ฮองเฮาคงลืมไปแล้วว่าเรื่องเรือมังกร เพราะรัชทายาทให้ทุกข์แก่จวนอ๋องหกก่อน ทุกข์นั้นถึงได้ย้อนเข้าตัว“หมอมอ เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรดี?”เมื่อฮองเฮานึกถึงลูกชายที่ยังถูกกักบริเวณ ทำให้กลัดกลุ้มอย่างมากในฐานะรัชทายาท การมีอำนาจและไร้ซึ่งอำนาจ ต่างกันราวฟ้ากับเหว“ฮองเฮาอย่างทรงกลัดกลุ้ม ฝ่าบาทให้เกียรติพระนางขนาดนี้ คงจะให้ความสำคัญกับองค์รัชทายาทไปด้วย รอให้ฝ่าบาทหายกริ้วเมื่อใด องค์รัชทายาทต้องไม่เป็นไรแน่นอนเพคะ อย่างไรรัชทายาทก็ยังเป็นรัชทายาทอยู่แล้ว” หมอมอเอ่ยปลอบฮองเฮาพึมพำ “ถูกต้อง รัชทายาทก็ยังเป็นรัชทายาท แตกต่างจากองค์ชายที่เกิดจากเหล่าสนมอยู่แล้ว” “ข้าทำเพื่อฝ่าบาททุกอย่าง พระองค์คงเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตบ้าง”นางพูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา คล้ายกำลังปลอบใจตัวเอง จนความกระวนกระวายค่อยๆ ลดลง ต่อมาแววตาเหี้ยมเกรียมอีกครั้ง แล้วกัดฟันกรอด“ตงฟางจิ่งทำร้ายหลางเอ๋อร์ของข้าถึงเพียงนี้ แค้นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด”จวนตระกูลเฟิ่งศาลาภายในสวนดอกไม้สาวน้อยแรกรุ่นสองคนนั่งอยู่ในศาลา บนโต๊ะมีน้ำชา ขนมและผลไม้วางไว้คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงรัดอกผ้าแพรสีเขียวอ่อน ตรงคอเสื้
เฟิ่งชิงอวี่ชะงัก เมื่อหันมอง พลันเห็นเฟิ่งหลิงหลงไม่รู้มายืนอยู่ตรงบันไดศาลาตั้งแต่เมื่อใด พร้อมจ้องนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยนางในฐานะคุณหนูใหญ่สายตรง ทั่วทั้งจวนไม่ว่าจะเป็นสาวใช้หรืออี๋เหนียง กระทั่งน้องสาวที่เกิดจากพวกอนุภรรยา ล้วนให้ความเคารพยำเกรงนางทั้งสิ้น ไม่มีใครกล้ากำเริบต่อหน้านางหลังจากใช้อำนาจบาตรใหญ่มาหลายปี ขณะนี้ในใจเฟิ่งชิงอวี่สะท้านอย่างอดไม่ได้แต่เมื่อนึกได้ว่าขณะนี้อี๋เหนียงของตนกุมอำนาจ ฮูหยินใหญ่ไม่มีอำนาจใด นางอยากรู้ว่าเฟิ่งหลิงหลงจะทำอะไรนางได้?เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความมั่นใจของเฟิ่งชิงอวี่กลับมาอีกครั้ง นางค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วทำความเคารพอย่างไม่ใส่ใจ“ที่แท้เป็นพี่ใหญ่นี่เอง ทำไมพี่ใหญ่มาเงียบๆ ละ กลางวันแสกๆ เช่นนี้ไม่ตกใจตายกันหมดหรือ”เฟิ่งหลิงหลงสวมชุดสีขาว ใบหน้างามมีแววอาฆาต แล้วกวาดมองอีกฝ่ายเยือกเย็น นางค่อยๆ เดินขึ้นบันไดทีละก้าว แล้วไปยืนตรงหน้าเฟิ่งชิงอวี่ จากนั้นยกมือขึ้นแล้วตบลงไปอย่างไม่ลังเลเฟิ่งชิงหย่าอุทานอย่างตกใจ แล้วถอยหลังไปสองก้าวเฟิ่งชิงอวี่ถูกตบจนคว่ำลงบนโต๊ะ ทำให้จานบนโต๊ะถูกกวาดลงพื้น กระจัดกระจายเละเทะไปหมดนางกุมใบหน้าซีกหน
น้อยตรงไหนกัน หญิงในยุคโบราณ ใส่เสื้อผ้าน้อยที่สุดในฤดูร้อน อย่างน้อยก็ต้องใส่สามชิ้นเสื้อตัวใน เสื้อชั้นใน บวกกับผ้าคลุมตัวบางชั้นนอกอีกหนึ่งชิ้น หนำซ้ำยังต้องสวมถุงเท้าและรองเท้า ทั่วทั้งตัวยังคงปกปิดอย่างมิดชิดเฟิ่งเชียนอวี่ถอนหายใจ แล้วคิดถึงเสื้อแขนสั้นขาสั้นและรองเท้าแตะหนีบในสมัยใหม่มาก อีกทั้งยังมีเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น น้ำเย็น และไอศกรีม...“พระชายา ความจริงวันนี้ถือว่าไม่ได้ร้อนมากนัก น้ำแข็งนี่เป่าอีกสักครู่ก็ให้ยกออกไปเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวเป็นไข้หวัดขึ้นมาจะแย่เอา” หลิวซูเอ่ยเตือนอย่างอดไม่ได้พวกนางล้วนเป็นหญิงสาวในยุคโบราณ เกิดและโตที่นี่ จึงเคยชินไปแล้ว เลยไม่ได้รู้สึกร้อนขนาดนั้น จึงไม่เข้าใจพระชายาจริงๆ ว่าทำไมถึงขี้ร้อนขนาดนั้น“ไม่ได้ ข้ายังรู้สึกว่าไม่พอ กำลังคิดว่าจะให้ยกมาอีกสองกะละมังด้วยซ้ำ” เฟิ่งเชียนอวี่กลอกตาหลิวซูและอิ้งเสวี่ยสบตากัน แล้วรู้สึกจนใจ“พระชายา อู๋เหวยไต้สือแห่งวัดหลงถานกลับมาแล้วเจ้าค่ะ มีพวกฮูหยินและคุณหนูมากมายไปกราบไหว้ พระชายาก็ไปด้วยสิเจ้าคะ ไม่แน่หากโชคดีอาจได้พบไต้ซือ”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก พร้อมเอ่ยถาม “หลวงจีนนั่นรูปงามหรือ?
“นี่เป็นเหล้าดอกพุดตาน เป็นสินค้าแนะนำเช่นกัน เจ้าดื่มให้น้อยหน่อย เหล้านี่ดื่มเข้าไปเหมือนไม่เป็นไร แต่ส่งผลแรงมาก”นางไม่ใคร่ใส่ใจ “วางใจเถอะ ข้าคอแข็งไม่เบา”เมื่อได้ยินเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยเช่นนี้ อวิ๋นจิ่นเซ่อจึงเชื่อ “เช่นนั้นเจ้าดื่มแล้วคงไม่เป็นไร”ทั้งสองคนกินไปด้วยดื่มไปด้วย อวิ๋นจิ่นเซ่อไม่รู้ไปฟังข่าวจากซุบซิบมาจากแห่งหนตำบลใด มีทั้งเรื่องของชาวบ้าน และยังมีทั้งเรื่องของเหล่าฮูหยินและคุณหนูตระกูลขุนนางเฟิ่งเชียนอวี่ฟังจนหัวเราะชอบใจ ทั้งสองคนดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกตัว พวกหลิวซูห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่อาหารมื้อนี้กินจนกระทั่งท้องฟ้ามืดสลัวถึงได้จบลง เพราะนายทั้งสองเมามายอย่างมาก“พระชายา พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”เฟิ่งเชียนอวี่ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาพร่ามัว ร่างกายอ่อนปวกเปียกเหมือนเส้นบะหมี่ เมื่อเทียบกับนาง อวิ๋นจิ่นเซ่อดูยุ่งยากกว่าไม่น้อยเพราะพละกำลังของนางมากกว่า“ใครนะ อย่ามาดึงข้า บังอาจนัก ที่กล้ามาดึงข้า อยากตายหรือ”อวิ๋นจิ่นเซ่อพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นสาวหมัดออกไปอย่างไม่ลังเลเหลิ่งหนิงเบิกตาโต แล้วหลบอย่างว่องไว หมัดของอวิ๋นจิ่นเซ่อจึงชกเข้ากับกำ
ขมับตงฟางจิ่งกระตุก หน้าเขียวไปหมด เขาหลับตา สูดหายใจเข้าลึกๆเหล่าสาวใช้ดูจนอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าท่านอ๋องโมโหแล้วจะกระทืบพระชายาเฟิ่งเชียนอวี่ตบไหล่ของเขา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หน้าตาเจ้าอัปลักษณ์ เอ่อ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า รู้ไหมว่ายีนคืออะไร รู้ไหมว่ากรรมพันธุ์คืออะไร?”“ฉันพูดไป เจ้าก็อาจจะไม่เข้าใจ เอ่อ เอาเป็นเจ้าแค่รู้เอาไว้ว่า หน้าตาของเจ้าอัปลักษณ์ ต้องโทษพ่อแม่ของเจ้า โทษเจ้าไม่ได้ เข้าใจแล้วนะ”ตงฟางจิ่ง “...”เหล่าสาวใช้สูดลมเย็นเข้าปอดอีกครั้ง หน้าซีดจนไม่กล้าหายใจแรง และหัวใจจะวายอยู่แล้วเฟิ่งเชียนอวี่กล่าวพลางหัวเราะ “เหอะๆ หลังจากฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยใช่ไหมล่ะ”ตงฟางจิ่งค่อยๆ หรี่ตาลง สายตาอันเฉียบคมจ้องคอที่เพรียวบางและขาวเนียนของนาง กำลังพิจารณาว่าจะบีบคอผู้หญิงคนนี้ให้ตายหรือไม่ปรากฏว่าวินาทีต่อมา“แหวะ…”เฟิ่งเชียนอวี่โน้มตัวเข้าไปที่หน้าอกเขาฉับพลัน หลังจากนั้นก็เริ่มอาเจียน ทำเอาตงฟางจิ่งเลอะไปทั้งร่างร่างกายตงฟางจิ่งหดเกร็ง ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงที่เดิม ใบหน้าอันหล่อเหลาเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ“เฟิ่ง เชียน อวี่…”เสียงคำรามด้วยความโกรธสายนี้ เพราะโก
ปากเฟิ่งเชียนอวี่ยกยอเชิดชู ในใจทำหน้าอาเจียน“เช่นนี้เองหรือ ที่แท้เมื่อวานพระชายาเมาแล้ว หาใช่พูดความจริงไม่?” ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเสียงอ่อน“ไม่ใช่อยู่แล้ว”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว แสดงว่าข้าเข้าใจผิดเอง แต่ก็ไม่เป็นอะไร ข้าพูดแล้วว่าจะใส่ใจพระชายาให้มากๆ ย่อมพูดจริงทำจริง”“พระชายาแต่งงานกับข้ามาสักระยะแล้ว ควรเรียนกฎเกณฑ์ในวังตั้งนานแล้ว ต้องโทษที่ข้าลืมมาโดยตลอด”“นี่ข้าก็เลยสั่งให้คนไปเชิญหมอมอที่สอนเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง มาชี้แนะพระชายาจนกว่าจะเรียนรู้โดยเฉพาะ”เฟิ่งเชียนอวี่มองตาค้างแล้วนางมองหมอมอเฒ่าที่เดินออกมาจากข้างหลังตงฟางจิ่ง นางสวมชุดกระโปงรัดอกสีแดง เส้นผมถูกเกล้าขึ้นข้างบนอย่างพิถีพิถันหมอมอคำนับเฟิ่งเชียนอวี่อย่างนอบน้อม “บ่าวแซ่หลิว พระชายาเรียกบ่าวว่าหลิวหมอมอก็พอเจ้าค่ะ”น้ำเสียงตายด้าน บนใบหน้ามีริ้วรอยที่แสดงถึงร่องรอยของกาลเวลาไม่น้อย ระหว่างคิ้วมีความใจดำแฝงอยู่หลายส่วน มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่น่าคบหามุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุกแล้วกระตุกอีกตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเชื่องช้า “หลิวหมอมอเป็นผู้อาวุโสในวัง นางนี่แหละที่เป็นคนสอน พิธีมารยาทของฮองเฮาสมัยยังเป็
ต่อจากนั้น เฟิ่งเชียนอวี่กับหลิวหมอมอเริ่มต้นหนึ่งวันที่ไม่ถูกชะตากันหลิวหมอมออาจจะแค้นที่ก่อนหน้านี้เฟิ่งเชียนอวี่ว่านางแก่ ตอนที่สอนกฎเกณฑ์ เรียกได้ว่าเข้มงวดมาก“พระชายา การเดินไม่ได้เดินเช่นนี้ ผู้หญิงเดินเน้นคำว่านุ่มนวล ต้องยกและวางเท้าเบาๆ ห้ามสูงเกินไป แต่ก็ห้ามต่ำเกินไป เท้าหน้ากับเท้าหลังห่างไม่เกินสองฉื่อ[1] พื้นรองเท้าห้ามให้มีเสียงเจ้าค่ะ”“พระชายา เวลาคำนับ สองมือประสานกัน มือซ้ายทับมือขวา ยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อย ตั้งปลายนิ้ว เอวต้องอ่อน งอขาเล็กน้อยเจ้าค่ะ”“พระชายา เวลาผู้หญิงพูด ควรใช้น้ำเสียงที่เบาและนุ่ม เสียงห้ามดังเกินไป ไม่เหมาะสม และก็ห้ามเบาเกินไป ทำให้ได้ยินไม่ชัดเจ้าค่ะ”“เชิญพระชายาทำอีกหนึ่งรอบ”“ทำอีกครั้ง…”เฟิ่งเชียนอวี่พบว่าผู้หญิงแก่คนนี่จงใจ โดยเฉพาะตอนที่สอนนางคำนับ สั่งให้นางทำใหม่ถึงสิบกว่ารอบทั้งๆ ที่นางทำได้มาตรฐานมากแล้ว อีกฝ่ายก็ยังสามารถหาเรื่องจนได้อีกทั้งตอนที่นางคำนับ ผู้หญิงแก่คนนี้ก็มายืนหลังตรงตรงหน้านาง ดูแล้วเหมือนกับตัวเองคำนับนางเฟิงเชียนอวี่ยิ้มอย่างเย็นชาในใจ มองนางแล้วกล่าว “หลิวหมอมอ กฎเกณฑ์นี่เรียนมาทั้งเช้าแล้ว ข้ายัง
เฟิ่งเชียนอวี่กล่าวเร่งเร้าอย่างยิ้มแย้มเรือนชิงหลานอันกว้างใหญ่ ภายใต้สายตาของทุกคน หลิวหมอมอรู้สึกอับอายมาก ใบหน้าแก่ประเดี๋ยวซีด ประเดี๋ยวเขียว รู้สึกเกลียดชังจนถึงขีดสุด ด่าทอเฟิ่งเชียนอวี่ในใจจนเละเทะต่อให้อยู่ในวัง อายุงานของนางก็ค่อนข้างแก่ นานมากแล้วที่ไม่มีใครทำให้นางอับอายเช่นนี้นางแพศยาที่น่ารังเกียจคนนี้ จงใจอยากให้นางขายหน้าเฟิ่งเชียนอวี่เห็นนางยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มที่มุมปากค่อยๆ หายไป พลางหมุนกำไลหยกชั้นดีที่อยู่ตรงข้อมือเล่น พลางกล่าวอย่างเรียบเฉย“นี่หลิวหมอมอเป็นอะไร? ท่านมาจวนอ๋องก็เพื่อสอนกฎเกณฑ์ให้ข้าไม่ใช่หรือ? ตอนนี้แสดงท่าทางที่ต่อต้านเช่นนี้ หรือว่าจงใจไม่อยากสอนข้า?”“หรือหลิวหมอมอรู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรให้ท่านสอน? อย่างไรข้าก็เป็นถึงพระชายาอ๋องหกนะ นี่ท่านไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา หรือดูถูกท่านอ๋องหกกันแน่?”ต่อให้อายุงานของหลิวหมอมอแก่เพียงใด ท้ายที่สุดก็ยังเป็นเพียงบ่าวไพร่ นางจะกล้าแบกรับโทษสถานหนักเช่นนี้ได้อย่างไร สีหน้านางเปลี่ยนฉับพลัน รีบคุกเข่าลงพื้น“บ่าวไม่มีเจตนาเช่นนี้แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านอ๋องและพระชายาโปรดไตร่ตรองด้วย”เฟิงเชียนอวี่กล