นางกล่าวยังไม่ทันจบ คนชุดดำกลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาแล้ว เฟิ่งเชียนอวี่สะอึก คิดแล้วคิดอีก กัดฟันประคองตงฟางจิ่งวิ่งต่อไป“ท่านอดทนอีกนิด อีกนิดก็พอ”แค่วิ่งไปในที่ที่คนชุดดำมองไม่เห็น นางก็พาตงฟางจิ่งเข้าไปในห้องทดลองตงฟางจิ่งในเวลานี้ฝืนจนถึงขีดจำกัดแล้ว เขากล่าวอย่างทุลักทุเล “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ข้ายังต้านได้อีกสักพัก เจ้า รีบหนีไป”เฟิ่งเชียนอวี่เม้มปาก มองข้ามความตื้นตันที่ผุดขึ้นในใจ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พอแล้ว ท่านไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น วางใจได้ พวกเราไม่ตายแน่นอน”ไม่นาน นางก็ต้องมองตาค้างเพราะทั้งสองวิ่งได้ไม่กี่ก้าว ภาพตรงหน้าก็สว่างกะทันหัน หน้าผาที่ตั้งชันปรากฏต่อหน้าทั้งสอง“ไม่ใช่กระมัง สวรรค์กลั่นแกล้งข้า” เฟิ่งเชียนอวี่แทบกระอักเลือดคนชุดดำไล่ตามมาติดๆ คนที่เป็นหัวหน้าหรี่ตา กล่าวอย่างเรียบเฉย “ท่านอ๋องหก ดูเหมือนแม้แต่สวรรค์ก็อยากให้ท่านตาย”“แต่ว่า มีพระชายาอ๋องหกอยู่เคียงข้าง คิดว่าบนเส้นทางยมโลก ก็คงไม่เหงานัก”ตงฟางจิ่งในเวลานี้หมดสติไปแล้ว ไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง เพราะเสียเลือดมากเกินไป และพิษเข้าสู่อวัยวะภายใน เฟิ่งเชียนอวี่กำหมัดแน่น มองคนกลุ่มนี้อย่าง
เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง กลับมีความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีกันได้“หัวหน้า สองคนนั้นไม่น่ารอดกระมัง” ลูกน้องคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังกล่าว“ไร้สาระ หน้าผาสูงเช่นนี้ ใครโดดลงไปแล้วไม่ตาย? เกรงว่าแม้แต่ศพก็หาไม่เจอแล้ว” หัวหน้านักฆ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ เวลานี้ คนทั้งสองที่ถูกระบุว่าตายไม่เหลือซาก กำลังลอยแกว่งไปแกว่งมากลางอากาศ และร่อนลงทีละนิดเฟิ่งเชียนอวี่สะพายร่มชูชีพ มือข้างหนึ่งจับตงฟางจิ่ง มืออีกข้างดึงเชือกร่มชูชีพ พยายามควบคุมทิศทาง ความสมดุล และความเร็วในการร่อนลง ใต้หน้าผาเป็นป่าที่หนาทึบ ภายใต้การควบคุมของเฟิ่งเชียนอวี่ พวกเขาร่อนลงพื้นอย่างปลอดภัยนางปลดเชือกที่ผูกไว้บนร่างกาย แล้วเก็บร่มชูชีพ ไม่มีเวลาสนใจว่าใต้หน้าผาเป็นอย่างไร เพราะตงฟางจิ่งยังอยู่ในอาการหมดสติเพราะถูกพิษถ้าหากยังไม่ถอนพิษให้เขา ไม่แน่หมอนี้อาจจะตายก็ได้ยังไม่พูดถึงว่านางเป็นหมอก่อน ต่อให้เห็นแก่ที่ตงฟางจิ่งช่วยนางกันอาวุธลับ และช่วยนางไว้ก่อนหน้านี้ เฟิ่งเชียนอวี่ก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาตายโดยมาสนใจนางนำยาชาออกมาฉีดให้ตงฟางจิ่งหนึ่งเข็ม หลังจากนั้นพาเขาวาร์ปเข้าไปในห้อ
เฟิ่งเชียนอวี่ถอนพิษของเขาเสร็จ ก็ล้างแผลให้เขา และยังได้นำผ้าห่มบางๆ ผืนหนึ่งมาคลุมบนร่างกายของเขานางหาวทีหนึ่ง ฝืนเก็บและทำความสะอาดเครื่องมือผ่าตัดทั้งหมด หลังจากนั้นเดินไปนอนบนโซฟาฝั่งตรงข้ามเฟิ่งเชียนอวี่ง่วงมากจริงๆ ก่อนหน้านี้สภาพจิตใจตึงเครียดมาโดยตลอด ตอนนี้ผ่อนคลายลงแล้ว ความง่วงก็เข้าจู่โจมทันที ต้านอย่างไรก็ต้านไม่ไหว หลังจากตั้งนาฬิกาปลุก ก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็วอย่างไรที่นี่ก็เป็นห้องทดลองของนาง เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกนี้การนอนครั้งนี้ เฟิ่งเชียนอวี่นอนจนถึงเช้าของวันที่สองโดยตรง นางตื่นเพราะความหิว นาฬิกาปลุกดังหลายครั้ง ก็ไม่สามารถปลุกนางตื่นเฟิ่งเชียนอวี่ลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย บิดขี้เกียจทีหนึ่ง ตบหน้าตัวเองสองสามที รู้สึกตื่นตัวขึ้นไม่น้อยพลันนางนึกถึงอะไรบางอย่าง หันไปมองทางเตียงผ่าตัด ตงฟางจิ่งยังคงนอนอยู่ตรงนั้น จึงลุกขึ้นไปดูเยี่ยม สารพิษในร่างกายถูกขจัดจนเกือบหมดแล้ว การทำงานต่างๆ ของร่างกายได้รับการฟื้นฟู และเริ่มทำงานได้ตามปกติเฟิ่งเชียนอวี่ไปเอาหม้อหุงข้าวกับข้าวหอมหนึ่งถุงจากห้องเก็บของ แล้วหยิบน้ำแร่ ผักเขียวสองสามอย่าง และกุนเชียงจา
สำหรับคำถามนี้ เฟิ่งเชียนอวี่ได้คิดข้ออ้างไว้นานแล้ว“พวกเราโชคดี ตอนที่กระโดดลงมา ถูกกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่งเกี่ยวเอาไว้ จึงทำให้พวกเราไม่ได้พบกับจุดจบที่ร่างแหลกเป็นชิ้นเนื้อ”ตงฟางจิ่งมองนาง แล้วมองตัวเอง สีหน้าแปลกๆ “เจ้าแน่ใจนะ?”อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่กระโปรงบนร่างกายเฟิ่งเชียนอวี่ก็ไม่ฉีกขาดเลยสักนิด และถึงขั้นไม่มีฝุ่นติดด้วยซ้ำตกลงมาจากหน้าผาที่สูงเช่นนี้ ต่อให้โชคดีถูกกิ่งไม้เกี่ยวเอาไว้ ด้วยแรงที่ตกลงมา เสื้อผ้าบนร่างกายก็ควรถูกเกี่ยวจนฉีกขาดกระมังเฟิ่งเชียนอวี่ย่อมรู้ว่าข้ออ้างนี้ไม่น่าเชื่อเสียเท่าไร แต่แล้วมันอย่างไรล่ะนางพยักหน้าอย่างหน้าตาย “แน่ใจสิ ไม่เช่นนั้นท่านอ๋องรู้สึกว่า เหตุใดพวกเราสองคนกระโดดลงมาแล้วยังไม่ตกตายล่ะ?”ตงฟางจิ่ง “...”เขาจะไปรู้ได้อย่างไรแต่สติสัมปชัญญะบอกเขาว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังโกหกเขา แต่ถ้าหากไม่เชื่อคำพูดที่เหมือนแถไปเรื่อยนี้ เช่นนั้นพวกเขาลงมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไรกันแน่?ด้วยความสูงและความชันของหน้าผานี้ ต่อให้เป็นคนที่มีวิชาตัวเบาดีเพียงใดกระโดดลงมา แม้ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสตงฟางจิ่งคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เขามองไปทางเฟิ่ง
เจ้าหกคงจะไม่ได้…เขาหลับตา มือที่ไพล่อยู่ข้างหลัง กำหมัดแน่นจนสั่นเล็กน้อย ส่วนเหล่าองค์ชายที่อยู่ข้างล่าง มีสีหน้าที่แตกต่างกันไปรัชทายาทตงฟางหล่างหลุบตา จิบน้ำชาเบาๆ ทีหนึ่ง รู้สึกเพียงเข้าปากแล้วหวาน หอมกลมกล่อม ดื่มจนร่างกายรู้สึกสดชื่นถึงขีดสุดส่วนตงฟางเย่าไม่อยากเชื่อเล็กน้อย ไอ้คนขี้โรคเจ้าหกที่เขาไม่ชอบหน้ามาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตายอย่างง่ายดายทั้งเช่นนี้แล้ว?ในใจเขาแทบกำลังระเบิดเสียงหัวเราะ สวรรค์มีตาจริงๆ เหอะ ไอ้ขี้โรคคนนั้นสมควรตายตั้งนานแล้ว“ไปหาที่ใต้หน้าผา” สีหน้าฮ่องเต้เทียนหยวนเย็นชา กล่าวออกมาทีละคำเขารู้สึกผิดต่อเจ้าหกลูกชายคนนี้มาโดยตลอด และอยากชดเชยให้เขามาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าแค่เข้าร่วมพิธีล่าสัตว์ ก็ประสบเคราะห์ร้ายแล้วเป็นถึงองค์ชาย กลับถูกนักฆ่าบีบคั้นจนกระโดดหน้าผาในสนามล่าสัตว์ของตัวเอง นี่มันเป็นการตบหน้าราชวงศ์ เป็นการตบหน้าเขาชัดๆฮ่องเต้เทียนหยวนโกรธจนถึงขีดสุด เขาตบโต๊ะฉับพลัน เผลอใส่กำลังภายในเข้าไปด้วยโดยไม่รู้ตัว เสียงดังตูม โต๊ะแตกเป็นเสี่ยงๆ“อีกอย่าง ตรวจสอบให้ถึงที่สุด เราก็อยากรู้เช่นกันว่าตกลงใครกันแน่ ที่มันกล้าลงม
ตงฟางจิ่งไม่พูดมากอีก หลังจากจัดการเนื้อปลาที่อยู่ในมืออย่างไว แล้วล้างมือด้วยน้ำทะเลสาบ ก็ลุกขึ้นมองนาง“เจ้ารออยู่ที่นี่ อย่าไปไหนล่ะ เดี๋ยวข้ากลับมา”ทันทีที่กล่าวจบ เขากระโดดสองสามที เพียงครู่เดียวก็หายไปแล้วเฟิ่งเชียนอวี่ “...”หมอนี่ทำอะไรของเขานางมองบนทีหนึ่ง ได้แต่นั่งรออยู่ข้างทะเลสาบ หลังจากรอเกือบครึ่งชั่วยาม ตงฟางจิ่งจึงจะกลับมา“รับ” ตงฟางจิ่งโยนห่อผ้าใบหนึ่งมาเฟิ่งเชียนอวี่รีบรับไว้ด้วยความตกใจ ห่อผ้าหนักเล็กน้อย นางเปิดดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ปรากฏว่าของที่อยู่ข้างในคือพุทราป่าสีเขียวตัดกับสีแดง มีอย่างน้อยสามสิบลูก แต่ละลูกกลมอวบอิ่ม ดูแล้วน่ารักมากนางตะลึงแล้ว “ท่านอ๋อง นี่ท่าน?”ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “กินเถอะ”เฟิ่งเชียนอวี่กะพริบตาปริบๆ ดังนั้นที่หมอนี่ออกไปเมื่อครู่ ที่แท้ตั้งใจไปหาของอย่างอื่นที่สามารถกินได้ให้นาง?จุๆ ตื้นตันเล็กน้อย ทำอย่างไรดีแต่แล้ว“ถ้าหากเจ้าหิวจนหน้ามืดตาลาย เดินไม่ไหว สุดท้ายคนที่จะเหนื่อยก็คือข้า ผู้หญิงเป็นตัวปัญหาจริงๆ” น้ำเสียงของตงฟางจิ่งเต็มไปด้วยความรังเกียจเฟิ่งเชียนอวี่ “...”เป็นอย่างที่คิด ตื้นตันอะ
เสียงเหนือศีรษะดังขึ้นอีกครั้ง และมาพร้อมกับความประชดประชัน“ตอนนี้เจ้าสงวนท่าทีราวกับเป็นลูกสาวบ้านผู้ดี แต่ก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ใครกันที่ใจกล้าลงไหมลงมือกับข้านะ”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”ตงฟางจิ่งกล่าวพลางค่อยๆ โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูนาง “ทำไม? เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนขี้ขลาดแล้ว?”ลมหายใจอุ่นๆ กระทบบนใบหู หัวใจเฟิ่งเชียนอวี่เริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุม ใบหูแดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะกัดฟันแม้นางชอบหนุ่มหล่อ แต่ก็แค่ชื่นชมหน้าตาและหุ่นของหนุ่มหล่อเหล่านั้น ให้ตายก็ไม่กล้ายื่นมือไปลูบกล้ามเนื้อเพื่อความฟินแม้นางหื่น แต่ไม่กามดีหรือไม่ต้องบอกก่อน ชาติที่แล้วนางอายุสามสิบแล้วยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่เลย ไม่เคยมีความรักสักครั้ง และไม่เคยจับมือของผู้ชายหมอนี่กลับล้อเลียนตน น่ารังเกียจเฟิ่งเชียนอวี่หายใจเข้าลึกๆ เงยหน้ามองตงฟางจิ่ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใกล้จนนางสามารถมองเห็นขนตาของเขาอย่างชัดเจนจุๆ ผิวดีจริงๆ มองไม่เห็นกระทั่งรูขุมขนที่เล็กละเอียดนางหรี่ตา ค่อยๆ เผยอปาก ตนเป็นคนยุคปัจจุบัน ในด้านของการเปิดกว้าง จะเทียบคนโบราณไม่ได้เลยหรือเฟิ่งเชียนอวี่คิดพลาง ยกก้นขึ
ทันใดนั้นเฟิ่งเชียนอวี่อยากจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ด้วยจิตใต้สำนึก แต่โชคดีที่อดกลั้นเอาไว้ได้ในเวลานี้ บริเวณท้องฟ้าป่าทึบด้านหน้า ทันใดนั้นก็มีควันไฟลอยขึ้นมาเฟิ่งเชียนอวี่ตกตะลึง “ท่านอ๋อง ทางด้านนั้นมีคนหรือ?”ไม่อย่างนั้น ควันไฟนี่จะมาจากที่ไหน?ตงฟางจิ่งหรี่ตา “นี่คือระเบิดควันที่เว่ยเซิงพวกเขาจุดขึ้น”ดวงตาของนางเปล่งประกายทันที “พวกเขามาถึงแล้ว? ดังนั้นก็พวกเราไปได้แล้ว”ในที่สุดก็ออกไปจากที่บ้า ๆ นี่ได้เสียที ถ้ำบ้านี่นางไม่อยากจะอยู่เป็นคืนที่สองเลยแม้หน่อยเดียวตงฟางจิ่งส่งเสียงอืมทีหนึ่ง พาเฟิ่งเชียนอวี่ มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ระเบิดควันลอยขึ้นมาด้านล่างเชิงเขา จากผนังเขามุ่งหน้าไปจนถึงหน้าผา มีเสาที่ทำขึ้นมาจากเหล็กต้นหนึ่งยื่นจนลงมา เสาเหล็กยาวนี่รูปทรงเหมือนกับตะขาบ ซ้ายและขวาทั้งสองฝั่งคนสามารถยืนได้หน้าผานี้สูงมาก ใช้ช่างฝีมือหนึ่งร้อยคนเร่งทำขึ้นมาภายในเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทหารราชองครักษ์แต่ละนายปีนเสาเหล็กนี้ลงไปเว่ยเซิงกับเว่ยชิวก็อยู่ในนั้นด้วยทหารราชองครักษ์ได้รับคำสั่งมาว่าต่อให้ตายก็ต้องเจอศพ และพวกเขาทั้งสองคนก็ลงมาเพื่อตามหาคน