ซูจิ่งสิงเอ่ยขึ้นมาโดยพลัน “ข้าเชื่อทุกอย่างที่น้องหญิงของข้าพูด”คำพูดของเขาทำให้เศษหัวใจของซวนลู่กลายเป็นเศษแก้วทันที“ไม่ว่านางพูดอะไร ข้าก็เชื่อ ไม่ต้องการหลักฐานใด ๆ”“จิ่งสิ่ง ท่าน...” ซวนลู่แปลกใจ นัยน์ตามีแววริษยาพาดผ่าน “นางทำอะไรไว้กันแน่ สามารถทำให้ท่านรักอย่างสุดหัวใจขนาดนี้?”คำพูดนี้ทำให้นางใจสลายจริง ๆ“เจ้าไม่เข้าใจหรอก”ซูจิ่งสิงจับมือกู้หว่านเยว่ขึ้นมา แววตาเปี่ยมไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง “ถ้าไม่มีน้องหญิง ก็คงไม่มีข้าในวันนี้”“พวกข้าก็เชื่อมั่นในตัวพี่สะใภ้ใหญ่เช่นกัน” ซูจื่อชิงและซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยขึ้นพร้อมกัน นางหยางถอนหายใจ “ชีวิตของข้า หว่านเยว่ได้ช่วยไว้ ซวนลู่ เจ้าเข้าใจไหมว่ามันหมายถึงอะไร?”ซวนลู่พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว เพราะนางช่วยเหลือพวกท่านระหว่างทางที่ถูกเนรเทศ พวกท่านจึงเชื่อมั่นในตัวนางขนาดนี้”แต่ แต่ว่าเป็นเพราะข้าไม่ได้รับข่าวคราวการถูกเนรเทศของท่าน ดังนั้นจึงไม่ได้รีบรุดมา”นางค่อนข้างรู้สึกผิด ความจริงนางได้รับข่าว เพียงแต่ในขณะที่ได้รับข่าวคราวนั้น ได้ยินว่าสกุลซูทั้งหมดถูกเนรเทศ และซูจิ่งสิงเป็นอัมพาตทั้งสองขา อยู่เหมือนตายทั้งเป็นนางจึ
“ข้าต้องการเพียงจิ่งสิงเท่านั้น”ซวนลู่ทำหูทวนลม จ้องมองซูจิ่งสิงอย่างลุ่มหลง สายตานั้นทำให้ทุกคนอดเบือนสายตาหนีไม่ได้ซูจิ่งสิงคิดว่าต่อไปยังมีเรื่องอื่นต้องสอบถามซวนลู่อีก เลยถือโอกาสพูดกับพวกเขาว่า“ท่านพ่อท่านแม่ออกไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะไต่สวนนางสักหน่อย”คำว่า “ไต่สวน” ทำให้ซวนลู่ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของซูจิ่งสิง นางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันใด“ท่านคิดจะทำอะไร” ซวนลู่กัดฟัน จิ่งสิง ข้าโตมากับเจ้านะ”ซูจิ่งสิงเบื่อจะมองนางแล้ว“ท่านอาซู ท่านจะเพิกเฉยต่อข้ามิได้ ท่านต้องชี้แจ้งให้ท่านพ่อของข้าฟัง”ซวนลู่พูดจาคุกคาม ยั่วให้เจ้ารองกระอักเลือดในเวลานี้ถือว่าพวกเขารู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของซวนลู่แล้ว“เรื่องนี้พวกเราจะชี้แจงให้พ่อของเจ้าทราบอย่างชัดเจนอยู่แล้ว หากท่านแม่ทัพโกรธจริง ๆ มิตรภาพระหว่างสองครอบครัวของเราคงต้องจบลงเพียงเท่านี้”ซูจิ้งเอ่ยเสียงขรึมการวางยา ได้แตะขีดจำกัดของเขาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงสถานะของซูจิ่งสิง หากเขาถูกพิษดอกฉิงฮวาจริง ๆ ความหวังของซื่อจื่อองค์ก่อน ความหวังของพวกเขานี้ก็จะสูญสิ้นไปเขาเชื่อว่าแม่ทัพซวนเห
“วันนี้ตอนที่ไปล่าสัตว์ เมื่อเจ้ากลับมาข้าได้กลิ่นอื่นจากตัวเจ้า เจ้าไปพบคนอื่นมา”นางเอ่ยอย่างมั่นใจ“เจ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไร การลงโทษอย่างต่อเนื่องดั่งสายน้ำไหลของที่นี่กำลังรอเจ้าอยู่ ไม่มีใครสามารถทานทนได้”“หญิงชั่ว!”ซวนลู่ด่าทอคำหนึ่ง แล้วมองไปที่ซูจิ่งสิง “ท่านอ๋อง ท่านเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางหรือยัง นางมีจิตใจที่โหดเหี้ยม”“ข้ามีแต่จะโหดเหี้ยมกว่าหว่านเยว่เท่านั้น” แววตาของซูจิ่งสิงเย็นชา เขาเป็นคนที่ถูกวางยาคนนั้น“คนที่ติดต่อกับเจ้าผู้นั้น น่าจะเป็นคนทูเจวี๋ยสินะ”“อะไรนะ?” ประโยคเดียวทำให้รูม่านตาของซวนลู่หดตัว นางมองไปรอบ ๆ สายตาวิบวับไม่หยุด ดูท่าทางจะประหม่าจนถึงขีดสุด“ไม่ ไม่ใช่นะ...”“ไม่ใช่หรือ ดอกฉิงฮวาชนิดนี้เจริญเติบโตในทูเจวี๋ย มีเพียงราชวงศ์ทูเจวี๋ยเท่านั้นที่มี เจ้าคิดว่านอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีใครที่จะได้รับของสิ่งนี้อีกหรือ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหัว “เจ้าเป็นแม่ทัพหญิง แต่กลับร่วมมือกับคนทูเจวี๋ยอย่างไม่ลังเลเพื่อชายเพียงคนเดียว เจ้าไม่ละอายต่อหอกพู่แดงในมือของเจ้าหรือ?”ซวนลู่สั่นสะท้านไปทั้งตัว แนวป้องกันในจิตใจของนางพังทลายลงบางส่วนเพราะประโยคนี้
สองสามีภรรยารับรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่สนใจซวนลู่หลังจากทั้งสองหารือกันแล้ว ก็ตัดสินใจคุมขังซวนลู่ไว้ก่อน ล่อให้คนทูเจวี๋ยที่อยู่เบื้องหลังออกมา แล้วค่อยจัดการซูจิ่งสิงโบกมือให้ฉู่เฟิงปิดปากซวนลู่ แล้วจับกุมออกไป“หน้ากากหนังมนุษย์ของสุ่ยเซียน อาจได้ออกโรงแล้ว”กู้หว่านเยว่จำได้ว่าปรมาจารย์แพทย์ได้ศึกษาวิจัยหน้ากากหนังมนุษย์ของคนผู้นั้นแล้ว ขณะที่กำลังจะไปหาปรมาจารย์แพทย์ ด้านนอกประตูก็มีเสียงอันเบิกบานดังเข้ามาอย่างกะทันหัน“จิ่งสิง น้องชายของข้า ไม่ได้เจอกันตั้งนาน!”ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างสูงกำยำในชุดสีเทาก็วิ่งก้าวสวบ ๆ เข้ามา“เกาเจี้ยน?”แววตาซูจิ่งสิงประหลาดใจ จากนั้นจึงเดินเข้าไปสวมกอดคนที่มาหา“พี่ชาย!” เขาแทบไม่เคยหัวเราะอย่างมีความสุขแบบนี้เลยทั้งสองตบบ่าซึ่งกันและกันก่อนจะแยกออก สายตาของเกาเจี้ยนจับจ้องไปที่กู้หว่านเยว่“ท่านนี้คือภรรยาของเจ้าสินะ?”รอยยิ้มของเขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย กู้หว่านเยว่จับจ้องไปที่ตาขวาที่ไร้แววของเขา คาดเดาว่าดวงตาข้างนี้เองที่บอดเพราะซูจิ่งสิง“ท่านรู้จักข้าหรือ?”“จะไม่รู้จักได้ยังไง จิ่งสิงพูดถึงเจ้าเ
สิ่งที่เขาคิดก็คือ หากพวกเขาไม่เห็นซวนลู่ เขาคงต้องออกไปตามหาทั้งคืนถึงอย่างไรซวนลู่ก็เป็นหญิงสาวตัวคนเดียว เดินทางมาที่เจดีย์หนิงกู่ที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนเลย หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร?“เห็นแล้ว”ซูจิ่งสิงเอ่ยเสียงขรึม“แต่ตอนนี้นางยังพบเจ้าไม่ได้ เจ้าไปพักผ่อนก่อน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง”“ทำไมถึงพบข้าไม่ได้?”เกาเจี้ยนค่อนข้างสับสน“เกิดอะไรขึ้นกับอาลู่หรือ?”เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ซูจิ่งสิงก็อดทนไม่ได้อีกต่อไป พลางส่ายหัวพูดว่า “เปล่า นางปลอดภัยดี”“ปลอดภัยก็ดีแล้ว”เกาเจี้ยนถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในใจกลับสงสัยอยู่บ้าง แต่เขารู้จักจิ่งสิงดี หากเขาไม่ยอมพูดอะไรจะซักไซ้ไปก็ไม่มีประโยชน์หลังจากเกาเจี้ยนตามหงเจาออกไป ซูจิ่งสิงก็เอ่ยเสียงขรึม“พรุ่งนี้จับคนทูเจวี๋ยนั่นได้เมื่อไหร่ ค่อยบอกความจริงกับเขา”ดูจากความรู้สึกของเกาเจี้ยนที่มีต่อซวนลู่ หากไม่เอาหลักฐานวางลงตรงหน้าเขา ก็คงจะไม่เชื่อ“หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรขึ้นมา”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปหาปรมาจารย์แพทย์ ทั้งสองเคยหารือกันไว้ว่า พรุ่งนี้กู้หว่านเยว่จะปลอมตัวเป็นซวนลู่ ไปพบกั
เวลานี้ ซูจิ่งสิงกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงในห้องเพื่อไม่ให้คนทูเจวี๋ยเกิดความสงสัย พรุ่งนี้เขาจะไม่ออกไปข้างนอกตลอดทั้งวัน จะแสร้งทำเป็นว่าถูกพิษดอกฉิงฮวาเข้าแล้วเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เข้ามา เขาก็เลิกคิ้วขึ้นถามว่า “เจ้าได้หน้ากากหนังมนุษย์มาแล้วหรือ?”“ได้มาแล้ว ข้าจะไปปลูกสมุนไพรในมิติ”สมุนไพรที่กวาดต้อนมาจากในถ้ำยังไม่ได้เพาะปลูก กู้หว่านเยว่กำลังนึกถึงสมุนไพรเหล่านั้น หลังจากเห็นซูจิ่งสิงพยักหน้า นางก็รีบเข้าไปในมิติก่อนอื่นให้เตรียมสมุนไพรและผลต้นเกล็ดหิมะที่ปรมาจารย์แพทย์ต้องการ จากนั้นจึงใช้ระบบควบคุมส่วนกลาง ทำการเพาะปลูกสมุนไพรทั้งหมดลงในทุ่งสมุนไพรสุดท้ายหลังจากฝึกเพลงควบคุมสัตว์ร้ายเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว ก็ออกจากมิติ แล้วปีนขึ้นไปนอนบนเตียงวันรุ่งขึ้น นางหยางและคนอื่น ๆ ได้รู้ข่าวการมาถึงของเกาเจี้ยนและรู้ด้วยว่าที่แท้สกุลเกาและสกุลซวนทั้งสองครอบครัวได้กำหนดการแต่งงานระหว่างซวนลู่กับเกาเจี้ยนไว้แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความจริงถูกเปิดเผย กู้หว่านเยว่จึงบอกพวกเขาไว้ล่วงหน้า ขอให้พวกเขาอย่าเพิ่งพูดเรื่องซวนลู่ต่อหน้าเกาเจี้ยนหลายคนรู้จักลำดับความสำคัญ
เพื่อลูกแล้ว นางหลิวก้มศีรษะอันหยิ่งยโสลง นางหยางถอนหายใจเบา ๆ ไม่อยากทำให้นางลำบากใจแล้ว“เจ้าทิ้งเด็กไว้เถอะ ในเมื่อเรารับเด็กคนนี้ไว้แล้ว ต่อไปก็จะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี จะไม่เอาบุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อนมาใส่ตัวนาง”“ขอบคุณ”นางหลิวผู้นี้ ปากเสีย แต่จิตใจไม่ได้มืดบอด นางรู้ว่าบ้านสามมีนิสัยใจคออย่างไร พวกเขาจะไม่โหดร้ายกับตัวตัว ไม่เช่นนั้นนางคงไม่กล้ายกลูกให้“เจ้าบอกลาลูกซะ” นางหยางหันหลังกลับ ทนเห็นฉากนี้ไม่ได้นางหลิวได้ยินดังนั้นก็ร่ำไห้ ตัวตัวก็ร่ำไห้เช่นกัน แต่นางอดกลั้นไว้ เด็กน้อยวัยห้าขวบเข้าใจอะไรแล้ว ก่อนออกเดินทาง นางหลิวได้จับมือของนางไว้และพูดหลักการอันยิ่งใหญ่ให้นางฟัง นางเข้าใจทุกอย่าง“เด็กดี ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังครอบครัวของนายท่านในจวนกู้แห่งนี้ให้มาก ๆ พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าต้องจำไว้ว่า พวกเขาคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้า เจ้าต้องปรนนิบัติพวกเขาเป็นอย่างดี ตอบแทนพวกเขาในอนาคต อย่าตำหนิผู้ใด ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อแม่เอง พ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ได้ แม่ แม่ต้องขอโทษเจ้าด้วย”นางหลิวพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว เสียงของนางขาดห้วงไปหมด
เกาเจี้ยนเอ่ยคำยกยอก่อน จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว“เมื่อวานข้าถามพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าว่า พี่หญิงซวนของเจ้าอยู่ที่ไหน ปรากฏว่าพวกเขาไม่ยอมบอกข้า วันนี้ที่โต๊ะอาหาร ข้าเห็นพวกเจ้าแต่ละคนมีท่าทีที่แตกต่างกันไป ราวกับว่ากำลังปิดบังบางอย่างจากข้านังหนูจิ่น เจ้าพูดกับข้าตามตรง เกิดอะไรขึ้นกับอาลู่หรือเปล่า?”ซูจิ่นเอ๋อร์หัวชาทันที สีหน้าลำบากใจ “มี มีที่ไหนกันเล่า พี่หญิงซวนสบายดี”“ในเมื่อสบายดี แล้วทำไมถึงพบหน้าไม่ได้?”เกาเจี้ยนขมวดคิ้ว “พวกเจ้าอย่าคิดว่าข้าโง่ นางบาดเจ็บหรือเปล่า หรือว่านางป่วย อย่าปิดบังข้าเลย!”“พี่ใหญ่เกา”ใบหน้าของเกาเจี้ยนแดงก่ำ ซูจิ่นเอ๋อร์เห็นเขาเป็นกังวลมากเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจมากนางถอนหายใจ “ข้าหมายความว่า สมมติว่า ถ้าพี่หญิงซวนทำอะไรไม่ดี”“อะไรที่ว่าไม่ดี?” เกาเจี้ยนยิ่งงุนงงกว่าเดิม ราวกับว่ามีมดนับหมื่นตัวกำลังกัดแทะจิตใจ จนทำให้เขาอยู่ไม่สุขเป็นอย่างมาก“บอกข้าเถอะ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ารับได้ทุกเรื่อง พวกเจ้าปิดบังไว้แบบนี้ต่างหากที่ทำให้ข้าร้อนใจ”ซูจิ่นเอ๋อร์หวั่นไหวไปกับคำพูดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเกาเจี้ยนก็เป็นกังวลมากจริง ๆ
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก