บังเอิญนางหิวเล็กน้อย ได้กลิ่นหอมนิ้วมือก็ขยับในทันทีทันใดหลังมั่นใจว่าไม่มีพิษ ก็ชิมเข้าไปหนึ่งคำ ครั้นได้ชิมดวงตาก็หลับพริ้ม“อร่อย!”กู้หว่านเยว่มิได้เกรงใจ หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงนี้อร่อยมาก“พวกเจ้าสองคนเคยทำอาหารมาก่อนหรือ ทำอาหารอร่อยมากเพียงนี้ได้?”หญิงออกเรือนแล้วถูมือ “ก่อนพวกเราหนีมา ทำอาหารอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่กินเข้าไปอีกหลายคำ เกิดความคิดหนึ่งขึ้นภายในใจนางนึกได้ว่าจวนขาดคนทำอาหารพอดี มิสู้ให้สองสามีภรรยามาทำอาหารที่จวนเพียงแต่ต้องการทำงานในจวนนาง จะต้องลงนามในสัญญาขายตัวเป็นทาส หาไม่แล้วนางก็ไม่วางใจ ก็แค่ไม่รู้ว่าสามีภรรยาคู่นี้จะยอมหรือไม่กู้หว่านเยว่บอกความคิดของตนให้พวกเขาฟังสองสามีภรรยาได้ยิน แทบจะไม่ลังเล “ฮูหยินและนายท่านเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตพวกเรา พวกเรายินดีอยู่ในจวนหลังนี้”แท้จริงแล้ว หากกู้หว่านเยว่ไม่รับพวกเขาไว้ พวกเขาเองก็ต้องไปหางานทำ“เช่นนั้นพวกเจ้าก็กลับไปเก็บของ ย้ายของเข้าจวนกู้เถอะ”กู้หว่านเยว่ขยิบตาให้ฉู่เฟิงทีหนึ่ง รีบพาทั้งสามคนไปลงนามในสัญญาขายตัวเป็นทาส ยิ่งไปกว่านั้นยังจัดแจงที่พักให้พวกเขาอีกด้วย“
“เดิมทีพี่หญิงและพี่เขยก็มีชีวิตสุขสำราญ ก็เพราะการปรากฏตัวของเจ้า ทำลายความงดงามนี้ไป”นางหลิ่วจับจ้องกู้หว่านเยว่ตาเขม็ง สายตาคล้ายยาพิษก็มิปาน“พวกเขารนหาที่ตายเอง มิได้ตายบนมือข้า เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย?”กู้หว่านเยว่มีสีหน้างุนงงสาเหตุที่ทังต๋าถูกเนรเทศ ก็เพราะมีมากมายหลายชีวิตต้องตายในเงื้อมมือของอีกฝ่ายหลายปีเพียงนี้ ยักยอกเงินเป็นจำนวนมาก สมควรได้รับโทษส่วนหลิ่วอี๋เหนียงคนนั้น ก็ไม่ต้องพูดแล้วถึงขั้นช่วยทังต๋าหลอกหลี่ชิวเตี๋ย ส่งลูกชายของตนให้หลี่ชิวเตี๋ยเลี้ยง สตรีอำมหิตเพียงนี้ ภายภาคหน้าถูกสกุลหลี่สั่งสอนก็เป็นเรื่องปกติแต่นี่พูดไปพูดมาล้วนเป็นบุญคุณความแค้นของพวกเขาและสกุลหลี่ นางคล้ายไม่มีความเกี่ยวข้องกระมัง?“หากมิใช่เพราะเจ้า เดิมทีเรื่องของพี่หญิงข้าและพี่เขยก็ไม่มีใครพบ”ตานางหลิ่วแดงขึ้น “เป็นเจ้าทำลายความสุขของข้า เป็นเจ้าทำลายชีวิตอันงดงามของข้า!ถึงขั้นอยากดึงปิ่นบนศีรษะ แทงกู้หว่านเยว่ยังดีขาสองข้างของนางหักไปแล้ว เมื่อครู่จึงล้มลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมหน่อย หากยังวุ่นวายอีก ข้าจะรับชีวิตของเจ้าไปเสียเลย”หงเจาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ หญิงคนนี้ใช่หรือไม
เรื่องของบ้านคนอื่นยังสอดเข้าไปยุ่งน้อยลงจะดีกว่า เมื่อแรกหากไม่ต้องจัดการทังต๋า ไล่เขาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการอำเภอเมืองอวี้ กู้หว่านเยว่ก็คงไม่ไปสืบเรื่องของบ้านพวกเขาไม่สืบหาย่อมไม่รู้ เพียงสืบหาก็พบว่า ทังต๋าเป็นชายเจ้าชู้คนหนึ่ง“เจ้าค่ะ” หงเจารีบเข้าไปจับตัวนางหลิ่วนางหลิ่วยังร้องตะโกนโวยวาย “กู้หว่านเยว่เจ้านางแพศยาคนหนึ่ง หากมิใช่เจ้า บัดนี้พี่เขยข้าก็ยังสบายดี ส่วนข้าเองก็ไม่ตกลำบากถึงขั้นนี้ เหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าทำลาย ข้าสาปแช่งเจ้า สาปแช่งให้เจ้าไม่ตายดี...”“หุบปาก!”หงเจามิอาจทนฟังต่อไปไหว สับมือใส่อีกฝ่ายจนหมดสติไป ยิ่งไปกว่านั้นยังออกแรงมากเพียงพอ ไม่กลัวตีอีกฝ่ายตายเลยแม้แต่น้อยก็เพราะนางโมโหมาก ไม่อาจทนฟังใครพูดจาหยาบคายต่อฮูหยินได้ทั้งๆ ที่ฮูหยินเป็นสตรีจิตใจดีที่สุดบนโลก หากมิใช่นาง บัดนี้ยังมีผู้ลี้ภัยอีกมากไม่มีบ้านให้กลับมือคู่นั้นของนางไม่รู้ว่าช่วยชีวิตคนมากน้อยเพียงใด ตัวโง่งมนี้ ถึงขั้นยังขวัญกล้าสาปแช่งฮูหยิน!กู้หว่านเยว่พูดอย่างขำขัน “เจ้าโมโหนางทำอันใด?”นางเองก็มองเห็นการกระทำเล็กๆ ของหงเจาหงเจาแลบลิ้น “ยังดีข้าอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงกล้าลงมือ
ดวงตาหลี่ชิวเตี๋ยทอประกายระยับ หญิงชั่วประจบสอพลอเช่นนี้ จะต้องให้ศาลาว่าการต้อนรับนางดีๆ“ใช่แล้วฮูหยิน ข้าสั่งคนให้ทำชาดตามตำรับที่เจ้ามอบให้ออกมาแล้ว”หลี่ชิวเตี๋ยหยิบชาดที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อไว้อย่างดีจากมือสาวใช้ เปิดออกส่งให้กู้หว่านเยว่“เล็กๆ หนึ่งกล่อง ไม่เพียงสีนุ่มนวล ยังหอมมากนัก”สายตานางยามสบมองกู้หว่านเยว่เปี่ยมความเลื่อมใส “ฮูหยิน เจ้ามีอะไรทำไม่ได้บ้างเล่า?”กู้หว่านเยว่ยิ้มแต่ไม่พูด กลับครุ่นคิดภายในใจก็เพราะนางมีนิ้วทองอย่างไรเล่า!บนแพลตฟอร์มการขายในมิติ ตำรับชาดมีมากนักกู้หว่านเยว่หยิบตำรับโบราณทำง่ายออกมาสองสามแผ่น จะต้องไม่ล้มเหลวอย่างแน่นอน“เพียงชาดนี้ยังไม่พอ ยังขาดอีกหนึ่งสิ่ง”ภายใต้สายตาสงสัยของหลี่ชิวเตี๋ย กู้หว่านเยว่หยิบแปรงแต่งหน้าออกมาอันหนึ่งบังเอิญมีหญิงออกเรือนแล้วยังอ่อนเยาว์หลายท่านเดินเข้ามาจากภายนอกพอดี“ชิวเตี่ย เหตุใดร้านดอกท้อของเจ้าไม่เปิดเล่า?”“อวิ๋นเซียง? เหตุใดพวกเจ้ามาได้”หลี่ชิวเตี๋ยรีบลุกขึ้นแนะนำ “ฮูหยิน นี่คือสวี่ฮูหยิน สองท่านนี้คือโจวฮูหยินและจี้ฮูหยิน”พวกนางล้วนเป็นคนตระกูลขุนนางเมืองอวี้ ก่อนนี้หลี่ชิวเตี๋ยมักไปห
พอดีจะได้แนะนำหลี่ชิวเตี๋ยสักเล็กน้อย แปรงแต่งหน้านี้ใช้งานเยี่ยงไร ถึงตอนนั้นจะได้ประกาศออกไป“รบกวนเจ้าแล้ว” สวี่ฮูหยินพยักหน้าให้กู้หว่านเยว่อย่างมีมารยาทแท้จริงแล้วสวี่ฮูหยินไม่มีความมั่นใจในตนเองมาโดยตลอด เพราะในบรรดาคนกลุ่มนี้ นางหน้าตาแย่ที่สุดดังนั้นทุกครั้งสวมใส่เสื้อผ้าทำได้เพียงเลือกเสื้อผ้าเรียบง่าย ใบหน้าก็ไม่กล้าแต่งมากเกินไปนัก“ใช้ได้จริงหรือ?”เห็นว่ากู้หว่านเยว่หยิบแปรงแต่งหน้าขึ้นมาปัดลงบนใบหน้านาง สวี่ฮูหยินกังวลมากชนิดที่ว่าลมหายใจยังผ่อนให้เบาลง ทว่าเพียงครู่เดียวก็หว่านเยว่ก็ดึงมือกลับไปแล้วหลี่ชิวเตี๋ยวอุทานอย่างตกตะลึง “สวรรค์ อวิ๋นเซียง เจ้างามยิ่งนัก”“เจ้า เจ้ากำลังล้อเล่นกระมัง?”สวี่ฮูหยินลืมตาอย่างกังวล หลี่ชิวเตี๋ยรีบให้สาวใช้หยิบคันฉ่องมาเพียงได้เห็น นางก็เหม่อไปเดิมทีใบหน้าเหลืองซีด ครู่เดียวก็กลายเป็นชุ่มชื้นนวลแดงยิ่งไปกว่านั้น เพราะทางฝั่งเจดีย์หนิงกู่มีลมหิมะแรง ใบหน้านางหยาบกร้านมากมาโดยตลอดทว่าตอนนี้รูขุมขนบนใบหน้ากลับเรียบ ผิวพรรณดีขึ้นไม่ใช่เพียงเล็กน้อยสวี่ฮูหยินตกตะลึงดีใจอย่างอดไม่ได้เดิมทีนางก็แค่ไว้หน้าสหาย คิดไม่ถ
“เมื่อครู่ได้ยินโจวฮูหยินพูดว่า เจ้าถูกคนหลอกแล้ว?”สวี่ฮูหยินเอ่ยถามอย่างห่วงใย“พูดไปแล้วเรื่องยาวมากนัก ครั้งหน้าค่อยบอกเจ้า”หลี่ชิวเตี๋ยอยากให้แผลสมานด้วยตนเอง อย่างไรเสียนางก็ตาบอดเลือกทังต๋า ชายเจ้าชู้คนนี้ทำให้นางอับอายไปทั่วทั้งเมืองอวี้ดังนั้นในระยะนี้ นางจึงมิได้ไปมาหาสู่กับฮูหยินเหล่านั้นส่วนสวี่ฮูหยินในฐานะสหายที่ดีของนาง ก็ไม่รู้เรื่องนี้“รอเจ้าอยากพูด ค่อยพูด”สวี่ฮูหยินเองก็เป็นคนหลักแหลมคนหนึ่ง เห็นหลี่ชิวเตี๋ยไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ นี่ก็ไม่คิดถามต่อนางหันหน้า สายตาตกลงบนตัวกู้หว่านเยว่ รู้สึกเก้อกระดาก“ในเมื่อผงไข่มุกหยกนารีและผงฝูหรงนี้เจ้าเป็นคนทำ เชื่อว่าเจ้าจะต้องมีชุดบำรุงผิวเป็นแน่”“สวี่ฮูหยินมีอันใดก็พูดออกมาโดยตรงเถอะ” กู้หว่านเยว่หยั่งเดาว่านางจะพูดอะไรสวี่ฮูหยินพูดอย่างกังวล “ข้าเห็นเจ้าผิวพรรณดีมาก เมื่อครู่ตอนเจ้าแต่งหน้าให้ข้า เชื่อว่าได้เห็นรอยขรุขระ รูขุมขนกว้างมากของข้าแล้ว”นางรีบเอ่ยถาม “มีวิธีใด สามารถบำรุงผิวข้าได้หรือไม่?”แม้ว่าแต่งหน้าสามารถปกปิดได้ แต่ล้างหน้าแล้วก็ยังกลับมาเหมือนเดิมสวี่ฮูหยินพูดอย่างเก้อกระดาก ตกดึกยามน
หลี่ชิวเตี๋ยเองก็ไม่ปิดบังสวี่ฮูหยินประการแรกสวี่ฮูหยินมีสายสัมพันธ์อันดีต่อนาง ประการที่สองพวกเขาล้วนอยู่ที่เมืองอวี้ ภายภาคหน้ามีโอกาสได้พบหน้ามากนักไม่ช้าก็เร็วสวี่ฮูหยินก็ต้องได้รู้ฐานะที่แท้จริงของกู้หว่านเยว่ มิสู้ตนเองซื้อใจนางสักหน่อย บอกฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายออกไปโดยตรงสำคัญคือ เห็นท่าทางของกู้หว่านเยว่ กลับไม่คิดปิดบังฐานะของตนดังนั้นหลี่ชิวเตี๋ยเองก็วางใจและพูดออกมาอย่างผ่าเผย“เจ้ากำลังบอกว่า...” สวี่ฮูหยินตกตะลึงพรึงเพริดดังคาดบัดนี้คนมีหน้าตาในเมืองอวี้ ใครไม่รู้ ภายนอกท่านหลี่โหวควบคุมดูแลเจดีย์หนิงกู่ แต่แท้จริงแล้วคนอยู่เบื้องหลังคือคนอื่น“ข้ายังคิดว่า...คิดไม่ถึงฮูหยินท่านนี้ถึงขั้นเป็นกันเองเพียงนี้เมื่อครู่ พูดกับข้ามากเพียงนั้น ยังจับชีพจรให้ข้าด้วยตนเองอีกด้วย นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว”ตอนนี้สวี่ฮูหยินอยากทำเพียงพูดว่าอามิตตาพุทธยังดีนางและหลี่ชิวเตี๋ยเป็นสหายกัน เมื่อครู่ก็มิได้พูดประชดเย็นชาอะไรถึงร้านนี้ หาไม่แล้วคราวนี้น่ากลัวว่าศีรษะก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ใดอีก“ฐานะฮูหยินท่านนั้นถึงขั้นสูงศักดิ์เพียงนี้ เหตุใดมาที่ร้านดอกท้อของเจ้า อีกทั้งยัง
“ระวังตัวเถอะ อย่าตกหลุมพรางของกู้หว่านเยว่อีก”น้ำเสียงดูถูกของผู้หญิงคนหนึ่งขัดจังหวะขึ้นมา ทำให้เจียงเต๋อจื้อหลั่งเหงื่อบนหน้าผาก“ข้า คือกุ้ยเฟย”ฟู่เยียนหรานมองดูสตรีที่สวมเสื้อคลุมสีจันทร์เสี้ยวที่อยู่ตรงข้ามตนอย่างไม่มีความสุข เถาเอ๋อร์หัวเราะเยาะคำพูดนาง“ข้า คือราชครูที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยองค์เอง”ใช่แล้ว คนผู้นี้คือเถาเอ๋อร์ คนที่เคยถูกมู่หรงอวี้เตะลงจากหน้าผามาก่อนหลังจากตกลงมาจากหน้าผา นางก็บังเอิญได้นิ้วทองคำช่วยชีวิตนางเอาไว้“เจ้า……”ฟู่เยียนหรานโกรธมาก ทั้งสองขัดแย้งกันมาก่อนระหว่างทาง เห็นเช่นนี้ เจียงเต๋อจื้อก็รีบก้าวไปข้างหน้า ไกล่เกลี่ยสถานการณ์“พระสนม ท่านราชครู อย่าแตกคอกันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”สตรีสองคนอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ทว่าเขากลับเป็นผู้โชคร้ายเถาเอ๋อร์นั่งลงดื่มชา “จะโกรธข้าไปไย? หากมีความสามารถ ก็ไปหากู้หว่านเยว่แก้แค้นสิ”ฟู่เยียนหรานขนาดฝันยังอยากฆ่ากู้หว่านเยว่ แต่กู้หว่านเยว่ซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์หนิงกู่ นางจะทำอะไรได้?“เจ้าไม่อยากฆ่ากู้หว่านเยว่ด้วยตัวเองหรือ?” เถาเอ๋อร์มองนางด้วยสายตายั่วยุทันใดนั้น ฟู่เยียนหรานก็ไร้ซึ่งสติ ความคิดที่อยู
กู้หว่านเยว่ตัดบทพวกเขาอย่างไร้ความปรานี นางไม่มีทางเห็นใจกษัตริย์ทูเจวี๋ยอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับราชินีทูเจวี๋ยแล้วอย่างไรเล่า เป็นสามีภรรยามานานนับสิบปี นึกจะฆ่าก็ฆ่า ไร้ศีลธรรมยิ่งนัก“ฝ่าบาท พระองค์ห้ามเขียนนะเพคะ”พระสนมลี่ส่ายหน้า “อย่าให้พวกเขาเอาหม่อมฉันมาขู่พระองค์ได้”กษัตริย์ทูเจวี๋ยเกิดความลังเล เขาคิดไว้แล้ว ว่าในอนาคตจะยกบัลลังก์ให้กับบุตรที่อยู่ในครรภ์ของพระสนมลี่ หากร่างพระราชโองการนี้ออกมาจริง ๆ แผนการที่ทำมาทั้งหมดของเขาก็ต้องพังทลายลง“ท่านคิดให้ดี ๆ”กริชของกู้หว่านเยว่ขยับเข้ามาใกล้คอของพระสนมลี่ กระทั่งคมมีดบาดคอของนางจนเลือดไหลซึมความจริงแล้วนางไม่ได้อยากฆ่าพระสนมลี่ ถึงอย่างไรเสียบุตรในครรภ์ของนางก็ยังไร้เดียงสา นางแค่อยากขู่กษัตริย์ทูเจวี๋ยเท่านั้นหากกษัตริย์ทูเจวี๋ยให้ความร่วมมือกับนางอย่างว่าง่าย เรื่องหลังจากนี้ก็จะง่ายมากขึ้นเลือดสีแดงของพระสนมลี่ไหลเปื้อนกริช นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกษัตริย์ทูเจวี๋ยแทบใจสลาย “หยุดนะ อย่าทำร้ายนาง”เขามองใบหน้าของพระสนมลี่อย่างรักใคร่ แม้ว่าเขาจะหลงใหลในอำนาจแห่งกษัตริย์ทูเจวี๋ย แต่หากพระสนมลี่แล
“ดูท่าพระสนมลี่ผู้นี้จะเป็นนางในดวงใจของพระองค์นะเพคะ”น้ำเสียงของกู้หว่านเยว่แฝงไปด้วยการข่มขู่ จากนั้นกริชก็ได้พุ่งเข้ามาใส่หน้าของพระสนมลี่พระสนมลี่เป็นคนขี้ขลาด นางกรีดร้องในทันที“ฝ่าบาท ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วย!”“หยุดร้อง หากดึงดูดทหารเข้ามา ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือน พระสนมลี่ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบกล่าว “อย่าทำร้ายนาง พวกเจ้าอย่าทำร้ายนาง นางกำลังตั้งครรภ์!”นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย เสี่ยวถ่านมองท้องของพระสนมลี่อย่างไม่อยากจะเชื่อ“นางกำลังตั้งครรภ์หรือ?”จู่ ๆ นางก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็เปิดจดหมายลับที่กู้หว่านเยว่ให้นางเมื่อครู่ หลังจากที่กวาดสายตาอ่านอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าก็พลันซีดเผือดลงในทันที“ดังนั้น เสด็จพ่อ เพื่อจะได้เปิดทางให้เด็กในครรภ์ของพระสนมลี่ พระองค์ถึงกับยอมเสียสละชีวิตของลูกและเสด็จแม่หรือเพคะ?”เสี่ยวถ่านจำได้ขึ้นใจพระสนมลี่มีฐานะยากจน ตระกูลฝ่ายมารดาไร้ซึ่งอำนาจเพราะเหตุนี้ แม้ว่านางจะได้ความรักอย่างลึกซึ้งจากเสด็จพ่อ แต่เสด็จแม่กลับไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ฐานะที่ต่ำต้อย ต่อให้ได้รับความโปรดปรานเพียง
กษัตริย์ทูเจวี๋ยรู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวกู้หว่านเยว่ตัดนิ้วของเขาอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่กะพริบตานั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันนั้น กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะได้ล้วงหยิบพระราชโองการออกมาจากห้วงมิติ แล้วโยนให้กษัตริย์ทูเจวี๋ย“เขียน แต่งตั้งให้องค์หญิงเก้าขึ้นเป็นรัชทายาทแห่งทูเจวี๋ย”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยแทบจะตะโกนออกมาในทันที“ไม่ได้! จะยกราชบัลลังก์ให้นางไม่ได้!”สองคนนี้ต้องการให้เขาเขียนพระราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาท แล้วออกคำสั่งให้ขุนพลเกาเถียนตกอยู่ภายใต้อำนาจของเสี่ยวถ่าน! เลวทรามยิ่งนัก! เขาไม่มีทางเขียนอย่างแน่นอน!นัยน์ตาของกษัตริย์ทูเจวี๋ยวูบไหว อีกอย่างในใจของเขามีตัวเลือกสำหรับตำแหน่งองค์รักชทายาทแล้วกู้หว่านเยว่เข้าใจความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง “ท่านคงอยากให้องค์ชายสิบขึ้นเป็นองค์รัชทายาทสินะ?”“เจ้า!” กษัตริย์ทูเจวี๋ยตกใจอย่างมาก นางผู้นี้รู้ได้อย่างไร?“ไม่ใช่!”“ข้าเห็นมันในตอนที่เปิดอ่านจดหมายลับของท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่ยื่นจดหมายลับหลายฉบับ
หากเปลี่ยนเป็นเหยลวี่เจิง ต่อให้นิ้วจะถูกตัดจนครบทุกนิ้ว เขาก็ไม่มีวันยอมคุกเข่าร้องขอชีวิตอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะร้ายกาจและฉลาดแกมโกง แต่กลับยังคงเย่อหยิ่งกษัตริย์ทูเจวี๋ยผู้นี้ กลับเป็นคนรักตัวกลัวตายกษัตริย์ทูเจวี๋ยหน้าแดงเถือกเมื่อเห็นสายตาเยาะเย้ยของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่อยากตาย ทำได้เพียงฝืนหยิบพู่กันที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดภายใต้แววตาที่เปล่งประกาย ซูจิ่งสิงก็พลันกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก“ข้าว่าทางที่ดีที่สุดท่านควรเชื่อฟังดีกว่า หากกล้าเล่นตุกติกกับข้า โกหกพวกเรา ข้าจะทำให้ท่านทรมานยิ่งกว่าตายเป็นพันเท่า”“พวกเจ้า!”กษัตริย์ทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด กระทั่งหางตาของเขาเห็นเสี่ยวถ่านไม่ได้สนใจเขา คาดว่าเด็กคนนี้คงจะตัดหางปล่อยวัดเขาไปแล้วเพื่อชีวิตของตัวเอง เขาทำได้แต่เขียนจดหมายอย่างว่าง่าย เพื่อเรียกคนสนิทเข้าวัง“ที่แท้ขุนพลเกาเถียนผู้นี้ก็เป็นคนของท่านนี่เอง”กู้หว่านเยว่หยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน ในตอนที่ได้ยินเสี่ยวถ่านเล่าความเป็นมาของทั้งสี่ตระกูล นางได้ยินชื่อของตระกูลเกาเถียนด้วย“กองกำลังของท่านคงมีไม่น้อย”กู้หว่านเยว่หยิบตราประทับกษัตริย์ออ
สี่ตระกูลนี้ นอกจากตระกูลกู่ลี่ที่โดนเนรเทศแล้ว อีกสามตระกูลที่เหลือ ไม่ว่าจะตระกูลไหนใครก็ล่วงเกินไม่ได้สามตระกูลนี้ล้วนแต่มีองค์ชายที่อยากจะสนับสนุน ดังนั้นเขาไม่มีทางที่ยอมจำนนต่อพวกเขาอย่างแน่นอนเสี่ยวถ่านเดินมาถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่ พลางวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้ของสองสามีภรรยานางเริ่มกังวลหลังจากที่กู้หว่านเยว่ฟังจบ นางกลับคลี่ยิ้มและขยี้ปลายจมูก “ใครบอกว่าทั้งสามตระกูลนี้ เจ้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากตระกูลไหนได้เลย?”“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านยังไม่ได้สติกลับมาแต่ซูจิ่งสิงกลับเข้าใจความหมายของภรรยา จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูสมแล้วที่เป็นภรรยาของเขา และเป็นโจรได้สมบทบาท ชอบปล้นคลังสินค้าของผู้อื่นก็เรื่องหนึ่ง แม้กระทั่งกองกำลังของผู้อื่นที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีนางก็ปล้นชิงไม่มีเหลือ“หากข้าเดาไม่ผิด น้องหญิง เจ้าน่าจะอยากช่วงชิงกองกำลังในมือของกษัตริย์ทูเจวี๋ยมาด้วยสินะ?”ซูจิ่งสิงมองนางด้วยสายตาเปล่งประกาย กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างเก้อเขิน“ตอบถูก แต่ไม่มีรางวัลให้หรอกนะ”ซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “วิธีนี้ได้ผลแน่นอน อีกอย่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยก็อ
ในเมื่อกู้หว่านเยว่เสนอเงื่อนไขนี้ นั้นก็หมายความว่านางตอบตกลงแล้วเสี่ยวถ่านแสดงสีหน้าดีใจ จากนั้นก็รีบคำนับโขกดินให้กู้หว่านเยว่สามครั้ง “ท่านอาจารย์ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด”“ได้ ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงตัวของเสี่ยวถ่านขึ้นมา ในเมื่อเสี่ยวถ่านคือลูกศิษย์ของนางแล้ว เช่นนั้นอาจารย์อย่างนางก็ต้องช่วยลูกศิษย์สักหน่อย คงไม่เป็นไร“เจ้ายังมีศิษย์พี่อีกคน นั้นคือลูกศิษย์ของสามีข้า ตอนนี้อยู่ในเจดีย์หนิงกู่ ไว้มีโอกาส ข้าจะพาเขามาพบเจ้า”ครั้นเอ่ยถึงหลี่เฉินอัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่เจดีย์หนิงกู่เป็นอย่างไรบ้าง นัยน์ตาของกู้หว่านเยว่ฉายแววคะนึงหา เสี่ยวถ่านพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ในขณะเดียวกันก็มองกู้หว่านเยว่อย่างเป็นกังวล “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรกันดี?”หากต้องขึ้นครองบัลลังก์ คงไม่ใช่กล่าวเพียงปากเปล่าแล้วจะทำได้“ไม่รีบ”กู้หว่านเยว่มองไปทางอื่น ก่อนที่สายตาจะมาตกอยู่ที่กษัตริย์ทูเจวี๋ย มุมปากยกยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยบางอย่าง“ท่านพี่ ท่านคลายจุดให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่เดินมาตรงหน้าของทั้งสองคน เพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยหนีไปไ
“ข้า....” เสี่ยวถ่านหวนนึกถึงคืนที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่นั้น เพื่อปกป้องนาง ราชินีทิ้งโอกาสรอดชีวิตของตัวเองในทันที“ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อเจ้าค่ะ”เสี่ยวถ่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “เพื่อเสด็จแม่ ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อ”“ได้”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบนี้ของเสี่ยวถ่าน จากการเฝ้าสังเกตการณ์ในสองวันที่ผ่านมานี้ นางได้พบว่าถึงแม้เด็กคนนี้จะเป็นเพียงเด็กสาว แต่นางมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวมากเพียงแต่เพราะอายุยังน้อยนัก ความสามารถในการจัดการเรื่องราวจึงยังอ่อนต่อโลกนัก ตราบใดที่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดี เมื่อถึงเวลานั้นจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง“เสี่ยวถ่าน เจ้าจงฟังข้า เมื่อครู่เจ้าเองก็เห็นท่าทีที่เสด็จพ่อเจ้ามีต่อเจ้า หากบัดนี้เจ้าปล่อยเสด็จพ่อของเจ้าไป ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในทูเจวี๋ย เสด็จพ่อของเจ้าคงไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่” กู้หว่านเยว่มองเข้าไปในดวงตาของนาง พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากเจ้าอยากมีชีวิตเป็นของเจ้าเอง เพื่อแก้แค้นให้เสด็จแม่ ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะยอมทำหรือไม่”“วิธีอะไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านกล่าวถามด้วยจิตใต้สำนึก“เจ้าตามข้ามา”กู้หว่านเยว่
“ไฟกองนั้น ท่านตั้งใจปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรือเป็นคนบงการเองกันแน่?” เสี่ยวถ่านจ้องเขม็งไปทางกษัตริย์ทูเจวี๋ย นางอยากได้ยินคำสารภาพจากเสด็จพ่อด้วยตัวเองกษัตริย์ทูเจวี๋ยรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นสายตาที่จ้องเขม็งของนาง ครั้นเผชิญหน้ากับการซักไซ้ไล่ถามของเสี่ยวถ่าน นัยน์ตาก็ฉายแววประหม่า“ตระกูลกู่ลี่ยกตระกูลของแม่เจ้ามาข่มขู่ข้าในราชสำนักหลายครั้ง ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อความสงบสุขของทูเจวี๋ย”เขารู้สึกละอายใจ “ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวของข้า ก็ยิ่งต้องเข้าใจความยากลำบากของเสด็จพ่อของเจ้า”เขาเอื้อมมือไปทางเสี่ยวถ่าน “เสี่ยวถ่าน มานี่ เจ้าคือสายเลือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยของข้า ก็ควรมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับข้า”ครั้นเสี่ยวถ่านเห็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยเดินมาหาตน นางที่ยังจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดจากการเห็นเสด็จแม่ถูกเสด็จพ่อปลิดชีพ ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกในตอนนี้เองได้เกิดแสงเย็นสว่างวาบขึ้นภายใต้ฝ่ามือของกษัตริย์ทูเจวี๋ย กริชด้ามหนึ่งได้พุ่งเข้ามาแทงเสี่ยวถ่านโดยไม่ทันตั้งตัว “เสด็จพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด?”รูม่านตาของเสี่ยวถ่ายหดลงอย่างฉับพลัน นางยังรับความจริงเรื่องที่เสด็จพ่อฆ่าเสด็จแม่ไม่ได้ เพียงพ
“เหยลวี่เจิงตายแล้ว เขาตายแล้ว ตายได้แล้วก็ดี กดขี่ข่มเหงข้ามานานเพียงนี้ ข้าหวังให้เขารีบตาย ๆ ไปได้ตั้งนานแล้ว สมควรตายแล้ว!” พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิง ก็ค่อนข้างซับซ้อน เดิมกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงมีความสัมพันธ์แบบพันธมิตร แต่เพราะอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ยแข็งแกร่งเกินไป จนเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงมาถึงราชบัลลังก์ของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ทำให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยต้องร่วมมือกับเหยลวี่เจิง เพื่อล้มอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินี ไหนเลยจะรู้ว่าเหยลวี่เจิงจะไม่สนคุณธรรมการทหาร หลังจากโค่นล้มราชินีได้แล้ว กุมอำนาจยิ่งใหญ่ในมือ และหันมีดกระบี่ใส่กษัตริย์ทูเจวี๋ยแทน กษัตริย์ทูเจวี๋ยเรียกได้ว่าเคลื่อนหินไม่พ้นปลายเท้าตนเอง “รีบไป ไปเรียกขุนพลเกา คนสนิทของข้าเข้ามา” กษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบออกคำสั่ง สีหน้าฉายแววตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ขันทีรีบผงกศีรษะ เตรียมจะออกไปส่งข่าว แต่พอเดินไปถึงประตู สุดท้ายก็มีหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามา กระแทกเขาหมดสติไปทันที “ใคร?” กษัตริย์ทูเจวี๋ยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อ ข้าเอง!” เสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจาก