มีเพียงหมู่บ้านโซ่วหวางเท่านั้นที่สืบทอดมายาวนาน ได้ยินมาว่าหมู่บ้านนี้สร้างขึ้นที่นี่ ตั้งรกรากมาหลายร้อยปีแล้ว”“ถึงแม้จะเก่า แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรม เห็นได้ถึงความยิ่งใหญ่”กู้หว่านเยว่เดาะลิ้นเบาๆเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ดึงดูดองครักษ์ ทั้งสองไม่กล้าพูดอะไรกันมากมาย หลังจากเข้าไปได้แล้ว พวกเขาก็ตามหาที่ที่ปลอดภัยแล้วซ่อนตัวเอาไว้ก่อน“หมู่บ้านโซ่วหวังใหญ่โตมโหฬาร หากคิดจะรวบเก็บสัตว์ร้ายทั้งหมดในครั้งเดียว คงตายเหนื่อยตายก่อน ไม่รู้ลองหาจากสถานที่ที่สำคัญสักสองสามที่ดูก่อน”กู้หว่านเยว่แนะนำซูจิ่งสิงเองก็คิดเช่นนี้ พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “พวกเราไปที่คุกใต้ดินกันก่อน”“ไปกันเถอะ” หลังจากหาทางไปคุกใต้ดินพบแล้ว กู้หว่านเยว่ก็พาซูจิ่งสิงเคลื่อนย้ายไปที่นั่นทันทีภายในคุกใต้ดินมีองครักษ์ไม่มากนัก กู้หว่านเยว่หยิบยาผงจำนวนหนึ่งออกมา คิดจะทำให้เหล่าองครักษ์หมดสติ จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าของพวกเขา แล้วค้นหาในพื้นที่ทั่วบริเวณแต่สิ่งที่ทำให้นางผิดหวังก็คือ คุกใต้ดินนี้ล้วนเป็นทาสจากอดีตหมู่บ้านโซ่วหวาง ไม่มีคุณหนูจากตระกูลกงซุนเลย“เดี๋ยวนะ”ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะจากไป กู้หว่านเยว่ก็เหลือบไ
เจียงหลินหันศีรษะไปมองแล้วพูดว่า “ร่างกายนี้ต่ำต้อย ไม่รบกวนให้พระชายาหนานหยางอ๋องมากังวล”เขาหัวเราะหยัน ก่อนจะนั่งลงบนพื้นโดยไม่สนใจบาดแผลตามร่างกาย“เจ้านี่มัน ดื้อรั้นจริงๆ”กู้หว่านเยว่ไม่มีความอดทนมากนัก อาศัยจังหวะที่เจียงหลินไม่ทันระวัง ใช้สันดาปสับคอ ทำให้อีกฝ่ายหมดสติทันที“เจ้า……”เจียงหลินไม่คิดเลยว่า ทั้งคู่จะลงมือเฉียบพลันเช่นนี้ ร่างกายล้มลงกับพื้นในทันทีกู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมา แทงเข้าร่างกายของเจียงหลินเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมากลางทางจากนั้น นางโบกมือเบาๆ พาคนคนนี้เข้าไปในพื้นที่มิติทันทีเดิมที กู้หว่านเยว่วางแผนที่จะเดินทางกลับเลย แต่เมื่อคิดได้ว่าทาสทั้งหมดในคุกใต้ดินนี้ ล้วนเป็นทาสของหมู่บ้านโซ่วหวางหากคนที่อยู่เบื้องหลังได้รู้ว่าเจียงหลินถูกช่วยออกไปแล้ว อาจสงสัยว่าทาสเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว นางก็โปรยยาพิษกำมือหนึ่ง ทำให้ทาสทั้งหมดหมดสติไปทันทีจากนั้น ก็พาพวกเขาไปรวมกันในพื้นที่มิติอีกครั้ง“ยานี้มีฤทธิ์เพียงหนึ่งวัน พวกเรารีบตามหาเบาะแสของคุณหนูห้ากับคุณหนูหกกันเถอะเจ้าค่ะ”ทาสเหล่านี้รวมกันแล้วอย่างน้อยก็มี
อีกทั้งก่อนหน้านี้สมาชิกที่เหลือของตระกูลกงซุน ตอนนี้ยังทำคนหายไปอีกใต้เท้าเหลยมองสตรีนางนี้ด้วยความกลัว สิ่งที่ได้เห็นแน่นอนในตอนนี้ คือความเย็นชาบนใบหน้าของนาง“นายท่าน พวกข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกข้าคุ้มกันดีแล้วจริงๆ...”: “สมควรตาย!”เทียนอวี๋ตบทั้งสองคนด้วยความโกรธ มองดูคุกใต้ดินที่ว่างเปล่ามองดูร่างบนพื้นที่ยังไม่ทันแข็งทื่อองครักษ์เหล่านี้ถูกสังหารไปได้ไม่นานนัก ทั้งพวกเขายังพาทาสทั้งหมดไปด้วย คงยังหนีไปไหนได้ไม่ไกล“สวะ ยังยืนทำอะไรอยู่อีก รีบไปตามมันกลับมาสิ”“ขอรับๆๆ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”หลังจากถูกเทียนอวี๋ด่า ใต้เท้าทั้งสองก็ตื่นจากภวังค์ ไล่ตามกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงไปทันที“บ้าเอ๊ย!”ท่าทางของเทียนอวี๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย สัญชาตญาณบอกนางว่า ต้องเป็นคนจากตระกูลกงซุนที่กลับมาแล้วแน่“เหมาะเจาะ ข้าจะได้ทดลองยาใหม่พอดี”เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางก็รีบสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมาถึงในห้องของโซ่วหวางแล้วแต่น่าเสียดาย ทั้งสองค้นหาทั่วทั้งห้อง แต่กลับไม่พบเบาะแส ไม่พบร่องรอยของคุณหนูห้าและคุณหนูหกเลยขณะที่พวกเขากำลังจะออกไป ก
“รีบไปซ่อนเร็ว”ท่าทางของซูจิ่งสิงเปลี่ยนไป เขากอดกู้หว่านเยว่อย่างรวดเร็ว รีบวิ่งไปซ่อนตัวอยู่หลังเสา“ฝีเท้าของผู้มีวรยุทธ์ขั้นสูง”ซูจิ่งสิงดูเคร่งขรึม ส่งสัญญาณให้กู้หว่านเยว่เงียบไว้ทันทีที่พวกเขาทั้งสองหลบไปซ่อนตัว เทียนอวี๋ก็เดินเข้ามาจากด้านนอกหลังจากเข้ามา นางไม่แม้แต่จะมองซ้ายขวา เดินตรงไปยังห้องที่ถูกลงกลอนไว้ทันทีกู้หว่านเยว่เห็นว่า สตรีคนนี้สวมผ้าคลุมหน้า ทั้งยังมีทักษะวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมสิ่งที่ฉินทงเคยพูดเอาไว้ก็แวบขึ้นในใจนางผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้หญิงลึกลับที่ฉินถงพูดถึงหรือ?กู้หว่านเยว่ค่อยๆ เอื้อมมือออกไป สะกิดฝ่ามือของซูจิ่งสิงเห็นได้ชัดว่า ซูจิ่งสิงเองก็คิดเหมือนนาง เขาพยักหน้าตอบกลับมาเมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนี้อาจเป็นผู้หญิงลึกลับคนนั้น กู้หว่านเยว่ก็รีบกลั้นลมหายใจ มองดูสิ่งที่นางต้องการจะทำอย่างใกล้ชิดทางด้านเทียนอวี๋ นางหยิบกุญแจออกมาแล้วไขเปิดประตูหลังจากเปิดออก ภาพที่เห็นภายในก็ช่างน่าตกตะลึงมองเห็นคนสามคนนอนเรียงกันอย่างเรียบร้อยในห้องด้านในทั้งสามคนนี้ ล้วนแต่สวมชุดเกราะ ดวงตาปิดสนิท นิ่งเฉยไม่พูดจาถ้าไม่ใช่เพราะจังหวะการหายใจขึ้นลง กู
ใบหน้าของเทียนอวี๋ปรากฎร่องรอยของความรำคาญ ก่อนจะเริ่มออกไล่ตามต่อไปเมื่อทั้งสองจากไป กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คลายเกลียวกลไกภายในพระพุทธรูปแล้วเดินออกไป“อันตรายมาก วรยุทธ์ของผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วและพูดว่า“พวกเขาใส่ผ้าคลุมอยู่ตลอด ระบุตัวตนไม่ได้เลย”ในขณะที่หญิงลึกลับคนนั้นกำลังตามหาพวกเขา นางก็นึกได้ว่าในห้องลงกลอนยังเหลืออยู่อีกสองคน จึงรีบดึงซูจิ่งสิงกลับมาทั้งสองกลับไปที่ห้อง มองไปยังสตรีสองคนที่นอนอยู่บนเตียง กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับพวกนางดี“พวกเรามาระบุตัวตนของพวกเขาก่อนเถอะ” ซูจิ่งสิงเอ่ยเตือน“เจ้าค่ะ” ทั้งสองคนเดินเข้าไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะถอดหน้ากากของทั้งสองออกก่อนที่ตัวตนของสองคนนี้ จะทำให้ทั้งกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงตกใจอย่างยิ่ง“พวกนาง ดูเหมือนจะเป็นคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองของตระกูลกงซุน”กู้หว่านเยว่หยิบภาพเหมือนออกมาเพื่อให้ค้นหาได้สะดวกยิ่งขึ้น กงซุนเสว่และกงซุนฉินได้มอบภาพเหมือนของคนตระกูลกงซุนทุกคนให้พวกเขาโฉมหน้าของทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขานั้น คล้ายคลึงกับคุณหนูรองและคุณหนูใหญ่ใ
“เมื่อวิกฤตย่างกราย เทพธิดาจะมาเยือน”กู้หว่านเยว่อ่านคำหนึ่งแถวที่ด้านล่างของแผ่นหินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง“บางทีอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้เจ้าค่ะ”นางไม่ใช่เทพธิดาอะไรนั่นสักหน่อย“เอาล่ะ เข้าไปดูกันเถอะ” ทั้งสองยังคงจำภารกิจของพวกตนได้ซูจิ่งสิงจ้องมองที่แผ่นหินอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งไฟค่อยๆ หายไป เขาจึงเดินตามเข้าไป“ส่งไฟมาให้ข้า”ซูจิ่งสิงหยิบคบเพลิงมาแล้วเดินเคียงข้างกู้หว่านเยว่ ท่าทางระมัดระวัง พร้อมป้องกันตลอดเวลาทั้งสองจับมือกันเดินต่อไป และในไม่ช้า ก็มาถึงส่วนลึกของทางลับทว่าด้านในนี้ ไม่เพียงแต่ได้เห็นเตียงส่วนตัว แต่ยังมีอาหารวางอยู่ข้างๆ ด้วยและเมื่อมองดูรอยบนเตียง ก็เห็นได้ชัดว่าปรากฏเป็นรอยคนนอนกู้หว่านเยว่เอื้อมมือไปแตะ “ยังอุ่นอยู่ เพิ่งออกไปไม่นาน”เมื่อคิดว่าคนที่ซ่อนอยู่ข้างในอาจเป็นคุณหนูสักคนที่ยังรอดชีวิตจากตระกูลกงซุน กู้หว่านเยว่จึงรีบไล่ตามนางไปไม่นานนัก ก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินสะดุดล้ม รีบวิ่งเข้าไปข้างใน“เดี๋ยวก่อน พวกเราไม่ใช่คนเลว”กู้หว่านเยว่รีบตะโกนอย่างรวดเร็วน่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ไว้ใจนาง หลังจากได้ยินเสียงตะโกน นา
แต่จะว่าไปแล้วก็น่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เสี่ยวฮวาคืองูเหลือมที่นางเลี้ยงไว้ก่อนหน้านั้นมันก็ไม่เคยแสดงความผิดปกติใด ๆ เหตุใดเวลานี้มันถึงเข้าหากู้หว่านเยว่ กระทั่งไม่เชื่อฟังคำสั่งและจู่โจมนาง?“ไม่เป็นไร”กู้หว่านเยว่ไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนางมองออกว่ากงซุนซวงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อน จึงพอสรุปได้สั้น ๆ ว่า“ในห้องลับแห่งนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้อื่นอีกหรือไม่?”หากคุณหนูหกอยู่ที่นี่ด้วย คงจะพาไปด้วยแล้วแต่น่าเสียดายที่กงซุนซวงส่ายหน้า“มีเพียงข้าผู้เดียว หลังจากที่สกุลกงซุนถูกลอบโจมตี ข้าก็หนีรอดจากพันธนาการของพวกเขา แต่ข้าก็ยังไม่หลุดพ้นจากหมู่บ้านโซว่หวาง จึงได้แต่หลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้”จู่ ๆ กงซุนซวงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบกล่าวว่า “จริงสิ เจียงหลิน เขายังอยู่ในคุก”นางมองทั้งสองคนด้วยสายตาอ้อนวอน“ท่านทั้งสอง เจียงหลินคือองครักษ์ของท่านพ่อ พวกเจ้าช่วยเขาได้หรือไม่”บางทีอาจเพราะร้อนใจเกินไป กงซุนซวงจึงคว้าแขนของกู้หว่านเยว่“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ”เมื่อเห็นสายตาร้อนใจของกงซุนซวง กู้หว่านเยว่จึงรีบหันไปมองซูจิ่งสิงอย่างรู้สึกผิด ผ่านไปครู่
“ท่านพี่ ท่านว่าเป้าหมายที่พวกเขาต่อต้านสกุลกงซุนคืออะไรเจ้าคะ?”ในเมื่อเงินทองยังไม่ถูกขนย้าย หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ทำเพื่อสมบัติแน่นอน“หรือว่าจะทำเพื่อเคล็ดลับในการฝึกสัตว์ร้าย?”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดพลางขยับมือเล็ก ๆ ของตนไม่หยุดกระทั่งคลังเสบียงทั้งหมดถูกเก็บกวาดจนสะอาด นางถึงจะหมุนตัวกลับมาและกล่าวว่า“ข้าจำเคล็ดลับในการฝึกสัตว์ร้ายของสกุลกงซุนได้ ก็ใช่ว่าจะถ่ายทอดให้ผู้อื่นไม่ได้?”สาเหตุที่สกุลกงซุนสามารถฝึกสัตว์ร้ายได้ เพราะสายเลือดของพวกเขามีความใกล้ชิดกับสรรพสัตว์มาตั้งแต่เกิดดังนั้นแม้ว่าคนนอกจะรู้วิธีฝึกสัตว์ร้าย แต่ก็ไร้ประโยชน์ซุจิ่งสิงอธิบายว่า “เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าสกุลกงซุนจะใช้กลอุบายเจ้าเล่ห์กับคนข้างนอก”“ก็มีความเป็นไปได้” กู้หว่านเยว่พยักหน้า “บางทีการฝึกสัตว์ร้ายนี้ ใคร ๆ ก็เรียกรู้กันได้ สกุลกงซุนกลัวว่าจะถูกผู้อื่นจับตามอง จึงได้กล่าวว่ามีเพียงสายเลือดเดียวกันถึงจะสามารถศึกษาได้”ซึ่งสตรีลึกลับผู้นั้นก็มีความเป็นไปได้ว่านางอาจจะจู่โจมเพียงเพื่อวิธีฝึกสัตว์ก็ได้ “คลังเสบียงถูกเก็บกวาดจนสะอาดแล้ว รอบนี้ได้กำไ
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น เสียงปริศนาเสียงหนึ่งก็ตะโกนดังมาจากด้านล่างที่แท้ก็เป็นน้องสาวจากตระกูลหลี่จินที่มาหาเขานี่เอง บอกว่าท่านแม่หลี่ก็มาเยี่ยมด้วย“พวกเจ้านะพวกเจ้า ชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่บอกข้า”ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างก็ได้ยินเสียงที่ดุดันของสตรีผู้หนึ่งดังมาจากด้านใน“หากไม่ใช่เพราะข้ากลับมาจากทุ่งนา แล้วได้ยินป้าหวังข้างบ้านบอก ข้าก็คงไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาโรงหมอ”หญิงวัยกลางคนด่ากราดเสียงดัง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าดูไม่สบอารมณ์หลี่จินค่อนข้างลำบากใจ“เสียมารยาทยิ่งนัก แม่ของข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ ชอบเอะอะโวยวาย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วสูง มั่นใจว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นแม่สามีขี้หงุดหงิดอย่างแน่นอนมิน่าล่ะก่อนหน้านั้นนางหลินถึงได้มีท่าทีหวาดกลัว ไม่กล้าให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย เพราะกลัวว่าหากถูกแม่หลี่รู้เข้า จะถูกไล่ออกจากบ้านอย่างแน่นอนในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังจะกลับนั้น นางได้เข้าไปจับชีพจรให้นางหลินอีกครั้ง“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน”นางหลินยังนอนอยู่บนเตียง ตอนนี้ไม่สามารถลุกขึ้นได้นางมีสีหน้าลำบากใจ หดคอเหมือน
หลังจากลองกดหน้าท้องแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ยิ่งมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของนางหลินจะต้องเกิดจากรังไข่ที่ฉีกขาดอย่างแน่นอน“มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก แถมภรรยาของเจ้าก็ยังหน้าซีดราวกับกระดาษ ปวดท้องตลอดเวลาแบบนี้ อาจจะทำให้ช็อกได้ทุกเมื่อ ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน”กู้หว่านเยว่ดึงมือกลับ นางหลินยังคงนอนอยู่บนเตียง เหงื่อไหลพรากราวกับสายฝน นางยังคงสะลึมสะลือหลี่จินจึงกล่าวถามว่า “ผ่าตัดหรือ? อะไรคือผ่าตัด?”“คือการกรีดเปิดหน้าท้องของภรรยาเจ้า จากนั้นก็ซ่อมแซมบาดแผลภายในร่างกาย ห้ามเลือดให้นาง ไม่ให้เลือดไหลออกมาจากบาดแผลของนางอีก”อีกฝ่ายไม่เคยเจอวิธีการนี้ในตำรามาก่อน กู้หว่านเยว่พยายามใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายอธิบายให้เขาฟังหลี่จินเข้าใจแล้ว แต่กลับตกใจไปชั่วขณะ“ต้องกรีดหน้าท้อง? เช่นนั้นภรรยาของข้าก็ยิ่งทรมานนะสิ”เขามีสีหน้าเป็นกังวล แต่เขากลับเป็นคนซื่อตรง ไม่ได้ซักถามกู้หว่านเยว่ต่อเพียงแต่เป็นห่วงกลัวนางหลินจะทนไม่ไหว เจ็บจนปางตาย“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามียาระงับความเจ็บปวด หากภรรยาของเจ้ากินยานี้แล้ว จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”กู้หว่านเยว่มองไปยังอีกฝ่ายจะผ่าตัดได้หรือไม
“ท่านผู้นี้คือ?”เมื่อหลี่จินได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ ก็รีบหันไปมองนางทันทีแต่กู้หว่านเยว่ใส่หมวกม่านอยู่ ดังนั้นทุกคนจึงมองไม่เห็นโฉมหน้าของนาง“อย่าเปิดเผยสถานะของข้า”กู้หว่านเยว่กระซิบบอกข้างหูของเจ้าของร้านเบา ๆ เจ้าของร้านจึงรีบพยักหน้า เขารู้ว่ากู้หว่านเยว่มีทักษะการแพทย์ จึงหาข้ออ้างไปเรื่อย “นี่คือหมอหญิงในร้านขายยาของเรา ในเมื่อภรรยาของเจ้าไม่ยอมให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย มิสู้ให้หมอหญิงท่านนี้ตรวจร่างกายให้ภรรยาของเจ้าล่ะ?”เขาลองหยั่งเชิง“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะยอมหรือไม่”สาเหตุที่นางหลินไม่ยอมให้หมออาวุโสผู้นั้นตรวจร่างกายของนาง เพราะเหตุผลที่ว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิด นางทนต่อคำครหาเหล่านั้นไม่ได้ ทั้งยังกังวลว่าหลังจากที่เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะถูกผู้อื่นตำหนินางไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ บัดนี้ไหน ๆ ก็มีหมอหญิงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธ จึงรีบพยักหน้า“หากหมอหญิงผู้นี้สามารถตรวจร่างกายให้ข้าได้ เช่นนั้นก็ดี”นัยน์ตาของหลี่จินเปล่งประกาย“ได้โปรดท่านหมอช่วยตรวจร่างกายให้ภรรยาของข้าด้วยเถิด”กู้หว่านเยว่เดินเข้ามา เจ้าของร้านรีบยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้นา
“หากเจ้าไม่สบายตรงไหน อย่าฝืนทนเด็ดขาด ต้องตรวจให้แน่ใจ”สายตาของบุรุษฉายแววร้อนใจ มีท่าทีเป็นห่วงอย่างชัดเจนหมอที่อยู่ด้านหลังเห็นทั้งสองคนลังเล จึงอดกล่าวเตือนไม่ได้“หากท่านทั้งสองคนไม่อยากตรวจ ก็ขยับไปด้านข้างก่อนเถิด อย่าทำให้คนที่มาต่อแถวรอตรวจต้องเสียเวลา”“ไปกันเถอะ”สตรีผู้นั้นพยายามลากบุรุษข้างกายออกไป ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บด้านหลังจึงรีบรุดขึ้นหน้าทันที เพียงแต่ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าออกไป ภาพตรงหน้าของสตรีผู้นี้ก็ดับวูบ เป็นลมล้มลงไปกองกับพื้น“น้องหญิง ๆ เจ้าเป็นอะไรไป?”หลี่จินกอดนางหลินไว้ จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังอย่างร้อนใจ“ใครก็ได้มาช่วยดูอาการให้น้องหญิงของข้าหน่อย?”คนที่อยู่โดยรอบรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว กู้หว่านเยว่จึงมองไปทางเจ้าของร้านเจ้าของร้านกลับไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์ตรงหน้าในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้มีชาวบ้านมาหาหมอเป็นจำนวนมาก บางครั้งก็มีชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นลมหมดสติอย่างฉับพลันทันทีที่มาถึงหน้าโรงหมอเขาออกคำสั่งอย่างเป็นระบบระเบียบ“ขอผู้ช่วยสองคน ยกแม่นางผู้นี้ขึ้นเปล แล้วหามเข้าไปตรวจภายในห้อง”ผู้ช่วยที่รอคำสั่งอยู่ด้านหลังก็ร
จากเนื้อหาที่ซูจิ่งสิงเขียนไว้ในจดหมาย บอกไว้ว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่ได้ข้ามแม่น้ำมู่ตันโดยสมบูรณ์แล้ว บัดนี้กำลังมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งของกองทัพจากราชสำนักที่อยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตันกองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็ร่วมบรรเลงเพลงรบด้วยกัน เพราะฝั่งของเรามีดินปืน ทำให้ศัตรูพ่ายแพ้สงครามถึงสองครั้งสงครามยืดเยื้ออย่างน้อยครึ่งเดือน ในที่สุดกองทัพที่มีทหารนับแสนคนของราชสำนักก็ได้ต้องถอยทัพออกจากแม่น้ำมู่ตันหลังจากที่กู้หว่านเยว่อ่านจบแล้ว มุมปากก็ได้กระตุกยิ้มอย่างชื่นชมนางรายงานสถานการณ์ของเมืองเหยาให้ซูจิ่งสิงรับรู้แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องการบอกอีกฝ่ายว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยดี เขาไม่ต้องเป็นห่วง รับมือกับศึกอย่างสบายใจได้เลยเมืองเหยาเกิดหายนะอย่างรุนแรง นางต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกระยะหนึ่ง เพื่อช่วยฟื้นฟูเหตุการณ์หลังสงครามหลังจากเขียนจดหมายเสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็นำม้วนกระดาษผูกติดกับขาของนกพิราบทองคำ“ไปเถอะ ไปหาเจ้าของของเจ้า”นกพิราบทองคำกางปีกโผบินออกไป“ฮูหยินคิดถึงท่านอ๋องใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ชิงเหลียนเห็นกู้หว่านเยว่ที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วปิดปากแอบหัวเราะกู้
“พี่สาม?”เซวียฉิงเบิกตากว้างด้วยแววตาหม่นหมอง “ที่พี่สามห่างเหินต่อข้า เป็นเพราะข้าและท่านพ่อท่านแม่หนีออกจากเมืองใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ฮั่วจี๋หยุดชะงักฉับพลัน “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?”“ไม่อย่างนั้นชิงเอ๋อร์คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าตนเองทำอะไรถึงทำให้พี่สามไม่สนใจชิงเอ๋อร์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น....”เซวียฉิงยังพยายามจะอธิบาย ฮั่วจี๋จึงหันไปมองนางแวบหนึ่ง“เซวียฉิง เรื่องบางเรื่องข้าไม่อยากพูดถึง”สายตาที่เฉียบคมนั้นทำให้หัวใจของเซวียฉิงเต้นตึกตัก หรือว่าพี่สามจะรู้เรื่องในวันนั้น?เป็น...เป็นไปไม่ได้ท่านแม่กำชับอย่างหนักแน่น ห้ามใครพูดเรื่องนั้นออกมา“พี่สาม คนในตระกูลฮั่วล้วนตายในสงคราม ข้ารู้ว่าสภาพจิตใจของท่านแย่เพียงใด เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาท่านใหม่นะเจ้าคะ”เซวียฉิงไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา จึงหมุนตัวเตรียมกลับ“อย่าลืมรับโทษ”ฮั่วจี๋กล่าวเตือนเพียงสั้น ๆ เซวียฉิงพยายามอดกลั้นเพื่อไม่ให้ทะเลาะกัน จากนั้นก็เดินมาคุกเข่าตรงโถงทางเดินอย่างไม่เต็มใจแต่หลังจากที่ฮั่วจี๋ไล่เซวียฉิงออกไปแล้ว เขาก็พยายามอดกลั้นความเจ็บปวดจากบาดแผล และลงจากเตียง“ท่านอ๋อง ท่านจะไปไหนขอรับ?” เด็กรั
นางกล่าวเพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นหยดน้ำตาก็หลั่งรินออกมาท่าทางของนางดูเสแสร้งแต่เจ็บจริง“หากข้าทำตรงไหนไม่ถูกต้อง ข้าขอโทษเจ้าด้วย เราคุยกันดี ๆ ก็ได้ เหตุใดจะต้องลงไม้ลงมือกันด้วยเล่า?”เซวียฉิงคิดว่ากู้หว่านเยว่คือเจียงม่านที่ช่วยฮั่วจี๋ จึงตั้งใจจะใส่ร้ายนาง ให้นางรู้สึกอับอายกู้หว่านเยว่มองนางด้วยความเอือมระอา โดยไม่กล่าวสิ่งใดชิงเหลียนจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้ารุดหน้าเข้ามาทักทายฮูหยินของข้า?”นางย่อกายทำความเคารพกู้หว่านเยว่อย่างนอบน้อม“ฮูหยินของข้าคือพระชายาเจิ้นเป่ย แล้วเจ้าเป็นใคร?”“พระชายาเจิ้นเป่ย?”เซวียฉิงมองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยความตกใจ นางจำผิดคนอย่างนั้นหรือ?“ข้า...ข้าไม่รู้”นางตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาคุกเข่าต่อหน้ากู้หว่านเยว่“พระชายาทรงระงับความโกรธด้วยเถิด ข้าน้อยไม่รู้ฐานะของท่านถึงได้ล่วงเกินท่านเช่นนี้”ในตอนที่นางเข้ามานั้น เดิมทีคิดว่ากู่เหว่านเยว่คือสตรีที่ล่อลวงฮั่วจี๋นางคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือพระชายาเจิ้นเป่ยที่เลื่องลือไปทั่วเมืองพระชายาที่ไหนจะแต่งกายเรียบ ๆ เช่นนี้ล่ะ?“ข้าน
จู่ ๆ ชิงเหลียนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบกล่าวเตือน เมื่อวานนางเห็นเจียงม่านเดินออกมา ยามนั้นนางกำลังช่วยฮูหยินจัดหาที่ทางให้คุณหนูหวัง จึงทำได้แค่ระแวดระวัง ไม่ได้เข้าไปขวางแต่อย่างใดเจียงม่านไม่ใช่คนของพวกเขา นางเองก็คงเข้าไปขวางไม่ได้ “นางมุ่งหน้าไปทางไหน?”ฮั่วจี๋มองไปทางชิงเหลียนด้วยความร้อนใจจนแทบจะกลิ้งลงมาจากเตียง“เรื่องนี้ ข้าน้อยเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”ชิงเหลียนส่ายหน้า “แค่เห็นเจียงม่านออกมาจากจวน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ส่วนจะไปที่ไหนนั้น ข้าน้อยกำลังยุ่งกับงานของตัวเอง จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเจ้าค่ะ”“มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอย่างนั้นหรือ?”สีหน้าของฮั่วจี๋ฉายแววตื่นตระหนก ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงสถานที่ทิศตะวันตกที่นางพอจะไปได้แต่หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน ก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้กระทั่งตอนนี้ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองนั้นแทบไม่รู้จักเจียงม่านเลยนอกจากชื่อของนางแล้ว บ้านของนาง อายุของนาง แต่งงานแล้วหรือไม่นั้นก็แทบไม่รู้อะไรเลยเขามีสีหน้าละอายใจ“ในเมื่อพระชายาไม่รู้ว่าเจียงม่านอยู่ที่ไหน เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่ขอรบกวนพระชายาแล้วขอรับ”ทันทีที่ฮั่วจี๋ไ
อาวุธของพวกโจรถูกริบไปจนหมด แต่ละคนจึงมือเปล่าพลธนูบนกำแพงเมืองที่ต้านทานการบุกเมือง ไม่มีธนูแล้ว เหลือเพียงถุงธนูที่ว่างเปล่า“แย่แล้ว มีไส้ศึก!”มีคนตะโกนเสียงดัง ประตูเมืองถูกเปิดแล้วนอกเมืองมีทหารกล้าหนึ่งพันนายของหนานหยางอ๋องที่ซุ่มอยู่แต่แรกบุกเข้ามา“บุก!”“ยึดเมืองเหยา!”“บุกเข้าไป!”ภายในเมืองเต็มไปด้วยแสงไฟ เสียงร้องดังตะโกนไปทั่วฟ้าสางแล้วสงครามก็จบลงแล้วเมืองเหยาหลังสงคราม นองเลือดเละเทะพวกโจรแพ้แล้ว กู้หว่านเยว่กับหนานหยางอ๋องพาทหารกล้าบุกเข้าไป อีกทั้งยังมีสวีซื่อฉวนร่วมมืออยู่ด้านในทำให้พวกโจรแพ้อย่างรวดเร็วทหารเจดีย์หนิงกู่ยึดเมืองเหยาได้แล้วบนกำแพงเมืองเปลี่ยนเป็นธงของเจิ้นเป่ยอ๋องคนชราเด็กสตรีถูกกู้หว่านเยว่ปล่อยตัวออกมาเหล่าหญิงสาวที่ถูกย่ำยี คุมขังอยู่ในจวนเจ้าเมือง ล้วนถูกปล่อยตัวกลับบ้านเมืองเหยาหลังสงครามต้องสร้างขึ้นใหม่กู้หว่านเยว่สั่งให้เปิดยุ้งฉาง แจกจ่ายเสบียงแก่ชาวบ้านในเมืองให้ทางการรวบรวมจำนวนคนตายและบาดเจ็บ จ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวที่ประสบภัยว่าจ้างชาวบ้านให้เข้าร่วมการก่อสร้าง ซ่อมแซมกำแพงเมือง จวน และสิ่งปลูกสร้าง