น้อยตรงไหนกัน หญิงในยุคโบราณ ใส่เสื้อผ้าน้อยที่สุดในฤดูร้อน อย่างน้อยก็ต้องใส่สามชิ้นเสื้อตัวใน เสื้อชั้นใน บวกกับผ้าคลุมตัวบางชั้นนอกอีกหนึ่งชิ้น หนำซ้ำยังต้องสวมถุงเท้าและรองเท้า ทั่วทั้งตัวยังคงปกปิดอย่างมิดชิดเฟิ่งเชียนอวี่ถอนหายใจ แล้วคิดถึงเสื้อแขนสั้นขาสั้นและรองเท้าแตะหนีบในสมัยใหม่มาก อีกทั้งยังมีเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น น้ำเย็น และไอศกรีม...“พระชายา ความจริงวันนี้ถือว่าไม่ได้ร้อนมากนัก น้ำแข็งนี่เป่าอีกสักครู่ก็ให้ยกออกไปเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวเป็นไข้หวัดขึ้นมาจะแย่เอา” หลิวซูเอ่ยเตือนอย่างอดไม่ได้พวกนางล้วนเป็นหญิงสาวในยุคโบราณ เกิดและโตที่นี่ จึงเคยชินไปแล้ว เลยไม่ได้รู้สึกร้อนขนาดนั้น จึงไม่เข้าใจพระชายาจริงๆ ว่าทำไมถึงขี้ร้อนขนาดนั้น“ไม่ได้ ข้ายังรู้สึกว่าไม่พอ กำลังคิดว่าจะให้ยกมาอีกสองกะละมังด้วยซ้ำ” เฟิ่งเชียนอวี่กลอกตาหลิวซูและอิ้งเสวี่ยสบตากัน แล้วรู้สึกจนใจ“พระชายา อู๋เหวยไต้สือแห่งวัดหลงถานกลับมาแล้วเจ้าค่ะ มีพวกฮูหยินและคุณหนูมากมายไปกราบไหว้ พระชายาก็ไปด้วยสิเจ้าคะ ไม่แน่หากโชคดีอาจได้พบไต้ซือ”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก พร้อมเอ่ยถาม “หลวงจีนนั่นรูปงามหรือ?
“นี่เป็นเหล้าดอกพุดตาน เป็นสินค้าแนะนำเช่นกัน เจ้าดื่มให้น้อยหน่อย เหล้านี่ดื่มเข้าไปเหมือนไม่เป็นไร แต่ส่งผลแรงมาก”นางไม่ใคร่ใส่ใจ “วางใจเถอะ ข้าคอแข็งไม่เบา”เมื่อได้ยินเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยเช่นนี้ อวิ๋นจิ่นเซ่อจึงเชื่อ “เช่นนั้นเจ้าดื่มแล้วคงไม่เป็นไร”ทั้งสองคนกินไปด้วยดื่มไปด้วย อวิ๋นจิ่นเซ่อไม่รู้ไปฟังข่าวจากซุบซิบมาจากแห่งหนตำบลใด มีทั้งเรื่องของชาวบ้าน และยังมีทั้งเรื่องของเหล่าฮูหยินและคุณหนูตระกูลขุนนางเฟิ่งเชียนอวี่ฟังจนหัวเราะชอบใจ ทั้งสองคนดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกตัว พวกหลิวซูห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่อาหารมื้อนี้กินจนกระทั่งท้องฟ้ามืดสลัวถึงได้จบลง เพราะนายทั้งสองเมามายอย่างมาก“พระชายา พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”เฟิ่งเชียนอวี่ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาพร่ามัว ร่างกายอ่อนปวกเปียกเหมือนเส้นบะหมี่ เมื่อเทียบกับนาง อวิ๋นจิ่นเซ่อดูยุ่งยากกว่าไม่น้อยเพราะพละกำลังของนางมากกว่า“ใครนะ อย่ามาดึงข้า บังอาจนัก ที่กล้ามาดึงข้า อยากตายหรือ”อวิ๋นจิ่นเซ่อพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นสาวหมัดออกไปอย่างไม่ลังเลเหลิ่งหนิงเบิกตาโต แล้วหลบอย่างว่องไว หมัดของอวิ๋นจิ่นเซ่อจึงชกเข้ากับกำ
ขมับตงฟางจิ่งกระตุก หน้าเขียวไปหมด เขาหลับตา สูดหายใจเข้าลึกๆเหล่าสาวใช้ดูจนอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าท่านอ๋องโมโหแล้วจะกระทืบพระชายาเฟิ่งเชียนอวี่ตบไหล่ของเขา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หน้าตาเจ้าอัปลักษณ์ เอ่อ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า รู้ไหมว่ายีนคืออะไร รู้ไหมว่ากรรมพันธุ์คืออะไร?”“ฉันพูดไป เจ้าก็อาจจะไม่เข้าใจ เอ่อ เอาเป็นเจ้าแค่รู้เอาไว้ว่า หน้าตาของเจ้าอัปลักษณ์ ต้องโทษพ่อแม่ของเจ้า โทษเจ้าไม่ได้ เข้าใจแล้วนะ”ตงฟางจิ่ง “...”เหล่าสาวใช้สูดลมเย็นเข้าปอดอีกครั้ง หน้าซีดจนไม่กล้าหายใจแรง และหัวใจจะวายอยู่แล้วเฟิ่งเชียนอวี่กล่าวพลางหัวเราะ “เหอะๆ หลังจากฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยใช่ไหมล่ะ”ตงฟางจิ่งค่อยๆ หรี่ตาลง สายตาอันเฉียบคมจ้องคอที่เพรียวบางและขาวเนียนของนาง กำลังพิจารณาว่าจะบีบคอผู้หญิงคนนี้ให้ตายหรือไม่ปรากฏว่าวินาทีต่อมา“แหวะ…”เฟิ่งเชียนอวี่โน้มตัวเข้าไปที่หน้าอกเขาฉับพลัน หลังจากนั้นก็เริ่มอาเจียน ทำเอาตงฟางจิ่งเลอะไปทั้งร่างร่างกายตงฟางจิ่งหดเกร็ง ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงที่เดิม ใบหน้าอันหล่อเหลาเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ“เฟิ่ง เชียน อวี่…”เสียงคำรามด้วยความโกรธสายนี้ เพราะโก
ปากเฟิ่งเชียนอวี่ยกยอเชิดชู ในใจทำหน้าอาเจียน“เช่นนี้เองหรือ ที่แท้เมื่อวานพระชายาเมาแล้ว หาใช่พูดความจริงไม่?” ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเสียงอ่อน“ไม่ใช่อยู่แล้ว”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว แสดงว่าข้าเข้าใจผิดเอง แต่ก็ไม่เป็นอะไร ข้าพูดแล้วว่าจะใส่ใจพระชายาให้มากๆ ย่อมพูดจริงทำจริง”“พระชายาแต่งงานกับข้ามาสักระยะแล้ว ควรเรียนกฎเกณฑ์ในวังตั้งนานแล้ว ต้องโทษที่ข้าลืมมาโดยตลอด”“นี่ข้าก็เลยสั่งให้คนไปเชิญหมอมอที่สอนเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง มาชี้แนะพระชายาจนกว่าจะเรียนรู้โดยเฉพาะ”เฟิ่งเชียนอวี่มองตาค้างแล้วนางมองหมอมอเฒ่าที่เดินออกมาจากข้างหลังตงฟางจิ่ง นางสวมชุดกระโปงรัดอกสีแดง เส้นผมถูกเกล้าขึ้นข้างบนอย่างพิถีพิถันหมอมอคำนับเฟิ่งเชียนอวี่อย่างนอบน้อม “บ่าวแซ่หลิว พระชายาเรียกบ่าวว่าหลิวหมอมอก็พอเจ้าค่ะ”น้ำเสียงตายด้าน บนใบหน้ามีริ้วรอยที่แสดงถึงร่องรอยของกาลเวลาไม่น้อย ระหว่างคิ้วมีความใจดำแฝงอยู่หลายส่วน มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่น่าคบหามุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุกแล้วกระตุกอีกตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเชื่องช้า “หลิวหมอมอเป็นผู้อาวุโสในวัง นางนี่แหละที่เป็นคนสอน พิธีมารยาทของฮองเฮาสมัยยังเป็
ต่อจากนั้น เฟิ่งเชียนอวี่กับหลิวหมอมอเริ่มต้นหนึ่งวันที่ไม่ถูกชะตากันหลิวหมอมออาจจะแค้นที่ก่อนหน้านี้เฟิ่งเชียนอวี่ว่านางแก่ ตอนที่สอนกฎเกณฑ์ เรียกได้ว่าเข้มงวดมาก“พระชายา การเดินไม่ได้เดินเช่นนี้ ผู้หญิงเดินเน้นคำว่านุ่มนวล ต้องยกและวางเท้าเบาๆ ห้ามสูงเกินไป แต่ก็ห้ามต่ำเกินไป เท้าหน้ากับเท้าหลังห่างไม่เกินสองฉื่อ[1] พื้นรองเท้าห้ามให้มีเสียงเจ้าค่ะ”“พระชายา เวลาคำนับ สองมือประสานกัน มือซ้ายทับมือขวา ยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อย ตั้งปลายนิ้ว เอวต้องอ่อน งอขาเล็กน้อยเจ้าค่ะ”“พระชายา เวลาผู้หญิงพูด ควรใช้น้ำเสียงที่เบาและนุ่ม เสียงห้ามดังเกินไป ไม่เหมาะสม และก็ห้ามเบาเกินไป ทำให้ได้ยินไม่ชัดเจ้าค่ะ”“เชิญพระชายาทำอีกหนึ่งรอบ”“ทำอีกครั้ง…”เฟิ่งเชียนอวี่พบว่าผู้หญิงแก่คนนี่จงใจ โดยเฉพาะตอนที่สอนนางคำนับ สั่งให้นางทำใหม่ถึงสิบกว่ารอบทั้งๆ ที่นางทำได้มาตรฐานมากแล้ว อีกฝ่ายก็ยังสามารถหาเรื่องจนได้อีกทั้งตอนที่นางคำนับ ผู้หญิงแก่คนนี้ก็มายืนหลังตรงตรงหน้านาง ดูแล้วเหมือนกับตัวเองคำนับนางเฟิงเชียนอวี่ยิ้มอย่างเย็นชาในใจ มองนางแล้วกล่าว “หลิวหมอมอ กฎเกณฑ์นี่เรียนมาทั้งเช้าแล้ว ข้ายัง
เฟิ่งเชียนอวี่กล่าวเร่งเร้าอย่างยิ้มแย้มเรือนชิงหลานอันกว้างใหญ่ ภายใต้สายตาของทุกคน หลิวหมอมอรู้สึกอับอายมาก ใบหน้าแก่ประเดี๋ยวซีด ประเดี๋ยวเขียว รู้สึกเกลียดชังจนถึงขีดสุด ด่าทอเฟิ่งเชียนอวี่ในใจจนเละเทะต่อให้อยู่ในวัง อายุงานของนางก็ค่อนข้างแก่ นานมากแล้วที่ไม่มีใครทำให้นางอับอายเช่นนี้นางแพศยาที่น่ารังเกียจคนนี้ จงใจอยากให้นางขายหน้าเฟิ่งเชียนอวี่เห็นนางยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มที่มุมปากค่อยๆ หายไป พลางหมุนกำไลหยกชั้นดีที่อยู่ตรงข้อมือเล่น พลางกล่าวอย่างเรียบเฉย“นี่หลิวหมอมอเป็นอะไร? ท่านมาจวนอ๋องก็เพื่อสอนกฎเกณฑ์ให้ข้าไม่ใช่หรือ? ตอนนี้แสดงท่าทางที่ต่อต้านเช่นนี้ หรือว่าจงใจไม่อยากสอนข้า?”“หรือหลิวหมอมอรู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรให้ท่านสอน? อย่างไรข้าก็เป็นถึงพระชายาอ๋องหกนะ นี่ท่านไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา หรือดูถูกท่านอ๋องหกกันแน่?”ต่อให้อายุงานของหลิวหมอมอแก่เพียงใด ท้ายที่สุดก็ยังเป็นเพียงบ่าวไพร่ นางจะกล้าแบกรับโทษสถานหนักเช่นนี้ได้อย่างไร สีหน้านางเปลี่ยนฉับพลัน รีบคุกเข่าลงพื้น“บ่าวไม่มีเจตนาเช่นนี้แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านอ๋องและพระชายาโปรดไตร่ตรองด้วย”เฟิงเชียนอวี่กล
พลันเฟิ่งเชียนอวี่ตะลึงงัน เหตุใดจู่ๆ ก็เอ่ยถึงครอบครัวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดของนาง และสิ่งที่พวกเขาพูดมันหมายความว่าอย่างไร? “ท่านอ๋อง พวกท่านกำลังเล่นท้ายคำปริศนาอะไรกันอยู่?”ตงฟางจิ่งมองนางอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง พลันกล่าวอย่างลึกซึ้ง “อีกไม่นานพระชายาก็จะรู้เอง”วันรุ่งขึ้น คำพยากรณ์ประโยคนี้ของอู๋เหวยไต้ซือได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว บนราชสำนักและวังหลังต่างตกใจมาก เหล่าราษฎรก็นำไปพูดไม่หยุดโดยเฉพาะจวนอัครมหาเสนาบดี ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามอีกครั้งดาวหงส์ ตามที่อู๋เหวยไต้ซือพูด นั่นเป็นถึงฮองเฮาในอนาคตที่มีชะตาลิขิตแห่งสวรรค์ ดังนั้น สตรีแห่งโชคชะตาในอนาคตคนนี้ ถือกำเนิดจากตระกูลเฟิ่ง?โดยเฉพาะคำพูดประโยคสุดท้ายของอู๋เหวยไต้ซือ ดาวหงส์มาเยือน ทั่วหล้ากลับคืน หมายความว่าอย่างไร? หมายถึงผู้ที่ได้ครอบครองดาวหงส์ จะได้ครอบครองทั่วหล้า? ความหมายที่แอบแฝงในนี้น่ากลัวมาก แค่ลองคิดเล่นๆ ก็สามารถทำให้ใจสั่น ไม่ว่าการคาดเดาจะจริงหรือเท็จ อู๋เหวยไต้ซือก็ได้ชี้ชัดแล้วว่าดาวหงส์ถือกำเนิดจากตระกูลเฟิ่ง อย่างไรก็ไม่ผิดแน่นอนชั่วขณะ หน้าประตูจวนอัครมหาเสนาบดีว
ตงฟางจิ่งกินอาหารเช้าอย่างเอื่อยเฉื่อย พลางกล่าวช้าๆ “เหตุใดพระชายาจึงโกรธเช่นนี้? คุณหนูใหญ่จวนเฟิ่งเป็นสตรีแห่งโชคชะตา สถานะของจวนอัครมหาเสนาบดีก็ย่อมสูงตามไปด้วย” “หรือเพราะพระชายาออกเรือนแล้ว ไม่ได้พึ่งบารมี ก็เลยโกรธอย่างนั้นหรือ?”“ถุย”เฟิ่งเชียนอวี่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครจะอยากพึ่งบารมีเฟิ่งหลิงหลง?”“ดาวหงส์อะไร สตรีแห่งโชคชะตาอะไร น่าขำหรือไม่ ก็แค่คำพูดของนักต้มตุ๋นเฒ่าคนหนึ่ง ก็ทำให้พวกคนที่อยู่ข้างนอก แทบอยากกราบไหว้เฟิ่งหลิงหลงเหมือนเป็นบ้า? พวกปัญญาอ่อน”เว่ยชิวอดไม่ได้ที่จะคัดค้านเบาๆ “พระชายา อู๋เหวยไต้ซือไม่ใช่นักต้มตุ๋น เขาเป็นพระภิกษุที่บรรลุธรรมอย่างแท้จริงขอรับ”เฟิ่งเชียนอวี่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างเย็นชา “พระภิกษุที่บรรลุธรรม? เจ้ามองออกได้อย่างไร? เขาสามารถเหินฟ้ามุดดิน หรือไม่แก่ไม่ตาย?”เว่ยชิว “...”เฟิงเชียนอวี่อัดอั้นมาก พระเฒ่านั่นมีความแค้นกับนางหรือ?“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ต่อให้นักต้มตุ๋นเฒ่านั่นพูดเช่นนี้ จวนเฟิ่งก็ไม่ได้มีเฟิ่งหลิงหลงเป็นลูกสาวคนเดียว ยังมีอีกตั้งสามสี่คน แต่เหตุใดต้องเป็นนางที่เป็นสตรีแห่งโชคชะตา?”“พระชายา คุณหนูใหญ