สำหรับคำถามนี้ เฟิ่งเชียนอวี่ได้คิดข้ออ้างไว้นานแล้ว“พวกเราโชคดี ตอนที่กระโดดลงมา ถูกกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่งเกี่ยวเอาไว้ จึงทำให้พวกเราไม่ได้พบกับจุดจบที่ร่างแหลกเป็นชิ้นเนื้อ”ตงฟางจิ่งมองนาง แล้วมองตัวเอง สีหน้าแปลกๆ “เจ้าแน่ใจนะ?”อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่กระโปรงบนร่างกายเฟิ่งเชียนอวี่ก็ไม่ฉีกขาดเลยสักนิด และถึงขั้นไม่มีฝุ่นติดด้วยซ้ำตกลงมาจากหน้าผาที่สูงเช่นนี้ ต่อให้โชคดีถูกกิ่งไม้เกี่ยวเอาไว้ ด้วยแรงที่ตกลงมา เสื้อผ้าบนร่างกายก็ควรถูกเกี่ยวจนฉีกขาดกระมังเฟิ่งเชียนอวี่ย่อมรู้ว่าข้ออ้างนี้ไม่น่าเชื่อเสียเท่าไร แต่แล้วมันอย่างไรล่ะนางพยักหน้าอย่างหน้าตาย “แน่ใจสิ ไม่เช่นนั้นท่านอ๋องรู้สึกว่า เหตุใดพวกเราสองคนกระโดดลงมาแล้วยังไม่ตกตายล่ะ?”ตงฟางจิ่ง “...”เขาจะไปรู้ได้อย่างไรแต่สติสัมปชัญญะบอกเขาว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังโกหกเขา แต่ถ้าหากไม่เชื่อคำพูดที่เหมือนแถไปเรื่อยนี้ เช่นนั้นพวกเขาลงมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไรกันแน่?ด้วยความสูงและความชันของหน้าผานี้ ต่อให้เป็นคนที่มีวิชาตัวเบาดีเพียงใดกระโดดลงมา แม้ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสตงฟางจิ่งคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เขามองไปทางเฟิ่ง
เจ้าหกคงจะไม่ได้…เขาหลับตา มือที่ไพล่อยู่ข้างหลัง กำหมัดแน่นจนสั่นเล็กน้อย ส่วนเหล่าองค์ชายที่อยู่ข้างล่าง มีสีหน้าที่แตกต่างกันไปรัชทายาทตงฟางหล่างหลุบตา จิบน้ำชาเบาๆ ทีหนึ่ง รู้สึกเพียงเข้าปากแล้วหวาน หอมกลมกล่อม ดื่มจนร่างกายรู้สึกสดชื่นถึงขีดสุดส่วนตงฟางเย่าไม่อยากเชื่อเล็กน้อย ไอ้คนขี้โรคเจ้าหกที่เขาไม่ชอบหน้ามาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตายอย่างง่ายดายทั้งเช่นนี้แล้ว?ในใจเขาแทบกำลังระเบิดเสียงหัวเราะ สวรรค์มีตาจริงๆ เหอะ ไอ้ขี้โรคคนนั้นสมควรตายตั้งนานแล้ว“ไปหาที่ใต้หน้าผา” สีหน้าฮ่องเต้เทียนหยวนเย็นชา กล่าวออกมาทีละคำเขารู้สึกผิดต่อเจ้าหกลูกชายคนนี้มาโดยตลอด และอยากชดเชยให้เขามาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าแค่เข้าร่วมพิธีล่าสัตว์ ก็ประสบเคราะห์ร้ายแล้วเป็นถึงองค์ชาย กลับถูกนักฆ่าบีบคั้นจนกระโดดหน้าผาในสนามล่าสัตว์ของตัวเอง นี่มันเป็นการตบหน้าราชวงศ์ เป็นการตบหน้าเขาชัดๆฮ่องเต้เทียนหยวนโกรธจนถึงขีดสุด เขาตบโต๊ะฉับพลัน เผลอใส่กำลังภายในเข้าไปด้วยโดยไม่รู้ตัว เสียงดังตูม โต๊ะแตกเป็นเสี่ยงๆ“อีกอย่าง ตรวจสอบให้ถึงที่สุด เราก็อยากรู้เช่นกันว่าตกลงใครกันแน่ ที่มันกล้าลงม
ตงฟางจิ่งไม่พูดมากอีก หลังจากจัดการเนื้อปลาที่อยู่ในมืออย่างไว แล้วล้างมือด้วยน้ำทะเลสาบ ก็ลุกขึ้นมองนาง“เจ้ารออยู่ที่นี่ อย่าไปไหนล่ะ เดี๋ยวข้ากลับมา”ทันทีที่กล่าวจบ เขากระโดดสองสามที เพียงครู่เดียวก็หายไปแล้วเฟิ่งเชียนอวี่ “...”หมอนี่ทำอะไรของเขานางมองบนทีหนึ่ง ได้แต่นั่งรออยู่ข้างทะเลสาบ หลังจากรอเกือบครึ่งชั่วยาม ตงฟางจิ่งจึงจะกลับมา“รับ” ตงฟางจิ่งโยนห่อผ้าใบหนึ่งมาเฟิ่งเชียนอวี่รีบรับไว้ด้วยความตกใจ ห่อผ้าหนักเล็กน้อย นางเปิดดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ปรากฏว่าของที่อยู่ข้างในคือพุทราป่าสีเขียวตัดกับสีแดง มีอย่างน้อยสามสิบลูก แต่ละลูกกลมอวบอิ่ม ดูแล้วน่ารักมากนางตะลึงแล้ว “ท่านอ๋อง นี่ท่าน?”ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “กินเถอะ”เฟิ่งเชียนอวี่กะพริบตาปริบๆ ดังนั้นที่หมอนี่ออกไปเมื่อครู่ ที่แท้ตั้งใจไปหาของอย่างอื่นที่สามารถกินได้ให้นาง?จุๆ ตื้นตันเล็กน้อย ทำอย่างไรดีแต่แล้ว“ถ้าหากเจ้าหิวจนหน้ามืดตาลาย เดินไม่ไหว สุดท้ายคนที่จะเหนื่อยก็คือข้า ผู้หญิงเป็นตัวปัญหาจริงๆ” น้ำเสียงของตงฟางจิ่งเต็มไปด้วยความรังเกียจเฟิ่งเชียนอวี่ “...”เป็นอย่างที่คิด ตื้นตันอะ
เสียงเหนือศีรษะดังขึ้นอีกครั้ง และมาพร้อมกับความประชดประชัน“ตอนนี้เจ้าสงวนท่าทีราวกับเป็นลูกสาวบ้านผู้ดี แต่ก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ใครกันที่ใจกล้าลงไหมลงมือกับข้านะ”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”ตงฟางจิ่งกล่าวพลางค่อยๆ โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูนาง “ทำไม? เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนขี้ขลาดแล้ว?”ลมหายใจอุ่นๆ กระทบบนใบหู หัวใจเฟิ่งเชียนอวี่เริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุม ใบหูแดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะกัดฟันแม้นางชอบหนุ่มหล่อ แต่ก็แค่ชื่นชมหน้าตาและหุ่นของหนุ่มหล่อเหล่านั้น ให้ตายก็ไม่กล้ายื่นมือไปลูบกล้ามเนื้อเพื่อความฟินแม้นางหื่น แต่ไม่กามดีหรือไม่ต้องบอกก่อน ชาติที่แล้วนางอายุสามสิบแล้วยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่เลย ไม่เคยมีความรักสักครั้ง และไม่เคยจับมือของผู้ชายหมอนี่กลับล้อเลียนตน น่ารังเกียจเฟิ่งเชียนอวี่หายใจเข้าลึกๆ เงยหน้ามองตงฟางจิ่ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใกล้จนนางสามารถมองเห็นขนตาของเขาอย่างชัดเจนจุๆ ผิวดีจริงๆ มองไม่เห็นกระทั่งรูขุมขนที่เล็กละเอียดนางหรี่ตา ค่อยๆ เผยอปาก ตนเป็นคนยุคปัจจุบัน ในด้านของการเปิดกว้าง จะเทียบคนโบราณไม่ได้เลยหรือเฟิ่งเชียนอวี่คิดพลาง ยกก้นขึ
ทันใดนั้นเฟิ่งเชียนอวี่อยากจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ด้วยจิตใต้สำนึก แต่โชคดีที่อดกลั้นเอาไว้ได้ในเวลานี้ บริเวณท้องฟ้าป่าทึบด้านหน้า ทันใดนั้นก็มีควันไฟลอยขึ้นมาเฟิ่งเชียนอวี่ตกตะลึง “ท่านอ๋อง ทางด้านนั้นมีคนหรือ?”ไม่อย่างนั้น ควันไฟนี่จะมาจากที่ไหน?ตงฟางจิ่งหรี่ตา “นี่คือระเบิดควันที่เว่ยเซิงพวกเขาจุดขึ้น”ดวงตาของนางเปล่งประกายทันที “พวกเขามาถึงแล้ว? ดังนั้นก็พวกเราไปได้แล้ว”ในที่สุดก็ออกไปจากที่บ้า ๆ นี่ได้เสียที ถ้ำบ้านี่นางไม่อยากจะอยู่เป็นคืนที่สองเลยแม้หน่อยเดียวตงฟางจิ่งส่งเสียงอืมทีหนึ่ง พาเฟิ่งเชียนอวี่ มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ระเบิดควันลอยขึ้นมาด้านล่างเชิงเขา จากผนังเขามุ่งหน้าไปจนถึงหน้าผา มีเสาที่ทำขึ้นมาจากเหล็กต้นหนึ่งยื่นจนลงมา เสาเหล็กยาวนี่รูปทรงเหมือนกับตะขาบ ซ้ายและขวาทั้งสองฝั่งคนสามารถยืนได้หน้าผานี้สูงมาก ใช้ช่างฝีมือหนึ่งร้อยคนเร่งทำขึ้นมาภายในเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทหารราชองครักษ์แต่ละนายปีนเสาเหล็กนี้ลงไปเว่ยเซิงกับเว่ยชิวก็อยู่ในนั้นด้วยทหารราชองครักษ์ได้รับคำสั่งมาว่าต่อให้ตายก็ต้องเจอศพ และพวกเขาทั้งสองคนก็ลงมาเพื่อตามหาคน
อวิ๋นจิ่นเซ่อกลอกตา “ข้าพูดต่อหน้าท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย จะไปพูดจาเช่นนี้ข้างนอกได้อย่างไรกัน ท่านจะตื่นเต้นขนาดนั้นไปเพื่ออะไรกัน”“ฮึ ตอนนั้นที่คลอดเจ้าออกมา ข้าก็รู้สึกว่าเจ้ามาเพื่อทวงหนี้ตระกูลอวิ๋นของพวกเรา เป็นไปตามคาดจริง ๆ”แม่ทัพอวิ๋นกล่าวด้วยความโมโหอวิ๋นจิ่นเซ่อ “...”“ราย...”ในเวลานี้ ด้านนอกกระโจม มีเสียงของพลทหารดังลอยมาจากไกล ๆดวงตาของอวิ๋นจิ่นเซ่อเปล่งประกายทันที “มีข่าวแล้ว”นางรีบวิ่งออกไปด้านในพระที่นั่งตำหนักใหญ่ หัวหน้าทหารคนหนึ่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง“ทูลฝ่าบาท มีข่าวมาจากแนวหน้าพ่ะย่ะค่ะ บรรดาทหารราชองครักษ์ตามหาท่านอ๋องหกกับพระชายาอ๋องหกเจอที่ใต้หน้าผาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เทียนหยวนลุกขึ้นยืนทันที “ท่านอ๋องหกยังมีชีวิตอยู่?”“พ่ะย่ะค่ะ”“พวกเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”“ท่านอ๋องหกกับพระชายาปลอดภัยดี ตอนนี้กำลังถูกคุ้มกันมุ่งหน้ากลับมายังพระที่นั่งพ่ะย่ะค่ะ”“ฮ่า ๆ ๆ...”ฮ่องเต้เทียนหยวนหัวเราะเสียงดัง สีหน้าอันห่อเหี่ยวหายไปทันที “เรารู้ จิ่งเอ๋อร์เจ้าเด็กนั่นไม่มีทางตายง่ายเช่นนั้นหรอก”เขาดีใจจนส่งเสียงหัวเราะออกมา คนด้าน
ด้านในจวนอ๋องหก“ท่านอ๋อง นักฆ่าพวกนั้นมาจากกลุ่มนักฆ่ากลุ่มหนึ่งในยุทธภพ คนที่อยู่ในนั้นแต่ละคนล้วนเป็นพวกไม่กลัวตาย ขอเพียงแค่ให้เงิน ก็สามารถจ้างวานให้พวกมันไปฆ่าผู้ใดก็ได้”ตงฟางจิ่งมือถือพู่กัน ค่อย ๆ เขียนตัวหนังสือตัวใหญ่ตัวถัดไป หลังจากวางพู่กันก็กล่าวเสียงเรียบ “สืบเจอผู้จ้างวานที่อยู่เบื้องหลังพวกมันว่าเป็นใครแล้วหรือไม่?”“ตอนนี้ยังไม่มีเป้าหมายที่แม่นยำ แต่จะต้องเป็นคนที่มาจากในวังหลวงอย่างแน่นอน”“ก่อนหน้านี้คนของพวกเราเคยติดต่อกับกลุ่มนักฆ่าคนนั้น ตามการบอกเล่าของนักฆ่าคนหนึ่งในนั้น ถึงแม้ว่าคนที่จ่ายเงินจะไม่ได้เผยโฉม แต่จากน้ำเสียงและท่าทางสามารถดูออกว่า นั่นคงจะเป็นขันทีคนหนึ่ง”ตงฟางจิ่งหรี่ตา “ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องสืบต่อไปแล้ว”เว่ยเซิงลังเล “ท่านอ๋องเดาได้ว่าเป็นผู้ใดแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”“ก็คงเป็นคนไม่กี่คนนั้น เนื่องจากเรื่องเรือมังกรครั้งก่อนนั้น คนคนนั้นของตำหนักบูรพาตกผู้ต้องสงสัยมากที่สุด” ตงฟางจิ่งแค่นหัวเราะ“แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องจัดการกับเขา”“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”เรือนชิงหลานวันนี้เฟิ่งเชียนอวี่พาหลิวซูกับเหลิ่งหานออกจากจวน ไปดูที่ร้าน
นางเคยทดลอง วิธีการนี้สามารถใช้ได้กับแก้วหลิวหลีเช่นเดียวกันกรรมวิธีการปั้นและเผาแก้วหลิวหลีนางสอนช่างฝีมือหลายคนจนเป็นแล้ว แต่ว่าเพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น นางจึงกั๊กขั้นตอนนี้เอาไว้แม้ว่าวันข้างหน้าช่างฝีมือพวกนี้จะนำวิธีการปั้นและเผาเปิดเผยออกไปก็ไม่เป็นไร แก้วหลิวหลีที่ไม่ได้ผ่านการขัดเงา เทียบไม่ได้กับที่ขัดเงาเลยสักนิดเฟิ่งเชียนอวี่พยักหน้า “ไม่เลวเลย นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ข้าต้องการ จดสัดส่วนเอาไว้แล้วใช่หรือไม่?”ช่างฝีมือรีบนำกระดาษพิมพ์เขียวสัดส่วนแผ่นหนึ่งให้นาง “หลังจากผ่านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นี่ก็คือสัดส่วนล่าสุดขอรับ”นางกล่าวด้วยความพอใจ “ได้ ไม่ต้องทดลองต่อแล้ว ใช้สัดส่วนตามนี้แล้วกัน ปั้นและเผาในปริมาณมากตามกระดาษพิมพ์เขียวที่ข้าให้”“ข้าจะจัดคนให้พวกเจ้าจำนวนหนึ่ง ด้านการตัดก็มอบหมายให้พวกเขาทำ จะได้ประหยัดมากขึ้น”“ขอรับ พระชายา”เฟิ่งเชียนอวี่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ยื่นกระดาษพิมพ์เขียวแผ่นหนึ่งให้เขา “ปั้นและเผาพวกนี้ออกมาก่อน จากนั้นให้หม่าลิ่วส่งไปที่จวนอ๋อง”สิ่งที่วาดอยู่ในกระดาษพิมพ์เขียว ก็คือแผนผังทรงสี่เหลี่ยมและทรงกลมหลายอัน ขนาดเข