มีเพียงครอบครัวสกุลซูหนึ่งกลุ่มต้องทุกข์ทรมานจับจ้องทุกคนกำลังแจกจ่ายของกิน มีเพียงพวกเขาแม้ขนเส้นเดียวก็ไม่มี สายตาริษยาของแต่ละคนแดงก่ำ ไม่กล้าขยับขึ้นไปหาเรื่อง ทำได้เพียงสบถด่าทุกคนรออยู่ภายในโรงเตี๊ยม จนกระทั่งซุนอู่ไปรายงานศาลาว่าการประจำเมืองเรียบร้อยดีแล้ว ถึงเดินทางออกจากเมืองฉูโจวทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือ พวกเขาถึงขั้นพบเว่ยเฉิงอีกครั้งที่หน้าประตูเมือง“แม่นางกู้ นับว่ารอจนได้พบเจ้าแล้ว”หลังเว่ยเฉิงมองเห็นกู้หว่านเยว่ รีบถลันขึ้นมาต้อนรับ ที่แท้เขาก็ได้รู้ฐานะของกู้หว่านเยว่ผ่านปากของสกุลหลิน จึงมารอนางที่หน้าประตูเมือง“ขอบคุณแม่นางกู้ สกุลหลินรับตำรับอาหารของข้าไว้แล้ว ให้เงินข้ามากถึงห้าร้อยตำลึง”สกุลหลินเห็นแก่ฐานะของกู้หว่านเยว่ ใจกว้างต่อเขามาก ไม่เพียงมอบเงินให้ห้าร้อยตำลึงซื้อตำรับอาหารเลิศรส มิหนำซ้ำยังมอบเงินปันผลให้เขาอีกปีละห้าร้อยตำลึงสิ่งนี้สำหรับคนที่อยู่ท่ามกลางความลำบากเช่นเว่ยเฉิง ก็คือสมบัติก้อนโตอย่างไม่ต้องสงสัยเขาขอบคุณกู้หว่านเยว่อีกครั้ง “บุญคุณของแม่นางกู้ ข้าน้อยจำไว้แล้ว ภายภาคหน้ามีโอกาสจะต้องตอบแทนเป็นแน่”กู้หว่านเยว่ยิ้มน้อย
ทางฝั่งนี้ ซูจิ่งสิงยังใคร่ครวญประโยคไม่มีหัวไม่มีหางนั้นของเว่ยเฉิงกู้หว่านเยว่เองก็แปลกใจมาก “เว่ยเฉิงให้ท่านไปพบโจวเหล่าทำอันใด?”ยิ่งไปกว่านั้นโจวเหล่านี้คือใครกันเล่า?ซูจิ่งสิงส่ายหน้า “ข้าเองก็แปลกใจมาก แต่เขาก็พูดหนึ่งประโยคนี้ ไม่มีหัวไม่มีหาง ข้าเองก็ไม่รู้หมายความว่ากระไรกันแน่”“ส่วนโจวหล่าคนนี้ เขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักศึกษาอิ้งเทียน ทั้งยังเป็นราชครูของอดีตองค์รัชทายาท บัดนี้น่าจะเกษียณกลับบ้านเกิดแล้ว” ผู้อาวุโสก็คืออาจารย์ใหญ่ สำนักศึกษาอิ้งเทียนเป็นสำนักศึกษามีชื่อเสียงมากที่สุดในต้าฉี ลูกศิษย์มาจากทั่วทั้งเหนือจรดใต้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชนชั้นสูงสองสามีภรรยาครุ่นคิดอยู่นาน ก็ไม่สามารถหยั่งเดาความนัยของเว่ยเฉิงออกเพียงอย่างเดียวที่สามารถมั่นใจได้ ก็คือเว่ยเฉิงมิได้คิดร้ายต่อพวกเขา“ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้าและเว่ยเฉิงมีความรู้สึกราวกับเพียงได้พบหน้าก็คล้ายพบสหายเก่า”ซูจิ่งสิงสับสนมากว่าตกลงความรู้สึกนี้มาจากที่ใดกู้หว่านเยว่นึกตำหนิภายในใจ พวกท่านทั้งสองคนหนึ่งบุ๋นคนหนึ่งบู๊ ล้วนมีความแค้นถูกคนลืมบุญคุณรื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำแล้ว ไฉนจะไม่รู้สึกเพียงได้พบหน้าก็คล
เพียงครู่เดียวก็มาถึงศาลเจ้าทุกคนล้วนทรุดตัวลงบนพื้น“หว่านเยว่ อย่านอนเลย ลุก ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งก่อน แม่จะนำชุดนั้นบนตัวเจ้าไปผึ่งให้แห้ง” นางหยางพูดติดๆ ขัดๆซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงก่อไฟเรียบร้อยแล้วกู้หว่านเยว่พยักหน้า กางกระโจมเล็กที่มุมหนึ่งบนพื้นของศาลเจ้า ก่อนมุดเข้าไปยังผินมองซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง“เอ่อ ท่านช่วยข้าดูก่อน อย่าให้ผู้อื่นเข้ามา”นางยังคิดเข้าไปอาบน้ำในมิติวิเศษอีกด้วย“ได้” ซูจิ่งสิงรู้ว่านางต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า พยักหน้าสีหน้าเคร่งขรึมกู้หว่านเยว่ยังค่อนข้างเชื่อใจซูจิ่งสิงมาก เข้ากระโจมก็หายตัวเข้าไปในมิติวิเศษแล้วเดินเข้าไปข้างบ่อน้ำพุร้อนทิวทัศน์งดงามอาบน้ำทีหนึ่ง ใช้เครื่องเป่าผมเป่าจนแห้ง นี่ถึงกลับออกมาจากภายในซูจิ่งสิงเฝ้าที่ข้างกระโจมอยู่ตลอดหลังผ่านการพักฟื้นระยะนี้มาแล้ว ขาของเขายังไม่สามารถเดินได้ แต่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างง่ายกลับมิใช่ปัญหาแม้มีกระโจมหนึ่งกั้นไว้ แต่เขามั่นใจมาก หลังกู้หว่านเยว่เดินเข้ากระโจมแล้ว กลิ่นอายก็หายไปจากภายในแล้วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ถึงออกจากภายในกระโจมมิหนำซ้ำรอจนกระทั่งนางออกมาแล้ว เส้นผมเอ
ซูหัวหลินตัวแข็งทื่อล้มลงกับพื้น เลือดออกปากและจมูก หมดลมหายใจหัวใจหยุดเต้น“เคร้ง!” หม้อเหล็กตกลงพื้น น้ำแกงยาที่เหลือสาดกระเซ็นหลังทุกคนผ่านความตกใจมาแล้ว ต่างพากันกรีดร้องปิดศีรษะของตนทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป!ไม่มีใครคาดคิด ซูหัวหลินที่เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ ถึงขั้นถูกฟ้าผ่าตายต่อหน้านางเฉียนอึ้งงันอยู่กับที่ มองศพซูหัวหลินพลันรู้สึกเจ็บปวดใจสิ้นหวังครั้นเสียงฟ้าร้องดังครืนเหนือศีรษะอีกครั้ง นางลังเล ยังเลือกหนีไปหลบหลังเสาโดยไม่หันกลับมามองอีก“เจ้ารอง ลูกชายข้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้เจ็บปวดเสียใจ ยกไม้เท้าถลันขึ้นไปข้างหน้า ถูกเจ้าใหญ่ฝืนลากกลับไป“ท่านแม่ อย่าแตะต้องน้องรอง เขาเพิ่งถูกฟ้าผ่ายังมีกระแสไฟบนตัวเขา!”ซูหัวหยางพูดไม่ผิด รอบข้างศพของซูหัวหลินยังมีกระแสไฟ ดินรอบข้างล้วนดำสนิทแล้วฮูหยินผู้เฒ่าตกอยู่ในความเจ็บปวดเสียใจอย่างหนัก “เจ้าใหญ่ เจ้าคนใจร้าย ดูน้องชายเจ้าถูกฟ้าผ่าตายไปแล้ว เจ้ายังไม่สนใจ!”ใบหน้าซูหัวหยางอ่อนล้า ปล่อยฮูหยินผู้เฒ่าทุบตีเขาอย่างอิสระ ลากคนออกมาไกลขึ้นอีกนิดส่วนคนอื่น ต่างพากันหลบที่มุมของศาลเจ้าในเวลานี้ ทุกคนต่างตื่นตร
นางเงียบไปครู่หนึ่ง พูดอย่างจริงจัง “ข้ากำลังสงสัยว่าเขื่อนในละแวกใกล้เคียงนี้อาจพังลง เมื่อนั้น พวกเราที่ศาลเจ้าโทรมๆ นี้ก็จะอับโชคไปด้วย ทุกคนไม่มีทางรอดชีวิต”ซุนอู่ตกตะลึงภายในใจ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“สัญชาตญาณ” กู้หว่านเยว่ชี้ไปที่ระดับน้ำบนพื้น “ท่านดู ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงตอนนี้ น้ำที่ไหลเข้ามาจากภายนอกระดับสูงขึ้นอย่างช้าๆ อยู่เหนือข้อเท้าของพวกเราแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เขื่อนไม่แตก ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็ต้องจมน้ำเป็นแน่”อันที่จริงกู้หว่านเยว่เองก็ไม่แน่ใจว่า ตกลงเขื่อนที่แตกนั้นอยู่ที่นี่หรือไม่ในหนังสือมิได้เขียนไว้อย่างละเอียด ความจำนางเองก็เลือนรางแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะอยู่ที่ศาลเจ้าโทรมๆ นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว หากยังอยู่ต่อก็มีแต่จะต้องตายเท่านั้น!ซุนอู่มองระดับน้ำบนพื้น ภายในใจยังหวังพึ่งโชค“นี่ก็ไม่แน่ว่าเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ฝนทั่วไปก็ล้วนตกหนักอยู่พักหนึ่ง แต่หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม อีกเดี๋ยวฝนก็เบาลงแล้ว”กู้หว่านเยว่ปวดหัวอยู่บ้าง ซุนอู่ไม่มีไหวพริบเอาเสียเลยหากมิใช่เพราะยังมีสกุลเหยียน สกุลหลี่และสกุลเซิ่ง นางต้องพาครอบครัวของตนจากไปแล้
“ข้างนอกฟ้าแลบและฟ้าร้อง อยู่ในศาลเจ้าปลอดภัยกว่า”“น้ำท่วมขึ้นมาแล้วอย่างไร? อย่างน้อยขึ้นที่สูงก็ไม่ต้องเปียก แต่ถ้าออกไปตอนนี้ คงได้หนาวตาย”เหตุผลที่ทุกคนไม่เต็มใจที่จะจากไป ก็เหมือนกับพวกซุนอู่เมื่อครู่นี้ทุกประการซุนอู่เห็นว่าระดับน้ำใต้เท้าเพิ่มขึ้นทีละน้อย แถมคนในคาราวานยังบ่นกระปอดกระแปด เขาโกรธจนต้องหยิบแส้ออกมาเมื่อครู่แม่นางน้อยกู้อดทนไม่อัดเขาได้อย่างไร?“ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตาย!”“พี่ใหญ่ซุน เดี๋ยวก่อน!”กู้หว่านเยว่รีบห้ามเขาเอาไว้นักโทษเยอะเช่นนี้ ล้วนแต่ไม่เต็มใจจะออกไป แส้ไม่อาจใช้ได้แล้ว ต่อให้จะบังคับพวกเขาได้ แต่ก็จะต้องคอยลากคอยประคองให้เสียเวลา เดินหน้าได้ไม่กี่ก้าวกู้หว่านเยว่ส่งสายตาวางใจให้ซุนอู่ แล้วหันกลับมาพูดกับทุกคนด้วยเสียงทุ้มลึก“ทุกท่านฟังข้าพูด พวกเราหลบฝนในศาลเจ้านี้ได้สักพัก แต่ฝนก็จะหนักขึ้น และไม่ช้าก็เร็วที่นี่ก็จะถูกน้ำท่วมพวกท่านดู ตอนนี้น้ำขึ้นมาถึงเข่าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังอยู่ริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ หากเขื่อนแตก กระแสน้ำทะลักท่วม พวกเราก็จะถูกพัดพาไปอย่างรวดเร็วจะรั้งอยู่ที่นี่รอความตาย หรือจะออกไปกับข้า พวกท่านตัดสินใจกันเอ
พวกเขาบ้านใหญ่ทำงานเป็นวัวเป็นม้ามาตลอดทาง ท่านย่ากลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย“ตะโกนอะไรกัน? ท่านแม่โกรธ จะทุบตีก็เป็นเรื่องธรรมดา”ซูหัวหยางสีหน้าบูดบึ้ง ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะดุเขาอย่างไร เขาก็ยังก้มลงแบกคนๆ นี้ไว้บนหลัง ติดตามคาราวานขนาดใหญ่ไปส่วนศพของซูหัวหลิน ถูกทิ้งไว้ในศาลเจ้าอย่างเร่งรีบหลังจากออกจากศาลเจ้าแล้ว ซุนอู่ก็ถามว่า“แม่นางน้อยกู้ พวกเราจะไปไหนกันหรือ?”กู้หว่านเยว่เห็นภูมิประเทศล่วงหน้าแล้ว จึงพูดอย่างเด็ดขาดว่า “เดินไปตามไหล่เขาทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ แม้ว่าเขื่อนจะพัง แต่น้ำก็จะไม่ท่วมมาถึงเรา”พืชพรรณโดยรอบมีความเขียวชอุ่ม ความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มบนภูเขาน้อยมากเมื่อนึกถึงความตายอันน่าสลดใจของซูหัวหลิน กู้หว่านเยว่ก็พูดอย่างกังวลว่า“ทุกคนเดินตามข้าเอาไว้ อย่ายืนตะโกนเสียงดังในที่โล่ง เดินไปตามใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่อยู่ให้ห่างจากต้นที่สูงใหญ่ ป้องกันฟ้าผ่า”บนท้องฟ้า หยาดฝนเทลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆท้องฟ้าดูเหมือนจะมีหลุมดำปรากฏออกมา หยาดฝนตกหนักนับไม่ถ้วนรินรด ไม่เพียงแต่มีฟ้าร้องและพายุโหมเท่านั้น แต่ยังมีลมแรงอีกด้วยทุกคนฝ่าลมแรง เดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้ว
หลิวซื่อที่กลับมามีสติอีกครั้ง ก็มองไปรอบๆ “เจ้าสาม เมี่ยวเมี่ยว เมี่ยวเมี่ยวข้าเล่า?”“เมี่ยวเมี่ยวไม่ได้อยู่บนหลังข้าอยู่ตลอดหรือ?”จากนั้นซูหัวจวิ้นก็ตอบสนอง เขาดึงตะกร้าไม้ไผ่ที่ด้านหลังออก ก่อนจะเห็นว่ามันว่างเปล่า ไหนเลยจะมีร่างของเมี่ยวเมี่ยวอยู่?ทันใดนั้น เขาก็จำได้ว่าตอนที่เขาล้มลงในน้ำท่วม บางที เขาอาจจะโยนเด็กออกไปตอนนั้นก็ได้“อาจจะถูกน้ำท่วมพัดเอาไปแล้ว ไม่ได้ เรื่องนี้เจ้าโทษข้าไม่ได้ เจ้าว่าทำไมเจ้าเด็กโง่นั่นถึงไม่วิ่งตามมาเล่า?...”ซูหัวจวิ้นกะพริบตา ในใจรู้สึกผิดอย่างยิ่งนางหลิ่วเป็นบ้าไปแล้ว แม้ว่าตระกูลมักจะไม่พอใจนางที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายให้ได้ ทั้งยังคลอดบุตรีไม่เอาอ่าวออกมาถึงสองคน แต่นางก็ไม่เคยรังเกียจบุตรีของตนเองเมื่อเห็นว่าลูกสาวถูกซูหัวจวิ้นทำให้ตาย นางจึงเกาหัวอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำรื้นน้ำตา จากนั้นก็พุ่งไปข่วนเกาซูหัวจวิ้นทันที“เจ้าสามซู เจ้าที่เป็นพ่อเดรัชฉาน เพื่อเอาชีวิตรอดถึงกับทิ้งลูกของตัวเอง เมี่ยวเมี่ยวอายุเพียงห้าหนาว น้ำท่วมเช่นนั้น นางจะวิ่งตามมาได้อย่างไร? เจ้าชดใช้เมี่ยวเมี่ยวให้ข้า ชดใช้เมี่ยวเมี่ยวให้ข้า…”ด้วยเสียง “ซืด” เ
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช
นางแสดงสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับเฉียบคม ทำให้อวิ๋นมู่ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี“ข้าไม่ได้คิดกับพี่สะใภ้ของท่านอย่างที่ท่านคิด”จิตใจของอวิ๋นมู่บริสุทธิ์มาก เขาเพียงต้องการปกป้องอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่เคยคิดฝันไกลเลยแน่นอนว่า หากซูจิ่งสิงทำไม่ดีกับกู้หว่านเยว่ เช่นนั้นเขาก็จะลงมือพอถูกมู่หรงฉางเล่อรั้งเอาไว้ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็เดินห่างออกไปไกลแล้ว ร่างของทั้งสองคนหายลับไปในถนนยาวอวิ๋นมู่จึงตัดสินใจไม่ตามพวกเขาไป เขาพิงกายลงนั่งริมขอบเรือ พลางมองไปยังผืนน้ำในทะเลสาบ“คุณชายอวิ๋น หรือว่า จะลองมองคนข้าง ๆ บ้างก็ได้”มู่หรงฉางเล่อกะพริบตาคู่สวยที่ดูราวกับดวงตาจิ้งจอก“อย่างเช่น มองข้า”“ท่าน...”อวิ๋นมู่ตกตะลึง ใบหูแดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็วเวลานี้เขาพบว่า มู่หรงฉางเล่ออยู่ใกล้เขามาก ลมหายใจของนางเป่ารดใบหน้าของเขาเขารีบลุกขึ้น อยากจะจากไป“ตอนนี้ยังไปไม่ได้นะ”มู่หรงฉางเล่อดึงชายเสื้อของเขาไว้ราวกับรู้ล่วงหน้า พลางทำเสียงออดอ้อน“คำสัญญาที่ท่านรับปากไว้กับข้ายังไม่ได้เสร็จสิ้น ต้องอยู่เป็
“ไม่คิดจะอยู่รอดูเรื่องสนุกที่นี่หน่อยหรือ?”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นซูจิ่งสิงส่ายหน้า เขาไม่สนใจคนทั้งสองคนนี้“ตราบใดที่ข้าได้อยู่กับน้องหญิงอย่างมีความสุขก็พอแล้ว”“ใช่”กู้หว่านเยว่ยิ้มหวานบนเรือสำราญ มู่หรงฉางเล่อกำลังพูดคุยกับอวิ๋นมู่อวิ๋นมู่ดูเหมือนจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับนิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายของนาง จึงแสดงสีหน้าประหม่าเล็กน้อย“ท่านหญิงฉางเล่อ เรื่องที่ข้ารับปากท่าน ข้าทำเสร็จแล้ว ท่านจะให้ข้ากลับได้หรือยัง?”อวิ๋นมู่ส่ายหน้าอย่างจนใจตลอดทางมู่หรงฉางเล่อพูดมากเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี“นี่จะกลับแล้วหรือ? คุณชายอวิ๋นรับปากข้าแล้วมิใช่หรือว่าจะอยู่เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้าจนกว่าข้าจะพอใจ”มู่หรงฉางเล่อโบกพัดในมือไปมา ดวงตาที่หรี่ลงดูราวกับจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง“นี่เป็นสิ่งที่ท่านติดค้างข้า คุณชายอวิ๋น อย่าได้กลับคำเชียว”อวิ๋นมู่แสดงสีหน้าจนใจวันนั้นที่ร้านขายเสื้อผ้า ตอนแรกเขากำลังเลือกผ้าอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าของร้านถึงต้องยกน้ำชามาให้เขาเขาตั้งใจจะวางน้ำชาลง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอหันหลังกลับ ดันไปชนมู่หรงฉางเล่อเข้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ชายกระโ
หลี่กวงถิงเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เรื่องที่สกุลซูถูกยึดทรัพย์ในตอนนั้น เขาก็หลบเลี่ยง ไม่ยอมออกหน้ากลับส่งเจียงเต๋อจื้อคนโง่เขลาเบาปัญญาออกไปภายนอกคือให้โอกาสแก่เจียงเต๋อจื้อ แต่ที่จริงแล้ว ในใจเขากลัวว่าซูจิ่งสิงจะฟื้นคืนอำนาจ แล้วกลับมาแก้แค้นในภายหลังแต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้ออกหน้า แต่สุดท้ายก็มีส่วนร่วมอยู่ดี“เมื่อกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้”หลี่กวงถิงถอนหายใจยาวระยะทางที่กองทัพจะเดินทางไปยังเจดีย์หนิงกู่ ต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนนี้ เขาต้องรีบส่งคนไปสืบดูสถานการณ์ทางการทหารของเจดีย์หนิงกู่หลี่กวงถิงหยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมา มือที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้เขียนข้อความลงบนกระดาษสีเหลือง แล้วส่งให้รองแม่ทัพ“นำไปให้สายลับ”“ขอรับ” รองแม่ทัพซ่งรีบออกไปทันทีถึงแม้โอกาสชนะจะน้อย แต่ก็ต้องดิ้นรนบ้างมิใช่หรือ?ทางด้านกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว ก็เรียกหลี่เฉินอันเข้ามาไม่ได้เจอกันนาน หลี่เฉินอันก็สูงขึ้น และแข็งแรงขึ้นมาก“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์หญิง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ เขาจึงคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าสักหนึ่งประโยค ถึงแม้เจ้าจะเป็นบ่าวของข้า แต่ข้าก็มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ หากเจ้าชอบใครจริง ๆ เจ้าก็จงพยายามไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าวันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าฉางเล่อมีใจให้กับอวิ๋นมู่ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าด้อยไปกว่านางเลยแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”กู้หว่านเยว่พูดเพียงเท่านี้แววตาของชิงเหลียนมีความสับสนอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า“ขอบคุณฮูหยิน บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ซูจิ่งสิงก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก“น้องหญิง ทางเมืองหลวงมีข่าวแพร่สะพัดมาแล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีเรื่องใหญ่มาแล้ว!นางโบกมือให้ชิงเหลียนออกไป แล้วหันไปมองซูจิ่งสิง“เกิดอะไรขึ้น?”“นี่คือจดหมายของนกพิราบสื่อสารจากเมืองหลวง”ซูจิ่งสิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาแค่หยิบจดหมายที่อยู่ในมือมอบให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รีบเปิดออก แล้วก็หัวเราะเยาะในทันที“ฮ่องเต้ชั่วลงมือเร็วจริง ๆ ”ในจดหมายกล่าวถึง ฮ่องเต้มอบหมายกองทัพให้กับหลี่กวงถิง เสนาบดีฝ่ายขวา สั่งให้เขาเป็น