ทันใดนั้นรู้สึกว่าการไม่ทะเยอทะยานก็ดีเหมือนกันตงฟางจิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงทำหน้าเข้ม “เจ้าสนุกพอหรือยัง?”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก ในใจแอบไม่สบอารมณ์ การล้างสมองของคนยุคโบราณร้ายกาจกว่าการสะกดจิตของนางซะอีก เพื่อผู้เป็นนายแล้ว ยอมสละได้ทุกสิ่งนางปลุกเว่ยเซิงตื่น หลังจากตื่นมาด้วยความมึนงง เขาเห็นสีหน้าที่ดูไม่ดีนักของท่านอ๋องและพระชายา ในใจจึงกระตุกวาบเขาคงไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรอกนะ?แต่ว่าเขาไม่ใช่สายลับและไม่มีความลับใด ทำไมสีหน้าของท่านอ๋องและพระชายาจึงเป็นเช่นนี้?เว่ยชิวถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหา จากนั้นตบบ่าของเขา “พี่ชาย วางใจเถอะ ท่านทำได้ดีมาก”“แต่ว่า...”เว่ยชิวยิ้มเจื่อน “เพราะท่านพี่ทำได้ดี พระชายาถึงไม่พอใจ”เว่ยเซิง “...”เมื่อมีตัวอย่างให้เห็น เฟิ่งเชียนอวี่จึงไม่คิดจะกลั่นแกล้งอีกต่อไป และหมดสนุกที่จะสะกดจิตเว่ยชิว จึงรอแกล้งองครักษ์ลับที่อยู่ข้างหลังต่อองครักษ์ลับแต่ละคนล้วนไม่มีปัญหา ทุกคนมีความจงรักภักดีสูงมาก จนกระทั่งมาถึงคนสุดท้ายระหว่างที่เฟิ่งเชียนอวี่สะกดจิต สีหน้าขององครักษ์ลับคนสุดท้ายดูผิดปกติคิ้วขมวดแน่น สีหน้าดูเจ็บปวดเล็กน้อย จิต
เฟิ่งเชียนอวี่กลอกตา คำพูดนี้อีกละ จนแทบจะกลายเป็นคำพูดประจำของเจ้าหมอนี่อยู่แล้วไม่ใช่สินางหันมองตงฟางจิ่ง พร้อมจ้องเขา “ทั้งที่เมื่อครู่ท่านเป็นคนเอาเปรียบข้านะ ข้ายังไม่รังเกียจเลย แล้วดูสิท่านทำสีหน้าอะไรเนี่ย?” ชายโฉดเอ๊ยตงฟางจิ่งเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าเป็นพระชายาของข้า ต่อให้ข้าเอาเปรียบเจ้าจริง ก็ถือเป็นเกียรติแก่เจ้า ยังกล้ารังเกียจหรือ?”ว๊ายตายแล้ว ช่างสดใหม่อะไรอย่างนี้ ช่างเป็นตรรกะที่ซาบซึ้ง เฟิ่งเชียนอวี่โกรธจนอยากจะหัวเราะสองมาตรฐานเช่นนี้มันสุดโต่งไร้ขอบเขตเกินไปแล้วนะ น่าโมโหนัก“อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าใคร ฉวยโอกาสตอนพิษเหมันต์ของข้ากำเริบ ทำตัวบังอาจกับข้ายิ่งนัก”เฟิ่งเชียนอวี่สะอึก เตรียมจะตอบโต้ ทว่าเสียงของเว่ยเซิงดังขึ้น“ท่านอ๋อง พระชายา รีบดูขอรับ”สงครามน้ำลายของทั้งสองถูกตัดตอน จึงพากันหันมอง เห็นเพียงหนอนสีแดงบนพื้น ซึ่งก่อนหน้านี้ร่างกายอ้วนท้วน ขณะนี้ร่างของมันค่อยๆ แฟ่บลงเฟิ่งเชียนอวี่มองสำรวจอยู่สักครู่ พลันเข้าใจ“ข้าก็ว่าทำไมถึงคุ้นตานัก ที่แท้ก็เป็นหนอนกู่นี่เอง”ตงฟางจิ่งหันมองนางฉับพลัน “เจ้ารู้จักหรือ?”“รู้จักสิ”ตอนยังอยู่ใ
นางมองดูหนอนแห้งกรังในมือ แล้วครุ่นคิด“ดูท่า หนอนกู่ของที่นี่ ร้ายกาจยิ่งกว่าที่ข้าได้รู้มา ถึงกับสามารถควบคุมมนุษย์ได้”“หากรู้แต่แรกว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าคงไม่ใช่วิธีสะกดจิตกับเขา อย่างน้อยเขายังมีชีวิตรอด จุๆ บาปกรรม”องครักษ์ลับผู้นี้ถูกหนอนกู่ควบคุม ส่วนการสะกดจิตของนางคล้ายกับการควบคุมสมอง แล้วเข้าไปกระตุ้นส่วนลึกสุดมิน่าละเมื่อครู่สีหน้าของคนผู้นี้ถึงได้ทรมานนัก หนอนกู่ที่อยู่ในร่างของเขาต่อต้านการสะกดจิต ดังนั้นหนอนกู่จึงถูกขับออกจากร่างกายแม้เฟิ่งเชียนอวี่จะไม่แตกฉานในเรื่องหนอนกู่ แต่นางเป็นอัจฉริยะด้านการแพทย์ แม้จะไม่เคยเจออาการป่วยเช่นนี้มาก่อนแต่เมื่อผนวกกับสถานการณ์ตรงหน้า เพียงตรึกตรองสักนิด คิดให้รอบด้านในทฤษฎีเดียวกัน ก็พอจะคาดเดาได้ตงฟางจิ่งคว้าข้อมือของนางกะทันหัน เขาออกแรงเยอะมาก จากนั้นจ้องนางเขม็ง“หากถูกหนอนกู่ เจ้ามีวิธีแก้หรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่ปวดข้อมือ จึงไม่ได้สนใจคำถามของเขา นางโมโหทันที“ท่านเป็นบ้าหรือ ถึงได้คลุ้มคลั่งเช่นนี้ ปล่อยนะ มันเจ็บมากไม่รู้หรือ”ระหว่างที่พูด ด้วยความโมโหนางจึงกระทืบเขาไปหลายครั้งตงฟางจิ่งเม้มปาก คลา
ในยุคโบราณย่อมไม่มีไฟฟ้า แห่งเดียวที่มีคือในห้องทดลองของเฟิ่งเชียนอวี่ ดังนั้น จึงมีนางที่แก้หนอนกู่นี้ได้ตงฟางจิ่งจ้องมองนางด้วยสีหน้าสับสน“ถ้าหาก ข้าได้พบเจ้าเร็วกว่านี้ คงดีไม่น้อย...”สีหน้าตงฟางจิ่งเหมือนกำลังอมยิ้ม ในแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พร้อมพึมพำเฟิ่งเชียนอวี่มองดูอย่างอกสั่นขวัญแขวน จนลืมตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าวจู่ๆ เจ้าหมอนี่พูดประโยคนี้ออกมา หากไม่ใช่เพราะสีหน้าที่เจ็บปวด นางยังนึกว่าเขากำลังสารภาพรักกับนางซะอีก“เรื่องนี้ฟังดูเหมือนมีที่มา ถ้าอย่างไร ลองเล่ามาฟังสิ?”เฟิ่งเชียนอวี่หัวเราะแห้งตงฟางจิ่งหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้น เขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง“เว่ยเซิง ส่งพระชายากลับไป”“ขอรับ”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก ไม่พูดก็ช่างหลังจากเว่ยเซิงส่งเฟิ่งเชียนอวี่กลับเรือนชิง ได้ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว“ท่านอ๋อง เรื่องผ่านมาตั้งหลายปี นึกไม่ถึงว่าวิชาหนอนกู่ของแคว้นหนานอูจะปรากฏอีกครั้ง ท่านอ๋องคิดจะทำอย่างไรต่อขอรับ?”เว่ยชิวขมวดคิ้ว “สิ่งที่ทำให้ลับหกทรยศคือหนอนกู่หนานอู แล้วองค์รัชทายาทมีบทบาทอย่างไรในเรื่องนี้หรือขอรับ?”“ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าองค์รัชทายาทจะลักลอบต
“ขอรับ”วันรุ่งขึ้นเฟิ่งเชียนอวี่พาสาวใช้ออกไปข้างนอกอีกแล้วนางแวะไปเยี่ยมเหล่าแม่นางที่หออิ๋งชุน ตอนนี้มีบ้านสวนแล้ว รอให้ดอกไม้รอบแรกบานเต็มที่ ก็สามารถเริ่มผลิตสินค้าได้เลย และเตรียมเปิดร้านนางตั้งชื่อใหม่ให้เด็กสาวทั้งแปดคน เพื่อความสะดวก จึงตั้งชื่อพวกนางตามฤดูกาลย่อยซึ่งเรียงลำดับจากอายุของเด็กสาวทั้งแปดคน ได้แก่จิงเจ๋อ ลี่ชิว ไป๋ลู่ กู๋อวี่ เซี่ยจื้อ ชิวเฟิน ซวงเจี้ยงและตงจื้อประตูใหญ่ของหออิ๋งชุนตรงท้ายตรอกดอกไม้ เฟิ่งเชียนอวี่ได้สั่งให้คนมาปิดไปแล้วครั้งที่สองที่นางไป พบว่าประตูหลังของหออิ๋งชุน มีเพียงกำแพงชั้นหน้ากั้น ถัดไปก็เป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชาวบ้านแล้วต่อมาเฟิ่งเชียนอวี่เกิดความคิด จึงใช้เงินก้อนหนึ่งที่จำนวนไม่น้อย ซื้อบ้านหลังนั้นเอาไว้เอง จากนั้นรื้อถอนกำแพงที่ขวางกั้น เพื่อให้พื้นที่เชื่อมถึงหออิ๋งชุนทั้งหมด หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จึงได้เปิดเส้นทางใหม่ที่เชื่อมถึงกันเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปพวกจิงเจ๋อออกไปข้างนอก จึงไม่ต้องเดินออกจากเส้นตรอกดอกไม้ และไม่เกิดความยุ่งยากโดยไม่จำเป็นถนนที่อยู่ตรงข้ามกับหออิ๋งชุนพอดีคือถนนทิศเหนือ ซึ่งอย
ฮองเฮาคงลืมไปแล้วว่าเรื่องเรือมังกร เพราะรัชทายาทให้ทุกข์แก่จวนอ๋องหกก่อน ทุกข์นั้นถึงได้ย้อนเข้าตัว“หมอมอ เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรดี?”เมื่อฮองเฮานึกถึงลูกชายที่ยังถูกกักบริเวณ ทำให้กลัดกลุ้มอย่างมากในฐานะรัชทายาท การมีอำนาจและไร้ซึ่งอำนาจ ต่างกันราวฟ้ากับเหว“ฮองเฮาอย่างทรงกลัดกลุ้ม ฝ่าบาทให้เกียรติพระนางขนาดนี้ คงจะให้ความสำคัญกับองค์รัชทายาทไปด้วย รอให้ฝ่าบาทหายกริ้วเมื่อใด องค์รัชทายาทต้องไม่เป็นไรแน่นอนเพคะ อย่างไรรัชทายาทก็ยังเป็นรัชทายาทอยู่แล้ว” หมอมอเอ่ยปลอบฮองเฮาพึมพำ “ถูกต้อง รัชทายาทก็ยังเป็นรัชทายาท แตกต่างจากองค์ชายที่เกิดจากเหล่าสนมอยู่แล้ว” “ข้าทำเพื่อฝ่าบาททุกอย่าง พระองค์คงเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตบ้าง”นางพูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา คล้ายกำลังปลอบใจตัวเอง จนความกระวนกระวายค่อยๆ ลดลง ต่อมาแววตาเหี้ยมเกรียมอีกครั้ง แล้วกัดฟันกรอด“ตงฟางจิ่งทำร้ายหลางเอ๋อร์ของข้าถึงเพียงนี้ แค้นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด”จวนตระกูลเฟิ่งศาลาภายในสวนดอกไม้สาวน้อยแรกรุ่นสองคนนั่งอยู่ในศาลา บนโต๊ะมีน้ำชา ขนมและผลไม้วางไว้คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงรัดอกผ้าแพรสีเขียวอ่อน ตรงคอเสื้
เฟิ่งชิงอวี่ชะงัก เมื่อหันมอง พลันเห็นเฟิ่งหลิงหลงไม่รู้มายืนอยู่ตรงบันไดศาลาตั้งแต่เมื่อใด พร้อมจ้องนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยนางในฐานะคุณหนูใหญ่สายตรง ทั่วทั้งจวนไม่ว่าจะเป็นสาวใช้หรืออี๋เหนียง กระทั่งน้องสาวที่เกิดจากพวกอนุภรรยา ล้วนให้ความเคารพยำเกรงนางทั้งสิ้น ไม่มีใครกล้ากำเริบต่อหน้านางหลังจากใช้อำนาจบาตรใหญ่มาหลายปี ขณะนี้ในใจเฟิ่งชิงอวี่สะท้านอย่างอดไม่ได้แต่เมื่อนึกได้ว่าขณะนี้อี๋เหนียงของตนกุมอำนาจ ฮูหยินใหญ่ไม่มีอำนาจใด นางอยากรู้ว่าเฟิ่งหลิงหลงจะทำอะไรนางได้?เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความมั่นใจของเฟิ่งชิงอวี่กลับมาอีกครั้ง นางค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วทำความเคารพอย่างไม่ใส่ใจ“ที่แท้เป็นพี่ใหญ่นี่เอง ทำไมพี่ใหญ่มาเงียบๆ ละ กลางวันแสกๆ เช่นนี้ไม่ตกใจตายกันหมดหรือ”เฟิ่งหลิงหลงสวมชุดสีขาว ใบหน้างามมีแววอาฆาต แล้วกวาดมองอีกฝ่ายเยือกเย็น นางค่อยๆ เดินขึ้นบันไดทีละก้าว แล้วไปยืนตรงหน้าเฟิ่งชิงอวี่ จากนั้นยกมือขึ้นแล้วตบลงไปอย่างไม่ลังเลเฟิ่งชิงหย่าอุทานอย่างตกใจ แล้วถอยหลังไปสองก้าวเฟิ่งชิงอวี่ถูกตบจนคว่ำลงบนโต๊ะ ทำให้จานบนโต๊ะถูกกวาดลงพื้น กระจัดกระจายเละเทะไปหมดนางกุมใบหน้าซีกหน
น้อยตรงไหนกัน หญิงในยุคโบราณ ใส่เสื้อผ้าน้อยที่สุดในฤดูร้อน อย่างน้อยก็ต้องใส่สามชิ้นเสื้อตัวใน เสื้อชั้นใน บวกกับผ้าคลุมตัวบางชั้นนอกอีกหนึ่งชิ้น หนำซ้ำยังต้องสวมถุงเท้าและรองเท้า ทั่วทั้งตัวยังคงปกปิดอย่างมิดชิดเฟิ่งเชียนอวี่ถอนหายใจ แล้วคิดถึงเสื้อแขนสั้นขาสั้นและรองเท้าแตะหนีบในสมัยใหม่มาก อีกทั้งยังมีเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น น้ำเย็น และไอศกรีม...“พระชายา ความจริงวันนี้ถือว่าไม่ได้ร้อนมากนัก น้ำแข็งนี่เป่าอีกสักครู่ก็ให้ยกออกไปเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวเป็นไข้หวัดขึ้นมาจะแย่เอา” หลิวซูเอ่ยเตือนอย่างอดไม่ได้พวกนางล้วนเป็นหญิงสาวในยุคโบราณ เกิดและโตที่นี่ จึงเคยชินไปแล้ว เลยไม่ได้รู้สึกร้อนขนาดนั้น จึงไม่เข้าใจพระชายาจริงๆ ว่าทำไมถึงขี้ร้อนขนาดนั้น“ไม่ได้ ข้ายังรู้สึกว่าไม่พอ กำลังคิดว่าจะให้ยกมาอีกสองกะละมังด้วยซ้ำ” เฟิ่งเชียนอวี่กลอกตาหลิวซูและอิ้งเสวี่ยสบตากัน แล้วรู้สึกจนใจ“พระชายา อู๋เหวยไต้สือแห่งวัดหลงถานกลับมาแล้วเจ้าค่ะ มีพวกฮูหยินและคุณหนูมากมายไปกราบไหว้ พระชายาก็ไปด้วยสิเจ้าคะ ไม่แน่หากโชคดีอาจได้พบไต้ซือ”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก พร้อมเอ่ยถาม “หลวงจีนนั่นรูปงามหรือ?