ซูจิ่งสิงไม่รู้ว่าตนตื่นตั้งแต่เมื่อไร“ดีเหลือเกิน พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว”ซูจื่อชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพี่ใหญ่ตื่นแล้ว ในที่สุดเรื่องพี่สะใภ้ใหญ่ก็มีกำลังหนุนแล้ว“พยุงข้าหน่อย” ซูจิ่งสิงยื่นมือออกมาอย่างอ่อนแรง พอนั่งพิงหัวเตียงได้แล้ว เขาก็มองดูกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่คนเดียวด้วยสายตารู้สึกผิด“ขอโทษนะ”ไม่เพียงแต่ทำให้นางเดือดร้อน แต่ยังทำให้นางถูกตระกูลซูหยามเหยียดกู้หว่านเยว่สบตาเขา ตกตะลึงไปเล็กน้อยแล้วรีบร้อนพูดว่า “ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่สนใจวาจาของพวกคนขยะแต่นางไม่คิดว่า ซูจิ่งสิงจะปกป้องนางทว่ากลับเป็นคนอื่นๆ ในห้องที่อดกลั้นไว้ไม่ไหว และไม่สนว่าบาดแผลของซูจิ่งสิงเป็นอย่างไร กระโจนเข้ามาถามว่า“จิ่งสิง เจ้าขอโทษนางมันหมายความว่าอย่างไร? เจ้าคิดว่าพวกเราเหล่าผู้เฒ่าทำผิดหรือ?”หากไม่หย่าภรรยา หรืออยากเห็นนางทำลายตระกูลหรือ?!“รีบหย่ากับนางเสีย ขอเพียงเจ้าหย่ากับนาง พวกเรายังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน”“...”ครอบครัวเดียวกัน?ฮะๆ... ช่างเป็นครอบครัวเดียวกันที่แสนประเสริฐยามเขายังเป็นเจิ้นเป่ยอ๋อง ไม่เ
เมื่อซูจิ่นเอ๋อกลับมา น้ำตาบนใบหน้าของนางก็เริ่มแห้ง มุมปากยังขดเม้มอย่างไม่ชอบใจอยู่เมื่อเดินผ่านกู้หว่านเยว่ นางจงใจแค่นเสียงตะคอก ก่นด่าไปหลายคำ“ดาวไม้กวาด[footnoteRef:1] บ่างช่างยุ สุนัขจิ้งจอก!” [1: หรือดาวหาง คติชนจีนบอกว่าดาวหางจะกวาดล้างผู้คน หากพบเห็น จะเกิดสงครามหรือภัยธรรมชาติ ส่วนความหมายของสมัยใหม่คือ เป็นคำสาปแช่งบุคคลที่จะนำภัยพิบัติหรือโชคร้ายมาสู่ตน มักใช้กับผู้หญิงเป็นหลัก] สุนัขจิ้งจอกนางยอมรับ แต่อีกสองคำนั้นนางไม่ยอมรับกู้หว่านเยว่เหลือบมองหญิงสาว ได้กลิ่นซาลาเปาเนื้อบนตัวของนางโชยมา พลันพูดเสียงดังว่า “ซูจิ่นเอ๋อ เหตุใดปากเจ้าจึงมันเยิ้มเช่นนั้น? เศษเนื้อเองก็ติดอยู่ที่ปาก เจ้าแอบไปกินซาลาเปาเนื้อลับหลังพวกเราหรือ?”“ไม่ ไม่ใช่เสียหน่อย!”ซูจินเอ๋อรู้สึกผิด รีบเช็ดมุมปากทันที สายตามองไปที่ซูจิ่งสิงและคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะได้ยินกู่หว่านเยว่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา“เจ้าหลอกข้า?”ใบหน้าของซูจิ่นเอ๋อเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ นางกัดฟันแล้วพูดว่า“เจ้าบ่างช่างยุ รอก่อนเถอะ เจ้าจะได้มีความสุขเช่นนี้อีกไม่กี่วันแล้ว!”พี่หญิงซือซือรับปากกับนางแล้ว
“นั่นน่ะสิ หัวหน้าใกล้จะหมดลมแล้ว นางยังพิรี้พิไรอยู่อีก”“รู้วิชาแพทย์อันใดกัน? ข้าว่านางเสแสร้งเสียมากกว่า” ชายคางแหลมคนหนึ่งกะพริบตาเล็กน้อย หยิบแส้ออกมา ตั้งใจฟาดไปที่กู้หว่านเยว่ทว่าจางเอ้อคว้าแส้ไว้ได้อย่างรวดเร็ว“เหล่าหลี ให้นางดูก่อนเถิด”เขารู้สึกว่ากู้หว่านเยว่ทำได้“นางยังเยาว์ถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นอิสตรี จะรู้วิชาแพทย์ได้อย่างไร?” เหล่าหลี่ยังคงไม่ปล่อยมือกู้หว่านเยว่เลือกเซรุ่มที่ต้องการมาจากหอแห่งโอสถแล้ว เมื่อได้ยินคำเมื่อครู่ จึงมองไปหาและแดกดันว่า“เจ้ารีบห้ามข้าเช่นนี้ หรือว่าไม่อยากให้ข้ารักษาหัวหน้าของพวกเจ้าให้หายหรือ?”“เจ้า เจ้าเหลวไหล ข้าเปล่าเสียหน่อย!”เหล่าหลี่ที่ถูกคำพูดแทงก็โกรธมากเขาอายุมากกว่าซุนอู่ มีคุณสมบัติสูงกว่าซุนอู่ การคุ้มกันครั้งนี้ควรเป็นเขาที่เป็นหัวหน้า แต่เบื้องบนกลับมอบหมายงานนี้ไปให้ซุนอู่แทน...กู้หว่านเยว่มองเขาอย่างหยอกล้อ ไม่สนใจที่จะโต้เถียงกับเขา ก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุเซรุ่มออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังแล้วปักลงไปที่แขนของซุนอู่โดยไม่ลังเลการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เป็นวิธีล้างพิษที่มีประสิทธิภาพที่สุดจางเอ้อไม่เคยเห็
“ทำไมเจ้ายังไม่นอน?” “เหตุใดท่านยังไม่นอน?”ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันกู้หว่านเยว่เขย่างานเย็บปักในมือ “ข้าเอาผ้าขี้ริ้วมาเย็บเป็นถุงหอมเล็กๆ สักสองสามถุง แล้วจะใส่สมุนไพรป้องกันแมลงลงไปเจ้าค่ะ”ระหว่างทางเนรเทศ ผู้คนกินนอนในที่โล่ง งูเงี้ยวเขี้ยวขอมีให้ได้เห็นอยู่เรื่อยๆแมงป่องพิษวันนี้มันด้วยมิใช่หรือ?พกถุงหอมป้องกันแมลงไว้สักหน่อย จะได้ไม่โดนแมลงพิษกัดเอาพูดจบ กู้หว่านเยว่ก็ก้มหน้าเย็บถุงหอมต่อทว่าฝีมือการเรือนของนางไม่ค่อยดีนัก นางพลางเย็บพลางมุ่ยหน้า ราวกับว่ากำลังเจอกับปัญหาใหญ่ไร้ทางแก้ซูจิ่งสิงมองแล้วก็อยากจะช่วยขึ้นมา“ข้าช่วยเจ้าเย็บดีกว่า”กู้หว่านเยว่ถามเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านไม่กลัวอับอายหรือ?”นางคิดว่าหากเขากล้าแสดงสีหน้ารังเกียจ นางจะหันหลังจากไปแน่นอน“สิ่งนี้มีอะไรน่าอับอายกัน?” ซูจิ่งสิงพูดอย่างเถรตรง “ข้าได้แต่นอนอยู่บนรถเข็น ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ หากเรื่องเย็บปักเล็กน้อยเช่นนี้ยังรังเกียจ เช่นนั้นถึงจะเรียกว่าน่าอับอาย”อื้ม เป็นคำตอบที่สุภาพบุรุษมาก!เจอปัญหาไม่คิดกลัว กลัวเพียงยามบุรุษเจอปัญหาแล้วยังนอนอยู่บนเตียงทำตัวเป็นนายท่าน รังเกียจนั่น รั
นางผละตัวออกจากมือของพวกนางด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว“ท่านย่า ป้าสะใภ้รอง ข้าต้องไปแล้วเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นท่านแม่จะโกรธเอาได้”เมื่อเห็นว่านางไม่เชื่อฟัง เฉียนซื่อก็เริ่มร้อนรน “แม่เจ้าเป็นแค่คนสมองทื่อคนหนึ่ง จะโกรธเกรี้ยวอะไรขึ้นมาได้?”ดวงตาของซูจิ่นเอ๋อเบิกกว้าง “ป้าสะใภ้รอง ท่านพูดถึงท่านแม่ข้าเช่นนั้นได้อย่างไร?”จิตใจของเฉียนซื่อถูกตีกระตุ้น พลันโพล่งออกมาว่า “แม่เจ้าเดิมทีก็ไม่สมประดี ยังห้ามไม่ให้คนพูดอีก ยังคิดว่าตัวเองเป็นมารดาอ๋อง ขนิษฐาอ๋องอยู่อีกหรือ?”“ท่าน……”ร่างกายของซูจิ่นเอ๋อสั่นเทา นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าป้าสะใภ้รองที่เคยดีกับนางถึงเพียงนั้น จะพูดออกมาเช่นนี้หันมาอีกด้าน ท่านย่าเองก็แสดงสีหน้าเย็นชาเช่นกัน สายตาที่มองนางเผยให้เห็นถึงความไม่อดทนซูจิ่นเอ๋อวิ่งหนีไปอย่างเศร้าใจกู้หว่านเยว่เพิ่งย้ายซาลาเปาเนื้อไปยังที่ที่ปลอดภัยที่อื่นเสร็จ ก็เห็นสีหน้าของซูจิ่นเอ๋อดูตื่นตระหนก“เจ้าเป็นอะไรไป?”แม้ว่าจะไม่อยากสนใจนางหนูนี่ แต่นางยังเล็กเพียงนี้ก็ต้องติดตามโดนเนรเทศ จึงอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ออกมาสักคำซูจิ่นเอ๋อเม้มริมฝีปาก เหลือบมองกู่หว่านเยว่ ทันใดนั้นก็พ
กู้หว่านเยว่ไม่ได้ช่วยซูจื่อชิงและซูจิ่นเอ๋อเย็บถุงหอมบนเส้นทางการเนรเทศ ไม่มีคุณชายและคุณหนูผู้สูงส่ง ทุกคนต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองซูจื่อชิงรับถุงหอม จากนั้นไปขอคำแนะนำจากนางหยางซูจิ่นเอ๋อลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ด่าทออย่างรุนแรงอีกต่อไป หยิบเข็มและด้ายขึ้นมาลองเย็บดูทว่าดวงตาของนางกลับมองไปที่กู้หว่านเยว่เป็นครั้งคราว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่เมื่อเห็นว่าขบวนยังพักอยู่ กู้หว่านเยว่หยิบผ้าขึ้นมาแล้วเดินไปที่ริมลำธาร จากนั้นก้มหน้าลงแล้วแอบหยิบยาสีฟันและแปรงสีฟันออกมาจากมิติเพื่อล้างหน้าแปรงฟันไม่แปรงฟันปากเปื้อนไปหมด นางทนไม่ได้ในที่ไม่ไกลนัก หลี่ซือซือก็กำลังวักน้ำจากลำธารมาล้างหน้าเช่นกัน หางตาเหลือบไปเห็นกู้หว่านเยว่ล้างหน้าเสร็จแล้ว และกำลังจ้องมองผิวน้ำอย่างตั้งใจ ใจของนางก็เต้นแรงขึ้นมาอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครอยู่รอบๆ ย่องเข้าไปใกล้กู้หว่านเยว่จากด้านหลัง จากนั้นยื่นมือออกไปผลักอย่างรุนแรง“ว้าย!”เสียงกรีดร้องดังขึ้นกู้หว่านเยว่ที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของนางจากเงาสะท้อนในน้ำตั้งแต่แรกแล้วจึงหลบไปด้านข้าง ไม่ลังเลที่จะถีบหลี่ซือซือที่กำลังเซไปเซมาลงไปในน้ำ
เพื่อที่จะจับปลา พวกเขาถึงกับไม่ไปรับโจ๊กผักจากนักการ!ไม่ได้กินข้าวเช้า แถมยังจับปลาไม่ได้อีกซวยสุด ๆ ไปเลย!กู้หว่านเยว่เหลือบมองเขา “พวกเจ้าไม่มีความสามารถจับปลาไม่ได้ มันเกี่ยวอะไรกับข้า ลูกผู้ชายตัวโตตั้งหลายคนยังทำตัวเหมือนพวกไร้ค่า”หลายคนโมโหจนแทบจะเป็นลมกับปากร้าย ๆ ของนาง แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปหาเรื่อง ได้แต่โกรธอยู่ในใจหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ทุกคนก็ออกเดินทางกันต่อซูหัวหลินถูกทุบตีทั้งคืน นอนอยู่บนพื้นในสภาพร่อแร่ ไร้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อนฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากให้ซูอวี่แบก ส่วนบ้านรองก็ไม่มีผู้ชายคนอื่น นางจึงหันไปมองนางเฉียนแต่คาดไม่ถึงเลยว่านางเฉียนกลับร้องโอ๊ยแล้วลงไปนั่งยอง ๆ “ท่านแม่ เท้าของข้าแพลง ข้าแบกท่านพี่ไม่ไหวหรอก”“เจ้า นางสารเลว เมื่อกี้ยังกระโดดโลดเต้นอยู่เลย” ซูหัวหลินโมโหจนกระอักเลือด นี่มันชัดเจนว่านางเฉียนจงใจไม่อยากแบกเขานางเฉียนกระชับห่อของที่อยู่บนตัวแน่น “ข้าต้องแบกเงินมากมายขนาดนี้ แล้วยังต้องแบกอาหารอีก ข้าแบกท่านไม่ไหวจริง ๆ ”ซูหัวหลินเงียบเสียงตอนนี้เขาต้องพึ่งพาเงินที่ได้จากครอบครัวฝั่งแม่ของนางเฉียน ถ้าทำให้นางเฉียนโกรธ คงต้องอดตา
เดิมทีกู้หว่านเยว่ก็อยากไปซื้อของอยู่แล้ว ต่อไประหว่างทางถ้าหยิบอะไรออกมา ก็จะได้อ้างว่าเป็นของที่ซื้อมาเมื่อได้ยินคำพูดของจางเอ้อร์ นางก็รีบกลับไปที่ห้องเพื่อหยิบตะกร้าตอนจะไป ซูจิ่งสิงที่อยู่บนเตียงก็ยัดกุญแจให้นาง“เจ้าเอาอันนี้ไป หาโอกาสไปที่ลานบ้านเล็ก ๆ หลังตรอกอูอี มีของอยู่ข้างใน... เจ้าขนมันออกมาให้หมด”ขณะที่พูดประโยคสุดท้าย ซูจิ่งสิงก็มองนางอย่างลึกซึ้งแต่กู้หว่านเยว่มัวแต่ตกใจจนไม่ได้สังเกตแววตาของเขา ผู้ชายคนนี้แอบซ่อนของไว้ที่นี่ด้วยหรือ?สมกับเป็นตัวร้ายในนิยายที่มีสติปัญญาและวรยุทธ์เหนือกว่าฮ่องเต้สุนัขตัวนั้น ดูเหมือนว่าจะเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้วสินะกู้หว่านเยว่อยากรู้อยากเห็นมาก “ท่านซ่อนอะไรไว้?”“เห็นแล้วก็จะรู้เอง”นักการยังคงรออยู่ข้างนอกประตู กู้หว่านเยว่ไม่สะดวกที่จะถามอะไรมากนัก จึงรับกุญแจมาแล้วรีบออกไป“บางคนนี่หน้าไม่อายจริง ๆ ไม่รู้ว่าลับหลังแอบไปประจบประแจงอะไรนักการ ถึงได้ไปซื้อของกับพวกเราได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน”เมื่อเห็นนักการไปลากรถ หลี่ซือซือก็พูดจาเหน็บแนมด้วยความอิจฉาคนอื่น ๆ ในอีกหลายครอบครัวเห็นกู้หว่านเยว่ช่วยซุนอู่ไว้ ในใจก็รู้ถึ
แม้ว่าภายในมิติของนางจะมีแปลงสมุนไพร แต่ภายในแปลงสมุนไพรล้วนปลูกสมุนไพรหายาก ไม่มีสมุนไพรรักษาโรคไข้รากสาดน้อยธรรมดาดังนั้น สมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นกู้หว่านเยว่ซื้อจากแพลตฟอร์มซื้อขายการแจกจ่ายยาเริ่มขึ้นอย่างว่องไวเหล่าราษฎรขยับขึ้นมาทีละคน ขบวนคนเริ่มขยับอย่างเชื่องช้า“พี่หญิงหว่านเยว่ ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ”ลั่วยางเข้ามาเตือนนางหนึ่งประโยค เอ่ยปากอย่างห่วงใย“ข้าบอกกับหมอเหล่านั้นแล้ว หากพวกเขาไม่แน่ใจโรค ค่อยมาถามข้าเจ้าค่ะ”นางอธิบาย“หากข้าเองก็หมดหนทาง ค่อยให้คนเข้าไปหาท่าน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”เกาเจี้ยนสบมองลั่วยางอย่างสงสาร “ยางเอ๋อร์ เจ้าต้องเหนื่อยแล้ว”แม้พูดว่าด้านหน้ายังมีหมอตรวจอาการก่อนแต่คนมากถึงเพียงนี้ ย่อมมีหมอที่รักษาไม่ได้รวมเข้าด้วยกัน ก็เพียงพอให้ลั่วยางยุ่ง“ข้าไม่เป็นไร สามารถรักษาราษฎรได้ ช่วยได้หนึ่งชีวิตก็คือหนึ่งชีวิต”ลั่วยางหยิบธงหนึ่งผืนออกมา สองสามคนมองดู ได้เห็นตัวอักษรคำว่าหุบเขาราชาโอสถสามคำบนนั้น“ข้ารับปากท่านอาจารย์ไว้แล้ว จะต้องหาโอกาสประกาศเรื่องหุบเขาราชาโอสถดีๆบังเอิญจะได้ฉวยโอกาสนี้ประกาศให้ราษฎ
ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งเข้าอย่างรีบร้อนจากด้านนอกประตู พูดออกมาอย่างลนลาน ทำให้เฉิงทั่วตื่นตระหนก“มีอันใด เกิดอันใดขึ้นหรือ?”หรือว่ากลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็มากระนั้น?“ด้านนอกประตู ด้านนอกประตูมีราษฎรป่วยหนักมากมายมาขอรับ ต่อแถวยาวเหยียดอยู่ด้านนอกประตู แถวยาวไปจนถึงประตูเมืองแล้ว”ทหารชั้นผู้น้อยกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ไม่เคยเห็นแถวยาวเช่นนี้มาก่อน“ที่แท้ก็มีคนต่อแถวมากนี่เอง”เฉิงทั่วตบศีรษะทหารชั้นผู้น้อยทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ครั้งหน้าพูดให้เข้าใจหน่อย อย่าหายใจแรง ทำข้าตกใจแทบตาย”ทหารชั้นผู้น้อยลูบศีรษะ บ่นพึมพำเสียงแผ่ว “คำนี้ของท่านแม่ทัพ หรือว่านี่ไม่ทำให้คนตกใจกันเล่า?”ราษฎรมากถึงเพียงนี้ล้อมจวนแม่ทัพไว้ หากเกิดความวุ่นวาย ทำให้คนตายจะทำเยี่ยงไร?“เจ้า นำทหารม้าสองหน่วยไปดูแลรักษาความเรียบร้อยบนถนนให้ดี”เฉิงทั่วชี้ไปยังคนสนิทที่หน้าประตู เห็นว่าถึงเวลาแจกจ่ายยาแล้ว เขาเตรียมไปดูสถานการณ์ที่หน้าประตูจวนแม่ทัพในเวลานี้ หน้าประตูจวนแม่ทัพคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหล่าราษฎรรอคอยอย่างมีความหวัง หวังว่าจะสามารถได้รับยาเพียงพอเพื่อช่วยตนเองหรือคนในครอบครัว“จะเริ่มแจกจ่าย
เขาครุ่นคิดอยู่สักครู่ พลางแอบมองสีหน้าของซูจิ่งสิง ไม่กล้าอยู่ในเรือนนานเกินไป จึงรีบออกไปพร้อมกับรองแม่ทัพ“ท่านแม่ทัพ สิ่งที่พระชายาพูดเป็นความจริงหรือไม่? คงไม่ได้คุยโวหรอกนะ?”หลังจากที่ทั้งสองออกมาข้างนอกแล้ว รองแม่ทัพก็พูดขึ้น“ประชาชนที่ป่วยในเมืองไม่ใช่แค่คนหรือสองคน ยามากมายขนาดนั้น พระชายาจะหามาได้หรือ?”เขาคิดอยู่เสมอว่าคำพูดของกู้หว่านเยว่นั้นไม่น่าเชื่อถือบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ถูกแม่ทัพชี้หน้าตำหนิ รู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ ต้องการทวงศักดิ์ศรีคืนมา จึงได้พลั้งปากคุยโวโอ้อวดออกไป“ไม่รู้สิ”เฉิงทั่วส่ายหัวสติปัญญาบอกเขาว่า กู้หว่านเยว่นั้นไม่สามารถหาสมุนไพรได้มากมายขนาดนั้นภายในระยะเวลาอันสั้นแน่นอนแต่เขาก็นึกถึงตอนที่โจมตีเมืองเหยาขึ้นมาอีก ดินปืนและกระสุนปืนใหญ่เหล่านั้นที่ส่งลงมาจากเมือง รวมถึงธนูที่มีรัศมีการยิงไกลมากสิ่งของเหล่านี้เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนถ้าหากในตอนนี้สิ่งของที่เขาไม่คาดคิด กู้หว่านเยว่บังเอิญมีพอดีล่ะ?“ถ้าอย่างนั้นคำสั่งของพระชายาเมื่อครู่นี้ พวกเรายังต้องปฏิบัติตามหรือไม่?”รองแม่ทัพค่อนข้างเป็นกังวล“เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อีกสาม
เขามีสีหน้าร้อนใจ ชิงเหลียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ท่านรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานก่อน”ภายในห้อง กู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านนอกแล้ว จึงรีบพาซูจิ่งสิงออกมาจากมิติในขณะที่ชิงเหลียนเข้ามา นางกำลังเปิดประตูพอดี“พระชายา แม่ทัพเฉิงอยู่ข้างนอก...”“ข้าได้ยินทุกอย่างแล้ว เจ้าให้เขาเข้ามาเถอะ”กู้หว่านเยว่หาวนอน“อ้อ ถือโอกาสรับประทานอาหารเช้าไปด้วย”เมื่อคืนนี้ นางและซูจิ่งสิงยุ่งอยู่ในมิติตลอดทั้งคืน“เพคะ”ชิงเหลียนรีบออกไป เฉิงทั่วก็เข้ามาจากทางด้านนอกอย่างไม่พอใจ“คารวะท่านอ๋องและพระชายา”เขาทำความเคารพแบบขอไปที แล้วเริ่มบ่นว่า“พระชายา เมื่อคืนข้าน้อยเตือนท่านแล้วว่า จะช่วยเหลือผู้คนในเมืองนี้ส่งเดชไม่ได้ อาจก่อให้เกิดความโกลาหลได้”น้ำเสียงของเขาไม่สู้ดีนัก“ดูสิ เมื่อวานท่านนำหญิงผู้นั้นมารักษาในจวนละแวกนี้ ผลปรากฏว่าเรื่องนี้ถูกผู้มีเจตนาเผยแพร่ออกไปเมื่อเช้านี้ เวลานี้ด้านนอกจวนแม่ทัพมีผู้ป่วยเต็มไปหมดท่านก็รู้ เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องใหญ่”เมื่อเฉิงทั่วพูดถึงความร้อนใจ ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองกู้หว่านเยว่ สายตานั้นเต็มไปด้วยคำถาม“แม่ทั
ยิ่งไปกว่านั้นยังสวมถุงมือและผ้าคลุมหน้าอีกด้วยเห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นั้นอับจนหนทางแล้ว พอเข้ามาก็คุกเข่าลงตรงหน้าพวกเขาทันที“ท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย พวกท่านได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย เขาเพิ่งห้าขวบเท่านั้น”หญิงผู้นั้นกอดลูกไว้แน่นในอ้อมแขน“เขาฉลาดมาก และเชื่อฟังมากด้วย มักจะช่วยข้าทำงานอยู่บ่อยครั้ง สามารถอ่านหนังสือและจดจำตัวอักษรได้ตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้ พวกท่านได้โปรดช่วยชีวิตเขาด้วย ต่อให้ต้องเอาชีวิตของข้าก็ตาม”หญิงผู้นั้นร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลกู้หว่านเยว่ให้นางวางลูกลงบนเบาะนุ่ม เพื่อสะดวกในการตรวจวินิจฉัย“แล้วพ่อของเด็กล่ะ เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่คนเดียว?”หญิงผู้นั้นมีอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัด แก้มตอบลึก“ตาย ตายแล้ว”หญิงผู้นั้นสะอึกสะอื้นตอบ“เป็นไข้หวัด ไม่มียารักษา ทนได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ตายแล้ว”กู้หว่านเยว่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ขอโทษนะ”หญิงผู้นั้นส่ายหัว “มันคือโชคชะตา แต่ขอให้หมอช่วยชีวิตลูกของข้าด้วย แม้ว่าต้องการให้ข้าไปตาย ข้าก็เต็มใจ”กู้หว่านเยว่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวด ซูจิ่งสิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็กำหมัดทั้งสองแน่น“ไม่ต้องให้เจ้าไปตายหรอก ให้ข้าดู
“ไป ๆ ๆ”เฉิงทั่วกลอกตาใส่หนานหยางอ๋อง“ท่านไม่จำเป็นต้องออกหน้าพูดแทนข้าที่นี่”“เฮ้ ข้าหวังดีกับเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่รักษาน้ำใจคนอื่นเลย?” หนานหยางอ๋องฮึดฮัดด้วยความโมโห“กาลเวลาพิสูจน์คน ข้าเป็นคนอย่างไร ต่อไปท่านอ๋องและพระชายาก็รู้เอง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพูดอะไรมาก”เฉิงทั่วกังวลว่าหากหนานหยางอ๋องออกหน้าพูดแทนเขา มันจะส่งผลกระทบต่อตัวเขาเองชายชราหัวรั้นสองคนต่างห่วงใยซึ่งกันและกัน แต่ไม่พูดออกมากองทัพเข้ามาในเมืองทันใดนั้นหญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มลูกอยู่ ได้โผเข้ามาแทบเท้าของกู้หว่านเยว่“ท่านหญิง ช่วยลูกของข้าด้วย ได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย!”หญิงผู้นั้นล้มลงกับพื้น เด็กในอ้อมแขนเกือบจะกลิ้งออกมา นางกอดเด็กไว้แน่น ไม่ปล่อยมือกู้หว่านเยว่เหลือบมองเข้าไปในอ้อมแขนของนาง เห็นว่าเด็กมีสีหน้าเขียวคล้ำ“เกิดอะไรขึ้น?”“พระชายา กลับจวนแล้วค่อยคุยกับท่านแล้วกัน”สีหน้าของเฉิงทั่วดูแย่มาก โบกมือให้รองแม่ทัพพาหญิงผู้นั้นออกไปปลอบโยนก่อนเมื่อมาถึงจวน เขาก็ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า“ปีนี้สภาพอากาศแปลก ๆ การเก็บเกี่ยวของประชาชนก็ไม่ดี ในสิบคนก็มีคนป่วยแปดหรือเก้าคนแล้ว”คิ้วของกู้หว่า
สมองของเจียงม่านวิงเวียน ก่อนจะสูญเสียความรู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ คิดเพียงว่าที่แท้ฮั่วจี๋ก็มีมุมแบบนี้เช่นกัน...คู่บ่าวสาวสนุกสนานกันทั้งคืน ไม่รู้ว่าหมดไปกี่น้ำ สรุปได้ว่าแนบชิดดูดดื่มก่อนหน้านี้เรื่องที่เจียงม่านกังวลว่าในคืนแต่งงาน ฮั่วจี๋จะรังเกียจที่นางไม่ได้บริสุทธิ์ไร้ราคีหรือเปล่านั้น ไม่หลงเหลืออยู่แล้วหลังจากเพิ่งแต่งงานไป กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงได้มอบหมายเมืองเหยาให้ฮั่วจี๋ดูแลจัดการชั่วคราว โดยทิ้งหวังปี้เอาไว้คอยช่วยเหลือพวกเขาพร้อมด้วยกองทัพใหญ่ เดินหน้าไปยังเมืองซุ่ยโจวอย่างองอาจเฉิงทั่วได้ยื่นหนังสือขอยอมจำนนไปนานแล้วพอได้ยินว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกำลังจะมา จึงเปิดประตูเมืองออก แล้วพาทุกคนในเมืองไปต้อนรับที่ประตูเมืองด้วยตัวเอง“คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา”“ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขี่ม้าเข้ามา เมื่อเห็นเฉิงทั่วพาผู้คนมายืนรออยู่ที่ประตูเมือง พวกเขาสองคนก็ลงจากหลังม้า“แม่ทัพเฉิง ไม่นึกว่าเราจะได้พบกันอีกเร็วขนาดนี้”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นด้วยรอยยิ้ม สายตาจับจ้องไปที่หัวไหล่ของเฉิงทั่วเฉิงทั่วรู้สึกกระดากอายในทันใด “พระชายามีทักษะด้า
กู้หว่านเยว่พยักหน้า “นำพวกเขาทั้งหมดขังไว้ในเรือนจำใหญ่ รอการลงโทษ อย่าปล่อยออกมาง่าย ๆทหารพวกที่หลบหนีเมื่อใกล้แนวรบ กู้หว่านเยว่เหยียดหยามมาโดยตลอดไม่ได้ลงโทษเนรเทศพวกเขา ก็นับว่าเมตตาแล้วตอนนี้พวกเขายังกล้าหลบหนีก่อนจริงหรือ?เช่นนั้นก็อย่าโทษนางที่ไม่เกรงใจฮั่วจี๋พยักหน้าตาม“เรือนจำของเมืองเหยานั้นกว้างขวางมาก จับพวกเขาทั้งครอบครัวเข้าไปคุมขังก็ยังมีที่เหลือเฟือ”ดูสีท้องฟ้าก็ดึกมากแล้ว ดนตรีประโคมข้างนอกก็จบลงแล้วเช่นกันซูจิ่งสิงเข้ามาหา แล้วมองไปยังฮั่วจี๋“แม่ทัพฮั่วขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ อย่าทำให้คืนแต่งงานน่าผิดหวังล่ะ”“ขอรับ”ฮั่วจี๋ลูบศีรษะ ยังคงครุ่นคิดว่า เหตุใดท่านอ๋องถึงอารมณ์ร้อนกับเขามากทันทีที่เข้ามาเมื่อเห็นซูจิ่งสิงดึงกู้หว่านเยว่ออกไป จึงเข้าใจในภายหลังว่า ตัวเองไปเป็นกว้างขวางคอของพวกเขา“แล้วฮูหยินน้อยล่ะ?”ฮั่วจี๋หันกลับไปถามพ่อบ้านเมื่อเห็นซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เป็นคู่กิ่งทองใบหยก เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจียงม่านที่อยู่ในห้อง“อยู่ในห้องขอรับ นายท่าน บ่าวจะประคองท่านไป”พ่อบ้านยิ้มตาหยี เห็นฮั่วจี๋เป็นฝั่งเป็นฝา เขาเองก็มีความสุขเช
จางเอ้อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“แต่ว่า ข้าทำได้เพียงพูดต่อหน้าพระชายาเท่านั้น”“ทำอย่างสุดความสามารถก็พอ” หวังหรานเอ๋อร์ก็ไม่บีบบังคับเช่นกันหลังจากที่ทั้งสองพูดจบ จางเอ้อร์ก็ไปหากู้หว่านเยว่เพื่อพูดคุยเรื่องนี้กู้หว่านเยว่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องใช้คนพอดี ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วและเมื่อก่อนบนเส้นทางที่ถูกเนรเทศ จางเอ้อร์ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี กู้หว่านเยว่หาโอกาสตอบแทนมาโดยตลอดบัดนี้ได้เวลาตอบแทนน้ำใจพอดี“ชิงเหลียน เจ้าพาจางเอ้อร์และหวังหรานเอ๋อร์ไปหาคุณชายอวิ๋น แล้วบอกว่าข้าให้พวกเขาไป”งานพลาธิการแนวหลังของการสู้รบ ทั้งหมดอวิ๋นมู่เป็นผู้รับผิดชอบอยู่ขอเพียงพาคนไปและบอกกับอวิ๋นมู่เช่นนี้ อวิ๋นมู่ก็เข้าใจแล้วชิงเหลียนยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคุณชายอวิ๋นกำลังดื่มสุราอยู่กับคุณชายไป๋หลี่ ทำไมไม่รอให้งานเลี้ยงเลิก แล้วค่อยพาพวกเขาไปหา”จางเอ้อร์กล่าวอย่างมีไหวพริบ “ไม่รีบ ไม่รีบ จะได้ไม่ทำลายอารมณ์อันสุนทรีย์ของคุณชายอวิ๋น”ฉู่เฟิงเอ่ยด้วยความอิจฉา “ท่านนี่ช่างรักคุณชายอวิ๋นนัก ข้ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นท่านเรียกข้าไปดื่มสุราสักอึกสองอึกบ้างเลย”ทำให้ชิงเหลีย