เมี่ยชิงหว่านก้มหน้าลง ไม่กล้ามองเขา“ข้า ข้าสกปรกมาก...ข้า...”“ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ”ซูจื่อชิงรู้สึกสงสารเป็นที่สุด กอดนางไว้ในอก “เจ้าฟังข้านะชิงหว่าน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่เคยทำอะไรผิด เจ้าเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์และสะอาดที่สุดในโลกนี้ ทั้งในอดีตและในอนาคตถ้าเจ้าจะโทษก็โทษข้า อย่าตำหนิตัวเอง ข้าเองที่ไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี ข้าเองที่พูดคำประชดประชันพวกนั้น ทำร้ายจิตใจของเจ้า ชิงหว่าน เจ้าอย่าเศร้าไปเลย ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ จากนี้ไปข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าอีกข้าเองก็จะไม่มีทางรังแกเจ้าหรือทำให้เจ้าร้องไห้เหมือนเมื่อก่อนตกลงไหม”ขนตาของเมี่ยชิงหว่านสั่นระริก น้ำตาไหลพรากดั่งสายฝนซูจื่อชิงรู้ว่านางไม่อยากพูดอะไร จึงไม่ฝืนใจนาง ปล่อยให้นางซบอยู่ในอ้อมอกให้เขาพูดก็พอแล้ว เขามาเพื่อเยียวยาหัวใจที่แตกสลายของนาง“เจ้ารู้ไหมชิงหว่าน เมื่อคืนตอนที่ข้าฟุบอยู่หน้าเตียงของเจ้า จู่ ๆ ก็ฝันไป”ซูจื่อชิงกอดนางไว้ ไม่เคยรู้สึกจิตใจสงบเหมือนในช่วงเวลานี้เลย“ข้าฝันว่าพี่ใหญ่ตาย ข้าทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อล้างแค้นให้เขา เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน...ในความฝันข้าเกือบจะไม่รอดแล
“พรุ่งนี้ เราจะออกเดินทางช้าหน่อย”ใบหน้าของซูจิ่งสิงเต็มไปด้วยความสงสาร พลางลูบหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาภรรยาของเขามักจะเป็นห่วงเรื่องของคนอื่นอยู่เสมอ เมื่อไหร่จะเป็นห่วงสุขภาพของตัวเองบ้างล่ะ?“กลับถึงจวนแล้ว เจ้าก็นอนให้เต็มอิ่ม หากมีเรื่องอะไร ก็ปล่อยให้คนเป็นสามีจัดการ”หลังจากคลอดจ้านจ้าน นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่นอกจวนทั้งคืน พอพูดถึงเรื่องกลับจวน ก็อดคิดถึงลูกชายขึ้นมาไม่ได้“ไม่รู้ว่าคืนนี้ลูกชายไม่ได้เจอเรา จะร้องไห้งอแงไหมนะ”ซูจิ่งสิงตวัดปลายจมูกของนาง “พรุ่งนี้กลับไปก็รู้แล้ว ร้องก็ร้องไปสิ ร้องไห้ครั้งเดียวไม่เป็นไรหรอก”“ท่านนี่เป็นพ่อแท้ ๆ ตัวจริง”กู้หว่านเยว่หัวเราะคิกคัก อดซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มไม่ได้เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นหอมอันเย็นเยียบจากกายเขา ความง่วงก็เข้าครอบงำ หลังจากนั้นไม่นานก็ผล็อยหลับสบายไปซูจิ่งสิงโอบกอดนางไว้ด้วยสองมือ ก่อนจูบหน้าผากอันเกลี้ยงเกลาของนางอย่างอ่อนโยนทั้งสองหลับไปพร้อมกันเดิมทีคิดว่าเรื่องราวทุกอย่างสิ้นสุดความวุ่นวายลงแล้ว คืนนี้จะสามารถนอนหลับได้อย่างสงบสุขแต่ปรากฏว่าราว ๆ ยามสี่ จู่ ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากข
เดิมทีก็เศร้าเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เขาคิดไม่ตกจึงถือคบไฟมาที่ยุ้งฉาง“ชีวิตเอ้อร์โก่วคือชีวิต แล้วชีวิตลูกชายทั้งสองของข้าไม่ใช่ชีวิตหรือ?”อารมณ์ของลุงเนี่ยค่อนข้างคุกรุ่น ทำให้ทุกคนรู้สึกเกรงกลัวไปชั่วขณะหนึ่งกู้หว่านเยว่รีบเอ่ยขึ้น “หากท่านเผายุ้งฉางจริง ๆ ท่านจะไม่สามารถทวงคืนความยุติธรรมให้กับเสือใหญ่และเสือน้อยได้อีก”ลุงเนี่ยชะงักงันไปในทันทีประโยคนี้ของกู้หว่านเยว่ พูดกระทบส่วนลึกในจิตใจของเขาที่เขาก่อเหตุนี้ขึ้นมา ต้องการเผายุ้งฉางเพื่อระบายความโกรธจริงหรือ?ไม่ใช่ เขาแค่ต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกชายเท่านั้น“ท่านอ๋อง ชายาท่านอ๋อง”ลุงเนี่ยน้ำตาอาบแก้ม“เสือใหญ่และเสือน้อย เมียของข้าแลกมาด้วยชีวิตเพื่อคลอดพวกเขา เมียของข้าต้องตายระหว่างคลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้ากลัวการแต่งงานใหม่กับคนอื่น แล้วคนผู้นั้นจะทำไม่ดีกับลูกทั้งสองในอนาคตข้าเป็นทั้งพ่อและแม่ เลี้ยงดูพวกเขาจนเติบใหญ่ เพื่อวันหนึ่งในอนาคต เมื่อข้าลงไปพบเมียของข้าในยมโลก จะได้บอกนางว่า: เจ้าเห็นไหมว่าข้าดูแลลูกสองคนดีแค่ไหน?”ลุงเนี่ยสะอึกสะอื้นขึ้นมาโดยพลัน ร้องไห้โฮอย่างเจ็บปวด “ลูกชาย
“วีรบุรุษให้กำเนิดคนขี้ขลาดไร้ความสามารถ เมื่อทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ”กู้หว่านเยว่ไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง จะถูกหรือผิด ค่อยไปว่ากันในศาล“ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า”เมื่อเห็นเอ้อร์โก่วเอะอะโวยวาย ซูจิ่งสิงก็ขมวดคิ้วบาง ๆ ไม่อยากให้คนแบบนี้มาแปดเปื้อนสายตาของภรรยา“ยังเหลืออีกหนึ่งถึงสองชั่วยามก่อนรุ่งสาง”“ก็ดีเหมือนกัน”พรุ่งนี้กู้หว่านเยว่ยังมีงานอื่นต้องทำอีก จึงไม่ฝืนอยู่ที่นี่ต่อ รีบกลับไปพักผ่อนลุงเนี่ยคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณชายาท่านอ๋อง ที่ทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกชายทั้งสองของข้า”ซูจิ่งสิงเอ่ยเสียงขรึม “วันนี้เจ้าต้องการจุดไฟเผายุ้งฉาง ก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายด้วย เจ้าจะยอมรับหรือไม่?”ลุงเนี่ยคุกเข่าไม่ยอมลุก “เรื่องนี้ข้าน้อยทำผิดไปแล้ว ข้าน้อยยินดีรับโทษทุกอย่าง ขอเพียงลูกชายทั้งสองไม่ตายเปล่า”“อืม”ซูจิ่งสิงโบกมือให้คนมาช่วยจับเขาและเอ้อร์โก่วขึ้นมา กุมตัวไปส่งทางการในวันพรุ่งนี้“หัวหน้าหมู่บ้าน พรุ่งนี้เจ้าพาต้าหนิวไปส่งทางการพร้อมกันเลย”หัวหน้าหมู่บ้านสั่นสะท้านจากสายตาเย็นยะเยือกของซูจิ่งสิง “ขอรับ”เขากลัวว
หนานหยางอ๋องยังคงสงบนิ่งเมื่ออยู่บนรถม้า แต่เมื่อมาถึงเมืองอวี้ ก็ต้องการจะบุกเข้าไปในสกุลเผยเพื่อฆ่าล้างโคตรพวกเขาในทันทีซูจื่อชิงแนะนำเขาว่า “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้นำภาพม้วนเหล่านั้นออกมาก่อน หากต้องการลงมือ ก็ต้องกวาดล้างสกุลเผยทั้งหมด”หนานหยางอ๋องจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ มองซูจื่อชิงด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป “เมื่อก่อนเจ้ายังมีความเป็นเด็กนัก ไม่เป็นผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”ซูจื่อชิงหลุบตาลงกล่าวว่า “ความไม่เป็นผู้ใหญ่ของคนรุ่นหลังนั่นแหละที่ทำร้ายชิงหว่าน ต่อไปนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว”หนานหยางอ๋องนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพยักหน้าเขาคุมตัวเผยเสวียนเข้าไปในคุกใต้ดินของจวนฟู่ก่อน จากนั้นซูจื่อชิงก็นำภาพม้วนออกมาตามที่อยู่ที่เผยเสวียนบอกไว้ แล้วมอบให้กับเมี่ยชิงหว่านเพื่อนำไปเผาด้วยตัวเองตอนที่เผาภาพม้วน มือของเมี่ยชิงหว่านสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็นเปลวไฟกลืนกินภาพม้วน หัวใจของเมี่ยชิงหว่านก็ผ่อนคลายลง และรู้สึกสงบสุขได้ในที่สุดช่วงบ่าย ซูจื่อชิงกลับไปรายงานซูจิ่งสิง “เผยเสวียนตายแล้ว”ซูจิ่งสิงพยักหน้า แต่เมื่อเห็นซูจื่อชิงยังไม่ไปไหนก็เลิกคิ้วขึ้น“ม
ทั้งสามคนหัวเราะครื้นเครงเป็นเสียงเดียวกันในทันทีกู้หว่านเยว่หาเวลาบอกนางหยางเรื่องที่ซูจื่อชิงและเมี่ยชิงหว่านคืนดีกันแล้ว และย่อมไม่ได้พูดถึงเรื่องสกปรกที่เผยเสวียนทำในระหว่างนั้นก่อนหน้านี้ไม่นานซูจื่อชิงเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะช่วยชีวิตเมี่ยชิงหว่านมาแล้ว นางกังวลว่านางหยางจะไม่ชอบใจแต่ใครจะรู้หลังจากนางหยางฟังจบแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก “เด็กสองคนนี้ควรจะได้เป็นคู่กันอยู่แล้ว หวังว่าคราวนี้พวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียน ต่อไปจะได้ทะนุถนอมซึ่งกันและกันให้ดี ๆ อย่าทะเลาะกันอีกเลย”กู้หว่านเยว่อมยิ้ม นางหยางเป็นแม่สามีที่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ตามที่คิดไว้หลังจากออกจากเรือนของนางหยาง นางก็ไปพบเฉินจื่อวั่งอีกครั้งเฉินจื่อวั่งเพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษาถงซัน รู้สึกมึนงงไปหมด“ชายาท่านอ๋อง เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยรู้ว่า สำนักศึกษาสามารถใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ เจิดจรัสได้ถึงเพียงนี้ ยังมีสิ่งที่เรียกว่ากระดานดำและชอล์ก มันคือของสิ่งใดกัน ข้าน้อยไม่เคยเห็นมาก่อน”“ตอนนี้บอกข้าหน่อยว่า เจ้ายินดีที่จะเป็นผู้อำนวยการสำนักศึกษาถงซันหรือไม่?”“ยินดี ยินดี!”ก่อนหน้านี้เฉินจื่อวั่งยังลังเลอยู่
“ก็ดีเหมือนกัน”เฉินจื่อวั่งลูบศีรษะพลางคิดในใจว่า ถ้าอาจารย์ของเขามาที่นี่ได้ก็คงจะดีกว่านี้เพียงแต่ว่า นี่แค่ลองคิดดูเท่านั้นอาจารย์ของเขาคือราชครู ถึงแม้ตอนนี้จะเกษียณกลับบ้านเกิดไปแล้ว แต่นั่นก็คือราชครู ไม่มีทางมาที่เจดีย์หนิงกู่ ไม่มีทาง“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน เรื่องความคืบหน้าของสำนักศึกษา ข้าน้อยจะคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา”“อืม”กู้หว่านเยว่หยิบตำราแพทย์ที่เหลืออยู่เล่มเดียวออกมาจากมิติ มอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ วันเวลาว่าง ๆ แสนสบายนั้นไม่เลวจริง ๆไม่ได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็สามารถใช้เวลาศึกษาค้นคว้าจากตำราแพทย์ได้พอกู้หว่านเยว่ได้เปิดอ่านเวลาก็หมดไปทั้งช่วงบ่าย หลังจากยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ก็เห็นเมี่ยชิงหว่านและซูจื่อชิงเข้ามาส่งอาหารให้นาง“เอามาจากจินโหลว จิ่นเอ๋อร์บอกว่าท่านชอบกิน พวกข้าก็เลยเอามาให้ท่านส่วนหนึ่ง”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องออก เห็นกุ้งแช่เหล้าจานหนึ่ง จึงดีใจเป็นที่สุดทันที“ขอบคุณนะ ข้าชอบกินจานนี้จริง ๆ”เมี่ยชิงหว่านยิ้มอย่างเก้อเขิน “เรื่องระหว่างข้ากับจื่อชิงก่อนหน้านี้ ทำให้พี่หว่านเยว่ต้องเป็นกังวล”“ไม่
“บ่าว จะเอาความบริสุทธิ์ของตัวเองมาล้อเล่นได้ยังไงเจ้าคะ?”ชิวจู๋จะล้มมิล้มแหล่ ไม่กล้าสบสายตากับกู้หว่านเยว่เมี่ยชิงหว่านกลับมองอะไรไม่ออกมากนัก ในชั่วขณะนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป“จื่อชิง เจ้าจะว่ายังไง?”กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงมองไปทางซูจื่อชิง แต่ปรากฏว่าซูจื่อชิงส่ายหัวอย่างหนักแน่น“คืนวันนั้น ข้าไม่ได้แตะต้องชิวจู๋เลย”“คุณชายรอง ท่าน...”สายตาของชิวจู๋สับสนเล็กน้อย ทำไมซูจื่อชิงถึงพูดเช่นนี้?คืนวันนั้นชัดเจนว่านางปีนขึ้นไปในขณะที่เขากำลังสลบไสลอยู่ ว่ากันตามเหตุผลแล้วเขาไม่ควรรู้เรื่องถึงจะถูก“คืนวันนั้นข้าเมาเหล้า อารมณ์ไม่ค่อยดี แต่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”ซูจื่อชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย“ตอนนั้นเพิ่งตื่นพอดี สมองของข้าตื้อเหลือเกิน ยังไม่อาจตอบสนองอะไรได้ทัน”“บนหัวเตียงมีคราบเลือดของข้า ตอนนั้นคุณชายรองก็เห็น”ชิวจู๋ไม่อยากยอมรับ จนทำให้ซูจื่อชิงต้องส่ายหัว “ถ้าไม่ใช่เพราะคราบเลือด ข้าคงไม่สามารถยืนยันได้ เจ้าบอกมาซิว่าบาดแผลที่มือของเจ้าคืออะไร?”“ข้า...” ชิวจู๋รีบซ่อนนิ้วมือเอาไว้ ไม่นึกเลยว่าซูจื่อชิงจะสังเกตได้อย่างรอบคอบเช่นนี้“ชิวจู๋
“พวกเราเป็นบ่าวปรนนิบัติข้างกายฝ่าบาท ล้วนเป็นคนที่ฝ่าบาทไว้ใจ รอเจิ้นเป่ยอ๋องขึ้นครองบัลลังก์แล้ว คนแรกที่จะฆ่าก็คือพวกเรา”นางกำนัลและขันทีสองสามคนกระซิบกระซาบกันด้วยใบหน้าว้าวุ่น“ไปๆ พวกเรารีบไปเถอะ”พวกเขาต่างพากันถือสัมภาระวิ่งออกไปทางประตูเมืองทว่าพวกเขายังไม่ทันออกจากวัง เสียงต่อสู้กันก็ดังขึ้นที่หน้าประตูวัง เป็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำคนบุกฝ่าเข้ามา“แย่แล้ว พวกเราหนีออกไปไม่ได้แล้ว”.......“ก็ไม่รู้ว่าต่อสู้กันเป็นเช่นไรแล้ว อยากออกไปช่วยเหลือเกิน”มู่หรงฉางเล่อพรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งนางมีอุปนิสัยมุทะลุมาตั้งแต่เด็ก ไม่คุ้นชินกับการนั่งรอข่าวอยู่ที่เรือนในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ลั่วยางยืนสงบนิ่งที่ฝั่งหนึ่ง นางมองแสงเปลวเพลิงลอยพวยพุ่งข้างนอกเรือน“พี่หญิงหว่านเยว่พูดว่าให้พวกเรารออยู่ในเรือน ห้ามมิให้ออกไปเดินส่งเดช เช่นนั้นพวกเราก็ฟังพี่หญิงหว่านเยว่เถอะ”“เหตุใดเจ้าสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้?”มู่หรงฉางเล่อมองนางอย่างแปลกใจลั่วยางหัวเราะ“เพราะข้าและพี่หญิงหว่านเยว่รู้จักกันมานานมาแล้ว ในอดีตข้าและนางยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอีกด้วย ข้ารู้ว่าไม่ว่ายามใดนางก็
เดิมทีเฉียนฮูหยินก็กลายเป็นเศรษฐีตัวน้อย ปรากฏว่าเวลาเพียงชั่วพริบตาก็กลับมาเป็นเหมือนก่อนแล้วนางตกตะลึงเหม่อไป ไม่ว่าอย่างไรก็จะอยู่ภายในห้อง อยากหาเงินออกมาให้ได้ ไม่สามารถยอมรับความจริงเรื่องเงินหายไปได้อนุภรรยาคนอื่นได้ยินเสียงระเบิดภายนอกดังมากขึ้นเรื่อยๆ รีบลากเฉียนฮูหยินออกไป“ดมกลิ่นหอมของเงินก็พอแล้ว”กู้หว่านเยว่พูดออกมาหนึ่งประโยคและออกจากสกุลเฉียนนางเข้ามาภายในตรอกเล็กร้างผู้คนแห่งหนึ่ง โบกมือเรียกม้ากระต่ายแดงออกมา พลิกตัวขึ้นหลังม้าและควบทะยานไปทางประตูเมืองขณะเดียวกันซูจิ่งสิงและเกาเจี้ยนนำทัพแนวหน้ามาระเบิดประตูเมือง“บุก”เกาเจี้ยนตะโกนให้สัญญาณ “ไม่ฆ่าผู้ยอมจำนน ไม่ฆ่าผู้ยอมจำนน”“ผู้ต่อต้านฆ่าได้ไม่ละเว้น”ขณะเดียวกันเมืองหลวงกำลังตกอยู่ในความโกลาหลราษฎร์ภายในเมืองหลวงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ประตูเมืองจึงหลบอยู่ในเรือนตัวสั่น ไม่กล้าออกมากลุ่มคนที่เหลืออยู่มองสถานการณ์ออกอย่างชัดเจน ตัดสินใจยอมจำนนต่อซูจิ่งสิงยังมีอีกหนึ่งกลุ่มแม้ว่าเห็นสถานการณ์แล้ว แต่พวกเขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ ยังไม่ยอมจำนนและกำลังต่อสู้กับกองทัพเจดีย์หนิงกู่“ฆ่าผู้ไม่ยอมจำนน
แม่ทัพเฉียนสบถด่าอย่างอารมณ์ไม่ดีดวงตากลับกลิ้งกลอกอย่างว่องไวไม่พูดไม่ได้ว่าเขาหวั่นไหวขึ้นมาแล้วหลิวเต๋อวั่งพูดได้ถูกต้อง ภาพรวมถูกกำหนดไว้แล้ว แม้ว่าโจวถิงเว่ยนำคนของกองกำลังพิทักษ์วังหลวงมาควบคุมทั้งเมืองหลวงเอาไว้ทว่ากองทัพเจดีย์หนิงกู่บุกโจมตีถึงประตูแล้ว ส่วนทหารของกองกำลังพิทักษ์วังหลวงส่วนใหญ่กลับล้มลงสถานการณ์ชัดเจนอย่างมากต่อให้เขาพาคนไปต่อต้าน แต่ก็หนีไม่พ้นความตาย“หลิวเต๋อวั่ง”แม่ทัพเฉียนขมวดคิ้ว“เจ้าพูดเหลวไหลไร้สาระ ต่อให้เจ้ายอมจำนน แต่เจ้าเคยเป็นขุนนางของฮ่องเต้ เขาซูจิ่งสิงจะยอมปล่อยเจ้าไปหรือ?”หลิวเต๋อวั่งรีบพูด “เจิ้นเป่ยอ๋องจิตใจกว้างขวาง มีผู้ใดในใต้หล้าที่เขาปล่อยไปไม่ได้?”เขาสบถเสียงเย็นทีหนึ่ง“แม่ทัพเฉียน ข้าขอพูดแต่เพียงเท่านี้ สรุปคือวันนี้ข้าไม่มีวันปล่อยให้พวกเจ้าไป”ทหารข้างกายแม่ทัพเฉียนคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงค่อย“จะทำเยี่ยงไรดีขอรับท่านแม่ทัพ?”แม้พูดว่าเบื้องหน้ามีคนเพียงหนึ่งร้อยกว่าคน ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งร้อยกว่าคนนี้ล้วนเป็นองครักษ์ เดิมทีก็ไม่ใช่กองทัพอย่างเป็นทางการแต่ท่ามกลางหนึ่งร้อยกว่าคนตรงหน้านี้คือขุนนางในราชสำนัก เขา
“โครม!”“ปัง!”เสียงดังสนั่นดังเข้ามาจากทางประตูเมืองดุจอัสนียบาตรก็มิปาน ดังก้องอยู่ในหูของทุกคนทหารที่ไม่ได้ดื่มและดื่มเพียงเล็กน้อยภายในค่ายล้วนตกตะลึงเหม่อไป“เสียงอันใด?”“ใช่มังกรดินพลิกตัวหรือไม่?”มีคนเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง ในยุคสมัยโบราณเรียกแผ่นดินไหวว่ามังกรดิน หากมังกรดินพลิกตัว บ้านเรือนถล่ม แผ่นดินแยกตัว นั่นเป็นเรื่องร้ายแรงมากนักทุกคนหยุดดื่มสุรา หูตั้งตรงฟังดู“ไม่ใช่ ไม่ใช่มังกรพลิกตัว คล้ายดังมาจากประตูเมือง”จู่ๆ เสียงร้องขอความช่วยเหลือของหน่วยลาดตระเวนก็ดังขึ้น“แย่แล้วๆ มีคนโจมตีประตูเมืองแล้ว!”สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป“จะต้องเป็นกองทัพเจดีย์หนิงกู่แน่!”“รีบตั้งสติเร็วเข้า กองทัพเจดีย์หนิงกู่มาโจมตีเมืองแล้ว!”พวกเขาผลักเก้าอี้และไปปลุกเหล่าทหารบนพื้น ทว่าทหารเหล่านั้นเมาจนตัวอ่อนปวกเปียก เละเทะดูไม่ได้ตั้งนานแล้ว เดิมทีก็ปลุกไม่ตื่น“จะทำเช่นไรดี?”แม่ทัพเฉียนวิ่งวุ่น ยังไม่ทันดื่มสุราเลยสักอึก ได้เห็นสถานการณ์นี้แล้วก็ตกตะลึงเหม่อไปเขาสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลอยู่รางๆเหตุใดบังเอิญถึงเพียงนี้?ทั้งๆ ที่พวกเขากำลังเลี้ยงฉลองสามเหล่าทัพ กอง
ทั้งสองคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ทางนี้คนของกลุ่มก่อไฟทางด้านนั้นถูกข่มขู่จนหวาดกลัวมาก ไม่กล้าเข้ามาแอบฟังเลยกู้หว่านเยว่เห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขาแล้ว ก็หยิบผงยาซองหนึ่งออกมาจากมิติอย่างเงียบ ๆ แล้วเทลงในไหสุราโดยตรงที่นี่มีไหสุราทั้งหมดสิบกว่าไห ทุกไห กู้หว่านเยว่ได้เทผงยาลงไปทั้งหมดหลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว นางก็ดึงซูจิ่งสิงออกมา“เอาล่ะ ข้าได้ตรวจสอบอาหารรอบหนึ่งแล้วทั้งหมดไม่มีปัญหา คืนนี้พวกเจ้าก็นำอาหารเหล่านี้ขึ้นโต๊ะตามกำหนดก็แล้วกัน”“ทำอาหารมากมายเช่นนี้พวกเจ้าต้องเหน็ดเหนื่อย รอจบงานเลี้ยงนี้แล้ว ข้าจะสั่งให้แม่ทัพเฉียนตกรางวัลพวกเจ้าอย่างเต็มที่”“ขอบคุณท่านแม่ทัพ”หลายคนนึกไม่ถึงว่ายังมีเรื่องดี ๆ แบบนี้ด้วย จึงคุกเข่าให้กู้หว่านเยว่ด้วยความตื่นเต้นกู้หว่านเยว่ไม่ได้อยู่ที่นี่นานนักหลังจากสั่งการไม่กี่คำ ก็ดึงซูจิ่งสิงออกไปม่านราตรีเยื้องกรายมาถึงทหารทั้งสามเหล่าทัพ รวมถึงทหารจากค่ายเฟิงไถ ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในค่ายทหาร“แม่ทัพใหญ่ ส่วนใหญ่มากันพร้อมแล้ว ขอเพียงท่านสั่ง งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นทันที”แม่ทัพเฉียนเข้ามาด้วยสีหน้าอ่อนโยนกู้หว่านเยว่พ
แม่ทัพเฉียนอธิบายว่า “ฮูหยิน เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ออกไปลักขโมยใครแน่นอน ในค่ายทหารต้องการข้า”เฉียนฮูหยินกอดเงินไว้ไม่คิดอะไรอีกแล้ว“ท่านไปเถอะ ไปเถอะ ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน”แค่ทิ้งเงินไว้กับนางก็พออย่างอื่นจะพูดอย่างไรก็ได้“เฮ้อ”ฮูหยินพอมีเงินก็ไม่รู้จักใครแล้ว มันแท้จริงที่สุดแม่ทัพเฉียนไม่ถือสา รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยขึ้นที่มุมปาก ภูมิหลังครอบครัวของเขาไม่ดี ต้องขอบคุณการดูแลและประคับประคองของภรรยาถึงสามารถเดินมาอยู่ในตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ได้การที่ภรรยาแต่งงานกับเขาถือว่าเป็นการแต่งกับระดับต่ำกว่า หลายปีมานี้ต้องลำบากยากเข็ญ ต้องดูแลความเป็นอยู่ภายในจวนสามารถทำให้นางดีอกดีใจได้ เขาก็พอใจมาก“ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ”หลังจากปลอบโยนเฉียนฮูหยินแล้ว แม่ทัพเฉียนยังต้องไปที่ค่ายทหาร จึงรีบพาผู้ใต้บังคับชาไปบนกำแพง กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองตามด้านหลังของแม่ทัพเฉียนไปด้วยสีหน้าเย้ยหยัน“นึกไม่ถึงว่า แม่ทัพเฉียนผู้นี้จะเป็นคนที่รู้คุณคนข้ายังคิดว่าเขาเป็นพวกทาสเฝ้าทรัพย์ งานเลี้ยงครั้งเดียวรับสินบนไปทั้งหมดสองแสนตำลึง”ผลปรากฏว่า ที่แท้ก็เพื่อให้ภรรยาของตัวเองพอใจมอง
“ช้าก่อน พวกเจ้าอย่าเพิ่งไป”แม่ทัพเฉียนคว้าอนุคนหนึ่งในนั้นไว้ “เฉี่ยวเอ๋อร์ เจ้าบอกข้าหน่อยซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ผู้หญิงนอกบ้านอะไรกัน?”เฉี่ยวเอ๋อร์ปาดน้ำตา“นายท่าน ท่านยังเสแสร้งอยู่อีกหรือ”“ข้าเสแสร้งอะไร?”“หลายวันมานี้ท่านไม่ได้กลับมาเลย ตอนกลางคืนก็ไม่ได้ค้างที่จวน ทุกวันกลับมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ชัดเจนว่ามีผู้หญิงอยู่ข้างนอกแล้ว นายท่านมีคนที่โปรดปรานแล้วก็ไม่สนใจพวกข้าพี่น้องแล้ว ซ้ำยังทำให้ฮูหยินโกรธจนต้องเสียน้ำตาอีกด้วย”เฉี่ยวเอ๋อร์มีสีหน้าตัดพ้อ“นายท่าน ครั้งนี้ท่านทำผิดไปแล้ว”แม่ทัพเฉียนตีหน้าผาก “ผู้หญิงที่ไหนกัน ไม่มีเรื่องแบบนี้เสียหน่อย พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว”“แล้วทำไมนายท่านถึงต้องไปข้างนอกทุกวันด้วยเจ้าคะ?”เฉี่ยวเอ๋อร์ใคร่อยากรู้“ข้าจะไปคุยกับฮูหยินให้รู้เรื่อง”แม่ทัพเฉียนไม่รู้เลยว่าภายในบ้านปั่นป่วนเพราะเรื่องนี้ มิหนำซ้ำยังคิดว่าเขาเลี้ยงดูผู้หญิงอยู่ข้างนอกอีกเขารีบตามเฉียนฮูหยินมาจนทัน“ฮูหยิน เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน เรื่องราวไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าคิด”เฉียนฮูหยินปาดน้ำตา“ท่านไม่ต้องมาโกหกข้า ข้าคาดเดาได้หมดแล้ว”“ไม่ได้โกหกจริง ๆ ม
กู้หว่านเยว่รับใบรายการพลางก้มลงมอง นางดีใจมากแม่ทัพเฉียนผู้นี้ถนัดเรื่องการรับสินบนมากดูสิ ในทุกขั้นตอนเขารับสินบนไปเป็นก้อน“แม่ทัพเฉียน ท่านใจกล้ามาก”กู้หว่านเยว่เหน็บแนมเงียบ ๆคิดว่าเจ้านายตาบอด คำนวณเงินไม่เป็นหรืออย่างไร?“ท่านแม่ทัพ ท่าน ท่านหมายความว่าอย่างไร?”แม่ทัพเฉียนไม่เพียงละโมบ แต่ยังขี้ขลาดเป็นพิเศษอีกด้วย เมื่อถูกกู้หว่านเยว่ขู่ขวัญเช่นนี้ ขาของเขาก็อ่อนแรงก่อนจะรีบอธิบาย“แม่ทัพใหญ่มองทะลุปรุโปร่ง แต่ว่าข้ามีตรงไหนที่จัดการไม่ดีหรือ?”“ไม่ ๆ ท่านจัดการได้ดีทีเดียว”กู้หว่านเยว่กลั้นยิ้มไว้ทำให้แม่ทัพเฉียนตกใจมันไม่มีความหมายอะไร ปล่อยให้เขาดีใจไปพลาง ๆ สักสองวัน“ข้าไม่ได้มองคนผิดไป เช่นนั้นก็ทำตามแผนการของท่าน รีบไปจัดการเสีย”“ขอรับ!”แม่ทัพเฉียนดีใจเป็นที่สุด พยักหน้าด้วยความตื่นเต้นจะไม่ดีใจได้หรือ?จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ เขาสามารถรับสินบนได้อย่างน้อย ๆ สองแสนตำลึงเงิน เผื่อไม่รู้ เงินเดือนข้าราชการของเขาในตอนนี้แค่หนึ่งพันตำลึงเท่านั้น“แม่ทัพใหญ่ไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดีแน่นอน”แม่ทัพเฉียนกระวีกระวาดออกไป ส่วนใหญ่อาจจะ
ลั่วยางพยักหน้า รีบรับน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์มา“ได้ ข้าจำได้แล้ว หลังจากเขาฟื้นขึ้นมาแล้วข้าจะบอกเขา”“ที่นี่ไม่สมควรอยู่นาน ข้ากับท่านอ๋องต้องไปแล้ว แล้วพบกัน”“แล้วพบกัน”ลั่วยางท่าทางอาลัยอาวรณ์ มองตามทั้งสองที่จากไปด้วยแววตาเป็นกังวลกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเพิ่งจะออกไปได้ประเดี๋ยวเดียว อวิ๋นมู่ก็เอาเสื้อผ้าพาดบ่าออกมาจากห้องอย่างรีบร้อน“แม่นางลั่วยาง เมื่อครู่มีใครมาใช่ไหม?”ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่“เมื่อครู่ท่านอ๋องกับพระชายามา และพระชายาก็ฝากยาน้ำขวดนี้ไว้ด้วย บอกว่าให้ท่าน”ลั่วยางส่งยาน้ำให้อวิ๋นมู่อวิ๋นมู่มองดูขวดที่คุ้นเคย ก่อนที่รูม่านตาจะหดตัวลง“แล้วพวกเขาล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหน?”“เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เอง”ทันทีที่สิ้นเสียงของลั่วยาง อวิ๋นมู่ก็เดินออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน ราวกับว่าต้องการหาตัวพวกเขานางรีบคว้าตัวเขาไว้“ท่านอย่าออกไป เมืองหลวงมีคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถานในยามราตรี หากท่านออกไปพบเจออันตรายเข้าจะทำเช่นไร?”ลั่วยางพูดเกลี้ยกล่อม“ท่านไม่ต้องกังวล พระชายาบอกแล้วว่า อีกสามวันทัพใหญ่จะตีเมืองหลวงแตก ถึงตอนนั้นพวกเราย่อมมีโอกาสได้พบ