เมี่ยชิงหว่านก้มหน้าลง ไม่กล้ามองเขา“ข้า ข้าสกปรกมาก...ข้า...”“ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ”ซูจื่อชิงรู้สึกสงสารเป็นที่สุด กอดนางไว้ในอก “เจ้าฟังข้านะชิงหว่าน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่เคยทำอะไรผิด เจ้าเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์และสะอาดที่สุดในโลกนี้ ทั้งในอดีตและในอนาคตถ้าเจ้าจะโทษก็โทษข้า อย่าตำหนิตัวเอง ข้าเองที่ไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี ข้าเองที่พูดคำประชดประชันพวกนั้น ทำร้ายจิตใจของเจ้า ชิงหว่าน เจ้าอย่าเศร้าไปเลย ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ จากนี้ไปข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าอีกข้าเองก็จะไม่มีทางรังแกเจ้าหรือทำให้เจ้าร้องไห้เหมือนเมื่อก่อนตกลงไหม”ขนตาของเมี่ยชิงหว่านสั่นระริก น้ำตาไหลพรากดั่งสายฝนซูจื่อชิงรู้ว่านางไม่อยากพูดอะไร จึงไม่ฝืนใจนาง ปล่อยให้นางซบอยู่ในอ้อมอกให้เขาพูดก็พอแล้ว เขามาเพื่อเยียวยาหัวใจที่แตกสลายของนาง“เจ้ารู้ไหมชิงหว่าน เมื่อคืนตอนที่ข้าฟุบอยู่หน้าเตียงของเจ้า จู่ ๆ ก็ฝันไป”ซูจื่อชิงกอดนางไว้ ไม่เคยรู้สึกจิตใจสงบเหมือนในช่วงเวลานี้เลย“ข้าฝันว่าพี่ใหญ่ตาย ข้าทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อล้างแค้นให้เขา เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน...ในความฝันข้าเกือบจะไม่รอดแล
“พรุ่งนี้ เราจะออกเดินทางช้าหน่อย”ใบหน้าของซูจิ่งสิงเต็มไปด้วยความสงสาร พลางลูบหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาภรรยาของเขามักจะเป็นห่วงเรื่องของคนอื่นอยู่เสมอ เมื่อไหร่จะเป็นห่วงสุขภาพของตัวเองบ้างล่ะ?“กลับถึงจวนแล้ว เจ้าก็นอนให้เต็มอิ่ม หากมีเรื่องอะไร ก็ปล่อยให้คนเป็นสามีจัดการ”หลังจากคลอดจ้านจ้าน นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่นอกจวนทั้งคืน พอพูดถึงเรื่องกลับจวน ก็อดคิดถึงลูกชายขึ้นมาไม่ได้“ไม่รู้ว่าคืนนี้ลูกชายไม่ได้เจอเรา จะร้องไห้งอแงไหมนะ”ซูจิ่งสิงตวัดปลายจมูกของนาง “พรุ่งนี้กลับไปก็รู้แล้ว ร้องก็ร้องไปสิ ร้องไห้ครั้งเดียวไม่เป็นไรหรอก”“ท่านนี่เป็นพ่อแท้ ๆ ตัวจริง”กู้หว่านเยว่หัวเราะคิกคัก อดซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มไม่ได้เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นหอมอันเย็นเยียบจากกายเขา ความง่วงก็เข้าครอบงำ หลังจากนั้นไม่นานก็ผล็อยหลับสบายไปซูจิ่งสิงโอบกอดนางไว้ด้วยสองมือ ก่อนจูบหน้าผากอันเกลี้ยงเกลาของนางอย่างอ่อนโยนทั้งสองหลับไปพร้อมกันเดิมทีคิดว่าเรื่องราวทุกอย่างสิ้นสุดความวุ่นวายลงแล้ว คืนนี้จะสามารถนอนหลับได้อย่างสงบสุขแต่ปรากฏว่าราว ๆ ยามสี่ จู่ ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากข
เดิมทีก็เศร้าเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เขาคิดไม่ตกจึงถือคบไฟมาที่ยุ้งฉาง“ชีวิตเอ้อร์โก่วคือชีวิต แล้วชีวิตลูกชายทั้งสองของข้าไม่ใช่ชีวิตหรือ?”อารมณ์ของลุงเนี่ยค่อนข้างคุกรุ่น ทำให้ทุกคนรู้สึกเกรงกลัวไปชั่วขณะหนึ่งกู้หว่านเยว่รีบเอ่ยขึ้น “หากท่านเผายุ้งฉางจริง ๆ ท่านจะไม่สามารถทวงคืนความยุติธรรมให้กับเสือใหญ่และเสือน้อยได้อีก”ลุงเนี่ยชะงักงันไปในทันทีประโยคนี้ของกู้หว่านเยว่ พูดกระทบส่วนลึกในจิตใจของเขาที่เขาก่อเหตุนี้ขึ้นมา ต้องการเผายุ้งฉางเพื่อระบายความโกรธจริงหรือ?ไม่ใช่ เขาแค่ต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกชายเท่านั้น“ท่านอ๋อง ชายาท่านอ๋อง”ลุงเนี่ยน้ำตาอาบแก้ม“เสือใหญ่และเสือน้อย เมียของข้าแลกมาด้วยชีวิตเพื่อคลอดพวกเขา เมียของข้าต้องตายระหว่างคลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้ากลัวการแต่งงานใหม่กับคนอื่น แล้วคนผู้นั้นจะทำไม่ดีกับลูกทั้งสองในอนาคตข้าเป็นทั้งพ่อและแม่ เลี้ยงดูพวกเขาจนเติบใหญ่ เพื่อวันหนึ่งในอนาคต เมื่อข้าลงไปพบเมียของข้าในยมโลก จะได้บอกนางว่า: เจ้าเห็นไหมว่าข้าดูแลลูกสองคนดีแค่ไหน?”ลุงเนี่ยสะอึกสะอื้นขึ้นมาโดยพลัน ร้องไห้โฮอย่างเจ็บปวด “ลูกชาย
“วีรบุรุษให้กำเนิดคนขี้ขลาดไร้ความสามารถ เมื่อทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ”กู้หว่านเยว่ไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง จะถูกหรือผิด ค่อยไปว่ากันในศาล“ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า”เมื่อเห็นเอ้อร์โก่วเอะอะโวยวาย ซูจิ่งสิงก็ขมวดคิ้วบาง ๆ ไม่อยากให้คนแบบนี้มาแปดเปื้อนสายตาของภรรยา“ยังเหลืออีกหนึ่งถึงสองชั่วยามก่อนรุ่งสาง”“ก็ดีเหมือนกัน”พรุ่งนี้กู้หว่านเยว่ยังมีงานอื่นต้องทำอีก จึงไม่ฝืนอยู่ที่นี่ต่อ รีบกลับไปพักผ่อนลุงเนี่ยคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณชายาท่านอ๋อง ที่ทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกชายทั้งสองของข้า”ซูจิ่งสิงเอ่ยเสียงขรึม “วันนี้เจ้าต้องการจุดไฟเผายุ้งฉาง ก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายด้วย เจ้าจะยอมรับหรือไม่?”ลุงเนี่ยคุกเข่าไม่ยอมลุก “เรื่องนี้ข้าน้อยทำผิดไปแล้ว ข้าน้อยยินดีรับโทษทุกอย่าง ขอเพียงลูกชายทั้งสองไม่ตายเปล่า”“อืม”ซูจิ่งสิงโบกมือให้คนมาช่วยจับเขาและเอ้อร์โก่วขึ้นมา กุมตัวไปส่งทางการในวันพรุ่งนี้“หัวหน้าหมู่บ้าน พรุ่งนี้เจ้าพาต้าหนิวไปส่งทางการพร้อมกันเลย”หัวหน้าหมู่บ้านสั่นสะท้านจากสายตาเย็นยะเยือกของซูจิ่งสิง “ขอรับ”เขากลัวว
หนานหยางอ๋องยังคงสงบนิ่งเมื่ออยู่บนรถม้า แต่เมื่อมาถึงเมืองอวี้ ก็ต้องการจะบุกเข้าไปในสกุลเผยเพื่อฆ่าล้างโคตรพวกเขาในทันทีซูจื่อชิงแนะนำเขาว่า “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้นำภาพม้วนเหล่านั้นออกมาก่อน หากต้องการลงมือ ก็ต้องกวาดล้างสกุลเผยทั้งหมด”หนานหยางอ๋องจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ มองซูจื่อชิงด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป “เมื่อก่อนเจ้ายังมีความเป็นเด็กนัก ไม่เป็นผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”ซูจื่อชิงหลุบตาลงกล่าวว่า “ความไม่เป็นผู้ใหญ่ของคนรุ่นหลังนั่นแหละที่ทำร้ายชิงหว่าน ต่อไปนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว”หนานหยางอ๋องนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพยักหน้าเขาคุมตัวเผยเสวียนเข้าไปในคุกใต้ดินของจวนฟู่ก่อน จากนั้นซูจื่อชิงก็นำภาพม้วนออกมาตามที่อยู่ที่เผยเสวียนบอกไว้ แล้วมอบให้กับเมี่ยชิงหว่านเพื่อนำไปเผาด้วยตัวเองตอนที่เผาภาพม้วน มือของเมี่ยชิงหว่านสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็นเปลวไฟกลืนกินภาพม้วน หัวใจของเมี่ยชิงหว่านก็ผ่อนคลายลง และรู้สึกสงบสุขได้ในที่สุดช่วงบ่าย ซูจื่อชิงกลับไปรายงานซูจิ่งสิง “เผยเสวียนตายแล้ว”ซูจิ่งสิงพยักหน้า แต่เมื่อเห็นซูจื่อชิงยังไม่ไปไหนก็เลิกคิ้วขึ้น“ม
ทั้งสามคนหัวเราะครื้นเครงเป็นเสียงเดียวกันในทันทีกู้หว่านเยว่หาเวลาบอกนางหยางเรื่องที่ซูจื่อชิงและเมี่ยชิงหว่านคืนดีกันแล้ว และย่อมไม่ได้พูดถึงเรื่องสกปรกที่เผยเสวียนทำในระหว่างนั้นก่อนหน้านี้ไม่นานซูจื่อชิงเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะช่วยชีวิตเมี่ยชิงหว่านมาแล้ว นางกังวลว่านางหยางจะไม่ชอบใจแต่ใครจะรู้หลังจากนางหยางฟังจบแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก “เด็กสองคนนี้ควรจะได้เป็นคู่กันอยู่แล้ว หวังว่าคราวนี้พวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียน ต่อไปจะได้ทะนุถนอมซึ่งกันและกันให้ดี ๆ อย่าทะเลาะกันอีกเลย”กู้หว่านเยว่อมยิ้ม นางหยางเป็นแม่สามีที่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ตามที่คิดไว้หลังจากออกจากเรือนของนางหยาง นางก็ไปพบเฉินจื่อวั่งอีกครั้งเฉินจื่อวั่งเพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษาถงซัน รู้สึกมึนงงไปหมด“ชายาท่านอ๋อง เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยรู้ว่า สำนักศึกษาสามารถใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ เจิดจรัสได้ถึงเพียงนี้ ยังมีสิ่งที่เรียกว่ากระดานดำและชอล์ก มันคือของสิ่งใดกัน ข้าน้อยไม่เคยเห็นมาก่อน”“ตอนนี้บอกข้าหน่อยว่า เจ้ายินดีที่จะเป็นผู้อำนวยการสำนักศึกษาถงซันหรือไม่?”“ยินดี ยินดี!”ก่อนหน้านี้เฉินจื่อวั่งยังลังเลอยู่
“ก็ดีเหมือนกัน”เฉินจื่อวั่งลูบศีรษะพลางคิดในใจว่า ถ้าอาจารย์ของเขามาที่นี่ได้ก็คงจะดีกว่านี้เพียงแต่ว่า นี่แค่ลองคิดดูเท่านั้นอาจารย์ของเขาคือราชครู ถึงแม้ตอนนี้จะเกษียณกลับบ้านเกิดไปแล้ว แต่นั่นก็คือราชครู ไม่มีทางมาที่เจดีย์หนิงกู่ ไม่มีทาง“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน เรื่องความคืบหน้าของสำนักศึกษา ข้าน้อยจะคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา”“อืม”กู้หว่านเยว่หยิบตำราแพทย์ที่เหลืออยู่เล่มเดียวออกมาจากมิติ มอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ วันเวลาว่าง ๆ แสนสบายนั้นไม่เลวจริง ๆไม่ได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็สามารถใช้เวลาศึกษาค้นคว้าจากตำราแพทย์ได้พอกู้หว่านเยว่ได้เปิดอ่านเวลาก็หมดไปทั้งช่วงบ่าย หลังจากยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ก็เห็นเมี่ยชิงหว่านและซูจื่อชิงเข้ามาส่งอาหารให้นาง“เอามาจากจินโหลว จิ่นเอ๋อร์บอกว่าท่านชอบกิน พวกข้าก็เลยเอามาให้ท่านส่วนหนึ่ง”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องออก เห็นกุ้งแช่เหล้าจานหนึ่ง จึงดีใจเป็นที่สุดทันที“ขอบคุณนะ ข้าชอบกินจานนี้จริง ๆ”เมี่ยชิงหว่านยิ้มอย่างเก้อเขิน “เรื่องระหว่างข้ากับจื่อชิงก่อนหน้านี้ ทำให้พี่หว่านเยว่ต้องเป็นกังวล”“ไม่
“บ่าว จะเอาความบริสุทธิ์ของตัวเองมาล้อเล่นได้ยังไงเจ้าคะ?”ชิวจู๋จะล้มมิล้มแหล่ ไม่กล้าสบสายตากับกู้หว่านเยว่เมี่ยชิงหว่านกลับมองอะไรไม่ออกมากนัก ในชั่วขณะนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป“จื่อชิง เจ้าจะว่ายังไง?”กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงมองไปทางซูจื่อชิง แต่ปรากฏว่าซูจื่อชิงส่ายหัวอย่างหนักแน่น“คืนวันนั้น ข้าไม่ได้แตะต้องชิวจู๋เลย”“คุณชายรอง ท่าน...”สายตาของชิวจู๋สับสนเล็กน้อย ทำไมซูจื่อชิงถึงพูดเช่นนี้?คืนวันนั้นชัดเจนว่านางปีนขึ้นไปในขณะที่เขากำลังสลบไสลอยู่ ว่ากันตามเหตุผลแล้วเขาไม่ควรรู้เรื่องถึงจะถูก“คืนวันนั้นข้าเมาเหล้า อารมณ์ไม่ค่อยดี แต่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”ซูจื่อชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย“ตอนนั้นเพิ่งตื่นพอดี สมองของข้าตื้อเหลือเกิน ยังไม่อาจตอบสนองอะไรได้ทัน”“บนหัวเตียงมีคราบเลือดของข้า ตอนนั้นคุณชายรองก็เห็น”ชิวจู๋ไม่อยากยอมรับ จนทำให้ซูจื่อชิงต้องส่ายหัว “ถ้าไม่ใช่เพราะคราบเลือด ข้าคงไม่สามารถยืนยันได้ เจ้าบอกมาซิว่าบาดแผลที่มือของเจ้าคืออะไร?”“ข้า...” ชิวจู๋รีบซ่อนนิ้วมือเอาไว้ ไม่นึกเลยว่าซูจื่อชิงจะสังเกตได้อย่างรอบคอบเช่นนี้“ชิวจู๋
“เหตุใดถึงมีคราบเลือดเช่นนั้น?”“ยังคงเป็นของโจวเซ่อผู้นั้น” กู้หว่านเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนในวันนี้ให้ซูจิ่งสิงฟังอย่างละเอียด“ท่านไม่ได้เห็นท่าทางร้องไห้ฟูมฟายของโจวเซ่อ ตอนนั้นเขาดูไม่เหมือนกับบุรุษเลยสักนิด แล้วพี่หญิงซ่งก็ดันหลงกลเขาเสียด้วย หากเปลี่ยนเป็นข้านะ ข้าเหวี่ยงหมัดชกเขาลอยละลิ่วออกไปแล้วเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่กำหมัดแน่น ครั้งนี้ซูจิ่งสิงไม่กล่าวแทนเขาอีก“อยู่ ๆ ก็กรีดข้อมือของตัวเอง อารมณ์อ่อนไหวเอาเสียจริง ๆ ?”“นั่นนะสิ”กู้หว่านเยว่มองไปทางรูปปั้นหินสิงโต แล้วตะโกนเรียกทหารเฝ้าประตูไปตักน้ำมาทำความสะอากรูปปั้นหินสิงโตทันทีมิเช่นนั้นนางคงรู้สึกสะอิดสะเอียดยามได้เห็นคราบเลือดของโจวเซ่อผู้นั้นตลอดเวลาแน่ทหารเฝ้าประตูรับคำสั่ง ไม่เพียงแต่ตักน้ำเข้ามา ยังถือผลของสบู่ก้อนติดมือมาด้วยหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ทำความสะอาดรูปปั้นหินสิงโต ขัด ๆ ถู ๆ อยู่หลายครั้งจนกระทั่งสะอาด“ด้านหน้าเป็นหน้าบ้านของซุนมู่เจี้ยง”รถม้าถูกจอดไว้ในตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่ง ซูจิ่งสิงชี้ไปยังบ้านที่อยู่สุดซอยหลังหนึ่ง“ฝีมือของมู่เจี้ยงไม่ธรรมดา เพียงแต่นิสัยค่อนข้างประหลาด”“นิสัย
“เฮ้อ ขอให้พี่หญิงซ่งอย่าได้หลงกลเขาเชียวนะ รีบ ๆ ตาสว่างเสียทีเถอะ”ซูจื่อชิงส่ายหน้า ในตอนนั้นเองเขาบังเอิญเจอกับเมี่ยชิงหว่านพอดี ครั้นเห็นสีหน้าของทั้งสองดูแย่ลง จึงอดแปลกใจไม่ได้“เกิดอะไรขึ้น ทำไมสีหน้าของทั้งสองคนถึงได้ดูไม่จืดเช่นนั้น?”“ไม่มีอะไร ก็แค่คุยเรื่องเคร่งเครียดนิดหน่อย ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”ซูจื่อชิงไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีลับหลังผู้อื่น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของซ่งเสวี่ย เห็นด้วยตาตัวเองก็แล้วไป พูดลับหลังไปดูไม่ดีนักโชคดีที่เมี่ยชิงหว่านเป็นคนที่ไม่ชอบถามจุกจิก ไม่ถามมาก แค่คลี่ยิ้มและกล่าวว่า“ไปกันเถอะ หลายวันมานี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่ในร้านดอกท้อ ขายของออกไปก็ไม่น้อย ข้าเลี้ยงข้าวเจ้าเอง”ตัวตลกสองคนนี้พูดคุยอย่างสนุกสนานแล้วก็จากไปทางด้านนี้ ครั้นโจวเซ่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจื่อชิงจากไปแล้ว จึงกล่าวกับซ่งเสวี่ยว่า“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าหิวมาก เจ้าช่วยไปหาของกินในครัวมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยกล่าวด้วยความลำบากใจ “ไม่ดีหรอกกระมั้งเจ้าคะ แม้ว่าข้าและหว่านเยว่จะสนิทกัน แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนของนาง ไหนเลยจะกล้าถือวิสาสะเข้าไปหยิบของ
ซ่งเสวี่ยทอดถอนใจหนึ่งเสียง “เช่นนั้นก็ดี”นางอดหันไปมองโจวเซ่อไม่ได้ “ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีก มีอะไรก็คุยกันดี ๆ เล่นของมีคมเช่นนี้ทำคนอื่นตกอกตกใจหมด หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ จะมาเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว”ซ่งเสวี่ยมักจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดหลังจากแต่งงานกับคุณชายตระกูลโจวแล้ว นางและสามีให้ความเคารพซึ่งกันและ ไม่เคยแม้แต่จะทะเลาะกัน นับประสาอะไรกับการเล่นของมีคม? การกระทำในวันนี้ของโจวเซ่อทำให้นางหวาดกลัวบางทีทั้งสองคนอาจจะไม่เหมาะสมกันก็ได้?“ขอโทษนะ ข้าผิดเอง”โจวเซ่อขอโทษทั้งน้ำตา “ข้าแค่กลัวว่าจะเสียเจ้าไป แค่ข้าคิดว่าข้าจะต้องเสียเจ้าไป ข้าก็ทนไม่ได้แล้ว หากเจ้าไม่มองหน้าข้าอีก ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ารักเจ้ามากจริง ๆ รักเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิด ข้าอยากดูแลเจ้าและลูกของเจ้าไปตลอดชีวิต ข้าชอบนานนาน ข้าเห็นนางเปรียบเสมือนบุตรสาวของข้าคนหนึ่ง”“ท่าน....”“เจ้าดูสินี่คืออะไร?”โจวโซ่อล้วงหยิบไม้แกะสลักชิ้นหนึ่งออกมา ซึ่งนั้นทำให้ซ่งเสวี่ยตกใจไม้แกะสลักชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายกับสามีที่เสียไปแล้วของซ่งเสวี่ย “คราวที่แล้วนานนานเห็นภาพวาดของสามีที่เสียไป
โจวเซ่อส่ายหน้า “ไม่นะ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าขาดเจ้าไม่ได้ หากเจ้าไม่ให้อภัยข้า ข้ายอมเลือดแห้งตายเสียตอนนี้ดีกว่า บอกข้าเถอะ เจ้าจะให้อภัยข้าได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยตะลึงงันทั้งตัวความจริงแล้วตอนนี้นางยังโกรธอยู่ แต่ครั้นเห็นท่าทางอยากตายของโจวเซ่อ จริง ๆ นางตกใจเพราะเขา จึงรีบพยักหน้า“ข้าให้อภัยท่านแล้ว ท่านคืนกริชให้ข้าเถอะ อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”ครั้นได้ยินซ่งเสวี่ยกล่าวเช่นนี้ โจวเซ่อก็ปล่อยกริชเล่มนั้น ก่อนจะมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนดั่งน้ำที่หลั่งริน“เจ้าให้อภัยข้าแล้วก็ดี เสวี่ยเอ๋อร์ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้จริง ๆ อ๊าก....ข้าเจ็บข้อมือยิ่งนัก”ท่าทีของโจวเซ่อเปลี่ยนไป ซ่งเสวี่ยรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าประคบข้อมือของเข้าไว้ แล้วมองไปทางกู้หว่านเยว่อย่างร้อนใจ“หว่านเยว่ เจ้าช่วยเขาได้หรือไม่ ข้าเห็นบาดแผลบนข้อมือของเขาหนักหนามาก”กู้หว่านเยว่มองไปทางโจวเซ่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า“ชิงเหลียน เจ้าให้คนพาตัวคุณชายโจวเข้าไป”ชิงเหลียนรีบหาคนเข้ามาพร้อมกับเปลหามและยกโจวเซ่อวางบนนั้น“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจับมือข้าไว้ได้หรือไม่? ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า”โจวเซ่อกล่าวถามอย่างกังวล ซ่งเสวี่ยมองกู้
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ ซูจื่อชิงก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นโวยวายเสียงดังเชียว”กู้หว่านเยว่ตำหนิหนึ่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ นางเพิ่งจะเขียนเทียบเชิญเสร็จ ไม่ระวังถูกหมึกสีดำเปรอะเปื้อน“ตอนข้ากลับเข้ามา ข้าเห็นคุณชายโจวนั่งอยู่ใต้รูปปั้นสิงโตหินหน้าบ้านของเรา ไม่รู้ว่าทำอะไร ข้าจึงเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าเห็นเขาชักกริชเล่มหนึ่งออกมา แล้วกรีดข้อมือของตัวเอง เลือดสาดกระจายเต็มพื้นไปหมด”“ว่าอย่างไรนะ?!”กู้หว่านเยว่ตื่นตกใจ “คุณชายโจวไหน?”ซูจื่อชิงมองไปทางซ่งเสวี่ย “คุณชายโจวไหนเล่า ใช่โจวเซ่อคู่หมั้นของพี่หญิงซ่งใช่หรือไม่?”คราวนี้ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจยิ่งกว่า รีบโยนพู่กัน แล้วยกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอกทันที“พวกเราก็ตามไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่พริบตาเดียวทำไมคนผู้นี้ถึงได้กรีดข้อมือฆ่าตัวตายเสียได้?“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคงจะไม่รู้ว่าตอนที่เขากรีดข้อมือของตัวเองน่ากลัวเพียงใด ข้าคิดว่าข้าจำผิดคนแล้วเสียอีก”ซูจื่อชิงเดินตามหลังของนางพลางทำเสียงจิ
ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจกับความคิดของนาง“ตั้งแต่โบราณกาลมา ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีสำนักศึกษาไหนที่รับนักศึกษาเป็นสตรีมาก่อน”แม้แต่นาง ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาทำได้เพียงเรียนแบบตัวต่อตัวที่บ้าน เชิญอาจารย์มาสอนลูกหลานในตระกูลแทนหรือเพราะภูมิหลังของนางนั้นดูโดดเด่น ทั้งยังเป็นหลานสาวของตระกูลซ่ง สตรีทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสได้อ่านออกเขียนได้ แค่รู้เพียงไม่กี่คำและทำบัญชีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วกู้หว่านเยว่ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สตรีอย่างเราด้อยกว่าบุรุษอย่างนั้นหรือ? อย่างลายมือของเจ้าก็ดีกว่า ใต้หล้านี้เกรงว่าคงจะมีสตรีที่เทียบเท่าบุรุษไม่มากนัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าสตรีอย่างเราก็มีคุณค่า ไม่ได้ด้อยกว่าบุรุษเท่าไหร่นัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงจะเข้าเรียนบ้างไม่ได้ล่ะ? พี่หญิงพูดเองมิใช่หรือว่าใต้หล้าไม่มีสำนักศึกษาแห่งไหนที่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียน? ดังนั้นสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้จึงเป็นที่แรกที่ไม่เพียงแต่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียนแล้ว ยังไม่สนใจภูมิหลังของนักศึกษาอีกด้วย”กู้หว่านเยว่มีจิตใจสูงส่ง ความเชื่อมั่นทางแววตาล้วนแต่สร้างความศ
“จบเรื่องของสกุลเผยแล้ว ภายภาคหน้า เจ้าเองก็สามารถวางใจได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ตบหลังเมี่ยชิงหว่าน สามารถมองออกว่า นางได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย“อืม”เมี่ยชิงหว่านพยักหน้าเบาๆ สกุลเผยสำหรับนางก็คือฝันร้าย บัดนี้ได้เห็นทุกคนที่เคยรังแกนางได้รับการลงโทษตามสมควรแล้ว ปมภายในใจนางเองก็นับว่าคลายออกอย่างสมบูรณ์“ภายภาคหน้าข้าไม่มีวันโง่เขลาเหมือนในอดีตอีกแล้ว เชื่อใจคนอื่นอย่างง่ายดาย”เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วมุ่น ครั้งนี้นางกลัวแล้วจริงๆคนสุภาพอ่อนโยนมีความรักลึกซึ้งอย่างเผยเสวียนเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง ส่วนคนเรียกนางว่าลูกสาวอย่างนั้นอย่างนี้เฉกเช่นเผยฮูหยิน ก็คือคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง“ต้องโทษข้าก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่ามาโดยตลอด ได้ติดต่อคนอื่นน้อยมาก จึงไม่รู้จักความชั่วร้ายในใจคน”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะนาง “นี่ไม่โทษเจ้า จะโทษก็โทษเพียงวิธีการต่ำช้าของพวกเขา ความคิดของเจ้าบริสุทธิ์นัก นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้า”หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์ ไฉนเลยในต้นฉบับ จะยอมตายเพื่อซูจื่อชิง?“อย่างไรเสีย ภายภาคหน้ามีข้าปกป้องเจ้า คนชั่วเหล่านั้นมอบให้ข้าเถอะ”ซูจื่อชิงจับมือเมี่ยชิงหว่านข
ไม่ตัดรากถอนโคน ก็อาจเกิดหายนะอีกครั้ง“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น ท่านแม่ข้าเองก็ด้วย”เผยเสียรีบพูดต่อ “หลายปีมานี้พวกเราสองคนอยู่อย่างลำบากที่สกุลเผย ท่านแม่ข้าถูกเดรัจฉานคนนั้นทำร้ายพรากความบริสุทธิ์ไป ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของนางอีก ชนิดที่ว่าเผยฮูหยินยังทิ้งท่านแม่ข้าไว้ภายในเรือน ไม่ใส่ใจไยดีท่านแม่ข้าคลอดข้าออกมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังเลี้ยงข้าจนเติบโตอย่างยากลำบากเพียงคนเดียว หลายปีมานี้สกุลเผยไม่เคยปกป้องคุ้มครองพวกเรา คุณชายคุณหนูของสกุลเผยเหล่านั้นก็ด่าว่าทุบตีพวกเรา”เผยเสียยิ้มเย็น “พูดอย่างไม่เกรงใจหนึ่งประโยค ข้าไม่แก้แค้นพวกเขาก็นับว่าดีแล้ว ไฉนเลยจะช่วยล้างแค้นแทนพวกเขา”แววตานางเฉยเมย ภายในก้นบึ้งของสายตายังมีความแค้นอี๋เหนียงทางด้านหลังหดเกร็งตัว รูปร่างผอมบาง สติก็ไม่ค่อยดีกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากเจ้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วกับสกุลเผย ข้าสามารถรับปากเงื่อนไขของเจ้าได้”เผยเสียรีบพูด “ข้าสาบาน ข้าและท่านแม่สำรวมตนมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องชั่ว”“ดี เจ้าพูดเถอะ”กู้หว่านเยว่มองคนเหล่านี้แวบหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงคนปากมาก เรียกเผยเสียไปพูดที่ฝั่ง
ทั้งสองคนเหินบินเข้าจวนเผย ไม่ต้องพูดเชียว สกุลเผยสมเป็นตระกูลชนชั้นสูงนับร้อยปีของเจดีย์หนิงกู่ ตกแต่งได้อย่างหรูหรางดงามกู้หว่านเยว่เดินเข้าไป เก็บเครื่องเรือนไม้หวงฮวา ฉากกั้น ภาพอักษรงดงามบางส่วนตามใจ ลงท้ายถึงขั้นพบอย่างแปลกใจ ภายในห้องหนังสือของสกุลเผยมีหนังสือไม่น้อย มากเสียจนเต็มผนังห้องหนึ่งด้าน“สกุลเผยสมเป็นตระกูลเก่าแก่นับร้อยปี มีมรดกทางปัญญาติดตัวอยู่บ้าง มีหนังสือเหล่านี้กลับไม่ใช่เรื่องแปลก”ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ“สำนักศึกษาถงซันของเจ้าต้องการหนังสือมิใช่หรือ เก็บหนังสือเหล่านี้ไปทั้งหมดเลยเถอะ”“ขอบคุณท่านพี่”กู้หว่านเยว่ต้องการหนังสือเหล่านี้จริง นี่ก็ไม่เกรงใจเขาแล้ว โบกมือเก็บหนังสือทั้งหมดเข้ามิติทั้งคู่ค้นหาทั้งภายในภายนอกห้องหนังสือหนึ่งรอบน่าเสียดายเหลือเกิน หาจดหมายลับหรือเบาะแสอะไรไม่พบ“แม้แต่เผยเสวียนเองก็ไม่รู้ คนบงการอยู่เบื้องหลังเขาเป็นใคร รู้เพียงเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ ต้องการหาตัวออกมา น่ากลัวว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก”ความหวังสุดท้าย ก็อยู่บนตัวคนสกุลเผยเหล่านั้นทั้งสองคนย้อนกลับมาที่เรือนส่วนหน้าอีกครั้งขณะเดียวกัน ฉู่เฟิงเพิ่งสอบสวนมาหนึ่ง