ในตอนนี้ หลัวจือฉิงยังไม่รู้จักฐานะที่แท้จริงของทั้งสองคน เพียงแต่รู้สึกว่าโลกกลม พบเจอคนที่ไม่อยากจะพบ“ดีเลย ข้ากำลังจะไปหาพวกเจ้าอยู่พอดี ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะมาหาข้าถึงที่”นางจ้องมองซูจิ่งสิงตาเป็นมัน“วันนี้ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ”ซูจื่อชิงแสดงสีหน้างุนงง “พี่ใหญ่ นี่มันเรื่องอะไรกัน นางเป็นใคร”หลัวจือฉิงมองไปยังซูจื่อชิง จากนั้นก็ละสายตาไป “พี่ชายหน้าตาหล่อเหลาขนาดนั้น เหตุใดน้องชายถึงได้ขี้เหร่เช่นนี้”ซูจื่อชิง ...เกินไปแล้วนะ!หลัวจือฉิงยิ้มพลางเดินไปข้างหน้าทั้งสองคน สายตาจ้องมองซูจิ่งสิงไม่วางตา “หนุ่มน้อย คราวนี้เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว”ที่นี่คือจวนหลัวของนาง นางรีบเรียกบ่าวรับใช้ให้มาจับตัวซูจิ่งสิงแล้วมัดไว้ความเคลื่อนไหวนี้ ทำให้ทุกคนหันมามอง“เกิดอะไรขึ้น? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”“หว่านเยว่ คุณหนูหลัวนี่เป็นอะไรไป?”ซ่งเสวี่ยก็แสดงสีหน้างุนงงเช่นกัน กู้หว่านเยว่อธิบายเบา ๆ “นางไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา”บ่าวรับใช้ถูกหลัวจือฉิงเรียกมา เมื่อเห็นซูจิ่งสิงก็ยังงุนงงเล็กน้อย “พวกเจ้ามัวยืนงงอยู่ทำไม รีบเข้าไปจับผู้ชายคนนี้มัดให้ข้าเร็วเข้า!”“คุณหนู เขาคือ
“สุดท้ายก็ลักพาตัวคุณหนูหลัวไปในพริบตา พระชายา ท่านนี่สุดยอดจริง ๆ ”ซูจิ่งสิงมองด้วยสายตาอาฆาต “เจ้ามีปัญหาหรือ?”“ไม่ใช่ ๆ ข้าไม่มีปัญหา” เฉิงเซวียนรีบอธิบาย “ข้าหมายถึงคนปกติคงไม่กล้าทำแบบพระชายา แต่ว่าวิธีของพระชายานี่ก็สะใจดี”นั่นมันก็จริงคนทั่วไปเห็นว่าวันนี้เป็นงานเลี้ยงของสกุลหลัว ส่วนใหญ่ก็คงเลือกที่จะไม่เอาเรื่องขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนขึ้นมา “คุณหนูใหญ่สกุลหลัวมาแล้ว”ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ทุกคนก็หันไปมอง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่คุณหนูใหญ่สกุลหลัวที่เดินออกมาอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นทุกคนก็ตกตะลึงในทันทีเป็นไปตามที่เมี่ยชิงหว่านพูดไว้ คุณหนูใหญ่สกุลหลัวผู้นี้ดูเหมือนหญิงสาวอายุสิบแปดปีจริง ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ ไม่เหมือนหญิงวัยสามสิบเลยสักนิด“นึกถึงตอนนั้น ข้าเคยเจอคุณหนูใหญ่สกุลหลัวด้วยนะ ก่อนที่นางจะไปรักษาตัวที่เรือนพักตากอากาศ ข้าก็เล่นกับนางสนิทกันดี ไม่คิดเลยว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ ตอนนี้ข้าเป็นแม่คนไปแล้ว แต่คุณหนูใหญ่หลัวยังดูอ่อนเยาว์เช่นนี้ แถมยังงดงามกว่าเมื่อก่อนอีก”มีเสียงบ่นพึมพำดังมาจากข้าง ๆ กู้หว่านเยว่หันไปต
น้ำเสียงของนางอ่อนหวานนุ่มนวล ท่าทางบอบบาง ทั้งคนดูน่าสงสาร ยิ่งตอนที่นางโค้งคำนับเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอที่ขาวผ่องบอบบาง ยิ่งมองก็ยิ่งน่าทะนุถนอมซูจิ่งสิงไม่สนใจนางอย่างสิ้นเชิงปล่อยให้นางย่อตัวอยู่อย่างนั้น“ท่านอ๋อง?” คุณหนูใหญ่หลัวร้องเรียกด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ร่างกายสั่นเล็กน้อย ดูเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ชายคนหนึ่งรีบก้าวออกมา ประคองมือของนางไว้ “ไฉ่เอ๋อร์ ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรง รีบไปพักข้าง ๆ เถิด”“พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องสนใจข้า น้องสาวข้าทำผิด ข้าต้องขอโทษแทนนาง”หลัวไฉ่กล่าวอย่างน่าสงสาร ดวงตาจับจ้องไปที่ซูจิ่งสิงกู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างคลุมเครือ นางผู้นี้คิดจะยั่วยวนสามีของตน“ไฉ่เอ๋อร์ พอเจ้ากลับมา น้องสาวก็รังแกเจ้า แต่เจ้ายังพูดแทนนางอีก เจ้าใจดีเกินไปแล้ว”หลัวเฉิงมองนางด้วยสายตารักใคร่ สีหน้าเช่นนั้นทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกขัดใจขอร้องล่ะ สองคนนี้คงไม่ใช่...“พี่ใหญ่ ท่านดีกับข้าจริง ๆ ” หลัวไฉ่เช็ดน้ำตาพลางถือโอกาสเดินไปนั่งข้าง ๆ เขาเหล่าคุณหญิงคุณนายรีบเข้ามารุมล้อมหลัวไฉ่ “คุณหนูใหญ่หลัว ก่อนหน้านี้ท่านป่วยหนักมิใช่หรือ โรคนี้หายได้อย่างไร?”มีคนหนึ่งถามขึ้
เขาแสดงท่าทางเข้าอกเข้าใจเหมือนกับพี่ชาย ทำให้เนี่ยชิงหลานพูดไม่ออก อดไม่ได้ที่จะเหยียบเท้าเขาอย่างแรง“ท่านจะมายุ่งทำไม เหตุใดต้องมาคอยควบคุมข้าด้วย?”เฉิงเซวียนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย เจ็บมาก ๆ เจ้าเหยียบเท้าข้าจนจะหักแล้ว”ตั้งแต่เด็กเขาก็มีความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงกว่าคนทั่วไป เนี่ยชิงหลานตกใจ รีบเอ่ยขึ้น“เจ็บขนาดนั้นเลยหรือ? ข้าก็ไม่ได้ออกแรงมากนะ”“เจ็บ เจ็บมากจริง ๆ รีบพยุงข้านั่งลงที”เนี่ยชิงหลานรีบพยุงเขาไปนั่งบนม้านั่งหินที่อยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ“เจ็บขนาดนี้ควรทำอย่างไร? ไม่เช่นนั้นท่านถอดรองเท้ากับถุงเท้าออก แล้วให้ข้าช่วยดูว่าเป็นอะไรดีหรือไม่”“ไม่ต้อง ช่วยเทน้ำชาให้ข้าสักถ้วย ข้าพักสักครู่ก็ดีขึ้นเอง”“ได้ ข้าจะเทน้ำชาให้ท่านเดี๋ยวนี้”เนี่ยชิงหลานคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายเหยียบเท้าเขาจนเจ็บก่อน ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว จึงทำตามที่เฉิงเซวียนบอก รีบไปเทน้ำชาให้เขาเมื่อนางหันหลังกลับ เฉิงเซวียนก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเมื่อครู่เขาพูดมากมายขนาดนั้น น้องหญิงก็ไม่ฟัง มีแต่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้น้องหญิงเชื่อฟังแล้วไม่เข้าไปยุ่งครั้งนี้ ไม่ใ
“น้องหญิง มีจดหมายลับฉบับหนึ่ง” ซูจิ่งสิงเอ่ยขึ้น“ให้ข้าดูหน่อย”กู้หว่านเยว่รีบเดินเข้ามา ปรากฏว่าพอเปิดซองจดหมายออกมา ข้างในมีเพียงกระดาษเปล่า“เหตุใดจึงไม่มีตัวอักษรเลย”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว ลางสังหรณ์บอกนางว่า สิ่งของที่ซ่อนอยู่ในที่ลับตาแบบนี้ ต้องเป็นของสำคัญแน่ ๆ “น้องหญิง มีน้ำชาหรือไม่”ซูจิ่งสิงมองออกว่ากระดาษแผ่นนี้มีบางอย่างผิดปกติ“มี ท่านรอข้าสักครู่”กู้หว่านเยว่ส่งจิตเข้าไปในมิติ จัดการชงชาถ้วยหนึ่ง จากนั้นพอลืมตา น้ำชาหนึ่งถ้วยก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือนาง “ท่านจะทำอะไร?” กู้หว่านเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย เห็นเพียงซูจิ่งสิงจุ่มจดหมายทั้งแผ่นลงในน้ำชา“มีตัวอักษร!”กู้หว่านเยว่มองตัวอักษรสีน้ำเงินเข้มที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนกระดาษสีขาวด้วยความดีใจ “ท่านพี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าทำเช่นนี้แล้วตัวอักษรจะปรากฏขึ้นมา”“ในกองทัพมักใช้วิธีนี้ในการส่งข่าวสาร โดยนำตะปูเหล็กขึ้นสนิมใส่ลงไปในน้ำส้มสายชู จากนั้นก็ใช้พู่กันจุ่มน้ำยาที่เขียนตัวอักษรลงบนกระดาษขาว เมื่อแห้งแล้วตัวอักษรจะหายไป และถ้าอยากให้ตัวอักษรกลับมาปรากฏอีกครั้ง ก็เพียงแค่จุ่มจดหมายลงในน้ำชา”ซูจิ่งสิงเห็นว่าตัว
“ชิ”ปรมาจารย์แพทย์ขี้เกียจเถียงกับเขา หยิบขนมข้าง ๆ แล้วเดินออกไป แต่บังเอิญพบกับกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่เดินเข้ามาพอดี“เจ้าเด็กบ้า เจ้าหายไปไหนมา ข้าตามหาเจ้าตั้งนาน”กู้หว่านเยว่เห็นปรมาจารย์แพทย์ ก็เกิดความคิดขึ้นมา “ปรมาจารย์อาวุโส ท่านมาได้ถูกเวลาพอดี ข้ามีของอย่างหนึ่งอยากให้ท่านดู”นางหยิบขวดยาน้ำเมื่อครู่ออกมาจากมิติ“ท่านลองดูสิว่านี่คืออะไร?”กู้หว่านเยว่ศึกษาอยู่นาน ในที่สุดก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่ยาพิษ“ให้ข้าดูหน่อย”ปรมาจารย์แพทย์หยิบยาน้ำขึ้นมา จากนั้นดมกลิ่น “ไป พวกเราไปที่ศาลา”เมื่อทุกคนเดินมาถึงศาลา เนี่ยชิงหลานยังคงนวดเท้าให้เฉิงเซวียนอยู่“พี่หญิงกู้ เมื่อครู่พวกท่านหายไปไหนกันมา?” เนี่ยชิงหลานเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อครู่ทั้งสองคนหายไปพักหนึ่ง“ปวดท้อง จึงไปเข้าห้องน้ำมา”กู้หว่านเยว่หาข้ออ้างขึ้นมามั่ว ๆ จากนั้นเดินไปข้าง ๆ ปรมาจารย์แพทย์ เวลานี้ ปรมาจารย์แพทย์ได้หยิบถ้วยสะอาดจากบนโต๊ะมาถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็เทน้ำยาลงไปครึ่งหนึ่ง“นี่มันน้ำยาแปลงโฉมนี่”ปรมาจารย์แพทย์กล่าวอย่างตกตะลึง กู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในใจก็พอจะเดาออกแล้ว“เจ้าเด็
กู้หว่านเยว่ละสายตา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “คุณชายใหญ่หลัวดูเหมือนจะปกป้องน้องสาวของตัวเองมาก”คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินน้อยหลัวขมวดคิ้ว นางเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ท่านพี่ ท่านอ๋องกำลังจัดการคดี พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งเลยจะดีกว่า?”“ไสหัวไป!”คุณชายใหญ่หลัวผลักฮูหยินน้อยหลัวออกไปอย่างไม่ไยดี“นางเป็นน้องสาวข้า ข้าไม่ปกป้องนางแล้วจะให้ปกป้องใคร?”“อ๊ะ!” ฮูหยินน้อยหลัวล้มลงกับพื้น ข้อมือหลุดทันที ท่าทางน่าเวทนา ทำให้ผู้คนรอบข้างอดสงสารไม่ได้ถึงแม้จะปกป้องน้องสาว แต่ก็ไม่เห็นต้องใจร้ายกับฮูหยินของตัวเองเช่นนี้ อีกอย่าง สิ่งที่ฮูหยินน้อยหลัวพูดก็ถูก ท่านอ๋องกำลังจัดการคดี จะไปขัดขวางทำไมกัน“คุณชายใหญ่หลัว ท่านทำเกินไปหรือไม่?” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น“หากคุณหนูใหญ่หลัวเป็นผู้บริสุทธิ์จริง เมื่อท่านอ๋องสืบสวนแล้ว ก็จะคืนความยุติธรรมให้แก่นางอย่างแน่นอน”“ใช่แล้ว เหตุใดต้องโมโหขนาดนั้น? แถมยังผลักฮูหยินของตนเองล้มอีก”คนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยตาม คงเป็นเพราะมีทหารอยู่รอบ ๆ เป็นจำนวนมาก จึงได้แต่อดทน ไม่ได้เข้าไปพยุงฮูหยินน้อยหลัวขึ้นมาหลัวเฉิงแสดงสีหน้าลำบากใจ “ผู้หญิงคนน
กู้หว่านเยว่หาเก้าอี้นั่งลง โยนหน้ากากหนังนั่นลงบนโต๊ะด้วยท่าทางรังเกียจ ปรมาจารย์แพทย์หยิบขึ้นมาทันที“วิชาปลอมตัวนี่น่าสนใจดี ข้าจะศึกษาวิจัยดู”“ท่านดูได้ตามสบาย”กู้หว่านเยว่ใจกว้างกับคนกันเองมาก หลัวฮูหยินกลับมาถึงช้า“ท่านอ๋อง นี่มันเกิดอะไรขึ้น สกุลหลัวของเราทำอะไรผิด เหตุใดจึงต้องส่งทหารมาล้อมพวกเรา?”“เรื่องนี้ถามลูกสาวสุดที่รักของเจ้าจะไม่ดีกว่าหรือ?”กู้หว่านเยว่จ้องมองหลัวไฉ่“ให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย ใครส่งเจ้ามา เจ้าเผยแพร่สูตรลับนี้มีจุดประสงค์อะไร”“ถุย”หลัวไฉ่ถ่มน้ำลายด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ท่านฆ่าข้าเสียเถิด ข้าไม่มีวันปริปากหรอก”“ใครอนุญาตให้เจ้าพูดกับพระชายาแบบนี้?”ชิงเหลียนปกป้อง ตบหน้านางไปหนึ่งฉาดหลัวไฉ่มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก ดวงตาฉายแววเคียดแค้น กู้หว่านเยว่ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับนาง ดูจากท่าทางของหลัวไฉ่แล้ว ก็รู้ว่านางปากแข็งมาก“ท่านพี่ ในเมื่อนางไม่ยอมพูด ก็จับคนสกุลหลัวไปขังคุกให้หมดเถิด”พอไปถึงคุกใต้ดินแล้ว ค่อยสอบสวนนางอีกที“อืม จับตัวพวกเขาไปให้หมด”ซูจิ่งสิงโบกมือ ทหารองครักษ์ก็กรูกันเข้ามา จับคนสกุลหลัวทั้งหมด รวมถึงบ่าวไพร่
จากสำนักศึกษาถงซันมาถึงบ้านสกุลโจวยังต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งชั่วยาม หากปล่อยไว้เช่นนี้ มีหวังเจ้าตัวคงได้ป่วยระหว่างแน่นอนหาเสื้อผ้าสะอาด ๆ ให้สักชุด เปลี่ยนให้นางก่อนแล้วค่อยว่ากัน“มี ๆ”เฉินจื่อหวังรีบกล่าว “อวิ๋นจิ่นอาศัยอยู่ในสำนักศึกษา ข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปขอเสื้อผ้าจากนาง”กู้หว่านเยว่เคยเตือนก่อนหน้านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น เวลานี้เจียงอวิ๋นจิ่นพยายามจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเจียงอวิ๋นจิ่นเองก็เชื่อฟังมาก ย้ายเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษา แทบจะไม่เคยปรากฏตัวเลยคนเหล่านั้นพากันไปหาเจียงอวิ๋นจิ่น เจียงอวิ๋นจิ่นเห็นกู้หว่านเยว่พาคนเดินเข้ามา ก็รีบให้สาวใช้ไปชงชาให้พวกเขาทันทีเฉินจื่อหวังชี้ไปทางซ่งเสวี่ยและอธิบาย “อวิ๋นจิ่น สตรีผู้นี้คือฮูหยินน้อยโจว นางจมน้ำ เจ้ามีเสื้อผ้าให้นางเปลี่ยนบ้างหรือไม่?”“มี ข้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”เจียงอวิ๋นจิ่นรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าหนึ่งชุดออกมา “รูปร่างของข้าไม่ได้สูงเท่าฮูหยินน้อยโจว เกรงว่าเสื้อผ้าของข้าอาจจะเล็กไปเล็กน้อย”“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ข้าใส่ได้” ซ่งเสวี่ยรับเสื้อผ้าไป จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนในห้องกับแม่นมฉ
ในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยใบบัวสีเขียวจำนวนมากลอยอยู่บนผิวน้ำ มีปลาคาร์พสีแดงสดใสแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ทันทีที่กู้หว่านเยว่ขึ้นเรือมา ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างนางยังคิดอยู่เลยว่าเป็นเพราะตนคิดมากเกินไป ครั้นเห็นซ่งเสวี่ยยกยิ้มบาง ๆ ก็เลยเดินไปนั่งกับนาง“บนเรือมีอาหารปลาด้วยนะ พวกท่านให้อาหารปลาได้”โจวเซิงกล่าวอย่างใส่ใจ แล้วคลี่ยิ้มพลางพายเรือซ่งเสวี่ยหยิบอาหารปลาแล้วโปรยลงในน้ำ พริบตาเดียวก็ดึงดูดฝูงปลาคาร์พสีแดงเข้ามาหาเป็นจำนวนมาก“ฤดูกาลนี้ หากมีดอกบัวก็คงจะดี” สายตาของซ่งเสวี่ยทอดมองไปด้านหน้า โจวเซิงจึงกล่าวต่อ “ดอกบัวในแม่น้ำจินงดงามที่สุด เป็นดอกบัวสิบลี้”“เจ้าเคยไปหรือ?” นัยน์ตาซ่งเสวี่ยเปล่งประกายเล็กน้อย ทั้งสองคนราวกับเจอคู่ขา“ใบบัวสีเขียวมรกตทอดยาวถึงปลายขอบฟ้า นี่คือทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาในโลกหล้า”ทั้งสองคนรู้สึกว่าพวกเขาเจอกันช้าไป ยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ บรรยากาศค่อย ๆ ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความรักที่หอมหวาน กู้หว่านเยว่กลับสัมผัสได้ถึงอันตรายฉับพลัน ไม่นานก็เกิดเสียง ‘แกรก ๆ’ ดังขยายออกมาจากใต้เท้าของโจวเซิง เรือลำนี้กำลังรั่ว“ช่วยด้วย!”
“คุณชายโจวอย่าเข้าใจผิด ข้าเป็นแม่คนแล้ว ปากอาจจะไวไปเสียหน่อย ยิ่งเห็นจมูกเจ้าบาดเจ็บ ก็มักจะนึกถึงเด็ก ๆ ในบ้านที่ชอบชนโน้นชนนี้อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงอดกล่าวบ้างไม่ได้”ไหนเลยโจวเซิงจะเข้าใจผิด เขาดีใจแทบไม่ทันต่างหาก ซ่งเสวี่ยเป็นห่วงเขาเช่นนี้ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็มองไปทางซ่งเสวี่ยอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณฮูหยินน้อยที่เป็นห่วง เพียงแต่ในห้องของข้าไม่มียา แต่ข้าจำมันได้ขึ้นใจ ข้าจึงให้ผู้ติดตามออกไปซื้อให้แล้ว ประเดี๋ยวก็ค่อย ๆ ทำแผลที่จมูกไป”ครั้นซ่งเสวี่ยเห็นเขากล่าวกับตนจริงจังเช่นนี้ จึงคลี่ยิ้มพริ้มตั้งแต่สูญเสียสามีไป น้อยนักที่นางจะยิ้มต่อหน้าผู้อื่น อย่างมากก็แค่ยิ้มอย่างเบิกบานใจเมื่อตอนอยู่พูดคุยกับกู้หว่านเยว่เท่านั้น ส่วนใหญ่จะทำสีหน้าเย็นชา สีหน้าวิตกกังวลตลอดเวลายิ้มครั้งนี้คล้ายกับน้ำแข็งที่ละลายในสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ โจวเซิงนิ่งงันเป็นไก่ไม้ไปเลยทีเดียวเขาจ้องเขม็งไปทางซ่งเสวี่ยครู่หนึ่ง ด้วยสติที่เหม่อลอยซ่งเสวี่ยคลี่ยิ้ม กระทั่งพบถึงความผิดปกติโจวเซิงยังคงจ้องมองนางตลอดใบหน้าของนางร้อนผ่าวคล้ายไฟที่ลุกโชน จา
“วางใจเถอะ อยู่ในสำนักศึกษาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ เจ้าได้ดูแลเด็กเหล่านั้นให้ดีเถอะ”กู้หว่านเยว่ผลักซูจิ่งสิงออก แล้วคว้ามือซ่งเสวี่ยเดินไปด้านหลัง“เรากำลังจะไปไหน?”“ไปห้องด้านหลัง เมื่อครู่เฉินจื่อหวังบอกไม่ใช่หรือว่าโจวเซิงได้รับบาดเจ็บ เราไปดูเขาสักหน่อยเถอะ”กู้หว่านเยว่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ นางจึงเห็นว่านัยน์ตาของซ่งเสวี่ยวูบไหว แสดงท่าทีกังวลใจ“เราไปเช่นนี้ ไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ?”“คนกันเองทั้งนั้น มีอะไรต้องเสียหรือไม่เสียมารยาทกันเล่า อีกอย่างสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้ก็เป็นของข้า ต่อไปโจวเซิงก็ต้องมาเรียนตำราที่นี่ ถือว่าเป็นคนภายใต้การปกครองของข้า ข้าไปปลอบขวัญเขาก็สมควรแล้วนี่”เหตุผลของกู้หว่านเยว่นั้นไร้ข้อกังขา ประกอบกับที่ซ่งเสวี่ยนั้นมีความเป็นกังวล จึงพยักหน้าเห็นด้วยทั้งสองคนเดินมาถึงบริเวณด้านนอกของหอพักในสำนักศึกษา ครั้นเดินเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงอ่านตำราระลอกหนึ่งดังมาจากด้านในครั้นได้ยินว่าเป็นเสียงของโจวเซิง ซ่งเสวี่ยก็ยิ่งหักนิ้วเสียงดังเป๊าะอย่างเป็นกังวลกู้หว่านเยว่ยิ้มพลางมองนาง ก่อนหน้านั้นตอนที่พี่หญิงซ่งเสวี่ยและโจวเซ่ออยู่ด้วยกันก็ไม่เคย
“ข้า!”สีหน้าขอ’ซวนลู่ซีดเผือดลง ซูจิ่นเอ๋อร์อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ “พี่หญิงซวนลู่ ทำไมท่านถึงกล่าวเช่นนี้? จากที่ท่านกล่าวมา คือสตรีไม่ควรออกนอกบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ออกศึกลงสนามรบ อีกทั้งบัดนี้ข้าเองก็เปิดอาหาร พี่สะใภ้ใหญ่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้โอกาสสตรีในใต้หล้า เหตุใดท่านถึงต้องตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่เช่นนี้ด้วย?”“ซวนลู่....”ซูจื่อชิงอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกเมี่ยชิงหว่านดึงแขนเสื้อไว้ ส่งสายตาตักเตือนไปทางเขาซวนลู่เองก็คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะไม่ช่วยนาง ดวงตาของนางแดงก่ำเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ทัพหญิง ยังต้องรักษาหน้า จึงกัดฟันแล้ววิ่งหนีไป“ไปได้เสียที”กู้หว่านเยว่ยืดมือขจัดความเกียจคร้าน นางมิใช่พระแม่มารี ที่เจอคนไม่ชอบหน้าทำตัวน่ารำคาญอยู่ตรงหน้า ก็ยังต้องรักษาหน้าไว้พี่สะใภ้ใหญ่ ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์แลบลิ้นเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าพี่หญิงซวนลู่จะกล่าวเช่นนี้ออกมา หากรู้ละก็ ข้าไม่มีทางพานางมาที่นี่อย่างแน่นอน”อีกอย่างนางเองก็ดูออกว่าซวนลู่นั้นพยายามหาเรื่องทะเลาะมาตลอดทาง ใจแคบกับพี่สะใภ้ใหญ่“เจ้านะเจ้า ถูกผู้อื่นหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”กู้หว่านเยว่ไ
ท่าทางนั้น ดูรีบร้อนยิ่งนัก รีบร้อนจนหนวดเคราพลิ้วไปตามแรงลมกู้หว่านเยว่คลี่ยิ้ม “ข้าไม่คืนคำ เพียงแต่เป็นกังวลว่าร่างกายของผู้เฒ่าอย่างท่านจะรับไม่ไหวเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”โจวเหล่ารีบโบกมือไปมา“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ต่อให้สอนอีกแปดปีสิบปีก็ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่ไม่กล่าวสิ่งใดอีก นางรู้ว่าตระกูลของเขามีความปรารถนาอยากสอนเสี่ยวจ้านจ้าน แทบจะกลายเป็นความมกหมุ่นของเขาไปโดนปริยายการที่โจวเหล่าเดินทางมายังสำนักศึกษาถงซัน ได้สร้างความปั่นป่วนให้สำนักไม่น้อยในฐานะที่เฉินจื่อหวังเป็นผู้อำนวยการของสำนักศึกษา ต้องเจียดเวลาจากงานที่ยุ่งเหยิงมารายงานกู้หว่านเยว่“พระชายา จากเงื่อนไขที่ท่านกล่าวมา ข้าได้บอกกับทุกคนไปแล้ว รวมถึงเรื่องที่เด็กสาวสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ และอีกหลายครอบครัวที่อยากส่งบุตรสาวเข้าเรียนด้วยขอรับ”แม้ว่าเฉินจื่อหวังจะยุ่งจนตัวเป็นเกลียว แต่ก็อดดีใจไม่ได้ ครั้นเห็นสำนักศึกษาแห่งนี้ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ต่อไปเขาจะพัฒนาให้สำนักศึกษาแห่งนี้กลายเป็นสำนักที่ดียิ่งขึ้นไปตอนนี้เขาถือว่าสำนักศึกษาแห่งนี้เป็นของบุตรตัวเองไปแล้ว“ขอแค่ตรงตามเงื่อ
สายตาลุ่มลึกนั้น ทำให้กู้หว่านเยว่หน้าแดงเรื่อซวนลู่มองสองคนใกล้ชิดกัน เพลิงโทสะแทบพ่นออกจากดวงตา พูดสอดปากอย่างไม่ถูกเวลา“แม้ว่าหอสมุดนี้ดีมากแต่ตำราเพียงสองสามเล่มก็พอหรือ? เทียบกับสำนักศึกษาไป๋ลู่ยังห่างชั้นกันมากนัก”“สำนักศึกษาไป๋ลู่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหลายร้อยปีแล้ว ส่วนสำนักศึกษาถงซันเพิ่งสร้างขึ้น ก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะมีมากกว่าสำนักศึกษาไป๋ลู่หรือไม่” สีหน้าซูจิ่งสิงเย็นชาอยู่บ้างสีหน้าซวนลู่กระด้างไป “จิ่งสิง เหตุใดต้องดุข้าถึงเพียงนี้ ข้าเพียงปากไวพูดตามที่ใจคิดเท่านั้น”กู้หว่านเยว่ปรายตามองซวนลู่สายตาเย็นชา “ใครพูดว่าหอสมุดจะมีเพียงตำราเหล่านี้กัน เหล่านี้เป็นเพียงหนังสือที่ข้านำมาจากจวนเท่านั้น หนังสือทั้งหมดอยู่ในคลังเก็บของทางด้านหลังนั่น”บังเอิญตอนนี้อวิ๋นมู่เดินออกมาพอดี “หว่านเยว่ท่านมาพอดี ข้ากำลังจะให้คนไปเชิญท่านมาดูอยู่เชียวว่าตำราเหล่านี้ภายในหอสมุดพอหรือไม่?”“ไป พวกเราเข้าไปดู”กู้หว่านเยว่ตั้งใจทำให้ซวนลู่หุบปาก พาทุกคนเข้าไปดูภายในห้องปรากฏว่าเพียงผ่านเข้าคลังเก็บของ ก็มองเห็นหนังสือถูกเรียงแน่นเอียดอยู่ที่ผนังหอตำรา“สวรรค์ ตำรามากถึงเพี
ซูจิ่นเอ๋อร์ตอบโต้อย่างอดไม่ได้ “สินค้าตะวันตกอะไรไม่ใช่เสียหน่อย? กระจกเจ็ดสีนี้เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าคิดค้นออกมา บัดนี้นำไปใช้บนหลังคาของหอสมุดสำนักศึกษา”เมี่ยชิงหว่านเองก็พูดอย่างมีความสุข “ได้ยินมาว่าหน้าต่างล้วนทำจากกระจก หอสมุดทั้งสว่างทั้งกว้างขวาง”“ใช่แล้วๆ ใครคิดเล่าว่าสินค้าตะวันตกราคาสูงในอดีต บัดนี้ถึงขั้นสามารถนำมาใช้งานตามใจได้ ทำเป็นหน้าต่างของสำนักศึกษา พี่สะใภ้ใหญ่ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน ต้าฉีของพวกเราเองก็มีกระจกและกระจกเจ็ดสีของตนแล้ว!”สามคนเอ่ยถึงกู้หว่านเยว่ สุ้มเสียงเปี่ยมความภาคภูมิใจและเลื่อมใส ซวนลู่กัดฟันอย่างอึดอัดใจซวนลู่พูดเสียงขมปร่าออกมา “อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก นางสร้างสำนักศึกษาเป็นครั้งแรก ถึงตอนนั้นเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา จะเดือดร้อนถึงจวนอ๋องให้คนเห็นเป็นตัวตลกเอาได้”“พี่หญิงซวนลู่ ท่านไม่รู้จักพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นผู้หญิงมหัศจรรย์มาก”ตรงข้ามกันไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูที่ซวนลู่มีต่อกู้หว่านเยว่ คิดเพียงว่านางไม่เข้าใจ“พี่สะใภ้ใหญ่ทำเพื่อเด็กในเจดีย์หนิงกู่ สร้างสำนักศึกษาถงซันขึ้นมา ราษฎร์ซาบซึ้งใจมาก ไม่มีวันเห็นจวนอ๋องเป็นตัวตลก พี
กู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม ซวนลู่เองก็อยู่ด้วย“หว่านเยว่ มีอะไรหรือ?”ซ่งเสวี่ยสังเกตเห็นว่านางไม่สบอารมณ์ มองตามสายตานางไปทางซวนลู่สัญชาตญาณของผู้หญิงบอกนาง คนผู้นี้เป็นปรปักษ์กับกู้หว่านเยว่หางตาซวนลู่ลำพองใจถึงสองส่วน ยืนข้างซูจิ่นเอ๋อร์อย่างสนิทสนม จงใจแสดงท่าทางสนิทสนมมากกับพวกเขา“จิ่นเอ๋อร์ นี่ก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าหรือ?”นางตั้งใจถามออกไปเช่นนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องเมื่อวาน พยักหน้าท่าทางซื่อๆ“ใช่แล้ว นี่ก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ที่ข้าบอกท่าน”พูดไปก็วิ่งเข้ามาหยุดข้างกายของกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราวางแผนไปสนุกครึกครื้นด้วยกันที่สำนักศึกษาถงซัน ให้พวกเราไปกับท่านดีหรือไม่?”“ได้เลย แต่เจ้าต้องรับปากข้า จะวุ่นวายไม่ได้”กู้หว่านเยว่จิ้มหน้าผากเด็กโง่คนนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์รีบรับปาก“พี่สะใภ้ใหญ่วางใจได้ ข้าจะเชื่อฟัง”ซูจื่อชิงได้เห็นสีหน้าซูจิ่งสิง ก็รีบพูด“ข้าเองก็จะเชื่อฟัง”อาจเพราะได้กลับมาพบหน้าหลังไม่ได้พบกันมานาน เพิ่งขึ้นรถม้า ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงก็อยู่ข้างกายซวนลู่อยู่ตลอดทว่าบัดนี้เพียงได้พบกู้หว่านเยว่ สองคนก็วิ่งเข้าไปหยุดข้างกายกู้หว่านเยว่ เชื