“หากฮูหยินจดจำบุญคุณของข้าไว้จริง มิสู้พบผู้อาวุโสลำดับสามและพูดดีๆ”เรื่องกู้หว่านเยว่เรียกผู้ว่าการอำเภอสองสามท่านไปที่จวนโหว ฮูหยินสามเองก็ได้ยินแล้ว นางได้ยินผู้อาวุโสลำดับสามสบถด่าอยู่ภายในบ้านนานทีเดียวเพียงกู้หว่านเยว่เอ่ยปาก นางก็เข้าใจความนัยแล้ว รับคำเสียงเข้ม“แม่นางกู้วางใจได้ ข้ามีแผนแล้ว”พูดจบ นางลอบมองซูจิ่งสิงทางด้านข้างแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าซูจิ่งสิงเป็นปกติ ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“เช่นนั้นข้าขอลาแล้ว ฮูหยินสาม ไว้พบกันใหม่”เป้าหมายสำเร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อ พยักหน้าบอกลา“อืม”ฮูหยินสามมองเงาคนทั้งสองพลางถอนหายใจ นึกบางอย่างขึ้นได้ รีบหมุนตัวไปพบผู้อาวุโสลำดับสาม“เกิดเป็นคนต้องฉลาด เมื่อแรกชิวเตี๋ยจะแต่งงานกับทังต่าให้ได้ ข้าคิดว่าทังต่ามิใช่คนดี ความจริงพิสูจน์แล้ว เป็นเช่นนั้นดังคาด บัดนี้ข้าคิดว่าแม่นางกู้และซูจิ่งสิงมิใช่คนรังแกง่าย หวังว่านายท่านจำไม่เป็นปรปักษ์กับพวกเขาอีก หาไม่แล้วเป็นไปได้มากว่าคนบาดเจ็บก็คือตนเอง”ฮูหยินสามพร่ำบ่นไปแล้วหนึ่งยก หลี่เฉิงเต๋อกลับไม่เก็บมาใส่ใจ เบ้ปากพูดอย่างโอหัง“เจดีย์หนิงกู่เป็นของสกุลหลี่ พวกเขาย
นางเพียงกวาดทรัพย์สินคลังส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ มิได้แตะต้องท้องพระคลังหลวงเลยแม้แต่น้อย เหตุใดราชสำนักไม่บรรเทาทุกข์เล่า?หรือว่าฮ่องเต้ชั่วนำเงินจากท้องพระคลังหลวงออกมาเสพสุขแล้ว?นึกถึงจุดจบของคนสกุลจี้ ทันใดนั้นนางคิดว่านี่เป็นไปไม่ได้สายตาซูจิ่งสิงดำทะมึน เอ่ยเสียงเรียบ “หากฮ่องเต้ชั่วโง่เขลาเบาปัญญาเพียงนี้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องประทับบนบัลลังก์มังกรอีกต่อไปแล้ว”เขาเสี่ยงอันตรายเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบปกป้องบ้านเมือง มิใช่เพื่อให้ฮ่องเต้ชั่วทำลายเช่นนี้“ต้องเร่งมือสร้างเจดีย์หนิงกู่เสียแล้ว”กู้หว่านเยว่ถูปลายนิ้วเล็กน้อย รอสร้างเสร็จแล้ว ก็สามารถมอบดินแดนในอุดมคติแห่งหนึ่งให้ผู้ลี้ภัยได้ขณะเดียวกัน ก็สามารถรับสมัครทหารซื้อม้าได้อย่างอิสระ นางหวังอย่างยิ่งให้ถึงวันนี้“เอาล่ะ เหลืออีกเพียงครั้งเดียวแล้วเจ้าค่ะ”การฝังเข็มจบลงโดยไม่รู้ตัวกู้หว่านเยว่เก็บเข็มเงิน พูดยิ้มๆ“หลังฝังเข็มครั้งสุดท้าย นายท่านผู้เฒ่าก็สามารถหลุดพ้นจากผงพระจันทร์เสี้ยวได้แล้ว นับแต่นี้ไปก็ไม่ต้องถูกคนบังคับอีก”นายท่านผู้เฒ่าอวิ๋นรู้ว่าพิษภายในร่างกายตนใกล้ถูกถอนออกตั้งนานแล้ว แต่ได้ยินกู้หว่
ชิงเหลียนดื่มน้ำอุ่น ถอนหายใจเสียงแผ่ว “ฮูหยินช่างเป็นคนใจดีมีเมตตาโดยแท้ ดีต่อผู้อยู่ใต้อาณัติอย่างพวกเราเพียงนี้ เพราะเหตุนี้นายท่านถึงชอบฮูหยิน พวกเขาก็คือคู่รักสวรรค์สร้าง”หงเจากัดเกี๊ยวหนึ่งคำ “ภายภาคหน้าพวกเราต้องปรนนิบัติฮูหยินดีๆ”“เจ้าพูดถูก ภายภาคหน้าพวกเราต้องปรนนิบัติฮูหยินดีๆ”ทั้งสองกินอาหารเสร็จ รีบพิงรถม้าพักผ่อนเติมพลังภายในรถม้า กู้หว่านเยว่เข้าระบบอ่านตำราวิธีเก็บน้ำมันก๊าด รอจนกระทั่งร่างกายรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงออกมานอนหลับวันต่อมา ฟ้าสว่าง รถม้าออกเดินทางไปยังหมู่บ้านสือหานต่อก่อนฟ้ามืด รถม้าก็นับว่ามาถึงภายนอกหมู่บ้านสือหานแล้วทว่าขบวนคนกลับถูกฉู่เฟิงขวางไว้ก่อนเข้าหมู่บ้านสือหาน“นายท่าน มู่หรงอวี้ลอบพาเถาเอ๋อร์เข้าหมู่บ้านสือหานแล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินก็เลิกคิ้ว นางรู้มู่หรงอวี้ต้องไม่ยอมอยู่เฉย วางแผนชั่วอยู่ภายใจอย่างแน่นอนนางเดาได้ถูกต้องดังคาด นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เขาก็มิอาจอดทนไหวมายังหมู่บ้านสือหานแล้ว“รู้ว่าเขาต้องการทำอันใดหรือไม่?”“มองดูแล้วคือกำลังวางแผนอะไร” ฉู่เฟิงพูดอย่างกังวล “เถาเอ๋อร์คล้ายมอบอาวุธร้ายกาจมากบางอย
“เคลื่อนย้ายในพริบตาเข้าไป”กู้หว่านเยว่ขยิบตาให้ซูจิ่งสิง จับมือซูจิ่งสิงไว้ ทั้งสองคนเคลื่อนย้ายในพริบตาเข้าเรือนสกุลเฉินโดยตรงยังดีเคลื่อนไหวว่องไวมากเพียงพอ ไม่ถูกคนของมู่หรงอวี้พบเข้า“ขึ้นหลังคา”กู้หว่านเยว่ชี้ขึ้นไปบนหลังคา เรือนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านสือหานล้วนคือเรือนหิน บ้านหัวหน้าหมู่บ้านเฉินอาจไม่เป็นเช่นนั้น นั่นคือเรือนดินโคลนอบอุ่นยิ่งกว่าทั้งสองมาถึงหลังคา กู้หว่านเยว่เปิดกระเบื้องและมองลงไปภายใต้แสงเทียน มู่หรงอวี้กำลังจับมือเถาเอ๋อร์ เอ่ยกับนางอย่างหวานซึ้ง“เถาเอ๋อร์ เจ้าคือดาวนำโชคของข้าโดยแท้ หากครั้งนี้ทำสำเร็จ ข้าจะถวายฎีกาต่อฝ่าบาทแต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายาของข้า”“เพคะ”ใบหน้าเถาเอ๋อร์เผยแววเขินอาย“ท่านอ๋องวางใจได้ มีอาวุธลับนี้แล้ว ท่านอ๋องต้องไม่แพ้เป็นแน่ ยังไม่ต้องพูดถึงองครักษ์ลับที่ซูจิ่งสิงวางไว้ในหมู่บ้านสือหาน ต่อให้เขามาด้วยตนเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอาวุธลับนี้”ภายในถ้อยวาจาของเถาเอ๋อร์เปี่ยมความเชื่อใจต่ออาวุธลับนี้มากทำเสียจนกู้หว่านเยว่แปลกใจมาก มองหนึ่งรอบแล้วกลับไม่เห็นว่าอาวุธลับอยู่ที่ใด นางยื่นมือโรยผงยาสลบลงไปโดยตรงเห็นมู่หรงอวี้
ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเอ่ยถามเขาคิดว่าครั้งนี้มู่หรงอวี้พาคนมาไม่น้อย หากไม่จัดการให้หมดในคราวเดียว ภายภาคหน้าก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของนางหยางและพวกซูจิ้งได้มิสู้อาศัยครั้งนี้ทำให้มู่หรงอวี้เจ็บหนักเสียเลย“มี”กู้หว่านเยว่รู้ชัดถึงความนัยของซูจิ่งสิงนางหยิบปืนไฟขึ้นมา เล่นอยูในมือครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบสลักเกลียวป้องกันเหล็กตกออก โยนใส่กระเป๋าสุดท้ายให้ซูจิ่งสิงวางกลับเข้าไปใหม่อีกครั้งอย่างแฝงเจตนาร้าย“เอาของสิ่งนี้ไป ปืนไฟก็หมดประสิทธิภาพแล้วหรือ?”ซูจิ่งสิงเอ่ยถามอย่างสงสัย“แน่นอน ไม่เพียงหมดประสิทธิภาพ ยังทำให้มู่หรงอวี้มีปัญหาอีกด้วย”กู้หว่านเยว่เผยรอยยิ้มชั่วร้าย เอียงศีรษะพูดอย่างซุกซน“เดิมทีของสิ่งนี้ก็ไม่มั่นคงอยู่แล้ว เถาเอ๋อร์กล้าให้ เขาเองก็กล้าใช้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เขาสัมผัสดูสักหน่อย อะไรเรียกว่าแค่เช็ดปืนก็โดนลูกหลง”“ได้ เช่นนั้นข้าใส่กลับไป”ซูจิ่งสิงพยักหน้า เขาเชื่อภรรยาตนอย่างไร้ข้อกังขา ในเมื่อน้องหญิงพูดว่าไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรซูจิ่งสิงใส่ปืนกลับเข้าตัวมู่หรงอวี้ กู้หว่านเยว่ค้นตัวมู่หรงอวี้อีกครั้ง พบว่าเขาไม่มีอะไรเหลืออยู่แล
เขากลัวที่จะสูญเสีย“นายท่าน อาวุธลับนี้มีสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปเท่านั้น มีมันอยู่ ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ท่านได้”เถาเอ๋อร์ไม่ชอบให้สิ่งของของตนถูกสงสัย มันทำให้นางอับอายนับตั้งแต่ที่กู้หว่านเยว่ช่วยซูจิ่งสิงไว้ โครงเรื่องทั้งหมดก็เปลี่ยนไปซูจิ่งสิงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ตัวเอกชายคนเดิม มู่หรงอวี้ที่คาดว่าจะมีโชคมีลาภ กลับเริ่มเสื่อมถอยลงราวกับเดินตกหน้าผาเขาไม่เพียงสูญเสียสมบัติส่วนตัวไปหลายชิ้น แต่คนที่ควรจะเป็นผู้ช่วยของเขาก็ถูกกู้หว่านเยว่แย่งชิงไปทีละน้อยทั้งหมดนี้ เกี่ยวข้องกับกู้หว่านเยว่อย่างสลัดไม่หลุดทว่า เถาเอ๋อร์ในตอนนี้ไม่มีท่าทางตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย เพราะนางได้เปิดใช้งานนิ้วทองแล้วนางมีนิ้วทอง ทั้งยังเป็นผู้เขียนหนังสือต้นฉบับ นางต่างหากที่เป็นผู้ดำรงอยู่ที่สูงส่งที่สุดกู้หว่านเยว่เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อย ที่ถูกลิขิตมาให้นางได้เหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้า“เจ้าอย่าโกรธ ข้าแค่กังวลนิดหน่อย”มู่หรงอวี้สัมผัสปืนไฟในมือของเขาอย่างระมัดระวัง พลางคิดว่า“เถาเอ๋อร์ เจ้าว่า ในโลกใบนี้ จะมีปืนกระบอกที่สองหรือเปล่า?”“เป็นไปไม่ได้แน่นอน!”เถาเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นต
สิ่งที่กู้หว่านเยว่คิดก็คือ ครั้งนี้มู่หรงอวี้พาคนมาจำนวนมาก วางสายลับไว้ในหมู่บ้านสือหานเรียบร้อยแล้วหากนางและซูจิ่งสิงเดินเข้าหมู่บ้านไปอย่างหยิ่งยโส คนของมู่หรงอวี้ย่อมต้องค้นพบพวกเขาแน่นอนถ้าให้อวิ๋นมู่พาผู้เฒ่าอวิ๋นเข้าหมู่บ้านไปก่อน แล้วนางกับซูจิ่งสิงค่อยเดินตามเข้าไปเงียบๆ คงจะดีกว่าด้วยวิธีนี้ ศัตรูก็จะอยู่ในที่สว่าง ส่วนพวกเราก็จะอยู่ในที่มืด ลงมือกระทำการง่ายกว่า“พอเจ้าไปถึงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านก็บอกเขาว่าเจ้าเป็นคนของเขา หัวหน้าหมู่บ้านย่อมปล่อยให้เจ้าเข้าไปแน่นอน”อวิ๋นมู่ถูกคำว่า “คนของข้า” ทำให้สั่นไหว จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว“ได้เลย ข้าฟังเจ้า”ในเมื่อกู้หว่านเยว่เตรียมการไว้เช่นนี้ นางย่อมต้องมีเหตุผลของนาง อวิ๋นมู่จึงเลือกที่จะเชื่อฟังโดยดีกู้หว่านเยว่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วหันไปขอให้ชิงเหลียนและหงเจาพาพวกเขาไปหาหัวหน้าหมู่บ้านโจวหลังจากนั้น นางและซูจิ่งสิงพร้อมกับฉู่เฟิง ก็แอบเข้าไปในหมู่บ้านสือหานอย่างเงียบๆ ทั้งสองเดินเท้ากลับบ้านในเวลานี้ บ้านมุงจากหลังเดิมที่ตีนเขาด้านหลังถูกรื้อ แทนที่ด้วยบ้านอิฐเป็นที่เรียบร้อยกู้หว่านเยว่ตาม
แต่กู้หว่านเยว่ยืนกรานที่จะช่วยเหลือซูจิ่งสิง อีกทั้งครั้งนี้มู่หรงอวี้ แตะโดนเส้นตายของนางแล้ว“ก่อนที่จะไป ท่านไปบอกคนอื่นให้พวกเขาหลบเลี่ยงด้วยนะเจ้าคะ จะได้ไม่ต้องโดนลูกหลงไปด้วย”ลูกสะใภ้หลักแหลม ซูจิ่งสิงก็ปกป้องเท่าชีวิต ผู้เฒ่าทั้งสองทำอะไรไม่ได้แล้ว“เอาล่ะ พวกเราฟังเจ้า แต่เจ้าต้องระวังนะ หากพ่ายแพ้ก็กลับมาซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ด้วยกัน”ขณะที่พูด ใบหน้าของนางหยางก็ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลพวกเขาทั้งสองไม่รู้ว่ากู้หว่านเยว่มีความสามารถอะไร ดังนั้นการเป็นกังวลเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องปกติส่วนกู้หว่านเยว่ก็ที่จะอธิบาย คงไม่อาจบอกทั้งสองคนได้ตนเองมีมิติในร่าง ไม่มีทางเป็นอะไรกระมัง?เวลาไม่คอยท่า ทั้งสองอธิบายให้นางหยางและซูจิ้งเสร็จแล้วนางหยางก็ออกไปบอกครอบครัวอื่นๆ ให้ผู้ญิงและเด็กเล็กซ่อนตัวให้ดี โดยเฉพาะตระกูลเหยียนที่ไม่มีวรยุทธ์ ย่อมต้องซ่อนไว้ให้มิดชิดเมื่อเห็นนางหยางและซูจิ้งเข้าไปในอุโมงค์แล้ว กู้หว่านเยว่ก็พาซูจิ่งสิงไปที่ห้องของพวกเขานี่ก็คือห้องนอนใหญ่ของพวกเขาในระหว่างก่อสร้าง กู้หว่านเยว่ได้ออกแบบไว้โดยเฉพาะไว้บนภาพวาด เป็นห้องสำหรับพวกเขาสองคนเตียงนุ่
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก