ชายหนุ่มนั่งล้อมรอบเป็นวงกลมอยู่ด้านล่างเวที แต่ละคนต่างก็คอยจับจ้องไม่ยอมหันเหสายตาไปที่ใด สายตาหรี่เล็ก จนแทบทนไม่ไหวที่จะกระโจนขึ้นไป ขาดก็เพียงแค่น้ำลายไหลออกมาเท่านั้นด้านบนนั้นห้อมล้อมไปด้วยห้องส่วนตัว แขกด้านในนั้นไม่ใช่คนที่ใจกว้างมีน้ำใจนัก เป็นคนที่มีสถานะไม่ธรรมดาเฟิ่งเชียนอวี่เองก็เป็นหนึ่งในนั้นนางยังคงแต่งกายเป็นคุณชายดังเก่า คนด้านข้างที่คอยรับใช้อยู่ ยังคงเป็นหลิวซูและอิ้งเสวี่ยที่แต่งกายเป็นเด็กรับใช้เดิมทีเฟิ่งเชียนอวี่เพียงแค่ได้ยินว่าทางฝั่งถนนทิศตะวันตกในเมืองหลวงนั้น มีร้านอาหารเปิดใหม่ ในนั้นมีเป็ดย่างที่เป็นเอกลักษณ์รสชาติอร่อยมากเป็นพิเศษ นางจึงคิดอยากจะลองชิมดูสุดท้ายแล้วผ่านตรอกดอกไม้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ นางถูกตึกสีแดงงดงามหลังนั้นดึงดูดสายตาเข้า หอนางโลมในยุคสมัยโบราณหากว่าไม่เข้าไปเดินเล่นสักครั้งก็คงจะน่าเสียดายนักสาวใช้ที่น่าสงสารทั้งสองอย่างหลิวซูและอิ้งเสวี่ย บทเรียนจากบ่อนพนันยังไม่ทันจางหายไป ก็มาถูกเจ้านายที่ไม่มีขีดจำกัดอย่างเฟิ่งเชียนอวี่มากระตุ้นความเครียดขึ้นมาอีกครั้ง“พวกเจ้าอย่ามัวแต่ตกตะลึงกันไป ของอร่อยมากมายถึงเพียงนี้ ไม่เพลิดเพล
หานจวิ้นใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทีก็ควรจะเป็นเช่นนั้น “แน่นอน สหายศึกษาของข้าก็เหมือนเป็นตัวแทนของข้า มีอะไรจะไม่ได้กัน”ให้ตายเถอะ ทำไมถึงได้หน้าไม่อายเช่นนี้ เฟิ่งเชียนอวี่อดไม่ได้ที่จะลอบสบถด่าออกมานางมองไปที่คนอื่นๆ พบว่าแม้แต่แม่เล้าเองก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมา ช่างหมดคำพูดเสียจริงๆ“นี่ ไอ้น้อง หากว่าเจ้าทำไม่ได้ก็รีบออกไปเสีย อย่าได้มายุ่งวุ่นวายต่อหน้าข้าอีก” หานจวิ้นมองไปยังเฟิ่งเชียนอวี่ ท่าทีเต็มไปด้วยความไม่เกรงใจเฟิ่งเชียนอวี่หรี่ตาลง ยิ้มเยาะเย้ยออกมา เมื่อคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงได้เรียกหลิวซูสาวใช้ของตนเองออกมา “ข้าจะพูดออกมา เจ้ามาเขียน”นางเขียนออกมาเองได้ ทว่าตัวอักษรของนางคงไม่อาจจะรับได้จริงๆ ให้หลิวซูมาช่วยนางเขียนออกมาคงจะดีกว่าไม่นาน บทกวีสองบทก็ถูกปล่อยออกมาทางด้านของหานจวิ้น เป็นสหายศึกษาของเขาที่เป็นคนเขียนสายน้ำกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นในวันแสงแดดสดใส น้ำไหลผ่านทางลาดด้านตะวันตก เป็นระลอกคลื่นน้ำชื่นชมกับหยดน้ำ ถวิลหาลอยไปมาเพื่อดมกลิ่นหอมในหอหงซิ่วมีคนรู้หนังสืออยู่ไม่น้อย กวีบทนี้ถือได้ว่าธรรมดาไม่พิเศษใด วาทศิลป์นั้นดูจะผิวเผินจนเกินไป ไม่อ
พลันสีหน้าหัวหน้าทหารแข็งทื่อ ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เห็นได้ชัดว่าป้ายคำสั่งนี้เป็นของจริง เขากล้าลงมือกับคนของจวนอ๋องเสียที่ไหนเขามองสีหน้าที่ดุร้ายของหานจวิ้น ขนลุกซู่จนรีบกล่าว “คุณชายหาน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คืออาการบาดเจ็บของท่าน ข้าน้อยจะส่งคนไปเชิญหมอเดี๋ยวนี้ขอรับ”สีหน้าหานจวิ้นเปลี่ยนทันที ระบายความแค้นกับเฟิ่งเชียนอวี่ ย่อมไม่สำคัญเท่ารักษาดวงตาของเขา เขากัดฟันกล่าว “เช่นนั้นเจ้ายังไม่รีบไปอีก”แม้ในใจไม่ได้คาดหวัง แต่ก็ยังคิดว่าเผื่อจะโชคดี“ขอรับๆ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”ในใจหัวหน้าทหารโล่งอก เขาสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเฝ้าอยู่ที่นี่ แล้วรีบพาคนสนิทสองสามคนออกจากหอหงซิ่วด้านหนึ่งเป็นคนของจวนอ๋องหก ด้านหนึ่งเป็นคุณชายของจวนมหาราชครู ฝั่งไหนเขาก็ล่วงเกินไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถแทรกแซงได้แล้วเขาสั่งให้คนสนิทคนหนึ่งไปแจ้งข่าวที่จวนมหาราชครู คนหนึ่งไปแจ้งข่าวที่จวนอ๋อง คนหนึ่งไปตามหมอ ส่วนเขาจำเป็นต้องไปรายงานผู้บังคับบัญชาเดี๋ยวนี้ภายในหอหงซิ่ว เฟิ่งเชียนอวี่สะกิดหลิวซู กล่าวเสียงเบา “ตามสถานะแล้ว ข้าควรจะใหญ่กว่าหานจวิ้นกระมัง?”หลิวซูพยักหน้า “มันแน่อ
มหาราชครูหานไม่กล้าเงยหน้าด้วยซ้ำ “ท่านอ๋องใจเย็นๆ เกิดเรื่องเช่นนี้กับลูกของข้าน้อย ชั่วขณะโมโหเกินไป ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นแน่นอนขอรับ”แม้หานจวิ้นกลัวตงฟางจิ่ง แต่ยิ่งโกรธที่ตนเองได้รับบาดเจ็บ ทนไม่ไหวกล่าว “ท่านพ่อ เรื่องนี้จะปล่อยไปทั้งเช่นนี้ไม่ได้ ตาของลูกรักษาไม่หายแล้วนะ”เฟิ่งเชียนอวี่มองบน หัวเราะอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “คุณชายหาน เมื่อครู่ข้าไม่พูด ปล่อยให้เจ้าใส่ร้าย เจ้ายังจะเอาอีกใช่ไหม”“ตาเจ้าบอดเกี่ยวอะไรกับข้า วันนี้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน เจ้าเจตนาจะทำร้ายผู้อื่น แต่กลับโชคร้ายพลัดตกจากเวทีจนตาขวาบาดเจ็บ ทำชั่วได้ชั่ว ล้วนเกิดจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น”“อีกอย่างนะ เมื่อครู่ข้าให้สาวใช้แสดงป้ายคำสั่งจวนอ๋องเพื่อยืนยันสถานะ คุณชายหานกลับทำดีมาก ไม่เพียงมองข้าม มารยาทยิ่งเลวทราม ทำไม นี่เจ้ากำลังมองข้ามจวนอ๋องหกของข้าหรือ?”“เจ้า…” หานจวิ้นเกลียดชัง“จวิ้นเอ๋อร์หุบปาก”มหาราชครูหานกัดฟันตำหนิ เขามองเฟิ่งเชียนอวี่ “พระชายาอย่าพูดเหลวไหล ลูกข้าไม่มีเจตนาเช่นนี้แน่นอน”เฟิ่งเชียนอวี่ยักไหล่ “ใครจะไปรู้ล่ะ”มหาราชครูหานชะงัก ดวงตาที่ขุ่นมัวมืดมนลงเล็กน้อยเรื่องของวัน
หลายวันต่อจากนั้น เฟิ่งเชียนอวี่ไม่ได้ออกจากจวน อยู่แต่ในเรือนทุกวัน ให้สาวใช้หาของเล่นใหม่ๆ มาให้นางเล่น แล้วก็ทำยาผงต่างๆภายในห้อง เฟิ่งเชียนอวี่มองขวดหยกดินเผาสิบกว่าใบตรงหน้า ข้างในล้วนเป็นผลงานในช่วงไม่กี่วันนี้ของนางเมื่อก่อนนางเป็นถึงดอกเตอร์แพทยศาสตร์ชั้นนำของประเทศเฮช ภายในประเทศมีสถาบันวิจัยทางการแพทย์เฉพาะทาง ครอบคลุมทั้งแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตก นางในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านการวิจัยไม่กี่คน มีอำนาจสูงมากเช่นกันอะไรที่เกี่ยวข้องกับยา แค่นางเอ่ยปาก ก็มีคนหามาให้นางโดยเฉพาะมรดกยาจีนตกทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ วัตถุโบราณอย่างหนังสือผ้าไหม หนังสือผ้าแพร และรวมถึงหนังสือต้นฉบับที่ แล้วก็หวงตี้เน่ยจิง[1] เปิ่นเฉ่ากังมู่[2]ต่างๆ ที่ถูกขุดพบ ล้วนไม่รู้ว่าถูกนางเปิดอ่านแล้วกี่รอบด้วยพรสวรรค์ทางการแพทย์ของนาง ได้รับการยกระดับจากพื้นฐานเดิม สำหรับการวิจัยและผลิต ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไรภายในขวดดินเผาที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้มีทั้งยาเม็ดและยาผง มีทั้งยารักษาและยาพิษลองจินตนาการดูว่าถ้าหากต่อไปมีคนกล้ามาปิดล้อมนาง นางก็สาดยาผงออกไปหนึ่งกำมือ ต้องเป็นภาพที่ล้มระเนระนาดในพริบตาแน่
เฟิ่งเชียนอวี่พยักหน้า นางรู้จักภาษาสันสกฤต นั่นเป็นเพราะนางมีปู่ที่ชื่นชอบวรรณกรรมโบราณกับวัฒนธรรมทางศาสนาพุทธมากอินเดียนับถือศาสนาพุทธมาโดยตลอด โบสถ์พุทธมีรากฐานที่ลึกซึ้ง ย่อมเป็นเป้าหมายในการวิจัยของปู่นางด้วยเช่นกัน ภาษาแรกของอินเดียก็คือภาษาสันสกฤตเฟิ่งเชียนอวี่เติบโตมากับปู่ตั้งแต่เด็ก เมื่อได้เห็นได้ยินทุกวัน นางอ่านภาษาสันสกฤตได้ก็ไม่แปลกแต่คุณหนูสามของจวนอัครเสนาบดีรู้จักภาษาสันสกฤต เช่นนั้นก็น่าแปลกแล้ว แต่ตงฟางจิ่งไม่ได้พูดออกมา“เจ้าอ่านที่ข้าเขียนทั้งหมดหนึ่งรอบ” ตงฟางจิ่งกล่าวเฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก “ทำไม ไม่เชื่อว่าข้ารู้จักหรือ อ่านก็อ่าน”นางเดิมอ้อมโต๊ะ เริ่มอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก“มรรคมีสามรัตนะ ฟ้า ดิน มนุษย์ มนุษย์มีสามรัตนะ แก่นแท้ ปราณ จิตวิญญาณผันกระดูกควรยึดตามคัมภีร์ล้างไขกระดูก ขัดเกลาแก่นแท้ หลอมปราณ แปรผันสู่เทพ บุรุษคือผู้ใช้กำปั้น วิชาเป็นตาย เมื่อเข้าถึงย่อมรู้แจ้ง…”เฟิ่งเชียนอวี่อ่านทีละบรรทัดโดยไม่สนใจคนอื่น ไม่สังเกตเห็นสายตาแปลกๆ ของคนในห้องหนังสือเลย“เป็นอย่างไร อ่านไม่ผิดกระมัง” เฟิ่งเชียนอวี่เลิกคิ้วตงฟางจิ่งเม้มปาก “ดีมาก ดูเหมือนพระ
ตงฟางจิ่งค่อนข้างสงบ ยังมีอารมณ์วิเคราะห์ให้นางฟัง “อาการบาดเจ็บของหานจวิ้น แม้แต่หมอหลวงในวังก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถรักษา? ใครจะเชื่อ?”“หากไม่มีข้า เกรงว่าเจ้าไม่สามารถเข้าประตูใหญ่ของจวนหานด้วยซ้ำ ข้ารับประกันทักษะการแพทย์ของเจ้า ก็ต้องรับความเสี่ยงเช่นกัน”“ท่าน…” เฟิ่งเชียนอวี่โมโหจนแทบกระอักเลือดแล้ว“พระชายาเลือกเอง ระหว่างไม่ได้ค่าตอบแทนแม้แต่แดงเดียว หรือได้ค่าตอบแทนห้าส่วน” ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเชื่องช้าเฟิ่งเชียนอวี่จ้องเขาเขม็ง อัดอั้นอยู่ครึ่งค่อนวันจึงจะเอ่ยปาก “สองส่วน”ตงฟางจิ่งไม่ได้สนใจนาง“สามส่วน…”ตงฟางจิ่งยังคงไม่สนใจเขาเฟิ่งเชียนอวี่อยากหมุนกายเดินจากไปอย่างสง่างาม แต่เท้าของนางกลับไม่ขยับ แม้แบ่งครึ่งหนึ่งมันทำให้นางปวดใจมากแต่ก็เหมือนกับที่หมอนี่พูด เขาไม่พานางไป นางก็จะไม่ได้แม้แต่แดงเดียวชั่วขณะ เฟิ่งเชียนอวี่ก็เหี่ยวลงเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเจาะ ยอมประนีประนอมแล้วคราวนี้ตงฟางจิ่งเหมือนนึกถึงอะไร “หนังสือต้นฉบับภาษาสันสกฤตที่ข้าพูดเมื่อครู่ ถ้าหากพระชายาตอบตกลง ข้าก็จะยอมถอยส่วนสองส่วนก็ใช่ว่าจะไม่ได้”สีหน้าเฟิ่งเชียนอวี่เดี๋ยวมืดเด
เฟิ่งเชียนอวี่มองตัวเองในกระจกสัมฤทธิ์ ลูบหนวดไม่กี่เส้นที่อยู่ใต้คาง กระแอมเสียงหนาทีหนึ่ง จงใจทำให้เสียงทุ้มต่ำ หันไปหาตงฟางจิ่ง พลันสะบัดแส้ ประสานมืออย่างยิ้มแย้ม “คำนับท่านอ๋อง”ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “เลิกลูบได้แล้ว หนวดหลุดแล้ว”“ฮะ? จริงหรือ?”พลันเฟิ่งเชียนอวี่ตกใจ รีบลูบแล้วลูบอีกอีกครั้ง เมื่อเห็นตงฟางจิ่งเดินไปแล้วก็รีบตามไป“นี่ ท่านอ๋องรอข้าด้วยสิ หนวดนี่กันน้ำหรือไม่ ถ้าหากหลุดจริงๆ จะทำอย่างไร? ท่านอ๋อง…”ในเมืองหลวง ถนนทุกสายสร้างติดกัน จวนของขุนนางในราชสำนัก แบ่งตามลำดับขั้น จากต่ำไปสูง ตำแหน่งของการสร้างจวนก็ไล่จากชานเมืองสู่ใจกลางเมืองหลวงลำดับขั้นยิ่งต่ำ ที่ตั้งของจวนก็ยิ่งอยู่ห่างออกไป ลำดับขั้นยิ่งสูง จวนก็ยิ่งใกล้ใจกลางเมืองหลวงอย่างเช่นตงฟางจิ่งที่เป็นอ๋องหกคนนี้ ในฐานะที่เป็นลูกหลานของราชวงศ์ ระยะห่างของจวนกับวังหลวง ด้วยความเร็วในการนั่งรถม้า ใช้แค่ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้วนี่ก็คือความแตกต่างของสถานะมหาราชครูหานเป็นขุนนางขั้นห้า ทำงานในสำนักราชบัณฑิต รถม้าของจวนอ๋องต้องใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูปจึงจะถึงหนึ่งก้านธูปของยุคโบราณ เท่ากับประมาณครึ่งชั่วโ