อวิ๋นจิ่นเซ่อกลอกตา “ข้าพูดต่อหน้าท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย จะไปพูดจาเช่นนี้ข้างนอกได้อย่างไรกัน ท่านจะตื่นเต้นขนาดนั้นไปเพื่ออะไรกัน”“ฮึ ตอนนั้นที่คลอดเจ้าออกมา ข้าก็รู้สึกว่าเจ้ามาเพื่อทวงหนี้ตระกูลอวิ๋นของพวกเรา เป็นไปตามคาดจริง ๆ”แม่ทัพอวิ๋นกล่าวด้วยความโมโหอวิ๋นจิ่นเซ่อ “...”“ราย...”ในเวลานี้ ด้านนอกกระโจม มีเสียงของพลทหารดังลอยมาจากไกล ๆดวงตาของอวิ๋นจิ่นเซ่อเปล่งประกายทันที “มีข่าวแล้ว”นางรีบวิ่งออกไปด้านในพระที่นั่งตำหนักใหญ่ หัวหน้าทหารคนหนึ่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง“ทูลฝ่าบาท มีข่าวมาจากแนวหน้าพ่ะย่ะค่ะ บรรดาทหารราชองครักษ์ตามหาท่านอ๋องหกกับพระชายาอ๋องหกเจอที่ใต้หน้าผาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เทียนหยวนลุกขึ้นยืนทันที “ท่านอ๋องหกยังมีชีวิตอยู่?”“พ่ะย่ะค่ะ”“พวกเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”“ท่านอ๋องหกกับพระชายาปลอดภัยดี ตอนนี้กำลังถูกคุ้มกันมุ่งหน้ากลับมายังพระที่นั่งพ่ะย่ะค่ะ”“ฮ่า ๆ ๆ...”ฮ่องเต้เทียนหยวนหัวเราะเสียงดัง สีหน้าอันห่อเหี่ยวหายไปทันที “เรารู้ จิ่งเอ๋อร์เจ้าเด็กนั่นไม่มีทางตายง่ายเช่นนั้นหรอก”เขาดีใจจนส่งเสียงหัวเราะออกมา คนด้าน
ด้านในจวนอ๋องหก“ท่านอ๋อง นักฆ่าพวกนั้นมาจากกลุ่มนักฆ่ากลุ่มหนึ่งในยุทธภพ คนที่อยู่ในนั้นแต่ละคนล้วนเป็นพวกไม่กลัวตาย ขอเพียงแค่ให้เงิน ก็สามารถจ้างวานให้พวกมันไปฆ่าผู้ใดก็ได้”ตงฟางจิ่งมือถือพู่กัน ค่อย ๆ เขียนตัวหนังสือตัวใหญ่ตัวถัดไป หลังจากวางพู่กันก็กล่าวเสียงเรียบ “สืบเจอผู้จ้างวานที่อยู่เบื้องหลังพวกมันว่าเป็นใครแล้วหรือไม่?”“ตอนนี้ยังไม่มีเป้าหมายที่แม่นยำ แต่จะต้องเป็นคนที่มาจากในวังหลวงอย่างแน่นอน”“ก่อนหน้านี้คนของพวกเราเคยติดต่อกับกลุ่มนักฆ่าคนนั้น ตามการบอกเล่าของนักฆ่าคนหนึ่งในนั้น ถึงแม้ว่าคนที่จ่ายเงินจะไม่ได้เผยโฉม แต่จากน้ำเสียงและท่าทางสามารถดูออกว่า นั่นคงจะเป็นขันทีคนหนึ่ง”ตงฟางจิ่งหรี่ตา “ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องสืบต่อไปแล้ว”เว่ยเซิงลังเล “ท่านอ๋องเดาได้ว่าเป็นผู้ใดแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”“ก็คงเป็นคนไม่กี่คนนั้น เนื่องจากเรื่องเรือมังกรครั้งก่อนนั้น คนคนนั้นของตำหนักบูรพาตกผู้ต้องสงสัยมากที่สุด” ตงฟางจิ่งแค่นหัวเราะ“แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องจัดการกับเขา”“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”เรือนชิงหลานวันนี้เฟิ่งเชียนอวี่พาหลิวซูกับเหลิ่งหานออกจากจวน ไปดูที่ร้าน
นางเคยทดลอง วิธีการนี้สามารถใช้ได้กับแก้วหลิวหลีเช่นเดียวกันกรรมวิธีการปั้นและเผาแก้วหลิวหลีนางสอนช่างฝีมือหลายคนจนเป็นแล้ว แต่ว่าเพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น นางจึงกั๊กขั้นตอนนี้เอาไว้แม้ว่าวันข้างหน้าช่างฝีมือพวกนี้จะนำวิธีการปั้นและเผาเปิดเผยออกไปก็ไม่เป็นไร แก้วหลิวหลีที่ไม่ได้ผ่านการขัดเงา เทียบไม่ได้กับที่ขัดเงาเลยสักนิดเฟิ่งเชียนอวี่พยักหน้า “ไม่เลวเลย นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ข้าต้องการ จดสัดส่วนเอาไว้แล้วใช่หรือไม่?”ช่างฝีมือรีบนำกระดาษพิมพ์เขียวสัดส่วนแผ่นหนึ่งให้นาง “หลังจากผ่านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นี่ก็คือสัดส่วนล่าสุดขอรับ”นางกล่าวด้วยความพอใจ “ได้ ไม่ต้องทดลองต่อแล้ว ใช้สัดส่วนตามนี้แล้วกัน ปั้นและเผาในปริมาณมากตามกระดาษพิมพ์เขียวที่ข้าให้”“ข้าจะจัดคนให้พวกเจ้าจำนวนหนึ่ง ด้านการตัดก็มอบหมายให้พวกเขาทำ จะได้ประหยัดมากขึ้น”“ขอรับ พระชายา”เฟิ่งเชียนอวี่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ยื่นกระดาษพิมพ์เขียวแผ่นหนึ่งให้เขา “ปั้นและเผาพวกนี้ออกมาก่อน จากนั้นให้หม่าลิ่วส่งไปที่จวนอ๋อง”สิ่งที่วาดอยู่ในกระดาษพิมพ์เขียว ก็คือแผนผังทรงสี่เหลี่ยมและทรงกลมหลายอัน ขนาดเข
ท่านหมอหมอบอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม “ข้าน้อย ข้าน้อยไม่กล้าพูด”ท่าทางนี้ของเขา ทำให้ตงฟางเย่าคิดว่าตนเองติดโรคที่รักษาไม่ได้ สีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว กัดฟันกล่าว “ถ้าหากเจ้ายังไม่พูดอีก อย่าได้คิดมีชีวิตออกไปจากที่นี่เลย”ท่านหมอย่อมกลัวตาย ตัวสั่นเทา รีบกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่าน ท่านอ๋องไม่ได้เป็นโรค แต่ว่า แต่ว่าตั้งครรภ์แล้ว”สามคำสุดท้าย ทำให้ห้องที่เดิมทีเต็มไปด้วยความกดดัน ยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นภายในชั่วพริบตารวมทั้งพ่อบ้านที่อยู่ในห้องเดียวกันสีหน้าราวกับถูกฟ้าผ่า สงสัยว่าตนเองเกิดอาการหูฝาดไปใช่หรือไม่ตงฟางเย่าผู้เป็นเจ้าของเรื่องยิ่งไม่เชื่อ เขาค่อย ๆ หันหน้า จ้องมองท่านหมอ ดวงตาทั้งข้างราวกับว่าจะฆ่าคนได้“เจ้าว่าอะไรนะ? พูดอีกรอบ?”ท่านหมอกล่าวอย่างลำบาก “ชีพ ชีพจรของท่านอ๋องเต้นแรง ราบรื่น การเต้นของชีพจรลื่นไหลและไม่มีสะดุด นี่ นี่เป็นชีพจรมงคล”“บริ บริเวณท้องของท่านอ๋องนูนขึ้น มักจะรู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ รู้สึกหิวโหยบ่อย ทั้ง ทั้งหมดนี่เป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์”“ฉะ ฉันนั้นท่านอ๋อง ท่าน...”ยังไม่ทันพูดจบ ดวงตาทั้งสองข้างของตงฟางเย่า
“เจ้าออกไปรอข้างนอก”“ขอรับ”หลังจากลูกมือออกไป ท่านหมอฟางลังเลแล้วกล่าว “ไม่ทราบว่าท่านอ๋อง ให้คนอื่นออกไปก่อนได้หรือไม่”มีบทเรียนจากอดีตแล้ว เมื่อตงฟางเย่าเห็นดังนี้ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ พยายามระงับเพลิงโทสะ กัดฟันกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ“เจ้าคงไม่ได้อยากจะบอกว่า ข้ามีชีพจรมงคลหรอกใช่หรือไม่?”ท่านหมอฟางจ้องมองเขาแวบหนึ่งอย่างงุนงง “คือ หรือว่าก่อนหน้าข้า เคยมีหมอมาตรวจให้ท่านอ๋องมาก่อน?”เห็นได้ชัดว่า ผลการวินิจฉัยของเขา เป็นเหมือนกันตงฟางเย่าหรี่ตา นัยน์แฝงไปด้วยแรงอาฆาตอย่างไม่ลังเล “ท่านหมอฟาง ท่านอยากตายหรือ?”ในใจของท่านหมอฟางสะอึกไปทันที อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าวด้วยความสั่นเทา คุกเข่าลงบนพื้น “ท่านอ๋องโปรดอภัย”“โปรดอภัย? เฮอะ ข้าผู้ชายอกสามศอกผู้สง่าผ่าเผย เจ้าตรวจว่าข้ามีชีพจรมงคล ยังอยากจะขอร้องให้ข้ายกโทษ?”ข้อนี้ ท่านหมอฟางเองยังรู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย เขาไม่เคยตรวจเจอสภาพชีพจรแปลกขนาดนี้บนตัวของผู้ชายมาก่อนเช่นกันแต่ด้วยประสบการณ์ประกอบอาชีพทางด้านการแพทย์มานานหลายปีของเขา นี่เป็นชีพจรลื่นจริง ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีทา
เฟิ่งเชียนอวี่หยิบบีกเกอร์มาอีกใบ ด้านในเติมสารละลายซิลเวอร์ไนเตรตกับสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ลงไปเพื่อผสมกันจากนั้น นำสารปรอทซัลไฟด์บางส่วนออกมาเผาบนตะเกียงแอลกอฮอล์ เพื่อแยกซัลเฟอร์ไดออกไซด์และปรอทออกจากกัน สุดท้ายนำไปทำให้เย็นตัว จะได้โลหะปรอทบางอย่าง ซึ่งก็คือปรอทนางนำปรอทและสารละลายที่เพิ่งผสมลงเทลงบนกระดาษฟอยล์ที่แปะอยู่บนพื้นผิวของแก้วหลิวหลี จากนั้นรออย่างอดทน...เฟิ่งเชียนอวี่ทำขั้นตอนเหล่านี้ซ้ำไปมา นำพื้นผิวของแก้วหลิวหลีขนาดต่าง ๆ ทั้งหมดทำตามขั้นตอนหนึ่งรอบ จ้องมองผลสำเร็จที่ออกมาตอนท้ายสุด แล้วยิ้มออกมาด้วยความพอใจหลังจากนางออกจากห้องทดลอง ก็รีบหาลังใหญ่ใบหนึ่ง นำภาชนะหลิวหลีบางส่วนใส่ลงไป“เหลิ่งหนิง ถืออันนี้เอาไว้ แล้วตามข้าไปที่ห้องหนังสือ”เฟิ่งเชียนอวี่พาเหลิ่งหนิงไปที่ห้องหนังสือเพื่อหาตงฟางจิ่ง เสียงปึงดังขึ้น นำกล่องวางไว้บนโต๊ะหนังสือ กล่าวอย่างยิ้มแย้ม“ท่านอ๋อง ข้านำของขวัญสองสามอยากอยากจะมอบให้ท่าน”ตงฟางจิ่งเหลือบตาขึ้นมองนางแวบหนึ่ง เลิกคิ้ว “พิเศษขนาดนี้ เช่นนั้นข้าคงต้องชื่นชมให้ดี ๆ เสียหน่อยแล้ว”เฟิ่งเชียนอวี่ยิ้มอย่างลึกลับ เปิดกล่องออก นำ
เว่ยเซิงและคนอื่นเข้ามารุมล้อมกระจกบานใหญ่บานนั้น ร้องออกมาด้วยความตกใจ“นี่ท่านทำเองหรือ?”“แน่นอนสิ ไม่ใช่ข้าแล้วใครจะยังทำได้อีก” เฟิ่งเชียนอวี่ยักไหล่ทั้งสองข้าง“อาจารย์ท่านนั้นเป็นคนสอนท่านเช่นกันหรือ?”นางเกือบจะสำลักน้ำลาย กระแอมเบา ๆ ยิ้มอย่างขอไปที “เรื่องนี้ไม่สำคัญ ไม่สำคัญ”ตงฟางจิ่ง “...”เฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋อง เห็นแก่ที่หม่อมฉันมอบสิ่งของมีข้าเช่นนี้ให้แก่ท่าน หม่อมฉันมีเรื่องเล็กน้อย ท่านอ๋องคงจะไม่มีทางไม่ช่วยหรอกใช่หรือไม่”ตงฟางจิ่งหัวเราะพรวดออกมา รู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางเอาอกเอาใจเขาอย่างไม่มีสาเหตุหรอก“ลองมาว่า”“อันที่จริงสำหรับท่านอ๋องแล้ว เป็นเรื่องเล็กน้อยจริง ๆ เป็นเรื่องที่ท่านแค่ขยับปากสั่งก็พอ”“ไม่ใช่เพราะว่าช่วงนี้ร้านค้าของข้ากำลังจะเปิดแล้ว หวังว่าถึงเวลานั้นท่านอ๋องจะส่งองครักษ์สักสิบกว่าคนของท่าน ไปช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยที่ร้าน”“ไม่ต้องนานมาก แต่หนึ่งเดือนก็พอ”ตงฟางจิ่งเลิกคิ้ว “เจ้ากังวลว่าถึงเวลานั้นจะมีคนไปก่อความวุ่นวายอย่างนั้นหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่แบมือ “ถูกต้อง นอกจากกังวลงว
“พูดอีกอย่างหนึ่ง ต่อให้นักฆ่านั่นไม่ใช่พวกเขาเป็นคนส่งตัวไป ก็พุ่งเป้ามาที่ความบาดหมางของพวกเขากับจวนอ๋อง พุ่งเป้ามาที่ครั้งก่อนพวกเขาใช้เรือมังกรมาวางแผนใส่ร้ายจวนอ๋องหก”“ข้าเป็นพระชายาหก ยังต้องเอาของดีเช่นนี้ไปประจบสอพลอท่านผู้นั้น นี่ไม่ใช่เป็นการลดคุณค่าในตัวเองลงหรอกหรือ” นางกลอกตามองบนนี่เป็นรูปแบบความคิดในยุคสมัยใหม่ของเฟิ่งเชียนอวี่ นางแตกต่างจากคนที่นี่ นางไม่ได้ให้ความเคารพต่ออำนาจของจักรพรรดิมากเท่าไหร่นักฮองเฮาในมุมมองของนาง ประการแรกเป็นเพียงแค่ผู้หญิงน่าเกลียดชังเท่านั้น ประการที่สอง สถานะและยศตำแหน่งอันสูงส่งของนางตงฟางจิ่งถูกคำพูดพวกนี้ของนางทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่ายหน้า “เจ้าไม่อยากมอบให้ฮองเฮาก็ได้ แต่ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมถึงจะถูกต้อง”“ฮองเฮาอย่างไรก็คือฮองเฮา เจ้าไม่ให้เกียรตินาง ฝ่าบาทก็คงไม่พอพระทัยเช่นกัน”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือ “วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้ารู้แน่นอนอยู่แล้ว”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ตงฟางจิ่งพาเฟิ่งเชียนอวี่เข้าวังหลวง เพื่อมอบของขวัญให้ฮ่องเต้”ฮ่องเต้เทียนหยวนได้ยินว่าพวกเขามาก็มีความประหลาดใจเล็กน้อย “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”ทั้งสองคนเดิ