“สายไปแล้ว”ซุนมู่เจี้ยงไม่สนใจ สั่งให้เสี่ยวชิวเข้าไปหยิบเชือกมามัดเขาไว้เขาไม่มีทางลืม เมื่อครู่ในตอนที่เขาหมดสตินั้น ซุนเอ้อร์หลางผู้นี้ น้องชายแท้ ๆ ของเขาผู้นี้คิดจะขโมยเงินและชิ่งหนีไปน้องชายเฮงซวย!ต่อไปเราขาดกัน“ไว้เจ้าตายเมื่อไหร่ ท่านปู่กับท่านย่าคงได้สาปแช่งเจ้าเป็นแน่ ข้าจะหาความเมตตาให้เจ้าอย่างถึงที่สุดละกัน”ซุนมู่เจี้ยงด่าทออย่างไม่สบอารมณ์ เสี่ยวชิวถึงขั้นยกนิ้วโป้งชื่นชม“ท่านพ่อ ท่านควรทำอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ขังท่านอารองไว้ในคุก ปล่อยให้เขาอยู่ในคุกอย่างสงบสุข”บางทีอาจจะทำให้เลิกเล่นการพนันได้ แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ?กู้หว่านเยว่เดินออกมาจากบ้านของซุนมู่เจี้ยงอย่างไม่สบายใจ ถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้แม่แบบตัวอักษร เหตุการณ์นี้ทำลายแผนเดิมของนาง“เช่นนั้นเราไปดูในเมืองกันเถอะ ถือเป็นการสงบสติอารมณ์ด้วย”ซ่งเสวี่ยแนะนำ ทั้งสองคนเดินมาถึงตลาดเพื่อให้เดินเล่นอย่างสะดวกทั้งสองคนได้ลงจากรถม้า และเดินเท้าเข้าไป“ขอคารวะพระชายา” โจวเซิงถือสมุนไพรในมือ ครั้งเห็นพวกเขาสองคนก็นึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่”เขามองหน้าซ่งเสวี่ยด้วยสายตาเปล่งประกาย ก่อนจะละสา
กู้หว่านเยว่รู้สึกรังเกียจ เบนสายตาไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นหนูที่กำลังส่งเสียงร้องจี๊ด ๆ เหล่านั้น “ข่าวลือนี้แพร่กระจายออกมาจากที่ไหน?”โจวเซิงส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ขอรับ”ซ่งเสวี่ยจึงอดกล่าวไม่ได้ “กินหนูเพื่อยืดอายุขัย พวกเขาคิดว่าจะมีคนมาซื้อหนูจริง ๆ หรือ?”สิ้นสุดเสียงก็เหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง เนื่องจากมีคนจำนวนมากออกไปซื้อ“พวกเราเปลี่ยนที่เดินเล่นกันเถอะ”ซ่งเสวี่ยอดกลั้นความสะอิดสะเอียน จริง ๆ แล้วนางไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ต่อกู้หว่านเยว่กลับกล่าวขึ้นด้วยความสงสัยว่า “พี่หญิงซ่ง คุณชายโจว พวกท่านสองคนเดินเล่นไปพลาง ๆ ก่อนนะ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ”นางสงสัยว่าเรื่องของหนูเหล่านี้ต้องไม่ง่ายเพียงนั้น จึงไม่มีอารมณ์เดินเล่นต่อ“หงเจว เจ้าอยู่ปกป้องพี่หญิงซ่งอยู่ที่นี่”กู้หว่านเยว่กระโดดขึ้นรถม้าจากไป“หว่านเยว่”ซ่งเสวี่ยยงไม่ได้สติ เจ้าตัวก็จากไปแล้ว นางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“พระชายาชักจะจุ้นจ้านเกินไปแล้ว บอกให้ไปก็ไป”โจวเซิงเองก็อ้าปากตางค้างซ่งเสวี่ยกลับอิจฉา “ข้าอิจฉาหว่านเยว่มาก ยุ่งงานก็ดี จะได้ไม่ต้องเหมือนข้า และเสียเวลาไปกับความว่
ซูจิ่งสิงโบกมือ ให้ฉู่เฟิงออกไปก่อน“ข้าให้คนไปสืบเรื่องสกุลหลัวแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน หว่านเยว่”เขาดึงให้กู้หว่านเยว่นั่งลง แล้วรินชาให้นางถ้วยหนึ่ง “วันนี้คนของตลาดประมูลมาแจ้งความที่ศาลาว่าการ บอกว่าเมื่อวานเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ เผางานประมูลเสียจนวอดวายไปหมด พ่อบ้านเฉียนและลี่จีถูกไฟคลอกตายแล้ว”กู้หว่านเยว่ไม่รู้สึกสงสารพวกเขาแม้แต่น้อย ทั้งสองคนนี้จิตใจโหดเหี้ยม ถูกไฟคลอกตายก็สมควรแล้ว“ท่านจะจัดการอย่างไร?”“แสร้งทำเป็นส่งคนไปสืบสวน จากนั้นก็ทำทีเป็นเผลอปล่อยข่าวว่าตลาดประมูลใส่ยาพิษลงไปในกระถางธูป”ซูจิ่งสิงแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ ทำให้กู้หว่านเยว่หัวเราะเบา ๆ วิธีนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ แบบนี้ ถึงแม้ตลาดมืดอินซานจะเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นในเจดีย์หนิงกู่ พวกเขาก็ไม่กล้ามาหาเรื่องบางที อาจจะมีคนที่มาตลาดประมูล ไปหาเรื่องตลาดมืดอินซานก็ได้“กล้าร่วมมือกับพวกทูเจวี๋ย ก็คิดดอกเบี้ยก่อนเลยแล้วกัน”ซูจิ่งสิงเกลียดชังพวกทูเจวี๋ย แม้แต่ในจดหมายก็ยังแสดงความรังเกียจออกมาทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีเสียงดังขึ้นข้างนอก“ท่านอ๋อง สกุลหลัวส่งเทียบเชิญมา เชิญท่านและพระชายาไปร่ว
จากนั้นก็พยุงชายคนนั้นขึ้นมา เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เฉิงเซวียน ท่านไม่เป็นไรนะ?”“ข้าไม่เป็นไร”เฉิงเซวียนเอามือลูบอกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ซี่โครง ซี่โครงเหมือนจะหัก”“อะไรนะ!” เนี่ยชิงหลานยิ่งร้อนใจ เกือบจะร้องไห้ออกมา รีบหันไปมองกู้หว่านเยว่“พี่หญิงกู้ พอจะให้เขาไปพักที่จวนของท่านก่อนได้หรือไม่ หาหมอให้เขาสักหน่อย”กู้หว่านเยว่เห็นว่าทั้งสองคนรู้จักกัน รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย“ให้ข้าดูหน่อย”เพิ่งจะยื่นมือออกไป เฉิงเซวียนก็หน้าแดงถอยหลังไปหนึ่งก้าว“ท่านจะทำอะไร ชายหญิงมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน!”ตื่นเต้นเกินไป อีกทั้งยังเจ็บปวดจนแทบขาดใจเดิมทีกู้หว่านเยว่แค่อยากจะตรวจดูว่าเขาซี่โครงหักหรือไม่ ถ้าไม่หักก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ แต่พอเห็นแบบนี้จึงชักมือกลับ“ชิงเหลียน เจ้าไปตามหมอมา”“เจ้าค่ะ”ชิงเหลียนมองทั้งสองคนด้วยความไม่พอใจ คิดในใจว่าทั้งสองคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ ในเมื่อรู้จักกัน เหตุใดจึงไม่พูดจากันดี ๆ ต้องมาทำเรื่องแบบนี้ด้วยและพระชายาก็หวังดี อยากจะช่วยดูอาการให้เขา เหตุใดเขาต้องทำท่าทางต่อต้านเช่นนั้นด้วย?นางจ้องทั้งสองคนตาเขม็ง แล้วร
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากข้างนอก“มาแล้ว”กู้หว่านเยว่วางขลุ่ยลง แล้วออกมาจากมิติปรากฏว่าเห็นเนี่ยชิงหลานยืนอยู่ข้างนอก น้ำตาไหลอาบแก้ม “พี่หญิงกู้ ท่านช่วยไปดูอาการพี่ชายของข้าได้หรือไม่ ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะสาหัสมาก”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว “ที่แท้ชายผู้นั้นก็คือลูกพี่ลูกน้องของเจ้าหรอกหรือ”เนี่ยชิงหลานหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นพยักหน้าเบา ๆ “อืม เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ชื่อเฉิงเซวียน พวกเราหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ถือว่าเป็นคู่หมั้นของข้า”กู้หว่านเยว่เข้าใจทันที ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสองคนถึงได้ดึงกันไปดึงกันมาที่หน้าจวนกู้ และเฉิงเซวียนยังทำท่าทางหวงแหนเนี่ยชิงหลานมากเช่นนั้น“พี่หญิงกู้ ขอร้องล่ะ ท่านช่วยไปดูเขาหน่อยได้หรือไม่? ก่อนหน้านี้เขาพูดจาไม่ดีใส่ท่าน ข้าขอโทษแทนเขาด้วย”กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย นางลืมคำพูดนั้นไปตั้งนานแล้ว“รอเดี๋ยว ข้าจะกลับไปเอาหีบยา”ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสัย นางให้ชิงเหลียนไปตามหมอแล้วมิใช่หรือ? ปกติแล้ว ถึงแม้ซี่โครงจะหัก หมอก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บเช่นนี้ได้เมื่อเห็นเนี่ยชิงหลานร้อง
ตอนที่นางฝึกวรยุทธ์ บาดแผลที่ได้รับนั้นสาหัสกว่านี้มาก ก็ไม่เคยร้องโอดครวญเช่นนี้มาก่อน“ดามเสร็จแล้ว เลิกร้องโวยวายได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ลงมืออย่างรวดเร็ว พยายามทำให้อีกฝ่ายเจ็บน้อยที่สุดเฉิงเซวียนทั้งกลัวทั้งเจ็บ พอได้ยินคำพูดของกู้หว่านเยว่ ก็พบว่าไม้ดามกระดูกถูกดามไว้เรียบร้อยแล้ว ซี่โครงก็มีที่พยุง ไม่เจ็บเหมือนเมื่อก่อนแล้ว“อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่หนักมาก ลงจากเตียงเดินได้ตามปกติ แต่ห้ามออกกำลังกายหักโหม และห้ามยกของหนัก หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”กู้หว่านเยว่กำชับ หมอหลินยกนิ้วโป้งให้“พระชายา ท่านมีทางออกจริง ๆ เช่นนั้นข้าไปจัดยาก่อน”“ไปเถิด“ขอบคุณ”หลังจากหายเจ็บแล้ว สติของเฉิงเซวียนก็กลับคืนมาไม่น้อย เขานึกถึงท่าทางของตัวเองเมื่อครู่นี้ ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย หน้าแดงก่ำ“ไม่คิดเลยว่าท่านจะรู้เรื่องการแพทย์จริง ๆ ก่อนหน้านี้ข้าพูดผิดไป”คนผู้นี้ยังรู้จักขอโทษ แสดงว่าไม่ได้เลวร้ายจนเกินเยียวยากู้หว่านเยว่มอบหีบยาให้ชิงเหลียน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ “ผู้ชายที่คิดว่าผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชายอย่างเจ้ามีเยอะแยะ ข้าไม่ใส่ใจหรอก”เพียงประโยคเดียว ก็ทำใ
“จริงสิ พี่หญิงกู้ พรุ่งนี้งานเลี้ยงของสกุลหลัว ข้าไปด้วยได้หรือไม่?”เนี่ยชิงหลานเปลี่ยนอารมณ์เร็ว นางทำหน้าอยากรู้อยากเห็นแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินมาว่า คุณหนูใหญ่ของสกุลหลัวอายุเกือบสามสิบปีแล้ว แต่ใช้วิธีลับ ทำให้ยังคงสวยเหมือนหญิงสาววัยสิบแปด ข้าอยากไปดู”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว แม้แต่เนี่ยชิงหลานยังรู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองแล้วหากเหล่าขุนนางชนชั้นสูงเริ่มทำตามคุณหนูใหญ่หลัว กินหนูและสัตว์เป็น ๆ ละก็ ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแน่ ๆ “ได้ พรุ่งนี้เจ้าไปกับข้า”กู้หว่านเยว่พยักหน้าเห็นด้วย ในใจก็เกิดความสงสัยคุณหนูใหญ่หลัวขึ้นมาสองส่วนวันรุ่งขึ้น ซูจิ่งสิงตั้งใจไม่ไปที่ศาลาว่าการ เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงกับกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ใหญ่ เขาเป็นใครหรือ?”ซูจื่อชิงมองเฉิงเซวียนที่พันผ้าพันแผลอยู่ด้วยสีหน้างุนงง ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ในบ้านมีผู้ชายเพิ่มมาอีกคน เหตุใดเขาถึงไม่รู้เรื่อง?“เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า” เนี่ยชิงหลานรีบอธิบาย เฉิงเซวียนพยักหน้า แนะนำตัวเอง “สวัสดีทุกคน ข้าชื่อเฉิงเซวียน”“อ้อ ข้าชื่อซูจื่อชิง นี่คือเมี่ยชิงหว่าน คู่หมั้นของข้า”ซูจื
ในตอนนี้ หลัวจือฉิงยังไม่รู้จักฐานะที่แท้จริงของทั้งสองคน เพียงแต่รู้สึกว่าโลกกลม พบเจอคนที่ไม่อยากจะพบ“ดีเลย ข้ากำลังจะไปหาพวกเจ้าอยู่พอดี ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะมาหาข้าถึงที่”นางจ้องมองซูจิ่งสิงตาเป็นมัน“วันนี้ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ”ซูจื่อชิงแสดงสีหน้างุนงง “พี่ใหญ่ นี่มันเรื่องอะไรกัน นางเป็นใคร”หลัวจือฉิงมองไปยังซูจื่อชิง จากนั้นก็ละสายตาไป “พี่ชายหน้าตาหล่อเหลาขนาดนั้น เหตุใดน้องชายถึงได้ขี้เหร่เช่นนี้”ซูจื่อชิง ...เกินไปแล้วนะ!หลัวจือฉิงยิ้มพลางเดินไปข้างหน้าทั้งสองคน สายตาจ้องมองซูจิ่งสิงไม่วางตา “หนุ่มน้อย คราวนี้เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว”ที่นี่คือจวนหลัวของนาง นางรีบเรียกบ่าวรับใช้ให้มาจับตัวซูจิ่งสิงแล้วมัดไว้ความเคลื่อนไหวนี้ ทำให้ทุกคนหันมามอง“เกิดอะไรขึ้น? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”“หว่านเยว่ คุณหนูหลัวนี่เป็นอะไรไป?”ซ่งเสวี่ยก็แสดงสีหน้างุนงงเช่นกัน กู้หว่านเยว่อธิบายเบา ๆ “นางไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา”บ่าวรับใช้ถูกหลัวจือฉิงเรียกมา เมื่อเห็นซูจิ่งสิงก็ยังงุนงงเล็กน้อย “พวกเจ้ามัวยืนงงอยู่ทำไม รีบเข้าไปจับผู้ชายคนนี้มัดให้ข้าเร็วเข้า!”“คุณหนู เขาคือ
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก