“เสด็จพ่อ งานวันนี้ยิ่งใหญ่อลังการ เช่นนั้น เชิญนักพรตเฟิงมาร่วมงานด้วยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฮ่องเต้เทียนหยวนได้ฟังก็เห็นด้วย ทอดสายพระเนตรมองไปทางตงฟางจิ่งตงฟางจิ่งก็ไม่ปฏิเสธ“หม่อมฉันให้คนไปเชิญนักพรตเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”เวลานี้เฟิ่งเชียนอวี่เห็นที่นั่งฝั่งตรงข้าม คือฮูหยินหง นางค่อยเข้าใจทุกอย่างโรคเรื้อรังของฮูหยินหง เป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองหลวง แม้นางจะเป็นภรรยาของขุนนาง อีกทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ของสามีก็ไม่ธรรมดา ล้วนมีสิทธิ์มาร่วมงานเลี้ยงมากมายแต่ที่ผ่านมา เพราะอาการรักแร้เหม็นของฮูหยินเป็นเหตุ นางจึงไม่ออกจากเรือน จึงยิ่งอย่ากล่าวถึงเรื่องร่วมงาน รังแต่จะทำให้ผู้อื่นรังเกียจแต่ตอนนี้ อาการป่วยของนางดีแล้ว ย่อมออกมาได้ประจวบเหมาะถึงเทศกาลบ๊ะจ่างพอดี นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินหง ยืนอยู่ตรงหน้าผู้คนอย่างสง่าผ่าเผยอดีตที่ผ่านมา สามีล้วนพาอนุภรรยาคนอื่นๆ มาร่วมงาน ฮูหยินหงไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ในการห้าม ต่อไปนี้ จะไม่เกิดเรื่องที่ทำให้ฮูหยินหงอับอายอีกแล้วเพราะจวนเจิ้นกว๋อกง บวกกับอาการป่วยของฮูหยินหง ทำให้นางถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเวลานี้นางปรากฏตัว ทุกคนต่างตกใจอย
ตงฟางจิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าตื่นตระหนก เจ้าจัดการแล้วไม่ใช่หรือ”เฟิ่งเชียนอวี่เลิกคิ้ว ก็ใช่“แต่ว่า...”ตงฟางจิ่งมองดูธงผ้าสีแดงก่ำที่แขวนอยู่บนเรือมังกรของจวนตัวเอง ในดวงตามีความแปลกใจแวบผ่าน จากนั้นค่อยๆ ก้มหน้าลง แล้วโน้มไปข้างหูเฟิ่งเชียนอวี่“เจ้าแน่ใจหรือ ว่านี่คือเรือมังกรของข้า?”เมื่อครู่เขามองปราดเดียว ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรือมังกรจากจวนของเขาดังนั้น วิธีแก้ปัญหาที่เฟิ่งเชียนอวี่กล่าวเมื่อครู่ ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แต่กลับเป็นการ...สลับเรือมังกรอย่างนั้นหรือ?ตกลงหญิงผู้นี้ทำได้อย่างไรตงฟางจิ่งใคร่รู้เหลือเกิน อีกทั้งรู้สึกน่าทึ่งอย่างที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกเถียงกันในเรื่องนี้ร่างเฟิ่งเชียนอวี่แข็งทื่อสักครู่ แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แล้วกระแอมเสียงค่อย ทำเป็นไม่ได้ยินตงฟางจิ่งหันมองรัชทายาท “องค์รัชทายาทชมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”สีหน้าของรัชทายาทไม่ดีนัก จึงเม้มปาก แล้วฝืนยิ้ม “เรือมังกรของจวนน้องหกไม่เลว”ขณะเดียวกัน ในใจเขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างในที่สุดคณะของฮ่องเต้เทียนหยวนก็เดินมาถึงตรงหน้าเรือมังกรลำสุดท้าย ซึ่งก็คือเร
ฮ่องเต้เทียนหยวนขมวดคิ้ว “มีอะไร? ถึงได้ทำตัวซุ่มซ่าม”ในใจรัชทายาทกระตุกวาบ เขาอยากจะห้ามปราม แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว“ใต้เท้าหลิวเห็นสิ่งใดหรือ จึงได้ตกใจเช่นนี้?”ตงฟางเย่าสงสัย จึงเก็บรวบพัดในมือ แล้วเดินเข้าไปดูบ้าง ต่อมาสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยพลันฮ่องเต้เทียนหยวนเห็นดังนั้น จึงขมวดคิ้วแน่น แล้วสะบัดแขนเสื้อสาวเท้าเข้าไป“เสด็จพ่อ”รัชทายาทลนลานโดยไม่มีสาเหตุ อยากจะเรียกฮ่องเต้เทียนหยวนเอาไว้ แต่กลับไร้ประโยชน์ฮ่องเต้เทียนหยวนหันมองสัญลักษณ์ตรงท้ายเรือมังกร เห็นมังกรห้าเล็บสีดำตัวหนึ่ง อยู่ในท่วงท่าผงาดอย่างดุดันและองอาจถูกต้อง นี่คือมังกรห้าเล็บสีดำไฟโกรธของฮ่องเต้เทียนหยวนโหมกระหน่ำดั่งพายุฝนทันที“บังอาจ”ยามนี้ตงฟางหล่างก็เห็นสัญลักษณ์นั่นเช่นกัน ใบหน้าของเขาซีดเผือด สองขาอ่อนแรง แล้วคุกเข่าลงพื้นดังตุบ“เสด็จพ่อ หม่อมฉันถูกปรักปรำ เหตุใดเรือมังกรจึงกลายเป็นเช่นนี้ ลูกเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จพ่อ แบบรูปวาดเรือมังกรยังอยู่ที่จวนของหม่อมฉันแค่ให้คนไปเอามาดูก็จะรู้เอง มันไม่ใช่แบบนี้แน่นอน หม่อมฉันขอสาบาน หม่อมฉันไม่เคยคิดจะก้าวล่วงพระองค์เป็นอันขาด”“เรื่อง
ตงฟางจิ่งเลิกคิ้ว “เจ้ารู้สึกว่าฝ่าบาทลงโทษเบาไปหรือ?”“แน่นอนสิ นี่มันโทษหนักเท่ากับข้อหากบฏเลยนะ แล้วดูบทสรุปสิ เขากลับถูกลงโทษให้สำนึกผิดเท่านั้น” นางเบะปากตงฟางจิ่งส่ายหน้า “พระชายาคิดผิดแล้ว ตงฟางหล่างหาใช่รัชทายาทที่ไร้ซึ่งอำนาจ”“รัชทายาทได้ดูแลตราทหารของทหารราชองครักษ์ เป็นผู้บัญชาการเมืองตะวันออกแห่งกองบัญชาการห้าเมืองและเป็นรองผู้บัญชาการกรมการขนส่งเกลือ” “อีกสามเดือนจะเป็นการสอบระดับมณฑล ฝ่าบาทก็สั่งให้รัชทายาทเป็นคนจัดการดูแลทั้งหมด”“แต่เมื่อเกิดเรื่องในวันนี้ อำนาจในมือรัชทายาทหายไปจนหมด พระชายายังคิดว่าลงโทษเบาไปอีกหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่ฟังอย่างน่าทึ่ง นางมีความเข้าใจเกี่ยวกับตำแหน่งขุนนางบุ๋นบู๊ในสมัยโบราณน้อยมาก แต่ฟังดูเหมือนมีอำนาจไม่น้อยหากเป็นอย่างนี้ ตงฟางหล่างถูกลงโทษหนักไม่น้อย นี่ไม่ใช่แค่หนังถลอกธรรมดาทั่วไป แต่เหมือนถูกถลกหนังขูดเนื้อออกมาจนหมดเลยต่างหากนางนึกถึงบางอย่าง จึงหันไปเอ่ยกับตงฟางจิ่ง “ท่านอ๋อง ท่านคงมีตำแหน่งในราชสำนักสินะ?”ตงฟางจิ่งเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่มีหรอก”เฟิ่งเชียนอวี่พยักหน้า “ก็น่าจะใช่ แต่ละวันเห็นท่านอ๋องว่างจนไม่มีสิ่งใดทำ
สองพี่น้องสงสัยมาตลอด นึกไม่ถึงว่าพระชายาจะแตกฉานในเรื่องคุณไสยมนต์ดำ ช่างเก่งกาจนักเมื่อเป็นเช่นนี้ หากใช้มนต์ดำไต่สวน ก็คงจะง่ายดายมากนะสิที่สำคัญยังสามารถรับประกันได้ว่าคำให้การมีมูลความจริงดวงตาตงฟางจิ่งเป็นประกาย แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “จงไปตรวจสอบพวกเขาให้ดี คนที่น่าสงสัยให้กันออกมาต่างหาก”“ขอรับ”ค่ำคืนหนึ่งจากนั้นไม่กี่วัน ตงฟางจิ่งพาเฟิ่งเชียนอวี่ไปที่ศาลาแห่งหนึ่งภายในจวนอ๋องศาลาสร้างขึ้นบนสระผืนสีเขียวมรกตแห่งหนึ่ง รอบด้านมีภูเขาจำลองประดับตกแต่งมากมาย“ท่านอ๋อง ตกลงท่านจะพาข้าไปที่ใดกันแน่?” เฟิ่งเชียนอวี่ขมวดคิ้วสงสัยตงฟางจิ่งไม่ตอบ เขายืนอยู่หน้าภูเขาจำลองแห่งหนึ่ง จากนั้นยื่นนิ้วเข้าไปในรู แล้วกดลงไปได้ยินเพียงเสียงดังแกรก ภูเขาจำลองแยกจากกันเป็นสองส่วน ตรงกลางภูเขาค่อยๆ แยกจากกันจนเป็นรอยยาว แล้วขยายจนกลายเป็นปากถ้ำที่เข้าไปได้ทีละคนเฟิ่งเชียนอวี่อ้าปากตาค้าง “กลไก? ทางลับ?”ตงฟางจิ่งหันมองนาง “ตามข้าเข้าไป”“ช้าก่อน”นางเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “ท่านอ๋อง คงไม่ใช่เพราะช่วงนี้ท่านขัดหูขัดตาข้า จึงคิดจะพาข้าลงไปด้านใน แล้วอาศัยจังหวะดึกดื่นค่ำคืน สังหารข้าปิดปากห
เฟิ่งเชียนอวี่ถอนหายใจ “นั่นมันการสะกดจิต ทักษะการสะกดจิต ขอบใจ”“ไม่ว่าอะไรก็ดี สรุปแล้ว ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”นางหัวเราะพรวดอย่างอดไม่ได้ สองมือกอดอก หันมองรอบด้าน แล้วดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลง“ท่านอ๋อง ด้วยกิริยาเมื่อครู่ที่ท่านทำกับข้า ท่านรู้สึกว่ามันคือท่าทีของการขอร้องให้ผู้อื่นช่วยหรือ?”ตงฟางจิ่งเอามือไพล่หลัง จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร ข้ามีเวลาเหลือเฟือ หากเจ้าไม่ช่วย งั้นก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปข้างนอก รอกันอยู่อย่างนี้ละ”เฟิ่งเชียนอวี่จ้องเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ จนอดโมโหไม่ได้“ท่านมันหน้าด้าน”ตงฟางจิ่งเลิกคิ้ว “เจ้าจะช่วยหรือไม่?”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”น่าโมโหนัก นายแน่มาก“ยืนบื้ออยู่ทำไม นำทางสิ” นางหันมองเว่ยเซิงเว่ยชิว ด้วยสีหน้าถมึงทึง“ขอรับ พระชายาเชิญทางนี้”ขณะที่เฟิ่งเชียนอวี่เดินไป นาง ‘ไม่ทันระวัง’ จึงสะดุดไปหนึ่งที จากนั้นได้เหยียบลงไปบนรองเท้าของตงฟางจิ่งอย่างแรง ซ้ำยังขยี้ไปหลายทีจนรองเท้าขาวสะอาดของเขา กลายเป็นรอยสีดำเมี่ยมทันที“ตายแล้ว ขอโทษนะท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านคงไม่โกรธข้าหรอกนะ” เฟิ่งเชียนอวี่พูดอย่างเสแสร้งตงฟาง
องครักษ์ลับคนแรกไม่มีปัญหาใด หลังจากปลุกให้เขาตื่น จึงปล่อยให้ออกไปสองพี่น้องเว่ยเซิง เว่ยชิวเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “พระชายา นี่ไม่ใช่มนต์ดำจริงหรือขอรับ?”“ไม่ใช่แน่นอน มนต์ดำบ้าบออะไรกัน แค่ฟังชื่อก็รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดีแล้ว ที่ข้าทำอยู่เรียกว่าการสะกดจิต”ระหว่างที่เฟิ่งเชียนอวี่พูด สายตากวาดมองทั้งสอง มุมปากของนางยิ้มพรายอย่างไม่หวังดี“จะว่าไป ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองสงสัยขนาดนี้ ถ้างั้นจะลองดูด้วยตัวเองหรือไม่ ว่าอย่างไร?”ตงฟางจิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเขาไม่ต้อง”“มันก็ไม่แน่หรอก”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก “อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ คำถามที่ท่านถามเมื่อครู่ คงจะกำลังตามหาสายลับอยู่ละสิ”“เรื่องเรือมังกร นอกจากพวกคนที่อยู่ข้างนอก เว่ยเซิงกับเว่ยชิวก็เข้าข่ายผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน ทำไมถึงไม่ต้อง”สองพี่น้องเว่ยเซิงได้ยินพลันชะงักไปทันใด ต่อมาหน้าถอดสี แล้วทำหน้าขึงขัง คุกเข่าข้างเดียวตรงหน้าตงฟางจิ่ง“พวกข้าน้อยไม่เคยคิดคดเด็ดขาด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ สมัครใจรับการทดสอบขอรับ”ตงฟางจิ่งหันมองเฟิ่งเชียนอวี่ที่ยิ้มกระหยิ่ม แล้วเอามือกุมหน้าผาก จากนั้นโบกมือ “ลองดูเถอะ”เว่ยเซิงและเว่ยช
ทันใดนั้นรู้สึกว่าการไม่ทะเยอทะยานก็ดีเหมือนกันตงฟางจิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงทำหน้าเข้ม “เจ้าสนุกพอหรือยัง?”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก ในใจแอบไม่สบอารมณ์ การล้างสมองของคนยุคโบราณร้ายกาจกว่าการสะกดจิตของนางซะอีก เพื่อผู้เป็นนายแล้ว ยอมสละได้ทุกสิ่งนางปลุกเว่ยเซิงตื่น หลังจากตื่นมาด้วยความมึนงง เขาเห็นสีหน้าที่ดูไม่ดีนักของท่านอ๋องและพระชายา ในใจจึงกระตุกวาบเขาคงไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรอกนะ?แต่ว่าเขาไม่ใช่สายลับและไม่มีความลับใด ทำไมสีหน้าของท่านอ๋องและพระชายาจึงเป็นเช่นนี้?เว่ยชิวถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหา จากนั้นตบบ่าของเขา “พี่ชาย วางใจเถอะ ท่านทำได้ดีมาก”“แต่ว่า...”เว่ยชิวยิ้มเจื่อน “เพราะท่านพี่ทำได้ดี พระชายาถึงไม่พอใจ”เว่ยเซิง “...”เมื่อมีตัวอย่างให้เห็น เฟิ่งเชียนอวี่จึงไม่คิดจะกลั่นแกล้งอีกต่อไป และหมดสนุกที่จะสะกดจิตเว่ยชิว จึงรอแกล้งองครักษ์ลับที่อยู่ข้างหลังต่อองครักษ์ลับแต่ละคนล้วนไม่มีปัญหา ทุกคนมีความจงรักภักดีสูงมาก จนกระทั่งมาถึงคนสุดท้ายระหว่างที่เฟิ่งเชียนอวี่สะกดจิต สีหน้าขององครักษ์ลับคนสุดท้ายดูผิดปกติคิ้วขมวดแน่น สีหน้าดูเจ็บปวดเล็กน้อย จิต