ชายคนนี้ลำบากอยู่ภายนอกมาหนึ่งวันแล้ว แม้ไม่พูด แต่ต้องเหนื่อยมากแน่กู้หว่านเยว่ไฉนเลยจะใช้งานอีกฝ่ายได้ คิดเพียงให้เขาไปพักผ่อนดีๆ“ไม่เป็นไร”ซูจิ่งสิงพูดหนึ่งประโยคก็ค้อมเอวจุดไฟให้นางกู้หว่านเยว่เห็นเหตุการณ์แล้วก็ไม่พูดอะไรอีกทั้งสองคนช่วยกัน อาหารก็ทำเสร็จอย่างว่องไวทางด้านนั้น กงซุนจ่างเย่และพี่สาวทั้งสองเองก็ระบายอารมณ์เสร็จดีแล้วต่างฝ่ายต่างบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ออกมาหนึ่งรอบได้ยินกู้หว่านเยว่เรียกไปกินข้าว กงซุนเสว่รีบไปช่วยเหลือผ่านไปครู่หนึ่ง สองสามคนก็นั่งล้อมวงบนโต๊ะไม้ฝีมือกู้หว่านเยว่ไม่เลว อาหารก็ทำได้เลิศรสทุกคนได้มีเวลาผ่อนคลายอย่างหาได้ยากหลังกินข้าวอิ่มแล้ว กู้หว่านเยว่เช็ดปาก “มีแผนที่หมู่บ้านโซ่วหวางหรือไม่? ให้พวกเราพิจารณาสักเล็กน้อย”ความคิดของกู้หว่านเยว่คือหมู่บ้านโซ่วหวางใหญ่เพียงนั้นจะต้องมีกลไกและเส้นทางลับอย่างแน่นอนหากสามารถถือแผนที่ไว้ในมือได้ ทำเรื่องใดก็สะดวกมากนางคือผู้ช่วยชีวิตคนสกุลกงซุน สองสามคนย่อมไม่ปฏิเสธกงซุนเสว่รีบเอ่ยปาก “ข้าไม่มีแผนที่ติดตัว แต่ข้าสามารถวาดออกมาให้ท่านได้หนึ่งแผ่น”นางคำนวณเวลา “
“แผนที่นี้ข้ารับไว้แล้ว ขอบคุณคุณหนูสาม”กู้หว่านเยว่กอดแผนที่ไว้ในอ้อมแขนกงซุนเสว่ได้ยินก็ยิ้มอย่างขมขื่น “คำนี้ ทำข้าไม่พอใจแล้ว”“ท่านทั้งสองเป็นผู้กอบกู้ตระกูลกงซุน หากจะขอบคุณ ก็ควรเป็นพวกเราที่ขอบคุณ”“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็ขอตัวก่อนแล้ว”กู้หว่านเยว่คำนึงถึงเวลา จึงหยุดสนทนากับกงซุนเสว่ กล่าวคำอำลาอีกครั้ง“พวกท่านต้องระวังให้มาก” กงซุนเสว่พูดอย่างรวดเร็ว“วางใจเถอะ พวกเรารู้ว่าอะไรเหมาะสม”กงซุนเสว่อยากพูดอีกสักหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองมั่นใจอย่างยิ่ง ทั้งยังรู้ว่ากู้หว่านเยว่มากความสามารถ นางจะไม่พูดอะไรออกไปอีกกู้หว่านเยว่ไม่ชักช้ารีรอ เมื่อได้แผนที่มาแล้วก็รีบเดินไปทางซูจิ่งสิงทันที“เสว่เอ๋อร์ เจ้าบอกเรื่องหมู่บ้านโซว่หวางไปหมดเช่นนั้น ไม่กลัวหรือ?...”เฉินจิ่งเส้ากังวลเล็กน้อยบนแผนที่ มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความลับของตระกูลกงซุนกงซุนเสว่ดูเฉยเมย “ตอนนี้ตระกูลกงซุนถึงจุดวิกฤตแล้ว ยังจะสนใจเรื่องพวกนี้อีกทำไม?”“อีกอย่าง ข้าเชื่อว่าพวกเขาเป็นคนดี”สัญชาตญาณบอกนางว่า กู้หว่านเยว่เป็นคนที่นางไว้ใจได้เฉินจิ่งเส้าแค่อยากเตือน สำหรับหมู่บ้านโซว่หวางที่ใหญ่
มีเพียงหมู่บ้านโซ่วหวางเท่านั้นที่สืบทอดมายาวนาน ได้ยินมาว่าหมู่บ้านนี้สร้างขึ้นที่นี่ ตั้งรกรากมาหลายร้อยปีแล้ว”“ถึงแม้จะเก่า แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรม เห็นได้ถึงความยิ่งใหญ่”กู้หว่านเยว่เดาะลิ้นเบาๆเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ดึงดูดองครักษ์ ทั้งสองไม่กล้าพูดอะไรกันมากมาย หลังจากเข้าไปได้แล้ว พวกเขาก็ตามหาที่ที่ปลอดภัยแล้วซ่อนตัวเอาไว้ก่อน“หมู่บ้านโซ่วหวังใหญ่โตมโหฬาร หากคิดจะรวบเก็บสัตว์ร้ายทั้งหมดในครั้งเดียว คงตายเหนื่อยตายก่อน ไม่รู้ลองหาจากสถานที่ที่สำคัญสักสองสามที่ดูก่อน”กู้หว่านเยว่แนะนำซูจิ่งสิงเองก็คิดเช่นนี้ พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “พวกเราไปที่คุกใต้ดินกันก่อน”“ไปกันเถอะ” หลังจากหาทางไปคุกใต้ดินพบแล้ว กู้หว่านเยว่ก็พาซูจิ่งสิงเคลื่อนย้ายไปที่นั่นทันทีภายในคุกใต้ดินมีองครักษ์ไม่มากนัก กู้หว่านเยว่หยิบยาผงจำนวนหนึ่งออกมา คิดจะทำให้เหล่าองครักษ์หมดสติ จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าของพวกเขา แล้วค้นหาในพื้นที่ทั่วบริเวณแต่สิ่งที่ทำให้นางผิดหวังก็คือ คุกใต้ดินนี้ล้วนเป็นทาสจากอดีตหมู่บ้านโซ่วหวาง ไม่มีคุณหนูจากตระกูลกงซุนเลย“เดี๋ยวนะ”ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะจากไป กู้หว่านเยว่ก็เหลือบไ
เจียงหลินหันศีรษะไปมองแล้วพูดว่า “ร่างกายนี้ต่ำต้อย ไม่รบกวนให้พระชายาหนานหยางอ๋องมากังวล”เขาหัวเราะหยัน ก่อนจะนั่งลงบนพื้นโดยไม่สนใจบาดแผลตามร่างกาย“เจ้านี่มัน ดื้อรั้นจริงๆ”กู้หว่านเยว่ไม่มีความอดทนมากนัก อาศัยจังหวะที่เจียงหลินไม่ทันระวัง ใช้สันดาปสับคอ ทำให้อีกฝ่ายหมดสติทันที“เจ้า……”เจียงหลินไม่คิดเลยว่า ทั้งคู่จะลงมือเฉียบพลันเช่นนี้ ร่างกายล้มลงกับพื้นในทันทีกู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมา แทงเข้าร่างกายของเจียงหลินเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมากลางทางจากนั้น นางโบกมือเบาๆ พาคนคนนี้เข้าไปในพื้นที่มิติทันทีเดิมที กู้หว่านเยว่วางแผนที่จะเดินทางกลับเลย แต่เมื่อคิดได้ว่าทาสทั้งหมดในคุกใต้ดินนี้ ล้วนเป็นทาสของหมู่บ้านโซ่วหวางหากคนที่อยู่เบื้องหลังได้รู้ว่าเจียงหลินถูกช่วยออกไปแล้ว อาจสงสัยว่าทาสเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว นางก็โปรยยาพิษกำมือหนึ่ง ทำให้ทาสทั้งหมดหมดสติไปทันทีจากนั้น ก็พาพวกเขาไปรวมกันในพื้นที่มิติอีกครั้ง“ยานี้มีฤทธิ์เพียงหนึ่งวัน พวกเรารีบตามหาเบาะแสของคุณหนูห้ากับคุณหนูหกกันเถอะเจ้าค่ะ”ทาสเหล่านี้รวมกันแล้วอย่างน้อยก็มี
อีกทั้งก่อนหน้านี้สมาชิกที่เหลือของตระกูลกงซุน ตอนนี้ยังทำคนหายไปอีกใต้เท้าเหลยมองสตรีนางนี้ด้วยความกลัว สิ่งที่ได้เห็นแน่นอนในตอนนี้ คือความเย็นชาบนใบหน้าของนาง“นายท่าน พวกข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกข้าคุ้มกันดีแล้วจริงๆ...”: “สมควรตาย!”เทียนอวี๋ตบทั้งสองคนด้วยความโกรธ มองดูคุกใต้ดินที่ว่างเปล่ามองดูร่างบนพื้นที่ยังไม่ทันแข็งทื่อองครักษ์เหล่านี้ถูกสังหารไปได้ไม่นานนัก ทั้งพวกเขายังพาทาสทั้งหมดไปด้วย คงยังหนีไปไหนได้ไม่ไกล“สวะ ยังยืนทำอะไรอยู่อีก รีบไปตามมันกลับมาสิ”“ขอรับๆๆ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”หลังจากถูกเทียนอวี๋ด่า ใต้เท้าทั้งสองก็ตื่นจากภวังค์ ไล่ตามกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงไปทันที“บ้าเอ๊ย!”ท่าทางของเทียนอวี๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย สัญชาตญาณบอกนางว่า ต้องเป็นคนจากตระกูลกงซุนที่กลับมาแล้วแน่“เหมาะเจาะ ข้าจะได้ทดลองยาใหม่พอดี”เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางก็รีบสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมาถึงในห้องของโซ่วหวางแล้วแต่น่าเสียดาย ทั้งสองค้นหาทั่วทั้งห้อง แต่กลับไม่พบเบาะแส ไม่พบร่องรอยของคุณหนูห้าและคุณหนูหกเลยขณะที่พวกเขากำลังจะออกไป ก
“รีบไปซ่อนเร็ว”ท่าทางของซูจิ่งสิงเปลี่ยนไป เขากอดกู้หว่านเยว่อย่างรวดเร็ว รีบวิ่งไปซ่อนตัวอยู่หลังเสา“ฝีเท้าของผู้มีวรยุทธ์ขั้นสูง”ซูจิ่งสิงดูเคร่งขรึม ส่งสัญญาณให้กู้หว่านเยว่เงียบไว้ทันทีที่พวกเขาทั้งสองหลบไปซ่อนตัว เทียนอวี๋ก็เดินเข้ามาจากด้านนอกหลังจากเข้ามา นางไม่แม้แต่จะมองซ้ายขวา เดินตรงไปยังห้องที่ถูกลงกลอนไว้ทันทีกู้หว่านเยว่เห็นว่า สตรีคนนี้สวมผ้าคลุมหน้า ทั้งยังมีทักษะวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมสิ่งที่ฉินทงเคยพูดเอาไว้ก็แวบขึ้นในใจนางผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้หญิงลึกลับที่ฉินถงพูดถึงหรือ?กู้หว่านเยว่ค่อยๆ เอื้อมมือออกไป สะกิดฝ่ามือของซูจิ่งสิงเห็นได้ชัดว่า ซูจิ่งสิงเองก็คิดเหมือนนาง เขาพยักหน้าตอบกลับมาเมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนี้อาจเป็นผู้หญิงลึกลับคนนั้น กู้หว่านเยว่ก็รีบกลั้นลมหายใจ มองดูสิ่งที่นางต้องการจะทำอย่างใกล้ชิดทางด้านเทียนอวี๋ นางหยิบกุญแจออกมาแล้วไขเปิดประตูหลังจากเปิดออก ภาพที่เห็นภายในก็ช่างน่าตกตะลึงมองเห็นคนสามคนนอนเรียงกันอย่างเรียบร้อยในห้องด้านในทั้งสามคนนี้ ล้วนแต่สวมชุดเกราะ ดวงตาปิดสนิท นิ่งเฉยไม่พูดจาถ้าไม่ใช่เพราะจังหวะการหายใจขึ้นลง กู
ใบหน้าของเทียนอวี๋ปรากฎร่องรอยของความรำคาญ ก่อนจะเริ่มออกไล่ตามต่อไปเมื่อทั้งสองจากไป กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คลายเกลียวกลไกภายในพระพุทธรูปแล้วเดินออกไป“อันตรายมาก วรยุทธ์ของผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วและพูดว่า“พวกเขาใส่ผ้าคลุมอยู่ตลอด ระบุตัวตนไม่ได้เลย”ในขณะที่หญิงลึกลับคนนั้นกำลังตามหาพวกเขา นางก็นึกได้ว่าในห้องลงกลอนยังเหลืออยู่อีกสองคน จึงรีบดึงซูจิ่งสิงกลับมาทั้งสองกลับไปที่ห้อง มองไปยังสตรีสองคนที่นอนอยู่บนเตียง กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับพวกนางดี“พวกเรามาระบุตัวตนของพวกเขาก่อนเถอะ” ซูจิ่งสิงเอ่ยเตือน“เจ้าค่ะ” ทั้งสองคนเดินเข้าไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะถอดหน้ากากของทั้งสองออกก่อนที่ตัวตนของสองคนนี้ จะทำให้ทั้งกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงตกใจอย่างยิ่ง“พวกนาง ดูเหมือนจะเป็นคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองของตระกูลกงซุน”กู้หว่านเยว่หยิบภาพเหมือนออกมาเพื่อให้ค้นหาได้สะดวกยิ่งขึ้น กงซุนเสว่และกงซุนฉินได้มอบภาพเหมือนของคนตระกูลกงซุนทุกคนให้พวกเขาโฉมหน้าของทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขานั้น คล้ายคลึงกับคุณหนูรองและคุณหนูใหญ่ใ
“เมื่อวิกฤตย่างกราย เทพธิดาจะมาเยือน”กู้หว่านเยว่อ่านคำหนึ่งแถวที่ด้านล่างของแผ่นหินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง“บางทีอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้เจ้าค่ะ”นางไม่ใช่เทพธิดาอะไรนั่นสักหน่อย“เอาล่ะ เข้าไปดูกันเถอะ” ทั้งสองยังคงจำภารกิจของพวกตนได้ซูจิ่งสิงจ้องมองที่แผ่นหินอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งไฟค่อยๆ หายไป เขาจึงเดินตามเข้าไป“ส่งไฟมาให้ข้า”ซูจิ่งสิงหยิบคบเพลิงมาแล้วเดินเคียงข้างกู้หว่านเยว่ ท่าทางระมัดระวัง พร้อมป้องกันตลอดเวลาทั้งสองจับมือกันเดินต่อไป และในไม่ช้า ก็มาถึงส่วนลึกของทางลับทว่าด้านในนี้ ไม่เพียงแต่ได้เห็นเตียงส่วนตัว แต่ยังมีอาหารวางอยู่ข้างๆ ด้วยและเมื่อมองดูรอยบนเตียง ก็เห็นได้ชัดว่าปรากฏเป็นรอยคนนอนกู้หว่านเยว่เอื้อมมือไปแตะ “ยังอุ่นอยู่ เพิ่งออกไปไม่นาน”เมื่อคิดว่าคนที่ซ่อนอยู่ข้างในอาจเป็นคุณหนูสักคนที่ยังรอดชีวิตจากตระกูลกงซุน กู้หว่านเยว่จึงรีบไล่ตามนางไปไม่นานนัก ก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินสะดุดล้ม รีบวิ่งเข้าไปข้างใน“เดี๋ยวก่อน พวกเราไม่ใช่คนเลว”กู้หว่านเยว่รีบตะโกนอย่างรวดเร็วน่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ไว้ใจนาง หลังจากได้ยินเสียงตะโกน นา
ปรากฏว่าทันทีที่ทั้งสองคนมาถึงชั้นสอง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของเหยลวี่หมิงดังขยายออกมาจากในห้องทั้งสองคน ‘ยิ่งเกลียดยิ่งเจอจริง ๆ สินะ’ครั้นเสี่ยวเอ้อร์เห็นสองคนมีท่าทีแข็งทื่อ ก็รีบกล่าวขึ้นมา “มิต้องแปลกใจขอรับ คนที่อยู่ห้องตรงข้ามกำลังจัดกระดูก อาจารย์ด้านกระดูกกำลังจัดกระดูกให้เขา เสียงร้องจึงดังไปสักหน่อย หากท่านทั้งสองไม่สบายใจ ข้าเปลี่ยนห้องให้พวกท่านได้ขอรับ”“ไม่ต้อง”อยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกับเหยลวี่หมิง นับว่าโชคร้ายไปสักหน่อยแต่ครั้นกู้หว่านเยว่ได้คิดไตร่ตรองแล้ว พวกเขาสามารถเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของเหยลวี่หมิงได้ตลอดเวลา หากมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พวกเขาจะได้ไหวตัวทันในทันที นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอีกอย่างไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะได้ยินข่าวคราวของซูจิ่นเอ๋อร์จากปากของเหยลวี่หมิงก็ได้“ไม่ต้องวุ่นวาย เราพักในห้องนี้ได้”สองสามีภรรยาส่งสายตากันและกันจนเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย ซูจิ่งสิงโบกมือเล็กน้อยส่งให้เด็กในโรงเตี๊ยมออกไปหลังจากที่กู้หว่านเยว่เข้ามาในห้องก็ทำการสำรวจหนึ่งรอบ จึงได้เห็นเสี่ยวถ่านที่เดินตามเข้ามา“ข้าเปิดไว้สองห้อง เจ้าไปพักห้องที่อยู่ถัดไป
“ไม่ต้องร้อนใจ เรายังต้องพักในเมืองชิงซานหนึ่งคืน ยังมีเวลา”หลังจากที่ทหารที่ด้านนอกทยอยกันจากไป กู้หว่านเยว่ก็พาซูจิ่งสิงออกจากห้วงมิติทั้งสองคนลอยตัวไปยังร้านขายเสื้อผ้า เวลานี้เสี่ยวถ่านกำลังเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่พอดี เขารอกู้หว่านเยว่มาจ่ายเงินอย่างกระวนกระวายใจเขากลัวว่ากู้หว่านเยว่จะทิ้งเขาไว้ที่นี่ แล้วจากไปเพราะความกังวลมากเกินไป แม้แต่กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่ปลอมตัวเดินมาถึงหน้าเขา ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง“นี่!”กู้หว่านเยว่ตบศีรษะของเสี่ยวถ่าน “มัวอึ้งอะไร ยังเลือกเสื้อผ้าไม่ได้หรือ?”“พี่หญิงกู้?”เสี่ยวถ่านจำเสียงของนางได้ ครั้นเห็นทั้งสองคนแต่งกายต่างจากก่อนหน้านั้น แม้แต่ใบหน้าก็เปลี่ยนไป จึงอดตื่นตกใจไม่ได้“พวก...พวกท่าน?”“เราสองคนเจอกับปัญหาเล็กน้อย จึงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ปิดบัง ต่อไปเสี่ยวถ่านต้องติดตามพวกเขาไป บอกเขาไว้จะสะดวกมากกว่าในขณะเดียวกัน นางก็แอบตัดสินใจอยู่เงียบ ๆ หากเสี่ยวถ่านกล้าหักหลังนาง นางสามารถโยนเขากลับเข้าไปในกลุ่มทาสอีกครั้งได้อย่างไม่ปรานี“เช่นนั้นเรารีบออกไปจากตลาดกันเถอะ”เสี่ยวถ่านไม่ได้มีความค
“อ๊าก เจ็บ เจ็บยิ่งนัก”เหยลวี่หมิงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาคล้ายกับหมูโดนเชือด สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในขณะเดียวกันนัยน์ตาก็ได้ฉายแววตื่นตระหนกอย่างรุนแรง เขาคาดไม่ถึงว่าบุรุษหน้าตาขี้เหร่ผู้นี้จะมีวิทยายุทธ์ อีกทั้งวิทยายุทธ์ยังสูงมากอีกด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนพี่ใหญ่ แต่ก็เหนือชั้นกว่าคนทั่วไป“พวกเจ้ามัวอึ้งทำไม? รีบเข้ามาช่วยข้าสิ”เหยลวี่หมิงช่างไร้ยางอายยิ่งนัก หลังจากพบว่าตัวเองสู้บุรุษผู้นั้นไม่ได้ จึงรีบออกคำสั่งขอกำลังเสริมทันทีครั้นเห็นทหารม้าทั้งสองฝ่ายกำลังจะต่อสู้กัน กลุ่มคนที่มุงดูเรื่องชาวบ้านก็พากันถอยออก และล้อมเอาไว้เป็นวงกว้าง คอยมุงดูอยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้“เจ้ากล้าลงมือกับข้า ตายเสียเถอะ”นัยน์ตาของเหยลวี่หมิงฉายแววโหดร้าย พี่ใหญ่ปวดใจกับเขามาโดยตลอด คนรับใช้ข้างกายของเขาก็คือองครักษ์ลับข้างกายพี่ใหญ่คนเหล่านี้ต่างก็มีฝีมือไม่เป็นสองรองใคร โดยปกติแล้วจะไม่ลงมือง่าย ๆ หากลงมือแล้วพวกเขาจะเล่นกันถึงตายบุรุษผู้นี้จะต้องตายสถานเดียว!นัยน์ตาของเขาฉายแววโหดเหี้ยม วินาทีต่อมาก็ต้องตกตะลึงอย่างมากคนรับใช้เหล่านั้นยังไม่ทันได้เข้
“พวกเจ้าว่าชายหญิงคู่นั้นเป็นใครกัน?”“ไม่รู้สิ”ทุกคนพากันรวมตัว ทยอยกันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ส่วนใหญ่ล้วนแต่ฟังมาจากข่าวลือที่ไม่มีมูลในเวลานี้ เสียงอันภาคภูมิใจเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้น“ข้ารู้ว่าชายหญิงคู่นั้นเป็นใคร ชายหญิงคู่นั้นคือเจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาเจิ้นเป่ย”ทุกคนมองไปตามเสียง กระทั่งเห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายใต้การรายล้อมของคนรับใช้ครั้นเห็นเสื้อผ้าอันหรูหราของอีกฝ่าย คนในฝูงชนก็ตอบสนองในทันที“นี่คงไม่ใช่น้องชายของท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิง เหยลวี่หมิงหรอกนะ? คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเจอเขาที่นี่ ว่าแต่เจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาเจิ้นเป่ยที่เขาเอ่ยถึงเป็นใครกันแน่?”เสียงกระซิบกระซาบในกลุ่มดังขึ้น เนื่องจากเหยลวี่เจิงนั้นมีอำนาจเหนือกว่าทูเจวี๋ย ดังนั้นในตอนที่ทุกคนเห็นเหยลวี่หมิง ทุกคนก็อดแสดงสีหน้าหวาดกลัวไม่ได้“เหอะ ๆ ก็แค่คนน่ารังเกียจสองคนเท่านั้น”สีหน้าของเหยลวี่หมิงฉายแววโหดเหี้ยม เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่อย่างมากไม่แปลกใจเลย เขาเป็นน้องชายของเหยลวี่เจิง จะชอบซูจิ่งสิงได้อย่างไร?“แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าสองคนนั้นคือเจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาเจิ้น
“คนในครอบครัวของเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ?”กู้หว่านเยว่ปวดใจกับเด็กคนนี้มาก จึงยื่นขนมอีกชิ้นให้เขา“ทุกคนตายหมดแล้วขอรับ เหลือเพียงข้าผู้เดียว”ครั้นนึกถึงเรื่องเสียใจ เสี่ยวถ่านก็มักจะก้มหน้าลง จากนั้นหยดน้ำตาก็ได้หลั่งรินออกมาจากดวงตาของเขาเขาคิดถึงท่านแม่“เอาละ หยุดร้องได้แล้ว แม้ว่าคนในครอบครัวของเจ้าจะตายกันหมดแล้ว แต่เจ้าก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี”กู้หว่านเยว่ตักน้ำแกงไก่ให้เขา นางมักจะรู้สึกว่าสถานะของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดากิริยามารยาของเขาดูไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดา จู่ ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว“ประตูเมืองเปิดแล้ว!”ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทันใดนั้นเสียงตะโกนระลอกหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก จากนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้นขึ้นในฝูงชนที่ล้อมรอบ ทุกคนต่างทยอยกันเข้ามารวมตัวกันหน้าประตูเมือง“น้องหญิง เราเองก็เข้าเมืองกันเถอะ”ซูจิ่งสิงเปิดผ้าม่าน ก่อนจะกล่าวทักทายกู้หว่านเยว่ ไหน ๆก็จะเข้าเมืองแล้ว พวกเขาคงนั่งอยู่บนรถม้าไม่ได้อีก ต้องลงจากรถม้ามาตรวจสอบถึงจะถูก “เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่คว้ามือของเสี่ยวถ่านลงมาจากรถม้า และเดินมาต่อแถวอยู่ด้านหลังของกล
ไม่สู้สละตัวปัญหานี้ออกไปโดยเร็ว เขาจึงเริ่มร้อนใจ“เอาอย่างไร ข้าเสนอให้เจ้ายี่สิบตำลึง ตกลงเจ้าจะเอาหรือไม่เอา?”“ข้าเอา”ซูจิ่งสิงรับเงินมาจากมือของกู้หว่านเยว่ หลังจากนับจนครบยี่สิบตำลึงแล้วก็โยนให้บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นรับเงินไปด้วยความดีใจ เขาทำการตรวจสอบครู่หนึ่งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว ก็ไม่ได้สนใจทาสตัวน้อยนั้นอีก สะบัดก้นเดินจากไปทันที“ขอบคุณพวกท่านมาก” ทาสตัวน้อยมองไปทางซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง แต่นัยน์ตายังคงหวาดกลัวลางสังหรณ์กำลังบอกเขาว่าซูจิ่งสิงอันตรายมาก เขาไม่กล้าเข้าใกล้ซูจิ่งสิงเลยแม้แต่น้อย“เจ้าขึ้นรถม้าเถอะ”กู้หว่านเยว่กวักมือเรียกทาสตัวน้อย สองวันมานี้เวลาว่างนางก็มักจะเรียนรู้ภาษาของชาวทูเจวี๋ยจากซูจิ่งสิงอยู่เสมอ แม้ว่าจะยังออกเสียงได้เล็กน้อย แต่พอถูไถได้ไม่มีปัญหาทาสตัวน้อยเกิดความลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังปีนขึ้นรถม้า เขามองกู้หว่านเยว่ด้วยความประหลาดใจ“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนชั่ว”กู้หว่านเยว่ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นทำไม บางทีอาจเพราะเห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากทาสตัวน้อยผู้นั้น จึงรู้สึกว่าเหมือนตัวเองก่อนหน้านั
นางรีบลืมตา ก็พบว่าพวกเขามาถึงคูเมืองแห่งหนึ่งแล้ว เมืองชิงซานประตูเมืองของเมืองชิงซานจะเปิดในเวลาแปดโมงเช้า ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ ดังนั้นซูจิ่งสิงจึงจอดรถม้าอยู่หน้าประตูเมืองชั่วคราวแต่เวลานี้บริเวณประตูเมืองชิงซาน ยังมีคนที่เดินทางมาถึงเช้าตรู่เหมือนกับพวกเขาอีกเป็นจำนวนมาก กำลังพักผ่อนอยู่บนพื้นที่โล่งรอบ ๆ หน้าประตู เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ดังมาจากด้านหลังของรถม้าพวกเขา กู้หว่านเยว่เบนสายตามองตาม กระทั่งเห็นเด็กน้อยหน้าตามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่ง เกาะล้อรถของนางไม่ยอมปล่อย แต่ด้านหลังของเขา มีบุรุษวัยกลางคนฟาดเขาด้วยแส้อย่างโหดเหี้ยม“เกิดอะไรขึ้น?”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน เมื่อครู่นางอยู่แต่ในห้วงมิติตลอด จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นด้านนอก“เด็กหนุ่มผู้นี้วิ่งลงมาจากรถม้าของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น”ซูจิ่งสิงมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระซิบข้างหูของนางเบา ๆ“ท่าทางจะเป็นทาสที่ซื้อตัวมา คงอยากหนี”“ได้โปรดพวกท่าน ช่วยข้าด้วย”ครั้นทาสตัวน้อยเห็นกู้หว่านเยว่ชะโงกหน้าออกมา จึงมองนางด้วยความตกใจ แต่นัยน์ตาแฝงไปด้วยการอ้อนวอนเดิมทีกู้หว่านเยว่ไม่อยากเ
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกู้หว่านเยว่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า รูม่านตาของเจ้าเมืองแห่งเมืองสือโม่เบิกกว้าง พลางส่งเสียงกรีดร้องคล้ายกับสตรีชั้นสูงที่กำลังถูกกระทำชำเราอย่างไรอย่างนั้น“รนหาที่ตายแท้ ๆ บุรุษและสตรีคู่นี้เป็นผู้ใดกัน?!”“เจ้าเมือง บัดนี้เราจะทำอย่างไรกันดี?”ทหารที่ดูโง่เขลาบางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว เพียงครู่เดียว จวนของเจ้าเมืองก็ถูกกู้หว่านเยว่ถล่มจนไม่เหลือชิ้นดีทั้งเมืองสือโม่ตกอยู่ในความโกลาหลยิ่งกว่าเดิม!ซึ่งพอจะจินตนาการได้ว่าเรื่องของเมืองสือโม่ที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะต้องแพร่กระจายไปทั่วเมืองทูเจวี๋ยอย่างแน่นอน ไม่สิ อาจจะแพร่กระจายไปยังฝั่งของต้าฉีด้วย“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าควรทำอย่างไร รีบจับพวกเขาให้ได้ก่อนเถอะ!”เจ้าเมืองโกรธที่ตัวเองไร้ความสามารถ ส่วนทหารคนอื่นได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น พวกเขาไม่มีปีก ดังนั้นจึงทำได้แค่มองนกหงส์เพลิงบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ “จูเชวี่ย เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่มองไปยังเสบียงอาหารที่ถูกปล้นมาไว้ในห้วงมิติ ก่อนจะคลี่ยิ้มตาหยี นางลูบหัวของจูเชวี่ยเบา ๆ และออกคำสั่งให้จูเชวี่ยเร่งความเร็ว จากนั้นก็บินออกจากเมืองสือโม่ไปเจ้าเ
“กว่าจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เราคงจะกลับไปทั้งแบบนี้ไม่ได้ ข้าตั้งใจจะไปคูเมืองของเมืองสือโม่ แล้วกวาดเอาคลังสินค้าของพวกเขากลับไปด้วย”ในใจของกู้หว่านเยว่รู้สึกดีไม่น้อย ทำเรื่องใหญ่ทั้งที นางจะหยุดแค่นี้ไม่ได้สิ่งที่ซูจิ่งสิงคิดไว้ก็คือ หลังจากระเบิดประตูเมืองแล้วพวกเขาสามารถรอดพ้นจากการไล่ล่าได้ แต่ทหารทูเจวี๋ยที่เหลือคงจะรวมตัวและไล่ล่าทาสเหล่านั้นมีเพียงพวกเขาที่สามารถสร้างหายนะให้เมืองสือโม่ต่อไปได้ ทหารทูเจวี๋ยคงจะพุ่งความสนใจไปที่พวกเขา ชาวบ้านในต้าฉีจะได้มีโอกาสหนีออกไป“ก็ดี เช่นนั้นเราไปกวาดคลังสินค้าของพวกเขากันเถอะ”หากพูดถึงความเคร่งครัด นี่ไม่ได้เรียกว่าการปล้นถึงอย่างไรดินแดนของคนทูเจวี๋ยก็แห้งแล้งและไม่มีเสบียงมากนักในเมืองสือโม่มีการกักตุนเสบียงอาหารและเงินทอง โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งของที่พวกเขาน่าจะปล้นชิงมาจากชาวบ้านที่อยู่ชายแดนดังนั้นตอนนี้ยิ่งพูดได้เต็มปากว่าเป็นเจ้าของเสบียงอาหาร พวกเขาแค่ต้องนำเสบียงที่เดิมทีเป็นของชาวบ้านชายแดนเหล่านั้นกลับมาก็เท่านั้น“ไป!”กู้หว่านเยว่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระทั่งมาถึงคลังสินค้าในเมืองสือโม่เป็นอย่างที