สองพี่น้องสงสัยมาตลอด นึกไม่ถึงว่าพระชายาจะแตกฉานในเรื่องคุณไสยมนต์ดำ ช่างเก่งกาจนักเมื่อเป็นเช่นนี้ หากใช้มนต์ดำไต่สวน ก็คงจะง่ายดายมากนะสิที่สำคัญยังสามารถรับประกันได้ว่าคำให้การมีมูลความจริงดวงตาตงฟางจิ่งเป็นประกาย แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “จงไปตรวจสอบพวกเขาให้ดี คนที่น่าสงสัยให้กันออกมาต่างหาก”“ขอรับ”ค่ำคืนหนึ่งจากนั้นไม่กี่วัน ตงฟางจิ่งพาเฟิ่งเชียนอวี่ไปที่ศาลาแห่งหนึ่งภายในจวนอ๋องศาลาสร้างขึ้นบนสระผืนสีเขียวมรกตแห่งหนึ่ง รอบด้านมีภูเขาจำลองประดับตกแต่งมากมาย“ท่านอ๋อง ตกลงท่านจะพาข้าไปที่ใดกันแน่?” เฟิ่งเชียนอวี่ขมวดคิ้วสงสัยตงฟางจิ่งไม่ตอบ เขายืนอยู่หน้าภูเขาจำลองแห่งหนึ่ง จากนั้นยื่นนิ้วเข้าไปในรู แล้วกดลงไปได้ยินเพียงเสียงดังแกรก ภูเขาจำลองแยกจากกันเป็นสองส่วน ตรงกลางภูเขาค่อยๆ แยกจากกันจนเป็นรอยยาว แล้วขยายจนกลายเป็นปากถ้ำที่เข้าไปได้ทีละคนเฟิ่งเชียนอวี่อ้าปากตาค้าง “กลไก? ทางลับ?”ตงฟางจิ่งหันมองนาง “ตามข้าเข้าไป”“ช้าก่อน”นางเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “ท่านอ๋อง คงไม่ใช่เพราะช่วงนี้ท่านขัดหูขัดตาข้า จึงคิดจะพาข้าลงไปด้านใน แล้วอาศัยจังหวะดึกดื่นค่ำคืน สังหารข้าปิดปากห
เฟิ่งเชียนอวี่ถอนหายใจ “นั่นมันการสะกดจิต ทักษะการสะกดจิต ขอบใจ”“ไม่ว่าอะไรก็ดี สรุปแล้ว ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”นางหัวเราะพรวดอย่างอดไม่ได้ สองมือกอดอก หันมองรอบด้าน แล้วดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลง“ท่านอ๋อง ด้วยกิริยาเมื่อครู่ที่ท่านทำกับข้า ท่านรู้สึกว่ามันคือท่าทีของการขอร้องให้ผู้อื่นช่วยหรือ?”ตงฟางจิ่งเอามือไพล่หลัง จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร ข้ามีเวลาเหลือเฟือ หากเจ้าไม่ช่วย งั้นก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปข้างนอก รอกันอยู่อย่างนี้ละ”เฟิ่งเชียนอวี่จ้องเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ จนอดโมโหไม่ได้“ท่านมันหน้าด้าน”ตงฟางจิ่งเลิกคิ้ว “เจ้าจะช่วยหรือไม่?”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”น่าโมโหนัก นายแน่มาก“ยืนบื้ออยู่ทำไม นำทางสิ” นางหันมองเว่ยเซิงเว่ยชิว ด้วยสีหน้าถมึงทึง“ขอรับ พระชายาเชิญทางนี้”ขณะที่เฟิ่งเชียนอวี่เดินไป นาง ‘ไม่ทันระวัง’ จึงสะดุดไปหนึ่งที จากนั้นได้เหยียบลงไปบนรองเท้าของตงฟางจิ่งอย่างแรง ซ้ำยังขยี้ไปหลายทีจนรองเท้าขาวสะอาดของเขา กลายเป็นรอยสีดำเมี่ยมทันที“ตายแล้ว ขอโทษนะท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านคงไม่โกรธข้าหรอกนะ” เฟิ่งเชียนอวี่พูดอย่างเสแสร้งตงฟาง
องครักษ์ลับคนแรกไม่มีปัญหาใด หลังจากปลุกให้เขาตื่น จึงปล่อยให้ออกไปสองพี่น้องเว่ยเซิง เว่ยชิวเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “พระชายา นี่ไม่ใช่มนต์ดำจริงหรือขอรับ?”“ไม่ใช่แน่นอน มนต์ดำบ้าบออะไรกัน แค่ฟังชื่อก็รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดีแล้ว ที่ข้าทำอยู่เรียกว่าการสะกดจิต”ระหว่างที่เฟิ่งเชียนอวี่พูด สายตากวาดมองทั้งสอง มุมปากของนางยิ้มพรายอย่างไม่หวังดี“จะว่าไป ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองสงสัยขนาดนี้ ถ้างั้นจะลองดูด้วยตัวเองหรือไม่ ว่าอย่างไร?”ตงฟางจิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเขาไม่ต้อง”“มันก็ไม่แน่หรอก”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก “อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ คำถามที่ท่านถามเมื่อครู่ คงจะกำลังตามหาสายลับอยู่ละสิ”“เรื่องเรือมังกร นอกจากพวกคนที่อยู่ข้างนอก เว่ยเซิงกับเว่ยชิวก็เข้าข่ายผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน ทำไมถึงไม่ต้อง”สองพี่น้องเว่ยเซิงได้ยินพลันชะงักไปทันใด ต่อมาหน้าถอดสี แล้วทำหน้าขึงขัง คุกเข่าข้างเดียวตรงหน้าตงฟางจิ่ง“พวกข้าน้อยไม่เคยคิดคดเด็ดขาด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ สมัครใจรับการทดสอบขอรับ”ตงฟางจิ่งหันมองเฟิ่งเชียนอวี่ที่ยิ้มกระหยิ่ม แล้วเอามือกุมหน้าผาก จากนั้นโบกมือ “ลองดูเถอะ”เว่ยเซิงและเว่ยช
ทันใดนั้นรู้สึกว่าการไม่ทะเยอทะยานก็ดีเหมือนกันตงฟางจิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงทำหน้าเข้ม “เจ้าสนุกพอหรือยัง?”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก ในใจแอบไม่สบอารมณ์ การล้างสมองของคนยุคโบราณร้ายกาจกว่าการสะกดจิตของนางซะอีก เพื่อผู้เป็นนายแล้ว ยอมสละได้ทุกสิ่งนางปลุกเว่ยเซิงตื่น หลังจากตื่นมาด้วยความมึนงง เขาเห็นสีหน้าที่ดูไม่ดีนักของท่านอ๋องและพระชายา ในใจจึงกระตุกวาบเขาคงไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรอกนะ?แต่ว่าเขาไม่ใช่สายลับและไม่มีความลับใด ทำไมสีหน้าของท่านอ๋องและพระชายาจึงเป็นเช่นนี้?เว่ยชิวถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหา จากนั้นตบบ่าของเขา “พี่ชาย วางใจเถอะ ท่านทำได้ดีมาก”“แต่ว่า...”เว่ยชิวยิ้มเจื่อน “เพราะท่านพี่ทำได้ดี พระชายาถึงไม่พอใจ”เว่ยเซิง “...”เมื่อมีตัวอย่างให้เห็น เฟิ่งเชียนอวี่จึงไม่คิดจะกลั่นแกล้งอีกต่อไป และหมดสนุกที่จะสะกดจิตเว่ยชิว จึงรอแกล้งองครักษ์ลับที่อยู่ข้างหลังต่อองครักษ์ลับแต่ละคนล้วนไม่มีปัญหา ทุกคนมีความจงรักภักดีสูงมาก จนกระทั่งมาถึงคนสุดท้ายระหว่างที่เฟิ่งเชียนอวี่สะกดจิต สีหน้าขององครักษ์ลับคนสุดท้ายดูผิดปกติคิ้วขมวดแน่น สีหน้าดูเจ็บปวดเล็กน้อย จิต
เฟิ่งเชียนอวี่กลอกตา คำพูดนี้อีกละ จนแทบจะกลายเป็นคำพูดประจำของเจ้าหมอนี่อยู่แล้วไม่ใช่สินางหันมองตงฟางจิ่ง พร้อมจ้องเขา “ทั้งที่เมื่อครู่ท่านเป็นคนเอาเปรียบข้านะ ข้ายังไม่รังเกียจเลย แล้วดูสิท่านทำสีหน้าอะไรเนี่ย?” ชายโฉดเอ๊ยตงฟางจิ่งเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าเป็นพระชายาของข้า ต่อให้ข้าเอาเปรียบเจ้าจริง ก็ถือเป็นเกียรติแก่เจ้า ยังกล้ารังเกียจหรือ?”ว๊ายตายแล้ว ช่างสดใหม่อะไรอย่างนี้ ช่างเป็นตรรกะที่ซาบซึ้ง เฟิ่งเชียนอวี่โกรธจนอยากจะหัวเราะสองมาตรฐานเช่นนี้มันสุดโต่งไร้ขอบเขตเกินไปแล้วนะ น่าโมโหนัก“อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าใคร ฉวยโอกาสตอนพิษเหมันต์ของข้ากำเริบ ทำตัวบังอาจกับข้ายิ่งนัก”เฟิ่งเชียนอวี่สะอึก เตรียมจะตอบโต้ ทว่าเสียงของเว่ยเซิงดังขึ้น“ท่านอ๋อง พระชายา รีบดูขอรับ”สงครามน้ำลายของทั้งสองถูกตัดตอน จึงพากันหันมอง เห็นเพียงหนอนสีแดงบนพื้น ซึ่งก่อนหน้านี้ร่างกายอ้วนท้วน ขณะนี้ร่างของมันค่อยๆ แฟ่บลงเฟิ่งเชียนอวี่มองสำรวจอยู่สักครู่ พลันเข้าใจ“ข้าก็ว่าทำไมถึงคุ้นตานัก ที่แท้ก็เป็นหนอนกู่นี่เอง”ตงฟางจิ่งหันมองนางฉับพลัน “เจ้ารู้จักหรือ?”“รู้จักสิ”ตอนยังอยู่ใ
นางมองดูหนอนแห้งกรังในมือ แล้วครุ่นคิด“ดูท่า หนอนกู่ของที่นี่ ร้ายกาจยิ่งกว่าที่ข้าได้รู้มา ถึงกับสามารถควบคุมมนุษย์ได้”“หากรู้แต่แรกว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าคงไม่ใช่วิธีสะกดจิตกับเขา อย่างน้อยเขายังมีชีวิตรอด จุๆ บาปกรรม”องครักษ์ลับผู้นี้ถูกหนอนกู่ควบคุม ส่วนการสะกดจิตของนางคล้ายกับการควบคุมสมอง แล้วเข้าไปกระตุ้นส่วนลึกสุดมิน่าละเมื่อครู่สีหน้าของคนผู้นี้ถึงได้ทรมานนัก หนอนกู่ที่อยู่ในร่างของเขาต่อต้านการสะกดจิต ดังนั้นหนอนกู่จึงถูกขับออกจากร่างกายแม้เฟิ่งเชียนอวี่จะไม่แตกฉานในเรื่องหนอนกู่ แต่นางเป็นอัจฉริยะด้านการแพทย์ แม้จะไม่เคยเจออาการป่วยเช่นนี้มาก่อนแต่เมื่อผนวกกับสถานการณ์ตรงหน้า เพียงตรึกตรองสักนิด คิดให้รอบด้านในทฤษฎีเดียวกัน ก็พอจะคาดเดาได้ตงฟางจิ่งคว้าข้อมือของนางกะทันหัน เขาออกแรงเยอะมาก จากนั้นจ้องนางเขม็ง“หากถูกหนอนกู่ เจ้ามีวิธีแก้หรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่ปวดข้อมือ จึงไม่ได้สนใจคำถามของเขา นางโมโหทันที“ท่านเป็นบ้าหรือ ถึงได้คลุ้มคลั่งเช่นนี้ ปล่อยนะ มันเจ็บมากไม่รู้หรือ”ระหว่างที่พูด ด้วยความโมโหนางจึงกระทืบเขาไปหลายครั้งตงฟางจิ่งเม้มปาก คลา
ในยุคโบราณย่อมไม่มีไฟฟ้า แห่งเดียวที่มีคือในห้องทดลองของเฟิ่งเชียนอวี่ ดังนั้น จึงมีนางที่แก้หนอนกู่นี้ได้ตงฟางจิ่งจ้องมองนางด้วยสีหน้าสับสน“ถ้าหาก ข้าได้พบเจ้าเร็วกว่านี้ คงดีไม่น้อย...”สีหน้าตงฟางจิ่งเหมือนกำลังอมยิ้ม ในแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พร้อมพึมพำเฟิ่งเชียนอวี่มองดูอย่างอกสั่นขวัญแขวน จนลืมตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าวจู่ๆ เจ้าหมอนี่พูดประโยคนี้ออกมา หากไม่ใช่เพราะสีหน้าที่เจ็บปวด นางยังนึกว่าเขากำลังสารภาพรักกับนางซะอีก“เรื่องนี้ฟังดูเหมือนมีที่มา ถ้าอย่างไร ลองเล่ามาฟังสิ?”เฟิ่งเชียนอวี่หัวเราะแห้งตงฟางจิ่งหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้น เขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง“เว่ยเซิง ส่งพระชายากลับไป”“ขอรับ”เฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก ไม่พูดก็ช่างหลังจากเว่ยเซิงส่งเฟิ่งเชียนอวี่กลับเรือนชิง ได้ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว“ท่านอ๋อง เรื่องผ่านมาตั้งหลายปี นึกไม่ถึงว่าวิชาหนอนกู่ของแคว้นหนานอูจะปรากฏอีกครั้ง ท่านอ๋องคิดจะทำอย่างไรต่อขอรับ?”เว่ยชิวขมวดคิ้ว “สิ่งที่ทำให้ลับหกทรยศคือหนอนกู่หนานอู แล้วองค์รัชทายาทมีบทบาทอย่างไรในเรื่องนี้หรือขอรับ?”“ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าองค์รัชทายาทจะลักลอบต
“ขอรับ”วันรุ่งขึ้นเฟิ่งเชียนอวี่พาสาวใช้ออกไปข้างนอกอีกแล้วนางแวะไปเยี่ยมเหล่าแม่นางที่หออิ๋งชุน ตอนนี้มีบ้านสวนแล้ว รอให้ดอกไม้รอบแรกบานเต็มที่ ก็สามารถเริ่มผลิตสินค้าได้เลย และเตรียมเปิดร้านนางตั้งชื่อใหม่ให้เด็กสาวทั้งแปดคน เพื่อความสะดวก จึงตั้งชื่อพวกนางตามฤดูกาลย่อยซึ่งเรียงลำดับจากอายุของเด็กสาวทั้งแปดคน ได้แก่จิงเจ๋อ ลี่ชิว ไป๋ลู่ กู๋อวี่ เซี่ยจื้อ ชิวเฟิน ซวงเจี้ยงและตงจื้อประตูใหญ่ของหออิ๋งชุนตรงท้ายตรอกดอกไม้ เฟิ่งเชียนอวี่ได้สั่งให้คนมาปิดไปแล้วครั้งที่สองที่นางไป พบว่าประตูหลังของหออิ๋งชุน มีเพียงกำแพงชั้นหน้ากั้น ถัดไปก็เป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชาวบ้านแล้วต่อมาเฟิ่งเชียนอวี่เกิดความคิด จึงใช้เงินก้อนหนึ่งที่จำนวนไม่น้อย ซื้อบ้านหลังนั้นเอาไว้เอง จากนั้นรื้อถอนกำแพงที่ขวางกั้น เพื่อให้พื้นที่เชื่อมถึงหออิ๋งชุนทั้งหมด หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จึงได้เปิดเส้นทางใหม่ที่เชื่อมถึงกันเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปพวกจิงเจ๋อออกไปข้างนอก จึงไม่ต้องเดินออกจากเส้นตรอกดอกไม้ และไม่เกิดความยุ่งยากโดยไม่จำเป็นถนนที่อยู่ตรงข้ามกับหออิ๋งชุนพอดีคือถนนทิศเหนือ ซึ่งอย