นไร้ญาติขาดมิตร สุดท้ายก็รับหนิงอันเป็นทายาทด้วยความเอ็นดูหากพูดแล้วชาวบ้านล้วนอิจฉาที่หนิงอันได้รับมรดกทั้งจากพ่อแม่ และจากท่านยายหนิงโดยไม่มีผู้ใดรู้ว่า สมบัติจากทางบิดามารดานางก็ได้มาไม่น้อยหน้ากัน ไม่เช่นนั้นคงชุบเลี้ยงบัณฑิตยากจนกระทั่งกลายเป็นขุนนางไม่ได้หนิงอันในชีวิตแรกไม่มีความสามารถใด ๆ นอกจากสินเจ้าสาวที่ติดตัวไป แต่ตอนนี้นางมีทั้งเงินและความสามารถ ย่อมต้องอยู่อย่างสุขสบายจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตได้อย่างแน่นอนถึงอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เกิดการผิดแผนขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวจำเป็นต้องวิเคราะห์และวางแผนอย่างรอบคอบ“กองคาราวานจะมาในอีกสามวัน” นับจากวันที่นางไปติดต่อกับท่านตาหวัง ก็ผ่านมานานแล้ว หนิงอันยังเฝ้ารอกองคาราวานทุกวันอย่างใจจดใจจ่อ“สมบัติทุกชิ้นข้าก็เตรียมเอาไว้หมดแล้ว เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เรียบร้อย ยังมีเกราะอ่อนของท่านลุง…” นึกถึงเกราะอ่อนทหารที่ท่านยายมักจะเอามาอวด ทำให้หนิงอันยิ้มน้อ
“ท่านตา ข้าต้องการเข้าเมือง แต่ว่า…ตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่ ท่านยายตาย ออกจากบ้านข้าก็ยังกลัว ข้ารู้สึกว่าหากมีอะไรที่รับรองความปลอดภัยของตนเองได้ จะรู้สึกดีกว่ามาก ท่านตาคิดว่าหากข้าจ้างทหารรับจ้างในหมู่บ้านจะดีหรือไม่เจ้าคะ”“เจ้ามีเงินหรือ ทหารรับจ้างใช้เงินไม่น้อย แม้จะเป็นกลุ่มที่แขนขาพิการแต่เป็นทหารเดนตายชายแดนมาก่อน พวกเขามีความสามารถมากก็ใช้เงินจ้างสูงมากตามไปด้วย ที่ข้ารู้จักก็เจ้าหู่ที่อยู่หลังเนินนู่นไง คิดตั้งห้าตำลึงเงินแน่ะ นี่แค่จะเข้าเมืองนะ”“...” หนิงอันอ้าปากเหวอ นางไม่สามารถใช้เงินได้เยอะขนาดนั้น เพราะวางแผนว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ไม่มีความคิดขายบ้านเดิม เนื่องจากเสียดายสถานที่แห่งความทรงจำ“เอาอย่างนี้ เจ้ารอไปก่อนสักครึ่งเดือน ได้ยินว่ามีคาราวานหนึ่งจะผ่านทางนี้ ท่านพ่อค้าใจดี หากจ่ายสักสองสามร้อยอีแปะก็คงติดตามไปได้”“ขบวนพ่อค้าเร่หรือเจ้าคะ” หนิงอันตาเป็นประกาย เมื่อครั้งอยู่หอนางโลม นางได้มีโอกาสได้รับแขกต่างบ้านต่างเมืองเป็นพ่อค้าเร่ แต่แท้จริงฐานะกลับสูงส่ง จึงพอจะรู้ว่าขบวนพ่อค้าเร่นั้น แม้จะเป็นขบวนเล็ก ๆ แต่ก็ต้องจ้างสำนักคุ้มภัยมาคุ้มกันสินค้า กลุ่มโจรที