ท่านหมอหมอบอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม “ข้าน้อย ข้าน้อยไม่กล้าพูด”ท่าทางนี้ของเขา ทำให้ตงฟางเย่าคิดว่าตนเองติดโรคที่รักษาไม่ได้ สีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว กัดฟันกล่าว “ถ้าหากเจ้ายังไม่พูดอีก อย่าได้คิดมีชีวิตออกไปจากที่นี่เลย”ท่านหมอย่อมกลัวตาย ตัวสั่นเทา รีบกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่าน ท่านอ๋องไม่ได้เป็นโรค แต่ว่า แต่ว่าตั้งครรภ์แล้ว”สามคำสุดท้าย ทำให้ห้องที่เดิมทีเต็มไปด้วยความกดดัน ยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นภายในชั่วพริบตารวมทั้งพ่อบ้านที่อยู่ในห้องเดียวกันสีหน้าราวกับถูกฟ้าผ่า สงสัยว่าตนเองเกิดอาการหูฝาดไปใช่หรือไม่ตงฟางเย่าผู้เป็นเจ้าของเรื่องยิ่งไม่เชื่อ เขาค่อย ๆ หันหน้า จ้องมองท่านหมอ ดวงตาทั้งข้างราวกับว่าจะฆ่าคนได้“เจ้าว่าอะไรนะ? พูดอีกรอบ?”ท่านหมอกล่าวอย่างลำบาก “ชีพ ชีพจรของท่านอ๋องเต้นแรง ราบรื่น การเต้นของชีพจรลื่นไหลและไม่มีสะดุด นี่ นี่เป็นชีพจรมงคล”“บริ บริเวณท้องของท่านอ๋องนูนขึ้น มักจะรู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ รู้สึกหิวโหยบ่อย ทั้ง ทั้งหมดนี่เป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์”“ฉะ ฉันนั้นท่านอ๋อง ท่าน...”ยังไม่ทันพูดจบ ดวงตาทั้งสองข้างของตงฟางเย่า
“เจ้าออกไปรอข้างนอก”“ขอรับ”หลังจากลูกมือออกไป ท่านหมอฟางลังเลแล้วกล่าว “ไม่ทราบว่าท่านอ๋อง ให้คนอื่นออกไปก่อนได้หรือไม่”มีบทเรียนจากอดีตแล้ว เมื่อตงฟางเย่าเห็นดังนี้ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ พยายามระงับเพลิงโทสะ กัดฟันกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ“เจ้าคงไม่ได้อยากจะบอกว่า ข้ามีชีพจรมงคลหรอกใช่หรือไม่?”ท่านหมอฟางจ้องมองเขาแวบหนึ่งอย่างงุนงง “คือ หรือว่าก่อนหน้าข้า เคยมีหมอมาตรวจให้ท่านอ๋องมาก่อน?”เห็นได้ชัดว่า ผลการวินิจฉัยของเขา เป็นเหมือนกันตงฟางเย่าหรี่ตา นัยน์แฝงไปด้วยแรงอาฆาตอย่างไม่ลังเล “ท่านหมอฟาง ท่านอยากตายหรือ?”ในใจของท่านหมอฟางสะอึกไปทันที อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าวด้วยความสั่นเทา คุกเข่าลงบนพื้น “ท่านอ๋องโปรดอภัย”“โปรดอภัย? เฮอะ ข้าผู้ชายอกสามศอกผู้สง่าผ่าเผย เจ้าตรวจว่าข้ามีชีพจรมงคล ยังอยากจะขอร้องให้ข้ายกโทษ?”ข้อนี้ ท่านหมอฟางเองยังรู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย เขาไม่เคยตรวจเจอสภาพชีพจรแปลกขนาดนี้บนตัวของผู้ชายมาก่อนเช่นกันแต่ด้วยประสบการณ์ประกอบอาชีพทางด้านการแพทย์มานานหลายปีของเขา นี่เป็นชีพจรลื่นจริง ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีทา
เฟิ่งเชียนอวี่หยิบบีกเกอร์มาอีกใบ ด้านในเติมสารละลายซิลเวอร์ไนเตรตกับสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ลงไปเพื่อผสมกันจากนั้น นำสารปรอทซัลไฟด์บางส่วนออกมาเผาบนตะเกียงแอลกอฮอล์ เพื่อแยกซัลเฟอร์ไดออกไซด์และปรอทออกจากกัน สุดท้ายนำไปทำให้เย็นตัว จะได้โลหะปรอทบางอย่าง ซึ่งก็คือปรอทนางนำปรอทและสารละลายที่เพิ่งผสมลงเทลงบนกระดาษฟอยล์ที่แปะอยู่บนพื้นผิวของแก้วหลิวหลี จากนั้นรออย่างอดทน...เฟิ่งเชียนอวี่ทำขั้นตอนเหล่านี้ซ้ำไปมา นำพื้นผิวของแก้วหลิวหลีขนาดต่าง ๆ ทั้งหมดทำตามขั้นตอนหนึ่งรอบ จ้องมองผลสำเร็จที่ออกมาตอนท้ายสุด แล้วยิ้มออกมาด้วยความพอใจหลังจากนางออกจากห้องทดลอง ก็รีบหาลังใหญ่ใบหนึ่ง นำภาชนะหลิวหลีบางส่วนใส่ลงไป“เหลิ่งหนิง ถืออันนี้เอาไว้ แล้วตามข้าไปที่ห้องหนังสือ”เฟิ่งเชียนอวี่พาเหลิ่งหนิงไปที่ห้องหนังสือเพื่อหาตงฟางจิ่ง เสียงปึงดังขึ้น นำกล่องวางไว้บนโต๊ะหนังสือ กล่าวอย่างยิ้มแย้ม“ท่านอ๋อง ข้านำของขวัญสองสามอยากอยากจะมอบให้ท่าน”ตงฟางจิ่งเหลือบตาขึ้นมองนางแวบหนึ่ง เลิกคิ้ว “พิเศษขนาดนี้ เช่นนั้นข้าคงต้องชื่นชมให้ดี ๆ เสียหน่อยแล้ว”เฟิ่งเชียนอวี่ยิ้มอย่างลึกลับ เปิดกล่องออก นำ
เว่ยเซิงและคนอื่นเข้ามารุมล้อมกระจกบานใหญ่บานนั้น ร้องออกมาด้วยความตกใจ“นี่ท่านทำเองหรือ?”“แน่นอนสิ ไม่ใช่ข้าแล้วใครจะยังทำได้อีก” เฟิ่งเชียนอวี่ยักไหล่ทั้งสองข้าง“อาจารย์ท่านนั้นเป็นคนสอนท่านเช่นกันหรือ?”นางเกือบจะสำลักน้ำลาย กระแอมเบา ๆ ยิ้มอย่างขอไปที “เรื่องนี้ไม่สำคัญ ไม่สำคัญ”ตงฟางจิ่ง “...”เฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋อง เห็นแก่ที่หม่อมฉันมอบสิ่งของมีข้าเช่นนี้ให้แก่ท่าน หม่อมฉันมีเรื่องเล็กน้อย ท่านอ๋องคงจะไม่มีทางไม่ช่วยหรอกใช่หรือไม่”ตงฟางจิ่งหัวเราะพรวดออกมา รู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางเอาอกเอาใจเขาอย่างไม่มีสาเหตุหรอก“ลองมาว่า”“อันที่จริงสำหรับท่านอ๋องแล้ว เป็นเรื่องเล็กน้อยจริง ๆ เป็นเรื่องที่ท่านแค่ขยับปากสั่งก็พอ”“ไม่ใช่เพราะว่าช่วงนี้ร้านค้าของข้ากำลังจะเปิดแล้ว หวังว่าถึงเวลานั้นท่านอ๋องจะส่งองครักษ์สักสิบกว่าคนของท่าน ไปช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยที่ร้าน”“ไม่ต้องนานมาก แต่หนึ่งเดือนก็พอ”ตงฟางจิ่งเลิกคิ้ว “เจ้ากังวลว่าถึงเวลานั้นจะมีคนไปก่อความวุ่นวายอย่างนั้นหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่แบมือ “ถูกต้อง นอกจากกังวลงว
“พูดอีกอย่างหนึ่ง ต่อให้นักฆ่านั่นไม่ใช่พวกเขาเป็นคนส่งตัวไป ก็พุ่งเป้ามาที่ความบาดหมางของพวกเขากับจวนอ๋อง พุ่งเป้ามาที่ครั้งก่อนพวกเขาใช้เรือมังกรมาวางแผนใส่ร้ายจวนอ๋องหก”“ข้าเป็นพระชายาหก ยังต้องเอาของดีเช่นนี้ไปประจบสอพลอท่านผู้นั้น นี่ไม่ใช่เป็นการลดคุณค่าในตัวเองลงหรอกหรือ” นางกลอกตามองบนนี่เป็นรูปแบบความคิดในยุคสมัยใหม่ของเฟิ่งเชียนอวี่ นางแตกต่างจากคนที่นี่ นางไม่ได้ให้ความเคารพต่ออำนาจของจักรพรรดิมากเท่าไหร่นักฮองเฮาในมุมมองของนาง ประการแรกเป็นเพียงแค่ผู้หญิงน่าเกลียดชังเท่านั้น ประการที่สอง สถานะและยศตำแหน่งอันสูงส่งของนางตงฟางจิ่งถูกคำพูดพวกนี้ของนางทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่ายหน้า “เจ้าไม่อยากมอบให้ฮองเฮาก็ได้ แต่ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมถึงจะถูกต้อง”“ฮองเฮาอย่างไรก็คือฮองเฮา เจ้าไม่ให้เกียรตินาง ฝ่าบาทก็คงไม่พอพระทัยเช่นกัน”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือ “วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้ารู้แน่นอนอยู่แล้ว”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ตงฟางจิ่งพาเฟิ่งเชียนอวี่เข้าวังหลวง เพื่อมอบของขวัญให้ฮ่องเต้”ฮ่องเต้เทียนหยวนได้ยินว่าพวกเขามาก็มีความประหลาดใจเล็กน้อย “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”ทั้งสองคนเดิ
“ถ้าหากร้านค้าของเจ้ากิจการดีเกินไป จวนตระกูลเฟิ่งเกิดริษยาขึ้นมา ออกมาพูดว่านี่คือสิ่งที่สืบทอดมาจากจวนตระกูลเฟิ่ง ให้เจ้าส่งมอบวิธีการทำออกไป เจ้าจะทำอย่างไร?”เฟิ่งเชียนอวี่เบิกตากว้างอ้าปากค้าง “พวกเขาจะหน้าหนากันขนาดนี้เชียวหรือ? เหตุผลไร้สาระแบบนี้ฟังไม่ขึ้นหรอกกระมัง? ผู้ใดจะเชื่อ?”“เพราะเหตุใดถึงไม่เชื่อ? คนที่ริษยาร้านของเจ้าจะต้องเชื่อ คนที่หวังให้เจ้าเปิดร้านต่อไปไม่ได้ก็จะต้องเชื่อเช่นเดียวกัน”“หรือพูดอีกอย่าง เจ้าคุณหนูแห่งจวนตระกูลเฟิ่งผู้ไม่เคยออกไปพบปะกับผู้คน จะไปอ่านหนังสือประหลาดจากที่ไหน? หากจวนตระกูลเฟิ่งโต้แย้งขึ้นมาแบบนี้จริง ๆ ก็ไม่ถือว่าฟังไม่ขึ้น อีกอย่าง...”ตงฟางจิ่งกล่าวด้วยความหมายล้ำลึก “เมื่อเทียบกับเงินก้อนใหญ่ หน้าหนามีผลอะไร?”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”เมื่อเป็นแบบนี้ ตัวอย่างที่เขาหยิบยกมาทำให้เฟิ่งเชียนอวี่ยอมแพ้เรื่อง ‘สิทธิบัตร’ ของแก้วหลิวหลีกับกระจกได้สำเร็จถึงแม้ว่า ในใจของนางจะรู้สึกเสมอว่า ที่ตงฟางจิ่งไม่ให้นางข้องเกี่ยวกับของสองสิ่งนี้ ไม่เพียงเพราะเหตุผลเหล่านี้เท่านั้น จะต้องยังมีเหตุผลอื่นอยู่อีกอย่างแน่นอนแต่นางเองก็คิดไม่ออกเช่นก
หลังจากเฟิ่งเชียนอวี่ได้รับคำขวัญแล้ว ตงฟางจิ่งกล่าวอีกว่า “เสด็จพ่อ หม่อมฉันได้เตรียมเครื่องแก้วหลิวหลีหนึ่งชุดไว้ให้เสด็จแม่ด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”“แต่วิธีการทำกระจกค่อนข้างซับซ้อน วัสดุก็หาได้ค่อนข้างยากเช่นเดียวกัน ดังนั้นทั้งหมดจึงมีเพียงสองบานเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จพ่อหนึ่งบาน ที่เหลืออีกหนึ่งบาน หม่อมฉันอยากจะมอบให้แก่พระชายา ไม่ทราบว่าเสด็จแม่จะถือสาหรือไม่ อย่างไรขอให้เสด็จพ่อช่วยหม่อมฉันอธิบายให้ชัดเจนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เฟิ่งเชียนอวี่ที่อยู่ด้านข้าง ก็ให้ความร่วมมือโดยการทำท่าทางขวยเขินฮ่องเต้เทียนหยวนอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เจ้าเด็กคนนี้ เพื่อเอาใจภรรยาของตนเองแล้ว ไม่สนใจแม้แต่เสด็จแม่ของเจ้าแล้ว”ตงฟางจิ่งกล่าวเสียงเรียบ “หม่อมฉันเอาอกเอาใจพระชายา เป็นเรื่องปกติ เสด็จพ่อก็เอาอกเอาใจเสด็จแม่ได้เช่นเดียวกัน ประทานกระจกบานนี้แก่เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จแม่คงจะยิ่งดีพระทัย กว่าหม่อมฉันที่เป็นถวายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เทียนหยวนสะอึกทันที กระจกที่ล้ำค่าขนาดนี้ ตอนนี้มีทั้งหมดแค่สองบาน ตัวเขาเองยังส่องไม่พอเลย แน่นอนว่าไม่ยินดีจะยกให้ใคร“แค่กแค่ก
เมื่อเต๋อเฟยได้รับข่าว ก็รีบออกจากวังโดยไม่สนใจอะไรทันที“เย่าเอ๋อร์...”เต๋อเฟยสวมชุดฝ่ายใน บนใบหน้าที่แต่งหน้าอย่างประณีตเต็มไปด้วยความร้อนใจ พาคนพุ่งเข้าไปในห้องนอน พ่อบ้านขวางเอาไว้ไม่อยู่“โอ๊ย...”ทันทีที่เต๋อเฟยเดินเข้ามา แวบแรกก็เห็นท้องที่นูนขึ้นมาของลูกชายตนเอง ร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจบรรดาหมอมอนางกำนัลที่อยู่ด้านหลัง ก็ตกใจจนตะลึงไป“นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ท่านอ๋องสามเป็นอะไรไป?”เต๋อเฟยได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว สะกดความตกตะลึงในก้นบึ้งของหัวใจลงไป รีบสาวเท้าเดินไปที่ข้างเตียง จ้องมองท่าทางที่ทรมานของลูกชายตนด้วยความสงสารจับใจนางค้อนพ่อบ้าน “ท่านอ๋องสามเป็นอะไรไป? เหตุใดร่างกายจึงกลายเป็นแบบนี้? ปกติพวกเจ้าดูแลกันยังไง?”พ่อบ้านรีบคุกเข่าลงไปทันที “พระนางได้โปรดไว้ชีวิตด้วยขอรับ เมื่อหนึ่งเดือนกว่า ๆ ก่อนท่านอ๋องรู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยสบาย อีกทั้งมักจะรู้สึกหิวบ่อย ๆ”“ตอนนั้นเชิญท่านหมอมาแล้ว ท่านหมอกล่าวว่าอาจจะเป็นเพราะกินมากเกินไป จึงทำให้ท้องไส้ไม่สบายขอรับ”“ตอนนั้นท่านอ๋องก็ไม่ได้วางใจ แต่เมื่อวันเวลาค่อย ๆ ผ่านเลยไป อาการของท่านอ๋องก็ไม่ดีขึ้นเ