“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าไปทำอะไร แค่ปลอดภัยก็พอ”นี่คือเรื่องที่นางหยางเป็นกังวล วันนี้หนังตาของนางกระตุกตลอดเวลา จึงเป็นกังวลว่าเด็กสองคนจะตกอยู่ในอันตราย“จือชิงเด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย อยู่ดี ๆ ก็วิ่งเข้าไปล่าสัตว์บนภูเขา”นางหยางกุมขมับ เพราะปวดหัว “แม่หนู ออกแรงอีกหน่อย หัวเด็กจะออกมาแล้ว”ภายในกระท่อมมุงจาก หมอตำแยกดขาทั้งสองข้างของกู้หว่านเยว่ไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ช่วยทำคลอด พลางเร่งกล่าว“ออกแรงอีกนิด เด็กออกมาแล้ว”“กรี๊ด!”กู้หว่านเยว่ต้องกรีดร้องอย่างอดไม่ได้ เจ็บปวดยิ่งนัก ความเจ็บปวดจากการแยกของหัวหน่าว ทำให้นางเหงื่อออกเต็มหน้าดูเหมือนเด็กที่อยู่ในท้องจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นมารดา จึงพยายามดันตัวเองออกมา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน กู้หว่านเยว่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายไปหมดแล้ว จนกระทั่งภาพตรงหน้าค่อย ๆ ดับวูบ“แง๊ ๆ!” เด็กทารกส่งเสียงร้องไห้เสียงแจ้วหมอตำแยร้องตะโกนด้วยความดีใจ “เด็กออกมาแล้ว ออกมาแล้ว”“เป็นบุตรชาย” เด็กสาวอุ้มเด็กมาห่อตัวด้วยผ้าฝ้าย ก่อนจะกล่าวอย่างประหลาดใจ “แม้ว่าเด็กคนนี้จะคลอดก่อนกำหนด แต่กลับดูไม่อ่อนแอเลยสักนิด”หมอตำแยชะ
กู้หว่านเยว่เริ่มกังวล ในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมความพร้อมไว้ในใจ หากคนที่เข้ามาคือคนอื่น นางจะพาสองแม่ลูกคู่นี้และลูกน้อยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้วงมิติในเมื่อพวกนางเสี่ยงชีวิตทำคลอดแล้ว คงจะปล่อยให้ความหวังดีของพวกนางสูญเปล่าแล้วจบลงด้วยการสละชีวิตไม่ได้แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความคิดในใจของกู้หว่านเยว่ นางมักจะรู้สึกว่าคนที่อยู่หน้าประตูคือซูจิ่งสิงแน่นอนเขาไม่มีทางปล่อยให้ชายชุดดำเหล่านั้นบุกเข้ามาเขาต้องปกป้องสองแม่ลูกคู่นี้ “หว่านเยว่ เจ้ายังสบายดีหรือไม่?”ซูจิ่งสิงกล่าวถามอย่างร้อนใจ น้ำเสียงยังคงเหนื่อยล้าครั้นได้ยินเสียงของเขา คนในบ้านก็โล่งใจป้องกันไว้ก่อน เด็กสาวมองผ่านช่องประตูก่อน ครั้นเห็นว่าหน้าประตูมีแค่ซูจิ่งสิงผู้เดียว จึงเปิดประตูออกไป“ท่านพี่” กู้หว่านเยว่กระตุกมุมปากนางที่เพิ่งคลอดลูกค่อนข้างอ่อนแอ แต่ไม่ถึงกับไม่มีแรงจะพูดขนาดนั้นเมื่อเห็นซูจิ่งสิง นางก็วางใจ“ไอหยา”ซูจิ่งสิงเอ่ยหนึ่งเสียง เสียงนั้นอ่อนโยนมาก อ่อนโยนคล้ายกับฟองน้ำที่บีบน้ำออกมาจากนั้นก็สาวเท้าสามขุมก้าวมายังข้างเตียง คว้ามือของกู้หว่านเยว่ ในขณะเดียวกันก็กวาดมองไปยังเด็กที่อยู่ในผ้
ครั้นเหมยจื่อเห็นรอยแผลเป็นของเจียงเฟิ่งก็ถึงกับพูดไม่ออก แม่เหมยจื่ออายุมากและมีประสบการณ์มากกว่า จึงรีบกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้ามาก พวกเจ้าค่อย ๆ ขัดนะ”เจียงเฟิ่งลูบศีรษะ ก่อนจะกลั้วหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านป้าก็เกรงใจเกินไป ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณที่พวกท่านทำคลอดให้ฮูหยิน ฮูหยินเพิ่งคลอดลูกเสร็จ ต่อไปคงต้องขอรบกวนพวกท่านอีกสองวัน”เขาหยิบเศษเงินถุงหนึ่งออกมา ครั้นเห็นว่ามีจำนวนยี่สิบเหรียญ ทั้งสองคนก็ไม่กล้ารับไว้“ท่านจอมยุทธ หนึ่งถึงสองเหรียญก็มากพอแล้ว”“ที่เหลือ รบกวนท่านนำไปซื้อแม่ไก่สดใหม่สักตัวเถอะ เอาไปตุ๋นซุปให้ฮูหยิน ให้นายท่านและพี่น้องได้กินกัน”เงินก้อนนี้เป็นเงินที่ซูจิ่งสิงให้มา เขาเลยยกให้ทั้งหมดดูออกว่าซูจิ่งสิงซาบซึ้งต่อครอบครัวนี้อย่างจริงใจเหมยจื่ออยากบอกว่าการซื้อแม่ไก่ไปทำอาหารนั้น ไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนี้ก็ได้ ครั้นเห็นมารดารับเงินเตรียมจะออกไปซื้อแม่ไก่ ก็รีบปิดปากเงียบ “ข้าจะไปทำอาหารให้พวกเจ้ากิน”นางไม่กล้าอยู่กับชายฉกรรจ์เหล่านี้นานนัก จึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวแต่ไม่นาน แม่เหมยจื่อก็ถือแม่ไก่กลับมาหนึ่งตัว ทั้งยังซื้อกับแกมกลับมาอีกบางส่วน จ
การที่คลอดลูกได้อย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณแม่ลูกคู่นี้จริง ๆ “ฮูหยิน” เหมยจื่อและเหมยจื่อเหนียงเดินเข้ามากู้หว่านเยว่มองไปทางพวกเขา ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าสองคนมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อข้าและลูก เป็นพวกเจ้าที่ช่วยชีวิตลูกของข้าไว้”ว่ากันตามจริง พวกนางก็เป็นแค่แม่ลูกชาวบ้านธรรมดา ๆ คู่หนึ่ง แต่กลับเลือกที่จะอยู่ช่วยเหลือนางในยามคับขันเช่นนี้ความใจดีนี้ ทำให้กู้หว่านเยว่ยิ่งยกย่องทั้งสองคนมากขึ้นยายเฉินรีบเอ่ยขึ้น “ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ หากเปลี่ยนเป็นใคร ๆ ก็ต้องทำเช่นนี้กันทั้งนั้น พวกเราจะทนดูชีวิตทั้งสองชีวิตตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก”เหมยจื่อก็เผยรอยยิ้มใสซื่อ “ใช่แล้ว การช่วยชีวิตคนคนหนึ่ง ยิ่งใหญ่กว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก”กู้หว่านเยว่ส่ายหัวพลางยิ้ม แม่ลูกคู่นี้ช่างจริงใจเสียจริง “ข้าพักฟื้นจนเกือบหายดีแล้ว อีกไม่นานก็จะจากไป พวกเจ้าสองแม่ลูกมีอะไรอยากได้ก็บอกมาได้เลย”กู้หว่านเยว่คิดว่า แม่ลูกคู่นี้ช่วยเหลือนางไว้มาก นางต้องตอบแทนบุญคุณแน่นอนแต่ในชั่วขณะหนึ่ง นางก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนพวกเขาด้วยอะไรดีให้เงินหรือ หากให้มากเกินไปก็อาจเป็นการนำ
เฉินลิ่วด่าทอด้วยความโมโห เมื่อเห็นเหมยจื่อเถียง ดวงตาที่เบิกโพลงของเขาก็จ้องเขม็งใส่นาง“เจ้ามันนางเด็กตัวซวยที่ทำให้ครอบครัวสามีตาย กล้าดีอย่างไรมาเถียงข้า พรุ่งนี้ข้าจะเอาเจ้าไปขายที่หอนางโลม”เหมยจื่อไม่กล้าส่งเสียง แต่ดวงตาของนางกลับจ้องมองเฉินลิ่วด้วยความเคียดแค้นเป็นอย่างมากเฉินลิ่วก็ไม่สนใจนาง เขาเรอออกมาเป็นกลิ่นเหล้า“เอาเงินมาให้ข้า”เขาแบมือออก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ขอเงิน “ข้าจะไปซื้อเหล้ากิน”“ในบ้านมีเงินที่ไหนกัน...” สีหน้าของยายเฉินดูตื่นตระหนกเล็กน้อยเฉินลิ่วแสยะยิ้มทันที ไม่ได้พูดอะไร ก็ถีบยายเฉินจนล้มลงกับพื้น“ไม่มีเงิน? ไม่มีเงินแล้วเจ้าไปซื้อแม่ไก่แก่มาทำไม ตอนข้าไม่อยู่บ้าน ก็แอบกินของอร่อย ๆ ใช่หรือไม่?”หมัดรัวราวกับสายฝนกระหน่ำลงบนตัวของยายเฉิน จนเกือบจะเอาชีวิตนางแล้ว“แม่ไก่แก่นั่นซื้อให้เจ้านาย ไม่ได้กินเอง...โอ๊ย หยุดตีได้แล้ว เจ็บนะ ตีอีกข้าตายแน่”ยายเฉินส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด พลางหดตัวเข้าไปในห้องไหนเลยจะรู้ว่าเฉินลิ่วได้ยินคำพูดนี้ ยิ่งโกรธมากขึ้น “มีเจ้านาย ยังกล้าบอกว่าไม่มีเงิน ยายแก่กล้าหลอกข้า รีบเอาเงินออกมา ไม่เช่นนั
“เหมยจื่อ”ยายเฉินตามมา แล้วจับมือของนางไว้ “อย่าพูดเช่นนี้ ถึงเขาจะไม่ดีแค่ไหน เขาก็เป็นพ่อของเจ้า”“เขาเป็นพ่อแบบไหนกัน?”เหมยจื่อเคียดแค้นที่สุด“ตั้งแต่เล็กจนโต เขารู้จักแต่ทุบตีข้า พูดไม่เข้าหูก็ถีบข้าจนกระอักเลือด”นางกอดศีรษะตัวเองไว้ แล้วร้องไห้โฮ “ถ้าไม่ใช่เพราะเขาติดหนี้พนัน พี่เจิ้งก็คงไม่โดนคนทุบตีตาย”“สามีของข้า ในวันแต่งงานวันแรก ฮ่า ๆ ๆ... ข้ายังไม่ทันได้รอให้เขามารับ เขาก็ถูกคนทุบตีจนตายระหว่างทางเสียแล้ว”“ข้ารอเขาอยู่ที่บ้านเพื่อให้เขามารับตัว แต่สุดท้ายสิ่งที่รออยู่กลับเป็นโลงศพของเขา”“ข้ากับพี่เจิ้งเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เพียงเพราะเขาต้องการเงินสิบตำลึงเป็นค่าสินสอด พี่เจิ้งจึงทำงานเป็นช่างไม้ในเมืองทั้งวันทั้งคืน เพื่อเก็บเงินมาแต่งงานกับข้า กว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันมันยากลำบากมาก”“ทั้งหมด ทั้งหมดนี้ถูกเขาทำลาย! ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดเขามากแค่ไหน ข้าอยากให้เขาตายไปเสีย”เหมยจื่อคุกเข่าลงกับพื้น และร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด“เหมยจื่อ...”ยายเฉินนั่งลงบนพื้นด้วยความตกตะลึงนางคิดมาตลอดว่าให้เหมยจื่อได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์ นางต้องอดทนบ้างก็ไม่
เฉินลิ่วด่าทอเสียงดังลั่น “เจ้าบ้าไปแล้ว นางเด็กบ้านี่ ข้าเป็นพ่อของเจ้านะ เจ้ากล้าตีข้า เจ้ามันบ้าไปแล้ว”เหมยจื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยิ้มเยาะ “เจ้าก็คู่ควรเป็นพ่อของข้าหรือ ไอ้ขี้เมาติดการพนันอย่างเจ้า สมควรตายอยู่ในท่อระบายน้ำเน่า ๆ เสียมากกว่า!”คำพูดนี้ นางอยากจะพูดออกมาตั้งนานแล้ว พอได้ระบายออกมา ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเจียงเฟิ่งจับเฉินลิ่วไว้แน่น เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่เหมยจื่อ ไม่ต้องกลัว ข้าจับเขาไว้แล้ว มีอะไรอยากพูด มีแค้นอะไร ก็ระบายออกมาเลย”เหมยจื่อมองเฉินลิ่วที่กำลังทำหน้าเหี้ยมเกรียมแล้วส่ายหัว“ข้าแค่อยากพาท่านแม่ไปให้ไกลจากเขา”ความคับแค้นใจของนาง พูดเท่าไรก็คงไม่หมดถึงจะพูดออกไป เฉินลิ่วจะเข้าใจหรือ? เสียเวลาเปล่า“เจียงเฟิ่ง เจ้าลากคนไปจัดการที” กู้หว่านเยว่โบกมือผู้ชายใช้ความรุนแรงในครอบครัวแบบนี้ นางกลัวว่าตนเองจะอดใจไม่ไหวฆ่าเขาตายเสียก่อน“ฮูหยินวางใจ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าจะจัดการเอง”เจียงเฟิ่งรีบลากตัวเฉินลิ่วเข้าไปในห้องเก็บฟืนข้าง ๆ ไม่นานนัก เสียงร้องโหยหวนของเฉินลิ่วก็ดังออกมาจากห้องเก็บฟืนเหมยจื่อกับยายเฉินจับมือกัน ฟังเสียงร้องโหยหวนนั้น
องครักษ์จันทราหลายคนขยี้ตา“สวรรค์ ข้าน้อยมีชีวิตอยู่มายี่สิบกว่าปี เพิ่งเคยเห็นนกกางเขนเอารังนกมาให้แบบนี้เป็นครั้งแรก”เจียงเฟิ่งกล่าวด้วยความตกตะลึง “นกกางเขนพวกนี้คงรู้ว่าฮูหยินเพิ่งคลอดคุณชายน้อย จึงนำของบำรุงมาให้สินะ?”คนพูดไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังกลับเก็บไปคิดกู้หว่านเยว่เปิดม่านรถม้า กลับเห็นของที่วางอยู่บนรถม้าล้วนเป็นรังนก โสมแดง สิ่งของที่เหมาะสำหรับบำรุงเลือดลมหลังคลอดบุตรทั้งนั้นพวกมันมาส่งมอบความห่วงใยหรือ?“เป็นของบำรุงทั้งนั้นเลย หาถุงผ้ามาใส่เก็บไว้เถอะ”สมุนไพรพวกนี้จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้“ขอรับ”องครักษ์จันทราหลายคนรีบหยิบถุงผ้า เก็บรังนกและโสมแดงบนรถม้าจนหมดเกลี้ยงนกกางเขนพวกนั้นก็ฉลาดเหมือนกัน เห็นว่าพวกเขาเอาถุงผ้ามาแล้ว ก็เลยไม่โยนลงบนรถม้าอีก แต่โยนสมุนไพรลงในถุงผ้าแทนถุงหลายใบถูกใส่เอาไว้จนเต็มนกกางเขนบินวนรอบกู้หว่านเยว่รอบหนึ่ง แล้วก็จากไป“อุแว้อุแว้...”ดวงตาของจ้านจ้านน้อยเป็นประกาย สีหน้าดูพึงพอใจ ไม่ต้องพูดเลยว่ามีความสุขแค่ไหนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กู้หว่านเยว่รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวเล็กนี่อย่างแน่นอน
“พูดมา!”ซูจื่อชิงแทบคลั่งแล้ว“ข้าไม่พูดหรอก เก่งจริงเจ้าก็ฆ่าข้าเสียเลยสิ แต่ข้าต้องบอกเจ้าว่า หากเจ้าฆ่าข้าจริง ๆ ภาพวาดเหมือนของชิงหว่านก็จะกระจายไปทั่วถนนและตรอกซอกซอย”ซูจื่อชิงเหมือนถูกฟ้าผ่าแสกหน้า “ภาพวาดเหมือนอะไรกัน?”“ฮ่าฮ่า เจ้าว่าไงล่ะ”เผยเสวียนยิ้มกริ่มพลางชี้มือชี้ไม้ “ภาพนั้นข้าเป็นคนวาดเองกับมือ เจ้าไม่รู้หรอก ที่บั้นเอวของนางยังมีปานแดงเล็ก ๆ อยู่ด้วย”เหมือนเสียงระเบิดดังลั่นในใจซูจื่อชิง เขาเคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเผยเสวียนจะชั่วร้ายได้ถึงเพียงนี้ทุกคำและทุกประโยค ราวกับมีมีดกรีดหัวใจของเขามิน่าเล่าเมี่ยชิงหว่านถึงผอมซูบไปมากขนาดนั้น ไม่แปลกใจเลยที่นางร้องไห้อยู่เรื่อย ๆ นางโดนข่มเหงรังแกจนเป็นเช่นนี้นี่เอง!เจตนาสังหารอันท่วมท้นเอ่อล้นขึ้นในดวงตาของซูจื่อชิง แทบอยากจะชำแหละคนที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นชิ้น ๆ เขาพยายามควบคุมตัวเองอย่างเต็มที่ จึงไม่ได้สังหารเผยเสวียนโดยตรงทันที“ภาพวาดพวกนั้น เจ้าเอาไปไว้ที่ไหน?”“ฮ่าฮ่า เจ้าอยากรู้ ยังไงข้าก็ไม่บอกเจ้าหรอก รอจนถึงวันแต่งงานของข้ากับชิงหว่าน บางทีข้าอาจจะยกภาพหนึ่งให้เจ้า ให้เจ้าเก็บไว
เมื่อเห็นเผยเสวียนกำลังจะร้องขอความช่วยเหลือ ก็ปล่อยอีกหมัดหนึ่งกระแทกปากของเขา“เจ้าบังอาจมารังแกชิงหว่าน กล้าดียังไง?!”ซูจื่อชิงปรารถนาจะสังหารเผยเสวียนใจจะขาด หญิงสาวที่เขาคอยประคองอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ กำลังถูกเผยเสวียนหยามเกียรติและย่ำยีเช่นนี้“ปล่อย ปล่อยนะ!”ทักษะการต่อสู้งู ๆ ปลา ๆ ของซูจื่อชิงอาจกล่าวได้ว่าพอ ๆ กันกับเผยเสวียน แต่ด้วยไฟโทสะเต็มอก จึงใจร้อนซัดอีกฝ่ายจนหมอบราบคาบทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไปกว่าเมี่ยชิงหว่านจะตั้งสติได้ ใบหน้าของเผยเสวียนก็บวมปูดเป็นหัวหมูแล้ว“จื่อชิง เจ้าไปอยู่ข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่?”เมื่อครู่คำพูดเหล่านั้น เขาได้ยินมากน้อยแค่ไหนกันนะ?ใบหน้าของเมี่ยชิงหว่านเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอับอายเคียดแค้น แต่ซูจื่อชิงกลับเหลือเพียงความปวดร้าวเท่านั้น“ข้าได้ยินแล้ว ข้าได้ยินทั้งหมด ข้าได้ยินเขาข่มขู่เจ้า”เขาจับมือของเมี่ยชิงหว่านไว้“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?”เมี่ยชิงหว่านทั้งอับอายและเคียดแค้นเจียนตาย อยากจะโขกหัวให้ตายไปเสีย สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือเรื่องนี้จะมีคนรู้ ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่มีคนรู้จร
“เผยเสวียนรังแกเจ้าหรือ?!”“เปล่า”เมี่ยชิงหว่านส่ายหัว ทว่าสายตาที่หลบเลี่ยงกลับทำให้ซูจื่อชิงรู้สึกได้ว่ามีอะไร“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะไปถามเขาเดี๋ยวนี้”หากเผยเสวียนสามารถมอบความสุขให้นางได้จริง ๆ และนางเต็มใจ เขาก็ทำได้แค่อวยพรเท่านั้น แต่หากเผยเสวียนยังคงรังแกนางอยู่เสมอ ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจซูจื่อชิงลุกขึ้นและกำลังจะออกไป แต่เมี่ยชิงหว่านกลับรีบขวางเขาไว้เหมือนตกใจกลัว“ท่านอย่าไป อย่าไปถามเขา?”นางดูควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ ซูจื่อชิงยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม“เป็นอะไรกันแน่?”“เอาเป็นว่าท่านไม่ต้องไปถามเขา ถ้าท่านไปถามเขาล่ะก็ ข้าจะไม่ให้อภัยท่าน”พูดจบ เมี่ยชิงหว่านก็วางถ้วยกับตะเกียบลง แล้ววิ่งออกไปข้างนอก“ชิงหว่าน?”“อย่าตามข้ามานะ ขอร้องล่ะ!”เมี่ยชิงหว่านวิ่งตรงกลับไปที่ห้องของตัวเอง ในขณะที่ซูจื่อชิงกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ คิ้วขมวดแน่น ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง“ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่า เผยเสวียนต้องทำอะไรกับชิงหว่านแน่”กู้หว่านเยว่ดึงซูจิ่งสิงมา ดอดออกจากห้องที่ซูจื่อชิงอยู่ มาพูดคุยกันตรงที่ที่ไม่มีใครต้องบอกว่าตอนแรกนางแค่รู้สึกสงสัย แต่เมื่อเห็นท่าทางของ
“เจ้าลูกคนนี้”หนานหยางอ๋องมองเพียงว่าเมี่ยชิงหว่านกำลังเขินอาย จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่กลับไม่รู้ว่าเมี่ยชิงหว่านนั้นปรารถนาจะสังหารเผยเสวียนเหลือเกิน“ท่านพ่อตา ชิงหว่านอาจจะได้ยินเรื่องการแต่งงาน จึงเขินอายไปหน่อย”เผยเสวียนยิ้มออกมาเหมือนสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรมหนานหยางอ๋องจะไปเข้าใจความคิดของลูกสาวได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมี่ยชิงหว่านที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากเขามาตั้งแต่เด็ก เผยเสวียนพูดเช่นนี้ เขาก็เชื่อแล้ว“ท่านพ่อตา ใช้ชาแทนเหล้า เขยขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”“ดี ๆ ๆ เอามาจอกหนึ่ง”ทางด้านนี้หนานหยางอ๋องและเผยเสวียน “ชนแก้วแลกจอก” ดื่มด่ำสำราญร่วมกัน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งกู้หว่านเยว่ก็แอบเตะซูจิ่งสิงใต้โต๊ะทั้งสองหาข้ออ้างเดินออกมาระหว่างงานเลี้ยง แต่แล้วก็พบเมี่ยชิงหว่านยืนสองจิตสองใจอยู่นอกห้องของซูจื่อชิง“ชิงหว่าน?”กำลังลังเลใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ แต่ซูจื่อชิงก็เห็นนางก่อนแล้วมือทั้งสองถูกพันแผลจนเหมือนบ๊ะจ่างลูกใหญ่ ฉู่เฟิงกำลังป้อนอาหารเขาอยู่“เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง รีบเข้ามาสิ มัวยืนอยู่หน้าประตูทำไม?”ซูจื่อชิงเดินออกไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตาทั้งคู่ส่อ
แม่ม่ายหลี่กอดเด็กสองคนไว้ในอ้อมแขน รู้สึกตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาไหลอาบแก้มนอกจากพวกเขาแล้ว ชาวประมงคนอื่น ๆ ก็สวมกอดกับครอบครัวของพวกเขาเช่นกัน“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านกลับมาแล้ว อาเฉ่าคิดถึงท่านมาก”“ลูกชายของข้าล่ะ ลูกชายของข้าทำไมไม่กลับมา?”ชายวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนเรืออย่างร้อนรน ก็เห็นศพสองศพบนดาดฟ้าเรือแม้ว่าศพทั้งสองจะถูกทับจนเละเทะไปหมด แต่ลุงเนี่ยก็ยังจำเสื้อผ้าบนศพทั้งสองได้ในทันที เพราะเป็นเสื้อผ้าที่เขาตัดเย็บเองกับมือ“ต้าหู่ เสียวหู่ พวกเจ้าเป็นอะไรไป?”ลุงเนี่ยร้องไห้โฮแล้ววิ่งเข้าไป ซูจิ่งสิงเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมา แล้วบอกสาเหตุการตายของทั้งสองคนให้เขาฟัง“ตอนที่พวกเราไปถึง ทั้งสองคนนี้ก็เละเทะไปหมดแล้ว ขาดใจตายไปนานแล้ว”“ต้าหู่ เสียวหู่ พวกเจ้าลืมตาขึ้นมามองพ่อสิ พ่อจะเสียพวกเจ้าไปไม่ได้!”ลุงเนี่ยร้องไห้เสียงดังลั่น หัวหน้าหมู่บ้านรีบเข้าไปอธิบายให้เขาฟังคงเป็นเพราะรับไม่ได้ที่ลูกชายทั้งสองจากไป เขาจึงเป็นลมล้มพับไป“ใครก็ได้ เร็วเข้า พาเนี่ยต้าเหลียงกลับบ้านทีแล้วก็ศพของต้าหู่และเสียวหู่ พวกเจ้าไปหาแผ่นไม้มา แล้วนำศพกลับไปที่บ้านสกุลเนี่ย”“พวกเราจ
มองเห็นร่างของพวกเขาค่อย ๆ กลายเป็นจุดดำเล็ก ๆ จนหายไปในที่สุดกู้หว่านเยว่จึงนำชาวประมงสิบคน หนานหยางอ๋อง และศพอีกสองศพออกมาจากมิติศพทั้งสองนั้นถูกก้อนหินทับจนเละเทะไปหมด มองดูแล้วน่าสยดสยองจริง ๆ กู้หว่านเยว่จึงไปเด็ดใบไม้ใหญ่ ๆ ริมแม่น้ำ มาคลุมศพเอาไว้“ท่านพี่ ข้าจะเข้าไปดูงูหลามยักษ์ตัวนั้นในมิติก่อน”ระหว่างรอ กู้หว่านเยว่ก็บอกกับซูจิ่งสิง หลัก ๆ แล้วนางกังวลว่างูหลามยักษ์จะคลุ้มคลั่งอยู่ในมิติ“ได้ เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะคอยดูต้นทางให้เจ้าข้างนอกนี่เอง”ซูจิ่งสิงพยักหน้าอย่างอ่อนโยน กู้หว่านเยว่จึงรีบเข้าไปในมิติแต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ หลังจากเข้าไปแล้ว กลับไม่พบฉากนองเลือดอย่างที่คิดไว้งูหลามยักษ์สีขาวกำลังนอนขดอยู่กับนกหงส์เพลิงนกตัวหนึ่ง งูตัวหนึ่ง คุยกันเจื้อยแจ้ว ราวกับกำลังรำลึกความหลังกู้หว่านเยว่ ? นกกับงูเป็นเพื่อนกันได้ด้วยหรือ?“จูเชวี่ย พวกเจ้าสองตัวเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่?”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เข้ามา นกหงส์เพลิงก็รีบกางขาเล็กๆ สองข้าง กระพือปีกบินมาหากู้หว่านเยว่ จากนั้นเอาหัวถูไถนางอย่างสนิทสนมส่วนงูหลามยักษ์สีขาวก็เอียงหัว กะพริบตา จ
“ข้า...ข้าแอบตามหลังพวกท่านมา ก็เลยติดตามมาด้วย”ซูจื่อชิงก็ก้มหน้าเช่นกัน ทั้งสองคนเหมือนเด็กน้อยสองคนที่ทำความผิดมองดูเด็กตัวป่วนสองคนที่เพิ่งรอดตาย กู้หว่านเยว่ก็ดุพวกเขาไม่ลง“ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก มันอันตรายมาก”ซูจิ่งสิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่เมื่อเห็นการกระทำที่ซูจื่อชิงปกป้องเมี่ยชิงหว่านเมื่อครู่นี้ เขาในฐานะพี่ชายก็รู้สึกโล่งใจน้องรองโตขึ้นแล้ว“รีบเอามือเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย”เมี่ยชิงหว่านนึกอะไรขึ้นได้ รีบคว้ามือทั้งสองข้างของซูจื่อชิง เมื่อเห็นฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาของนางก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง“เหตุใดเจ้าถึงโง่เช่นนี้ เมื่อครู่ เจ้าสามารถทิ้งข้าแล้วหนีเอาตัวรอดไปได้แท้ ๆ ”ซูจื่อชิงไม่พูดอะไร ถ้าเขาคิดจะหนีเอาตัวรอด คงไม่ช่วยเมี่ยชิงหว่านตั้งแต่แรกแล้ว“พี่หว่านเยว่ พี่รีบดูแผลที่ฝ่ามือของเขาเร็ว”เมี่ยชิงหว่านร้อนใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมาบางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตกใจมากเกินไป ซูจื่อชิงจึงไม่รู้สึกเหนื่อย คิดแต่ว่าจะพายให้เร็วขึ้นอีกหน่อยตอนนี้พ้นจากอันตรายแล้ว เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือทันที แขนทั้งสองข้างก็ปวดเมื่อยจนชาไปหมดแม้แต่เรี่ยวแรงที่
“ท่านพี่ เรากลับกันเถอะ”กู้หว่านเยว่เห็นว่าในมิติล้วนเต็มไปด้วยทองคำ จึงยิ้มอย่างมีความสุขมากเป็นพิเศษ มีเงินนี่ดีจริง ๆ มีเงินก็สามารถทำการใหญ่ได้“ไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ ทำความสะอาดเครื่องเรือนที่เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างใส่ใจ ทั้งสองมองย้อนกลับไปดูทางส่วนลึกของถ้ำในสุสานใต้ดินเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจูงมือกันเดินกลับทางเดิมขณะที่ผ่านทางเดิน เห็นชาวประมงสองคนที่ถูกทับตายอย่างน่าสงสาร คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจนำศพของพวกเขากลับไปด้วยเวลานี้หนานหยางอ๋องได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว และป้อนน้ำเชื่อมที่กู้หว่านเยว่ทิ้งไว้ให้เหล่าชาวประมงตามจำนวนเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นทั้งสองคนพุ่งตัวออกมาจากข้างใน จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับเช็ดเหงื่อ“ท่านอ๋อง พระชายา ในที่สุดพวกท่านก็ออกมาแล้ว ข้ายังกังวลว่าพวกท่านจะพบกับอันตราย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วแล้วยิ้ม “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก”หนานหยางอ๋องรีบหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา “ชาวบ้านจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กหายไปทั้งหมดสิบสองคน ตายไปสองคน ที่เหลืออยู่ที่นี่แล้ว”ที่แท้หัวหน้าหมู่บ้านก็ให้สมุดเล่มเล็กกับเขาเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการตามหาชาวประมงที
นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิบดาบยาวขึ้นมา ทันใดนั้นก็พบว่าดาบเล่มนี้เข้ากับซูจิ่งสิงมากทีเดียว“ท่านพี่ ดาบเล่มนี้เหมาะกับท่านมาก”“ข้าขอลองหน่อย” ซูจิ่งสิงรับดาบยาวมา ทันทีที่จับดาบไว้ในมือ ก็รู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าของดาบเล่มนี้หยิบดาบยาวขึ้นมา ฟันไปที่โซ่เหล็กข้างหนึ่งผลปรากฏว่าโซ่เหล็กนั่นขาดทันที“คมกริบ ดาบเล่มนี้เป็นของดีจริง ๆ !”กู้หว่านเยว่ร้องอุทาน เมื่อเห็นว่าซูจิ่งสิงชอบดาบเล่มนี้มาก จึงเสนอว่า“ท่านพี่ ถ้าท่านชอบดาบเล่มนี้ ก็เก็บไว้ข้างกายเถิด”“ตกลง” ซูจิ่งสิงนาน ๆ ทีจะชอบของสักอย่างมากขนาดนี้ตอนที่ทั้งสองคนเพิ่งเข้ามา พวกเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสุสานของใครสักคน แต่หลังจากเดินวนไปรอบ ๆ สุสานใต้ดินแล้ว กู้หว่านเยว่ก็พบว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเคยอาศัยอยู่ดูสิ ที่ส่วนลึกของสุสานใต้ดิน ยังสามารถมองเห็นโต๊ะเครื่องแป้ง บนโต๊ะมีกระจกทองแดง ด้านหน้ายังมีกล่องใส่เครื่องประทินโฉมอีกด้วยด้านหลังยังมีเตียงหินอีกหนึ่งเตียง แม้ว่าที่นี่จะเก่าแก่มาก ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น แต่ก็มองเห็นเลือนรางว่าเป็นที่ที่ชายหญิงคู่หนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่“ท่านพี่