“รบกวนท่านช่วยข้า พาพี่หญิงซ่งไปที่เตียงหน่อย” กู้หว่านเยว่เรียกโจวเซิงโจวเซิงพยักหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มซ่งเสวี่ยขึ้นมา จากนั้นวางนางลงบนเตียงอย่างเบามือถึงแม้ว่าเขาจะเป็นบัณฑิต แต่รูปร่างสูงใหญ่ พละกำลังก็ไม่น้อยเลย“อืม อึดอัด...”โจวเซิงเพิ่งจะวางนางลง จู่ ๆ ซ่งเสวี่ยก็คว้าชายแขนเสื้อของเขาไว้ แล้วเอ่ยพึมพำเห็นเพียงนางที่สง่างามและสุขุมในยามปกติ เวลานี้แก้มแดงระเรื่อ ดวงตาหวานเยิ้ม เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหล เขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้ ใบหูแดงก่ำ ด้วยเกรงว่าจะล่วงเกินซ่งเสวี่ย เขารีบชักมือกลับ หันหลังให้ซ่งเสวี่ย แล้วพูดกับกู้หว่านเยว่ “ข้าขอออกไปรอที่หน้าประตูก่อน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า จับชีพจรของซ่งเสวี่ย โชคดีที่ถึงแม้โจวเซ่อจะใช้เครื่องหอมปลุกกำหนัด แต่ก็ไม่ได้ใช้ของดีอะไร ฤทธิ์ยาของเครื่องหอมปลุกกำหนัดนี้จึงไม่รุนแรงนักกู้หว่านเยว่หยิบยาลดความร้อนในร่างกายออกมาจากมิติแล้วให้นางกิน จากนั้นก็ใช้เข็มเงินขับพิษออกจากร่างกาย ไม่นาน ซ่งเสวี่ยก็ค่อย ๆ สงบลงเมื่อกู้หว่านเยว่แน่ใจว่านางไม่เป็นไร จึงห่มผ้าให้นาง ก่อนจะหันหลังเดินออกไปโจวเซิงรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยถ
“เกิดอะไรขึ้น?”เมื่อกู้หว่านเยว่เดินมาอยู่ข้างกาย ซูจิ่งสิงก็วางแก้วเหล้าลง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเบา ๆ เมื่อครู่ยังมีขุนนางและผู้มีบรรดาศักดิ์มากมายเข้ามาชนแก้ว แต่พอเห็นแววตาของเจิ้นเป่ยอ๋อง ทุกคนก็รู้จักกาลเทศะ ขอตัวออกไปกู้หว่านเยว่กระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค ทำให้สีหน้าของซูจิ่งสิงเปลี่ยนไปทันที“เขากล้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”“นั่นน่ะสิ” กู้หว่านเยว่ทำท่ากางมือออก “โชคดีที่โจวเซิงมาทันเวลา”สองสามีภรรยาพูดคุยกันด้วยเสียงเบา ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันไปจัดการงานเลี้ยงต่อ วันนี้มีคนรู้จักมาร่วมงานเลี้ยงไม่น้อย ทั้งสกุลเหยียน สกุลหลี่ และสกุลเซิ่ง พวกเขาต่างส่งตัวแทนมากู้หว่านเยว่ถือโอกาสดึงนายท่านเหยียนมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษาถงซัน ให้เป็นคนดูแลบัญชี ดูเหมือนจะใช้ความสามารถได้ไม่เต็มที่เลยจริง ๆ “พี่สาว” เหยียนซือหยวนกอดขาเล็ก ๆ ของกู้หว่านเยว่ ดวงตากลมโตสีดำขลับเต็มไปด้วยความชื่นชมตั้งแต่กู้หว่านเยว่และครอบครัวของพวกเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองอวี้ เหยียนซือหยวนก็ไม่ได้เจอนางมาเป็นเวลานานแล้ว“ซือหยวน ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าสูงขึ้นแล้ว”เด็ก ๆ โตเร็วจริง ๆ ไม่ได้เจอกันแค่ไม
ยามพลบค่ำ แขกเหรื่อต่างก็ลุกขึ้นกล่าวลา รถม้าทยอยออกจากจวนกู้ทีละคันอย่างต่อเนื่องก่อนขึ้นรถม้า เว่ยเสียวฉู่ยังคงอาลัยอาวรณ์ “เหยียนซือหยวน บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน วันหลังข้าจะไปเล่นกับเจ้าที่ไหนล่ะ?”“บ้านข้าอยู่ที่หมู่บ้านสือหาน เดือนหน้าจะย้ายมาแล้ว”ดวงตาของเหยียนซือหยวนเป็นประกาย เขาฝึกยิงหนังสติ๊กมาทั้งบ่าย ในที่สุดก็ยิงออกไปได้เสียที“ครั้งหน้า เจ้าต้องสอนข้าเล่นหนังสติ๊กอีกนะ”“ได้สิ ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าพี่เสียวฉู่ ข้าก็จะสอนเจ้า” เว่ยเสียวฉู่เท้าสะเอว ท่าทางเหมือนพี่ใหญ่“พี่เสียวฉู่” เหยียนซือหยวนเชื่อฟัง เรียกได้อย่างคล่องปากไม่ติดขัดแม้แต่น้อยเด็กน้อยทั้งสองคนร่ำลากันที่หน้าประตูอย่างอาลัยอาวรณ์ จนกระทั่งแม่เฒ่าเว่ยเปิดม่านรถม้าขึ้น แล้วตะโกนด้วยความไม่พอใจ“เว่ยเสียวฉู่ รีบขึ้นรถมาเร็ว ข้าจะรีบกลับบ้านไปเข้าห้องน้ำ”“อ๋อ”เว่ยเสียวฉู่โบกมือ จากนั้นก็วิ่งไปที่รถม้าของตัวเองอย่างใจเย็น แล้วกระโดดขึ้นรถม้า“เหยียนซือหยวน เจ้าต้องมาเล่นกับข้านะ!”แม่เฒ่าเว่ยจับหัวหลานสาวดันกลับเข้าไปในรถม้า “หลานรัก นั่นลูกชายบ้านไหนกัน เหตุใดเจ้าถึงไปเล่นกับเขา?”เว่ยเสียวฉู่รีบเอ่ยขึ
ในเมื่อโจวเซ่อกล้าทำกับนางแบบนี้ นางก็ต้องไปถามให้รู้เรื่อง“หว่านเยว่ เจ้าไปกับข้าเถิด ข้ากลัวว่าข้าคนเดียวจะรับมือไม่ไหว”ซ่งเสวี่ยค่อนข้างกลัวปากนั่นของโจวเซ่อ กู้หว่านเยว่พยักหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจะไปกับเจ้า”ทั้งสองคนนั่งลงในห้องข้าง ๆ โจวเซ่อถูกทรมานไปแล้วรอบหนึ่ง นอนคว่ำหน้ากับพื้นอย่างอ่อนแรงเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เข้ามา เขาอ้าปากด่าทอเป็นสิบ ๆ ครั้งชิงเหลียนถีบเข้าที่ใบหน้าของเขาโดยตรง “ไอ้สารเลว ฮูหยินของพวกเราไม่ใช่คนที่เจ้าจะด่าทอได้”โจวเซ่อรีบหันไปขอร้องซ่งเสวี่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ ช่วยข้าด้วยเห็นข้าถูกทุบตีอย่างโหดร้ายเช่นนี้ เจ้าไม่สงสารหรือ?”ซ่งเสวี่ยหัวเราะด้วยความโมโห “ท่านคิดจะข่มเหงข้า แล้วยังจะให้ข้าช่วยท่านอีกหรือ?”“ข่มเหงอะไรกัน พูดจาน่าเกลียด”สายตาของโจวเซ่อหลบเลี่ยง กล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ข้าแค่ชอบเจ้ามากเกินไป อยากครอบครองเจ้าเร็ว ๆ สิ่งที่ข้าทำทั้งหมดก็เพื่อเจ้า”ซ่งเสวี่ยแทบตกตะลึงกับความไร้ยางอายของเขาดีจริง ๆ ทำเพื่อนางกล้าพูดเรื่องข่มเหงอย่างเปิดเผยเช่นนี้ชิงเหลียนเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น “บ่าวได้ส่งคนไปสอบสวนเขาและบ่าว
“ไม่ อย่านะ”เสี่ยวซือกลัวจนขาทั้งสองสั่นระริก กู้หว่านเยว่ดูชั่วร้ายราวกับว่ามีดกำลังจะกรีดลงบนตัวเขาในวินาทีถัดไป“ข้าพูดแล้ว!”เขาขมิบก้นแน่น จนแทบจะฉี่ราด“ที่คุณชายของข้าต้องการแต่งงานกับฮูหยินน้อย ก็เพราะว่าเขาได้ยินมาว่าฮูหยินน้อยเป็นธิดาสายตรงของสกุลซ่ง หากได้แต่งงานกับท่าน ไม่เพียงแต่จะได้ทรัพย์สมบัติของสกุลโจวตามขั้นตอนอย่างราบรื่นหลังจากโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจวอายุครบร้อยปี แล้วก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้ของสกุลซ่งเพิ่มเติมอีกด้วย”“เสี่ยวซือ! เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ข้ารักเจ้าจากใจจริง”โจวเซ่อรีบแสดงความรู้สึกออกมา น้ำเสียงนั้นทำให้ซ่งเสวี่ยอยากหัวเราะ“ที่แท้ ท่านก็อยากกินสมบัติของผู้ไร้ทายาท!”ในขณะนี้ ซ่งเสวี่ยถึงมองเห็นความทะเยอทะยานที่โฉดชั่วของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริงอะไรคือรักแรกพบ อะไรคือรักเป็นอย่างยิ่ง ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งนั้นโจวเซ่อถูกต่อว่าจนหน้าแดงหูแดง ยั่วให้เกิดโทสะขึ้น “กินสมบัติของผู้ไร้ทายาทหมายความว่ายังไง เจ้าเป็นเพียงแม่หม้ายคนหนึ่ง ข้ายอมรับเจ้าได้ ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาที่
เดิมทีซ่งเสวี่ยยังคิดจะปะทะกับโจวเซ่ออีกสักสองสามคำ แต่คำพูดต่อหน้าไม่กี่ประโยคเมื่อครู่ ทำให้นางรู้สึกได้ในทันใดว่าการเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ มันไม่มีความหมายใด ๆ เลยโจวเซ่อในขณะนี้ก็คือหมาบ้าตัวหนึ่ง จับใครได้ก็กัดไม่เลือกหน้า แล้วนางจะโต้เถียงกับหมาบ้าให้ได้อะไรขึ้นมา?“หว่านเยว่ ยกเขาให้เจ้าจัดการแล้วกัน”ซ่งเสวี่ยรู้สึกรังเกียจ รีบหมุนตัวกลับก่อนจะเดินออกไป“เสวี่ยเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าทำแบบนี้กับข้าไม่ได้ ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้านะ!”โจวเซ่อตะโกนดังลั่น แต่เมื่อเห็นว่าซ่งเสวี่ยไม่สนใจเขา ก็เปลี่ยนเป็นการด่าทอด้วยวาจา“ซ่งเสวี่ย เจ้ามันคนสารเลว แยกแยะดีชั่วไม่ได้ ข้าต้องตาเจ้าก็นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว เจ้ากล้าทำแบบนี้กับข้า ต่อให้ตายเป็นผีข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด เจ้าคอยดู ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน...”คำพูดเหล่านี้ของโจวเซ่อทำให้ซ่งเสวี่ยขนลุกชันทันทีนางไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ทำตัวอยู่ในกรอบมาโดยตลอดอย่างนาง จะต้องมาพบเจอหมาบ้าเช่นนี้ โชคดีที่ไม่ถูกหมาบ้าตัวนี้กัดเข้า ไม่เช่นนั้นคงจะรู้สึกเป็นทุกข์ไปทั้งชีวิตซ่งเสวี่ยเดินเข้ามา
หากฝ่ายหญิงถอนหมั้น โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้คนรอบตัวก็จะคาดเดาและวิพากษ์วิจารณ์กันไปจะฆ่าโจวเซ่อตรง ๆ เลยก็ไม่ได้ ซ่งเสวี่ยสูญเสียสามีไปแล้วครั้งหนึ่ง หากคู่หมั้นยังมาตายอย่างไม่ทราบสาเหตุอีก จะต้องเป็นที่โจษจันเรื่องดวงกินผัวแน่นอนซ่งเสวี่ยกล่าวอย่างเด็ดขาด “อย่าคิดมาก ข้าเป็นคนมือสะอาด ถ้าใครอยากนินทาก็ปล่อยพวกเขาไป หรือจะให้ข้าผูกติดอยู่กับคนสารเลวนั่นจนตาย เพราะกลัวข่าวลือและคำติฉินนินทา?”สู้เจ็บแต่จบจะดีกว่า ซ่งเสวี่ยยอมถูกคนประณาม ดีกว่าให้มีความเกี่ยวข้องกับโจวเซ่อต่อไปเมื่อนึกถึงหน้าตาตอนที่เขาหว่านเสน่ห์ นางก็รู้สึกคลื่นไส้และอยากอาเจียน“ไม่ได้นะลูก”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวส่ายหัว “คำคนน่ากลัว คนที่แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ อะไรที่หยาบคายก็สามารถพูดออกมาได้ทั้งนั้น”แม้แต่คำว่าหญิงสำส่อน จงใจยั่วสวาท ไม่มีมูลหมาไม่ขี้ คำพูดประเภทนี้ยังเบาไปนางถอนหายใจ “เจ้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แล้วนานนานล่ะ?”“นานนาน?”นานนานสูญเสียพ่อไปแล้ว ถ้านางจะมีแม่ที่มีชื่อเสียงไม่ดีอีก ก็เลิกคิดเรื่องออกเรือนในอนาคตได้เลยใบหน้าของซ่งเสวี่ยเต็มไปด้วยความสิ้นหวังทันที ขบฟันแน่น ไม่รู้จะพูดอย่า
กู้หว่านเยว่อดพูดไม่ได้ว่า “โจวเซ่อเป็นคนต่ำช้าและเจ้าเล่ห์ หมายใจจะพึ่งพาความมั่งคั่งของสกุลโจว จะเป็นฝ่ายเสนอตัวขอถอนหมั้นได้ยังไง?”“เขายอม” ซูจิ่งสิงอมยิ้มกล่าว “ระหว่างชีวิตกับความมั่งคั่ง เจ้าคิดว่าเขาจะเลือกอะไร”ถึงตอนนั้นจริง ๆ เกรงว่าเขาจะไม่ใช่แค่ยินดีถอนหมั้นเท่านั้น แต่ยังคิดหาวิธีถอนหมั้นที่สมบูรณ์แบบโดยไม่ทำให้ซ่งเสวี่ยเสียหายอีกด้วยทันใดนั้นพวกเขาก็ถึงบางอ้อในทันใด แน่นอนเรื่องนี้ต้องมีคนไปบอกโจวเซ่อ ซูจิ่งสิงเสนอว่า “ข้าจะเข้าไปพูดคุยกับเขาหน่อย”กู้หว่านเยว่รีบชี้ไปที่ห้อง ซูจิ่งสิงพาฉู่เฟิงเข้าไป ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับโจวเซ่อ แต่เมื่อเขาออกมา โจวเซ่อก็ตอบตกลงเรียบร้อยแล้วไม่ใช่แค่ตอบตกลง แต่ยังยินดีไปจัดการอย่างรวดเร็วอีกด้วยกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าเขากลับเรือนไปแล้ว จะเปลี่ยนใจมาทำลายชื่อเสียงของพี่หญิงซ่งให้มัวหมองหรอกนะ?”“ไม่มีทาง” ซูจิ่งสิงส่ายหัวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเว้นแต่ว่าเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว และไม่อยากให้อี๋เหนียงของเขามีชีวิตอยู่ด้วยทว่าคนต่ำช้าอย่างโจวเซ่อที่ทำเพื่อความมั่งคั่งและชื่อเสียงอยู่แล้ว จะยอมตายได้อย่างไรหากยังไม่ไ
ชิงเหลียนพูดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพียงกู้หว่านเยว่ได้ยิน ก็แน่ใจยิ่งขึ้นว่าซูจิ่งสิงอยู่ที่วัดเทียนหวัง เกินครึ่งคือถูกเหยลวี่เจิงพบเบาะแส นี่จึงถูกเขาล้อมไว้ที่วัดเทียนหวังเวลารอช้าไม่ได้ กลุ่มคนขึ้นรถม้าโดยตรงพวกชิงเหลียนอยู่ที่เมืองอูถ่านหลายวัน รู้จักสิ่งปลูกสร้างละแวกนี้อย่างชัดเจน เพียงครู่เดียวก็ขับรถม้าพาพวกเขามาหยุดบริเวณห่างจากวัดเทียนหวังไม่ไกล“มีทหารมากเหลือเกิน”กู้หว่านเยว่แหวกผ้าม่านออกกลัวเผยพิรุธ รถม้ามิได้เข้าไป แต่จอดที่ข้างทางอยู่ไกลๆกู้หว่านเยว่หยิบกล้องส่องทางไกลออกจากมิติ มองสถานการณ์ภายนอกของวัดเทียนหวังอยู่ไกลๆ ภายนอกวัดถูกทหารล้อมไว้อย่างแน่นหนา“วัดเทียนหวังเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของเชื้อพระวงศ์ทูเจวี๋ยพวกเรา อีกทั้งยังเป็นสถานที่แห่งความศรัทธาของคนทูเจวี๋ย วัดเทียนหวังบูรณะ มีนานนับพันปี ภายในวัดมีเส้นทางลับมากมาย เพียงเจดีย์ที่สูงที่สุดของวัดก็มีถึงเก้าชั้น”เสี่ยวถ่านนั่งข้างกายกู้หว่านเยว่ อธิบายกับนาง“ข้าเดา พี่ใหญ่ของพวกเราน่าจะซ่อนอยู่ภายในวัดเทียนหวัง เหยลวี่เจิงกำลังส่งคนมาค้นหาพวกเขา”เพราะวัดเทียนหวังได้รับความศรัทธามาก ดังนั้นเหย
“ไม่ได้”กู้หว่านเยว่ห้ามนางไว้ “เจ้าอยากพาตนเองไปตกหลุมพรางหรือ?”หากวังหลวงถูกเหยลวี่เจิงควบคุมไว้แล้วจริง เช่นนั้นหากเสี่ยวถ่านเข้าไป ก็คือแกะเข้าปากเสือ“พี่หญิงกู้ เช่นนั้นข้าจะทำเช่นไร?”ขอบตาเสี่ยวถ่านแดงเรื่อ พูดไปแล้วนางเองก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุเก้าขวบ จิตใจแข็งแกร่งอย่างมาก“รอก่อน”กู้หว่านเยว่ลูบเส้นผมเสี่ยวถ่าน ย่อตัวลงในระนาบเดียวกันกับนาง“รอพวกเราเข้าใจสถานการณ์เมืองอูถ่านก่อน ค่อยวางแผนระยะนี้เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม ห้ามมิให้ไปที่ใด ทั้งยังห้ามเปิดเผยฐานะเป็นอันขาด”เสี่ยวถ่านจับชายเสื้อไว้อย่างเจ็บปวด นางอยากเหินบินไปที่วังหลวงมากเหลือเกินแต่มองเห็นสายตากู้หว่านเยว่แล้ว นางรู้พี่หญิงกู้พูดได้ไม่ผิด“ข้ารู้แล้ว”“เด็กดี”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เสี่ยวถ่านได้ฟังคำพูดนางแล้ว นี่ทำให้นางลดปัญหาไปได้ไม่น้อย“เดิมทีคิดว่ามาถึงเมืองอูถ่าน ข้าก็สามารถเข้าวังไปพบเสด็จพ่อได้ บัดนี้ต้องรบกวนพี่หญิงกู้ให้ดูแลข้าอีกด้วย”เสี่ยวถ่านรู้สึกผิด พี่หญิงกู้และนางพบกันโดยบังเอิญ ไม่เพียงช่วยชีวิตนางไว้ ยังพานางมาถึงเมืองอูถ่านอย่างปลอดภัยแต่นางไม่เพียงไม่สามารถ
“ในเมื่อเป็นคนของเจ้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวล ข้าอยู่ที่เมืองอูถ่านก็ไม่มีคนรู้จัก แทนที่จะไปหาโรงเตี๊ยมใหม่อีกครั้ง มิสู้ไปพร้อมกับเจ้า”กู้หว่านเยว่เองก็คิดเช่นนี้ บัดนี้ไม่แน่ว่าซูจิ่งสิงและเยียนสือซานอาจอยู่ด้วยกัน เช่นนั้น นางและเยียนอวิ๋นชูอยู่ด้วยกันก็ไม่มีอันใดผิดถึงตอนนั้นก็ให้ซูจิ่งสิงพาเยียนสือซานมาหา พวกเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเสียแรงออกไปตามหาเบาะแสของเยียนอวิ๋นชูอีกยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่กู้หว่านเยว่คิดมาก นางมักคิดว่าด้วยอุปนิสัยเจ้าเล่ห์ของเหยลวี่เจิง ไม่แน่ว่าอาจลงมือกับเยียนอวิ๋นชูได้ทุกเมื่อ ดังนั้นคนผู้นี้อยู่ข้างกายนางย่อมปลอดภัยที่สุดหลังสองคนปรึกษากันดีแล้ว ก็ให้ชิงเหลียนขับรถม้าออกเดินทางในทันที มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมหลังเวลาผ่านไปราวครึ่งถ้วยชา รถม้าก็มาถึงโรงเตี๊ยมกู้หว่านเยว่รอคนลงจากรถม้า เข้าไปภายในโรงเตี๊ยม เหตุเพราะห้องพักถูกจองไว้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงขึ้นไปบนชั้นสองเลยก็พอ ไม่จำเป็นต้องทักทายปราศรัยกับเสี่ยวเอ้อร์มองออกว่าต่อจากนี้กู้หว่านเยว่ยังมีธุระให้จัดการ ดังนั้นเยียนอวิ๋นชูจึงเลือกไม่รบกวน แต่กลับเข้าห้องของตนอย่างรู้ความหลังกู้หว่า
เสี่ยวถ่านรีบพยักหน้า ตลอดทางมานี้นางฝ่าฟันอันตรายทั้งหมดมา เบื้องหน้าก็คือเมืองอูถ่าน นางใกล้จะได้พบหน้าเสด็จพ่อแล้วนางรู้บัดนี้มิใช่เวลาทำตัวน่ารำคาญ ดังนั้นจึงรีบเช็ดน้ำตา“รีบเข้าไปเถอะ หลังฟ้ามืด ประตูเมืองก็จะปิดแล้ว”คนเหล่านั้นมาถึงเมืองอูถ่าน อีกครึ่งชั่วยาม ประตูเมืองก็จะปิดลงพวกเขาจะต้องเข้าเมืองอูถ่านก่อนประตูปิด หาไม่แล้วก็ทำได้เพียงนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ภายนอก“ไป”กู้หว่านเยว่รีบพาคนเหล่านั้นไปเข้าแถวเสี่ยวถ่านเข้าออกเมืองอูถ่านหลายครั้ง รู้ว่าต้องประจบเอาใจทหารรักษาการณ์เยี่ยงไรเพียงสามคำสองประโยค ก็พาพวกเขาลอบเข้าเมืองอูถ่านได้หลังเข้าเมืองอูถ่านแล้ว กู้หว่านเยว่กลับไปนั่งรถม้าอีกครั้ง มองบ้านเรือนสองข้างทางบ้านเรือนเหล่านี้พื้นฐานล้วนคือบ้านหินเตี้ยๆ สายตาทอดมองไป สองข้างทางมีร้านรวงไม่น้อย กำลังวางขายของเมืองอูถ่านเทียบกับคูเมืองอื่นของทูเจวี๋ย ล้วนเงียบสงบ เจริญรุ่งเรืองมองไปแล้วเทียบกับเมืองหลวงของต้าฉี นอกจากการก่อสร้าง กลับไม่มีอันใดแตกต่างสองสามคนเข้าเมืองอูถ่านได้ไม่นาน เงาร่างสายหนึ่งก็ขวางรถม้าไว้“คุณชาย”เสียงคุ้นหูพลันดังขึ้นจากภ
“ผ่อนคลายไปทั้งตัว”เยียนอวิ๋นชูยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า แม้ว่าตอนนี้เขายังเดินเหมือนคนปกติไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ถูกพิษ ไม่รู้สึกกระสับกระส่ายและกดดันอีกต่อไป แม้แต่จิตใจก็ยังเบิกบานขึ้นมาก“ดี เดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาเพื่อบำรุงร่างกายให้ท่าน”หลังจากตื่นแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของซูจิ่งสิงเขามุ่งหน้าไปส่งจดหมายที่เมืองอูถ่านตามลำพัง และไม่รู้ว่าได้พบกับเยียนสือซานหรือไม่เช่นเดียวกับกู้หว่านเยว่ เยียนอวิ๋นชูก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายของตัวเองเช่นกัน กลัวว่าเขาจะตกหลุมพรางของเหยลวี่เจิงทั้งสองตัดสินใจทันทีว่าจะรับประทานอาหารกลางวันบนรถม้า ตอนนี้พวกเขาจะไปเก็บสัมภาระ มุ่งหน้าไปยังเมืองอูถ่านทันที“ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้าง”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเป็นกังวล เสี่ยวถ่านจับจ้องไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาจนทั่วหล้าต้องขุ่นเคืองของเขา พลางถามอย่างอ่อนแรง“พี่รอง ควรอำพรางตัวให้พี่รองเยียนด้วยหรือไม่?ท่านดูสิเขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ออกไปเดินบนท้องถนนต้องดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายเป็นแน่ ทัน
เยียนอวิ๋นชูน่าสงสารนัก กู้หว่านเยว่ก็ใจอ่อนในชั่วพริบตา“เชื่อข้าเถอะ พิษในร่างกายของท่านจะถูกขับออกมาแน่นอน ต่อไปท่านจะไม่สูญเสียการควบคุมอีกแล้วแต่ขาของท่าน เนื่องจากไม่ได้เดินมานานเกินไป อาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ”“นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ”เยียนอวิ๋นชูก็ไม่ได้คาดหวังว่าขาของเขาจะหายดีได้ในชั่วข้ามคืนพิการมานานสิบกว่าปี ได้มีความหวังที่จะยืนขึ้นได้อีกครั้ง สำหรับเขาก็เป็นพรอันยิ่งใหญ่แล้วเขาดื่มยาหม้อหมดในคราเดียวในไม่ช้า ความไม่สบายก็เข้ามาภายในร่างกาย“ยาหม้อนี้มีสรรพคุณในการล้างพิษ ต่อไปท่านอาจจะรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย อาจถึงขั้นมีไข้สูง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมาอย่างเป็นระเบียบขั้นตอน ราวกับว่ามองเห็นเหตุการณ์นี้ไว้ล่วงหน้าแล้วน้ำเสียงสุขุมของนาง ทำให้จิตใจที่ไม่เป็นสุขของเยียนอวิ๋นชูสงบลงมากร่างกายเจ็บปวดมากเกินไป เขาจึงพยายามหลับตาทั้งสอง ข่มความเจ็บปวดนี้เอาไว้เหงื่อเย็นเยียบพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขาดั่งสายฝนกู้หว่านเยว่ถือผ้าขนหนูไว้ คอยเช็ดเหงื่อให้เขาอย่างอดทน เมื่อพบว่าเขาทนไม่ไ
ความคิดของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่คิดว่ากู้หว่านเยว่ จะหลอกลวงเขาในเรื่องแบบนี้ แสดงว่าร่างกายของเขาถูกวางยาพิษจริง ๆ และพิษนี้เริ่มตั้งแต่ขาทั้งสองของเขายืนไม่ได้ อย่างน้อยก็สิบกว่าปีแล้วเยียนอวิ๋นชูนึกย้อนกลับไปในหัวใครกันที่สามารถวางยาพิษเขาได้ในช่วงเวลานั้น แต่กลับไม่ได้อะไรเลย เวลามันเนิ่นนานเกินไปแล้วเขารู้ว่า ในขณะนี้สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การตามหาคนที่วางยาพิษ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการล้างพิษในร่างกายของเขา“เจ้า เจ้าล้างพิษในร่างกายของข้าได้ไหม?”“ตอนนี้รู้จักขอร้องข้าแล้วหรือ เมื่อครู่ยังหน้าซีดรีบร้อนขับไล่ข้าออกไปมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่กะพริบตายั่วเย้า ใช้น้ำเสียงหยอกล้อ ทำให้เยียนอวิ๋นชูหน้าแดง แทบจะพาลโกรธเอาดื้อ ๆ อีกครั้ง“เจ้า...”เมื่อเห็นเขากัดริมฝีปาก กู้หว่านเยว่ก็หัวเราะคิกคัก“เอาล่ะ ข้าแค่หยอกล้อท่านเฉย ๆ ข้าสามารถล้างพิษได้ วางใจเถิด”นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย ใบหน้าหล่อเหลาอยู่แล้ว ในเวลานี้ได้เผยรอยยิ้มที่น่าหลงใหลออกมาอย่างฉับพลันเยียนอวิ๋นชูตกตะลึงไปชั่วขณะ มองดูใบหน้าที่เปล่งประกายของนาง รู้สึกว่าหัวใจนั้นเต้นแรงเขารีบกุมหัวใจเอาไว้ แล
เซียวหลิ่นหลีกทางให้โดยจิตใต้สำนึก กู้หว่านเยว่กำลังจะจับมือของเยียนอวิ๋นชู แต่ฝ่ายหลังกลับดันรถเข็นถอยหลังอย่างไม่คาดคิดปากก็ยังด่าทอเสียงดัง“ไปให้พ้น ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาสงสารข้า เจ้าเป็นอะไรกับข้าหรือ ปล่อยข้าไว้คนเดียวให้สงบสติอารมณ์สักพัก รีบออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”เยียนอวิ๋นชูคำรามลั่น ใบหน้าหล่อเหยเกเล็กน้อย คำพูดที่เอ่ยออกมาแย่มากจนทำให้มุมปากของเซียวหลิ่นกระตุก“คุณชายรอง!”คุณชายรองเกิดลมบ้าหมูอะไรขึ้นมา จอมยุทธหนุ่มท่านนี้เมื่อครู่สามารถใช้เข็มเงินนั่นฆ่าใครก็ได้ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือบุคคลที่มีทักษะทางการแพทย์สูงมาก หวังดีจะช่วยชีวิตเขา เหตุใดเขาถึงยังด่าทออย่างรุนแรง?“จอมยุทธหนุ่ม ขอโทษด้วยจริง ๆ”เซียวหลิ่นรีบขอโทษกู้หว่านเยว่ หวังว่านางจะใจกว้างไม่ถือสาคนต่ำทรามและกู้หว่านเยว่ก็มองดูท่าทางต่อต้านของเยียนอวิ๋นชู ครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร“ท่านผู้นี้ ช่างดื้อรั้นเสียจริง!”เขาคงกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุมและทำร้ายนาง ดังนั้นเขาจึงพูดจาดุดันเพราะต้องการขับไล่นางออกไป ทั้ง ๆ ที่นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็ยังดึงดันที่จะแสร้ง
“เจ้าจะช่วยส่งจดหมายให้พวกข้าหรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่อย่างคาดไม่ถึง ดวงตาแจ่มใสทั้งคู่ที่มองไปที่กู้หว่านเยว่ เขาเชื่อมั่นในตัวนางมากจริง ๆ“ไม่ได้ มันจะทำให้เจ้ายุ่งยากเกินไป”เยียนอวิ๋นชูใจเต้นอยู่ชั่วขณะ หันหน้าไปอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยชา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นการเอาตัวออกห่าง เป็นวิธีการปกป้องตัวเอง และปกป้องมิตรสหายของเขาด้วยกู้หว่านเยว่ถือโอกาสรับจดหมายของเขามา “เฮ้อ ท่านอย่ามัวชักช้าเลย ฟังจากคำพูดของท่าน พี่ชายของท่านไปที่เมืองอูถ่านแล้ว หากช้ากว่านี้ก็คงไม่ทันกาล เอาจดหมายมาให้ข้า พวกข้าจะไปส่งให้ท่านเอง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่โผงผางเช่นนี้ เยียนอวิ๋นชูก็เบิกตาทั้งสองกว้างอย่างตกตะลึง“เจ้า เจ้า...” เขาคงไม่สามารถแย่งจดหมายกลับมาได้อีกแล้วกระมัง?“คุณชายรอง ในเมื่อวีรบุรุษหนุ่มทั้งสองท่านนี้ต้องการช่วยเหลือเรา สู้เราเอาจดหมายให้พวกเขาดีกว่า สถานการณ์เร่งด่วน เราไม่อาจมัวลังเลได้”เซียวหลิ่นที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้น ความจริงเขาก็กำลังคิดจะขอความช่วยเหลือจากกู้หว่านเยว่ เพีย