“ข้าอยากเข้าสู่สนามเมื่อใด ก็เข้าสู่สนามเมื่อนั้น”“อีกอย่าง เวลาพูดคุยกันคุณหนูใหญ่เฟิ่งไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนั้น ข้าไม่อยากถูกรมจนตาย” เฟิ่งเชียนอวี่รีบปิดจมูก แล้วถอยไปสองก้าว ทำหน้ารังเกียจอีกฝ่าย“เจ้า...”สีหน้าเฟิ่งหลิงหลงเปลี่ยนไปทันที เจ็บแค้นจนสีหน้าขาวซีด แววตาที่เจ็บแค้นเหลือบมองเหล่าทหารรอบข้างอย่างอดไม่ได้ นางถลึงตาใส่เฟิ่งเชียนอวี่ ก่อนจะก้าวออกไปอย่างโกรธแค้นเฟิ่งเชียนอวี่แค่นหัวเราะ เมื่อหันมอง แล้วเห็นม้าสีแดงเข้มข้างกายสีหน้าชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นถอนหายใจ ให้ทหารไปเอาอานม้ามา แล้วเหยียบอานม้าขึ้นไปนั่งเมื่อพลิกตัวขึ้นนั่ง ร่างกายของนางเกร็งไปหมด สีหน้าจริงจัง ความจริงในใจสั่นระริกนี่สูงเกินไปหรือเปล่า นางจะตกลงมาหรือไม่? สูงขนาดนี้ตกลงไปคงเจ็บมาก อีกอย่าง ทำไมม้าตัวนี้ไม่ขยับล่ะ?เจ้ารีบไปสิเฟิ่งเชียนอวี่จับบังเหียนไว้แน่น จากนั้นตบไปก้นม้าอย่างอดไม่ได้ ม้าสะบัดหัว ในที่สุดก็ยอมก้าวขาออกไป แล้วเดินเชื่องช้าไปยังเขตล่าสัตว์รอบข้างตำหนักรับรอง รายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ หลังจากเข้ามาในสนาม วิสัยทัศน์กว้างขวางขึ้นมากเฟิ่งเชียนอวี่มองดูรอบด้านที่ไร้ผู้คน
เฟิ่งเชียนอวี่กลืนน้ำลงคออย่างยากลำบาก น้ำคำใหญ่จนนางเจ็บลำคอ จิตใจนางประหม่าไปหมด ร่างกายแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเสือดาวตัวหนึ่ง มันก้าวออกมาอย่างเชื่องช้า หางของมันสะบัดไปมาอย่างเอื่อยเฉื่อย จ้องมองนางพร้อมอ้าปากกว้าง จากนั้นหาวในปากของมันมองเห็นฟันแหลมคมเรียงรายชัดเจน มันส่องแสงเงาวับภายใต้แสงแดดเฟิ่งเชียนอวี่ “...”นางเงียบไปสองอึดใจ ต่อมาหันหลังแล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็วเสือด้านหลังที่เดิมทีเอื่อยเฉื่อย เมื่อเห็นเหยื่อของมันวิ่งหนีไป พลันร้องคำรามแล้วไล่ตามเฟิ่งเชียนอวี่ไปทันทีเฟิ่งเชียนอวี่ตกใจจนหน้าขาวซีด นางจะวิ่งเร็วกว่าเสือได้อย่างไรนางหันมองด้านหลัง เมื่อเห็นว่าระยะห่างของตัวเองกับเสือใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงฉุกคิดถึงบางอย่าง แล้วหนีเข้าไปหลบในห้องทดลองอย่างไม่ลังเล“เฮ้อ...”เฟิ่งเชียนอวี่นั่งลงบนโซฟา ตัวอ่อนปวกเปียก บนหัวชื้นไปด้วยเหงื่อด้านนอก เมื่อเสือเห็นมนุษย์เบื้องหน้าที่กำลังไล่ล่าหายไปอย่างไร้ร่องรอยกะทันหัน ดวงตาที่มีประกายดุร้ายของมันมีความฉงนแวบผ่านมันหันมองรอบด้าน จากนั้นก้มหน้าสูดดมกลิ่นในอากาศ แม้แต่กลิ่นก็หายไปด้
นางกัดฟัน แอบก่นด่าในใจ แล้วหันหลังวิ่งหนีอีกครั้งเห็นได้ชัดว่าครั้งนี้อันตรายกว่าเจอเสือเมื่อครู่เสียอีกเพราะเมื่ออยู่ต่อหน้ามนุษย์ หากไม่จำเป็นจริง ๆ นางจะเปิดเผยเรื่องห้องทดลองไม่ได้เมื่อเป็นเช่นนี้ เฟิ่งเชียนอวี่ที่อยู่ข้างหน้าวิ่งสุดแรงเกิด นักฆ่าสองคนตามอยู่ข้างหลังอย่างสบายใจ ดูท่าทาง เหมือนพวกเขากำลังมีความสุขกับการเล่นแมวจับหนูเฟิ่งเชียนอวี่สบถอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าหยุดพักแม้แต่นิดเดียวไม่รู้ว่าวิ่งอยู่นานเท่าใด แต่นางวิ่งไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงยืนใช้มือค้ำต้นไม้ เหนื่อยจนหายใจหอบถี่นักฆ่าสองคนตามมาด้านหลังอย่างเชื่องช้า“ทำไม? พระชายาหกไม่วิ่งหนีแล้วหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่กัดฟันพร้อมกลอกตาหากไม่ไหวจริง ๆ นางคงต้องเข้าไปหลบในห้องทดลอง แม้เปิดเผยแล้วจะอันตรายมาก แต่ก็ดีกว่าถูกฆ่าตายเมื่อนางคิดได้อย่างนั้น จู่ ๆ ก็เลิกประหม่าทันที จากนั้นหันหลังมองทั้งสอง“พวกเราไม่น่าจะมีความแค้นต่อกัน? ข้าก็ไม่รู้จักพวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าต้องฆ่าข้าด้วย?”“หึ ย่อมต้องได้รับคำสั่งจากผู้อื่นอยู่แล้ว”เฟิ่งเชียนอวี่หรี่ตา “ได้รับคำสั่งจากใคร?”“เรื่องนี้ รอให้พระชายาหกลงนรกแล้วไปถามยมบา
ถูกคนไล่ล่าเช่นเดียวกัน กลุ่มที่ไล่ล่านางมีแค่สองคน แต่กลุ่มที่ไล่ล่าตงฟางจิ่ง มองไปปราดเดียว นับได้อย่างน้อยยี่สิบคน เพิ่มขึ้นสิบเท่าโดยตรงชั่วขณะเฟิ่งเชียนอวี่ไม่แน่ใจว่า การได้พบหมอนี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่กันแน่“ท่านอ๋อง พวก พวกมันมาแล้ว” นางกล่าวอย่างทุลักทุเล“ข้าเห็นแล้ว ไป”ตงฟางจิ่งกล่าวพลางรวบเอวเฟิ่งเชียนอวี่ พลันโคจรกำลังภายใน ร่างกายลอยขึ้นอย่างปราดเปรียวอีกครั้ง“จับให้แน่น หากร่วงตายข้าไม่รับผิดชอบนะ”ทันทีที่เขากล่าวจบ เฟิ่งเชียนอวี่ก็ยกมือยกเท้าเกาะร่างกายเขาไว้แน่นอย่างเจียมตัว เห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นตุ๊กแกตงฟางจิ่ง “...”เฟิ่งเชียนอวี่กอดคอของเขา มองกลุ่มคนชุดดำที่ไล่ตามอย่างไม่ลดละข้างหลัง หัวใจเต้นตุ๊บๆ อดไม่ได้ที่จะเร่งเร้า“ท่านอ๋อง ท่านรีบบินสิ บินเร็วหน่อย พวกมันตามมาแล้ว”การเคลื่อนไหวของตงฟางจิ่งนับว่าเร็วมากแล้ว แต่กลุ่มคนที่ไล่ล่าเขา แต่ละคนก็มีฝีมือไม่ธรรมดา การเคลื่อนไหวก็ว่องไวเช่นกันประกอบกับเขายังต้องแบกเฟิ่งเชียนอวี่ด้วยทุกครั้งที่ตงฟางจิ่งเร่งความเร็ว สลัดคนกลุ่มนั้นหลุด ผ่านไปเพียงครู่เดียว คนกลุ่มนั้นก็จะไล่ตามมาอีกครั้ง
“เสียวอวี่ เอาเป็นว่าเจ้าจะหนีไม่ได้นะ”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”“อย่าฟังนางพูดเหลวไหล นางกำลังทำร้ายเจ้า”เวลานี้เอง มีเสียงอีกสายหนึ่งผุดขึ้น เป็นเสียงที่แหลมเล็กน้อยเฟิ่งเชียนอวี่หันไปมอง เห็นเพียงปีศาจจิ๋วตนหนึ่งเกาะอยู่บนไหล่ขวาของนาง สวมชุดกระโปรงสีดำ มีปีกสีดำหนึ่งคู่ เท้าเหยียบเมฆดำ ใบหน้าก็เหมือนนางอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเช่นกัน“แล้วเจ้าเป็นใคร?”ปีศาจจิ๋วหัวเราะเหอะๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความชั่วร้าย “ข้าก็คือเจ้า ข้าคือด้านที่ชั่วร้ายในจิตใจของเจ้า”ทันทีที่เพิ่งพูดจบ เฟิ่งเชียนอวี่ก็เหวี่ยงฝ่ามือออกไป ตบจนปีศาจจิ๋วมึนงง“ไสหัวไป พูดจาเป็นหรือไม่ แม่เจ้าสิจิตใจชั่วร้าย เห็นๆ อยู่ว่าตัวข้านั้นเป็นเทพธิดาตัวน้อยที่น่ารักและจิตใจดี”ปีศาจจิ๋ว “...” เกรงว่าเจ้ามีเข้าใจอะไรบางอย่างผิดเกี่ยวกับตัวเจ้าแล้วนางฟ้าจิ๋วรีบกล่าว “ถูกต้องๆ เสียวอวี่ เจ้าเป็นคนจิตใจดีที่สุด ตอนนี้เจ้าไม่ควรคิดเรื่องหนี แต่ต้องคิดหาวิธีช่วยผู้ชายของเจ้า”มุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุก มือก่ายหน้าผาก “เขาไม่ใช่ผู้ชายของข้า”“เขาเป็นสามีเจ้า ก็คือผู้ชายของเจ้า”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”ปีศาจจิ๋วจ้องนางฟ้าจิ๋วอย่
เฟิ่งเชียนอวี่ฟังพวกนางทะเลาะกันจนปวดศีรษะ ทนไม่ไหวจนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าสองคนหุบปากไปเลย น่ารำคาญชะมัด”พลันนางโบกมือ ปีศาจจิ๋วกับนางฟ้าจิ๋วหายไปอย่างไร้ร่องรอยเฟิ่งเชียนอวี่เพิ่งจะพบว่า เหมือนข้างหลังจะสงบลงมาก จึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปกล่าวอย่างระมัดระวังเห็นเพียงนักฆ่าชุดดำที่ร่างกายบิดเบี้ยวนอนเกลื่อนบนพื้นที่โล่งตรงหน้า และมีแขนขาที่ขาดตกกระจายเต็มพื้น เป็นภาพที่สยดสยองมากมีเพียงตงฟางจิ่งยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว ชุดลายหม่างบนร่างกายควรดูเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นดวงตาเฟิ่งเชียนอวี่ลุกวาว ชนะแล้ว? หมอนี่เก่งจริงๆ โชคดีที่เมื่อครู่ตนไม่ได้หนีนางยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไปทันที “ท่านอ๋อง” ตงฟางจิ่งเหลือบมองนางแวบหนึ่ง กล่าวอย่างเรียบเฉย “ไป”วินาทีต่อมา เฟิ่งเชียนอวี่รู้สึกเพียงภาพตรงหน้ามืดฉับพลัน หลังจากหวนคืนสติ นางถูกตงฟางจิ่งพาบินไปตามป่าอีกครั้งนางได้ยินเสียงหายใจที่หอบเล็กน้อยของตงฟางจิ่ง อดไม่ได้ที่จะกล่าว “ท่านอ๋อง ในเมื่อจัดการนักฆ่าหมดแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเร่งเช่นนี้แล้วกระมัง”“ไม่ใช่แค่นี้”“ฮืม? อะไรไม่ใช่แค่นี้?”ไม่นาน เฟิ่งเชียนอวี่ก็เข้าใจ
นางกล่าวยังไม่ทันจบ คนชุดดำกลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาแล้ว เฟิ่งเชียนอวี่สะอึก คิดแล้วคิดอีก กัดฟันประคองตงฟางจิ่งวิ่งต่อไป“ท่านอดทนอีกนิด อีกนิดก็พอ”แค่วิ่งไปในที่ที่คนชุดดำมองไม่เห็น นางก็พาตงฟางจิ่งเข้าไปในห้องทดลองตงฟางจิ่งในเวลานี้ฝืนจนถึงขีดจำกัดแล้ว เขากล่าวอย่างทุลักทุเล “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ข้ายังต้านได้อีกสักพัก เจ้า รีบหนีไป”เฟิ่งเชียนอวี่เม้มปาก มองข้ามความตื้นตันที่ผุดขึ้นในใจ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พอแล้ว ท่านไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น วางใจได้ พวกเราไม่ตายแน่นอน”ไม่นาน นางก็ต้องมองตาค้างเพราะทั้งสองวิ่งได้ไม่กี่ก้าว ภาพตรงหน้าก็สว่างกะทันหัน หน้าผาที่ตั้งชันปรากฏต่อหน้าทั้งสอง“ไม่ใช่กระมัง สวรรค์กลั่นแกล้งข้า” เฟิ่งเชียนอวี่แทบกระอักเลือดคนชุดดำไล่ตามมาติดๆ คนที่เป็นหัวหน้าหรี่ตา กล่าวอย่างเรียบเฉย “ท่านอ๋องหก ดูเหมือนแม้แต่สวรรค์ก็อยากให้ท่านตาย”“แต่ว่า มีพระชายาอ๋องหกอยู่เคียงข้าง คิดว่าบนเส้นทางยมโลก ก็คงไม่เหงานัก”ตงฟางจิ่งในเวลานี้หมดสติไปแล้ว ไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง เพราะเสียเลือดมากเกินไป และพิษเข้าสู่อวัยวะภายใน เฟิ่งเชียนอวี่กำหมัดแน่น มองคนกลุ่มนี้อย่าง
เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง กลับมีความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีกันได้“หัวหน้า สองคนนั้นไม่น่ารอดกระมัง” ลูกน้องคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังกล่าว“ไร้สาระ หน้าผาสูงเช่นนี้ ใครโดดลงไปแล้วไม่ตาย? เกรงว่าแม้แต่ศพก็หาไม่เจอแล้ว” หัวหน้านักฆ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ เวลานี้ คนทั้งสองที่ถูกระบุว่าตายไม่เหลือซาก กำลังลอยแกว่งไปแกว่งมากลางอากาศ และร่อนลงทีละนิดเฟิ่งเชียนอวี่สะพายร่มชูชีพ มือข้างหนึ่งจับตงฟางจิ่ง มืออีกข้างดึงเชือกร่มชูชีพ พยายามควบคุมทิศทาง ความสมดุล และความเร็วในการร่อนลง ใต้หน้าผาเป็นป่าที่หนาทึบ ภายใต้การควบคุมของเฟิ่งเชียนอวี่ พวกเขาร่อนลงพื้นอย่างปลอดภัยนางปลดเชือกที่ผูกไว้บนร่างกาย แล้วเก็บร่มชูชีพ ไม่มีเวลาสนใจว่าใต้หน้าผาเป็นอย่างไร เพราะตงฟางจิ่งยังอยู่ในอาการหมดสติเพราะถูกพิษถ้าหากยังไม่ถอนพิษให้เขา ไม่แน่หมอนี้อาจจะตายก็ได้ยังไม่พูดถึงว่านางเป็นหมอก่อน ต่อให้เห็นแก่ที่ตงฟางจิ่งช่วยนางกันอาวุธลับ และช่วยนางไว้ก่อนหน้านี้ เฟิ่งเชียนอวี่ก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาตายโดยมาสนใจนางนำยาชาออกมาฉีดให้ตงฟางจิ่งหนึ่งเข็ม หลังจากนั้นพาเขาวาร์ปเข้าไปในห้อ