เรื่องส่งเด็กให้ ทำไมนางถึงคิดไม่ออกนะ?“ช้าก่อน ช้าก่อน! พวกท่านอยากอุ้มหลานไม่ใช่หรือ ข้าจะให้ครอบครัวของพวกท่านคนหนึ่ง” กู้หว่านเยว่ผลักเด็กรับใช้ไปอีกด้านหนึ่ง“เจ้าหรือ?”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวพินิจนางจากหัวจรดเท้า แล้วส่ายหัว “หน้าตาสะสวยใช้ได้ แต่สะโพกเล็กไปหน่อย ไม่เหมาะกับการคลอดลูก”กู้หว่านเยว่: ...ไม่ใช่ให้นางคลอดนะ!“ฮูหยินผู้เฒ่าโจว เมียของข้าเป็นหมอหญิง” ซูจิ่งสิงอธิบายด้วยสีหน้าบึ้งตึง จะให้เมียของเขาคลอดลูกให้สกุลโจว บ้าไปแล้วหรือ?“ถูกต้อง ข้าเป็นหมอหญิง บางทีอาจจะมองออกว่าเหตุใดฮูหยินโจวและคุณชายโจวถึงไม่มีลูกสักที” กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างมั่นใจเจดีย์หนิงกู่ตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ปัจจัยในการรักษาย่อมเทียบเมืองหลวงไม่ติดอยู่แล้วในสถานที่แร้นแค้นนี้ หมอหญิงคือบุคคลเนื้อหอมเด็กรับใช้ปล่อยมือทันทีอวิ๋นเหนียงลูบท้องน้อย แน่นอนว่านางก็อยากมีลูกเป็นของตัวเองด้วย“แม่นางกู้ เจ้ามีความรู้ด้านการแพทย์จริงหรือ?”“ไม่ใช่พวกต้มตุ๋นใช่ไหม อยากให้สกุลโจวของข้าทำงานให้เจ้า ก็เลยจงใจหลอกลวงใช่ไหม?” นายท่านโจวระแวงไปเรื่อย“ไม่เช่นนั้นจะลองดูไหม?” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวอยากอุ้ม
ซูจิ่งสิงยืนขวางอยู่หน้ากู้หว่านเยว่อย่างเย็นชา “เมียข้าเป็นหมอหญิง ไม่ใช่คนที่พูดจาเหลวไหลไร้สาระ คุณชายโจวช่วยพูดจาให้สุภาพด้วย”โจวลิ่วหลางถูกเขามองจนได้สติกลับมาบ้าง“ข้าน้อยพูดจาโฉ่งฉ่างไป แค่เป็นห่วงว่าอวิ๋นเหนียงจะได้รับบาดเจ็บ”เขาและอวิ๋นเหนียงเป็นคู่รักกันตั้งแต่ยังเด็ก ตอนเด็ก ๆ เป็นคู่ที่ตัวติดกันเป็นเงาตามตัว โตขึ้นมาไม่ว่าจะเจอผู้หญิงมากี่คน ในสายตาก็มีเพียงอวิ๋นเหนียงเสมอทั้งสองเหมือนสวรรค์สรรค์สร้าง หลังปักปิ่นก็แต่งงานกันเลยว่ากันตามเหตุผลแล้ว ควรจะกลายเป็นคู่รักกิ่งทองใบหยกที่ทุกคนอิจฉาน่าเสียดายหลังจากแต่งงานกันมาสิบปี ก็ไม่มีทายาทออกมาสักคน“ประเดี๋ยวถ้าอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของข้าและอวิ๋นเหนียง เจ้าก็แค่บอกว่าข้าป่วย”“ห้ามพูดถึงอวิ๋นเหนียงเด็ดขาด ถือว่าข้าขอร้องเจ้า”เมื่อครู่โจวลิ่วหลางยังเย่อหยิ่งมาก ตอนนี้ช่างอ่อนน้อมถ่อมตนจริง ๆ“แล้วทางฝั่งภรรยาของท่านล่ะ...”“ก็ไม่ต้องบอกอวิ๋นเหนียงด้วย อย่าให้นางรู้ความจริง”โจวลิ่วหลางไม่ลังเลเลยสักนิด ด้วยนิสัยอ่อนแอของอวิ๋นเหนียง ถ้ารู้ว่านางป่วยจะต้องใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้แน่ๆกู้หว่านเยว่กุมหน้าผาก “ข้าบอกไปว่า
ยิ่งไปกว่านั้นสกุลเฉินยังมีสายสัมพันธ์ทางญาติพี่น้องกับใต้เท้าสวีแห่งเมืองตู้เปียนอีกด้วย ช่วยใต้เท้าสวีขจัดหนามยอกอกโดยเฉพาะหากช่วยพวกเจ้า ก็เหมือนกับต่อต้านสกุลสวีอย่างเปิดเผย”สกุลโจวของเขาสามารถรักษารากฐานเป็นร้อยปีในหมู่บ้านสือหานได้ ก็เพราะไม่ได้ต่อสู้แย่งชิงใด ๆนายท่านโจวแสดงความรู้สึกเป็นนัย เช่นเดียวกับหวังต้าโก่ว ให้กู้หว่านเยว่ไปเจรจาสงบศึกกับหัวหน้าหมู่บ้านเฉิน“นายท่านโจว พูดตามตรง ข้าได้ล่วงเกินใต้เท้าสวีที่เมืองตู้เปียนไปแล้ว”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจ“ต่อให้พวกข้าจะไปขอเจรจาสงบศึกกับหัวหน้าหมู่บ้านเฉิน หัวหน้าหมู่บ้านเฉินก็จะไม่ยอมปล่อยพวกข้าไปหรอก”ที่จริงแล้ว กู้หว่านเยว่ไม่ต้องการเจรจาสงบศึกกับสกุลเฉินเลย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สู้กับสกุลเฉินไปจนสุดทางดีกว่า”“พวกเจ้าล่วงเกินใต้เท้าสวีหรือ?!” นายท่านโจวและฮูหยินผู้เฒ่าโจวสบตากันแวบหนึ่ง กู้หว่านเยว่ผู้นี้ตัวเล็กแต่ใจใหญ่“นายท่านโจว สกุลเฉินใจโหดมือเหี้ยม พวกท่านไม่เคยคิดต่อต้านเลยหรือไง?” กู้หว่านเยว่แอบยุยงส่งเสริม “บางที พวกท่านนั้นเหมาะที่จะรับหน้าที่ดูแลจัดการหมู่บ้านสือหานมากกว่าสกุลเฉินเสียอีก”นายท่านโ
ทางด้านนี้ เมื่อโจวลิ่วหลางมาส่งกู้หว่านเยว่กลับไปแล้ว ก็ถูกนายท่านโจวดึงไปที่ห้องบัญชี“ลูกเอ๋ย การเคลื่อนไหวครั้งนี้คงไม่ทำให้สกุลเฉินโกรธใช่ไหม?”นายท่านโจวกระทำการอย่างระวังรอบคอบมาหลายปี ความกังวลฉายอยู่ในแววตาแต่โจวลิ่วหลางกลับไม่คิดเห็นเช่นนั้น“โกรธขึ้นมาแล้วจะเป็นไรไป? ท่านพ่อ สกุลโจวของเรากับสกุลเฉินและสกุลเฉียน ก็เป็นสามสกุลใหญ่ชนชาติถู่แห่งหมู่บ้านสือหานเหมือนกัน พวกเราไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้กับสกุลเฉิน”เมื่อนึกถึงที่กู้หว่านเยว่บอกว่าหมู่บ้านสือหานควรเปลี่ยนคนดูแลจัดการ สีหน้าของเขาก็ยิ่งฮึกเหิมมากขึ้น“บางที แม่นางกู้อาจจะเป็นผู้ค้ำจุนของเราก็ได้”ถ้าอวิ๋นเหนียงตั้งครรภ์ เช่นนั้นกู้หว่านเยว่ก็จะเป็นผู้มีพระคุณของเขานั่นหมายความว่าโอกาสของสกุลโจวของพวกเขามาถึงแล้ว“อ้อท่านพ่อ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่าน คนรับใช้ของเราอาจจะไม่น่าไว้วางใจ...”โจวลิ่วหลางถ่ายทอดสิ่งที่กู้หว่านเยว่บอกเขาในวันนี้อย่างรื่นหู แค่เปลี่ยนผู้เสียหายเป็นตัวเองลู่ทางที่ชั่วร้ายเป็นภัยของครอบครัวมั่งคั่งในเรือนใหญ่นี้ ได้แพร่ไปถึงในหมู่บ้านแล้ว!นายท่านโจวตัวสั่นเทิ้มในทันที ต้องการให
หลังพระอาทิตย์ตกดิน เนื่องจากเวลากลางคืนในหมู่บ้านสือหานอากาศหนาวเย็นเกินไป กู้หว่านเยว่จึงให้พวกเขาแยกย้ายกลับเรือน ซูจิ่นเอ๋อร์ เสี่ยวอัน และเสี่ยวหรงได้ตระเตรียมข้าวปลาอาหารไว้พร้อมแล้ว กำลังรอให้ทั้งครอบครัวมากินเมื่อมองไปที่ตะเกียงน้ำมันที่มีแสงสลัว กู้หว่านเยว่คิดว่าหากสามารถนำเครื่องปั่นไฟและหลอดไฟในยุคปัจจุบันมาได้ก็คงจะดีแต่นี่ก็เป็นเพียงความคิด ต้องรอให้ค่อย ๆ เป็นจริงในอนาคตเท่านั้นถัดจากหมู่บ้านสือหานก็เป็นเรือนชั่วคราวของนาง เพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย กู้หว่านเยว่จะทำให้เรือนหลังนี้ดีขึ้นเรื่อย ๆหลังรับประทานอาหารเสร็จ ซูจิ่นเอ๋อร์และนางหยางก็ขดตัวเย็บรองเท้าผ้าใบอยู่บนเตียงซูจื่อชิงนั่งอยู่ใต้ตะเกียงน้ำมันสอนหลี่เฉินอันและเสี่ยวหรงอ่านหนังสือ ขณะที่เมี่ยชิงหว่านคอยฟังอยู่ข้าง ๆหลี่อวิ๋นอวิ๋นซุ่มอยู่ข้างเตียง โก่งสะโพกใหญ่ย่างมันเทศอยู่หลายคนค่อย ๆ คุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้ฉู่เฟิงเข้ามาในห้องของทั้งสองอย่างเงียบ ๆ “นายท่าน ฮูหยิน หมาป่าเมื่อคืนนี้มีคนสกุลเฉินใช้เลือดไก่ล่อมาจริง ๆ”เขาแอบฟังคนสกุลเฉินพูดคุยกัน “หัวหน้าหมู่บ้านเฉินวางแผนที่จะเข้าเมืองพรุ
ใต้เท้าสวีกลัวซูจิ่งสิงลงมือต่อ ไม่กล้าเสแสร้งแกล้งทำอีก ลากกล่องออกมาอย่างว่าง่ายกู้หว่านเยว่รีบเปิดกล่องออก ตกตะลึงเหม่อลอยในทันใดมองเห็นภายในใส่เครื่องทองและตั๋วเงินเต็มๆ หนึ่งกล่องใหญ่ประเมินภาพรวมดูแล้ว ตั๋วเงินเหล่านี้มีนับหนึ่งแสนตำลึงเลยทีเดียวกู้หว่านเยว่กวาดเงินทั้งหมดจนเกลี้ยงอย่างไม่เกรงใจ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันก่อนหน้านี้ สายตาตกลงบนตัวขุนนางชั่วสวีนางไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไปเช่นนี้“ท่านพี่ ท่านอุดปากเขาไว้ ใช้เชือกมัดให้ดี พวกเราไปตลาดสดกัน”“อือ อืออืออือ!” ใต้เท้าสวีอุทานออกมาอย่างตกตะลึงสองคนนี้ไร้คุณธรรม!ได้เงินแล้วถึงขั้นไม่ปล่อยเขาไป!“จะทำเช่นไรกับนาง?” ซูจิ่งสิงชี้ไปทางนางหลิวที่กำลังนอนหมดสติบนตียง ขมวดคิ้วแน่น“ไม่ต้องสนใจนาง” นางหลิวทำผิดพลาดชวนให้คนดูแคลน กระนั้นก็เป็นหญิงต้องเลี้ยงดูลูกคนหนึ่ง กู้หว่านเยว่ไม่อยากสร้างความลำบากให้นางทั้งสองคนอุดปากใต้เท้าสวีเอาไว้ มัดตัวแน่นหนา ขนไปที่ตลาดสดหาเสาไม้ที่ใจกลางตลาดสด กู้หว่านเยว่หยิบเชือกแข็งแรงออกมาหนึ่งเส้น มัดใต้เท้าสวีกับเสาไม้“ท่านยังมีคำใดต้องการพูดอีกหรือไม่” กู้หว่านเยว่
“คืนนี้ข้าไม่นอนแล้ว จะอยู่เฝ้าเจ้าที่ข้างเตียงนี่ล่ะ”“ทำเช่นนั้นไม่ได้ หากไม่นอนจะเหนื่อยมากเพียงใด ท่านมานอนพร้อมข้าเถอะ” กู้หว่านเยว่เปลื้องเสื้อคลุมตัวนอกออก มักคิดว่าเอวนางหนาขึ้นกว่าก่อนไม่น้อยนางคงมิได้ตั้งครรภ์จริงหรอกกระมัง?เพียงความคิดนี้โผล่ขึ้นมา กู้หว่านเยว่ก็ส่ายหน้าแล้วครั้งเดียวเท่านั้น ไฉนเลยจะยิงร้อยครั้งถูกร้อยครั้งได้ จะต้องเป็นเพราะระยะนี้เจริญอาหารเกินไปแน่นอน“ข้าพิงขอบเตียงนอนก็แล้วกัน” ซูจิ่งสิงไม่กล้าพูดว่าเขาขึ้นเตียงนอนแล้วกลับเหนื่อยยิ่งกว่า ต้องเกร็งเครียดร่างกายตลอดทั้งคืน“ก็ได้” กู้หว่านเยว่จู๋ปาก มิได้ลูบกล้ามท้อง เสียใจจริงเชียวเช้าวันต่อมา เพียงทั้งสองออกจากห้องก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างอารมณ์ดีของคนทางด้านล่างแล้ว“ได้ยินแล้วหรือไม่ ใต้เท้าสวีสวีเสี้ยนเฉิงแห่งจวนผู้ว่าการอำเภอถึงขั้นถูกคนแก้ผ้าล่อนจ้อน โยนทิ้งไว้ที่ตลาดสด!”“น่าตื่นเต้นเพียงนี้เชียวรึ? รีบไปดูเร็วเข้า”คนในโรงเตี๊ยมวิ่งไปที่ตลาดสดบรรยากาศยามค่ำคืนของเจดีย์หนิงกู่หนาวเหน็บ อุณหภูมิติดลบนับสิบกว่าองศาขุนนางชั่วสวีนอนหมดสติอยู่บนพื้น กลายเป็นน้ำแข็งย้อย หูสองข้างเองก็ถู
“ข้าชี้แนะเจ้าให้รีบไปเร็วหน่อย ช้ากว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ทันการ” กู้หว่านเยว่เอ่ยเตือนอย่างหวังดี“เจ้าหมายความว่ากระไร?”หัวหน้าหมู่บ้านเฉินเห็นใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของกู้หว่านเยว่ เกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้นภายในใจ รีบขับลาเทียมเกวียนเข้าเมืองเพียงเข้ามาก็ได้ยินข่าวลือไปทั่วว่าเกิดเรื่องขึ้นกับใต้เท้าสวีแล้ว“ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”สีหน้าหัวหน้าหมู่บ้านเฉินตกตะลึงว้าวุ่น รีบขับรถมาจนถึงประตูเรือนสกุลสวีผลลัพธ์คือทั่วทั้งสกุลสวีเละเป็นโจ๊กหนึ่งหม้อ ไม่มีใครสนใจพวกเขาแล้วยังเป็นขอทานหน้าประตูบอกพวกเขาอย่างหวังดี เมื่อคืนถึงขั้นมีคนร้ายสองคนบุกเข้าจวนสกุลสวี!ไม่เพียงปล้นสมบัติทั้งหมดของสกุลสวี ยังจับใต้เท้าสวีแก้ผ้าล่อนจ้อนไปทิ้งไว้ที่ตลาดสดใต้เท้าสวีถูกแช่แข็งตลอดคืน ร่างกายม่วงคล้ำ หมดสติไม่รู้สึกตัวบัดนี้หมอมีชื่อเสียงสิบกว่าคนกำลังร่วมมือกันช่วยเหลือ ก็แค่อาการถูกความเย็นจัดของใต้เท้าสวีหนักมากเกินไป ต่อให้ช่วยชีวิตกลับมาได้ ก็ไม่ต่างอันใดจากคนพิการ“ข้าว่านะ จวนสวีจบสิ้นแล้วล่ะ” ขอทานกลับดูมีความสุขในคราวเคราะห์ของผู้อื่นหัวหน้าหมู่บ้านเฉินสองพ่อ
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว”“นี่เป็นแมงป่องพิษที่หนานเจียงของเราใช้ความพยายามอย่างมากในการเพาะเลี้ยงออกมา พวกเจ้ากลับเผามันทั้งเช่นนี้ ต้องการเป็นศัตรูกับหนานเจียงของเราหรือ?”ในใจเฟิ่งหวู่โจวกำลังมีเลือดไหลแล้ว กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง“เจ้าพูดถูกแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้าฉีขอประกาศสงครามกับหนานเจียงอย่างเป็นทางการ”“อะไรนะ?”เฟิ่งหวู่โจวก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงขั้นนี้ คราวนี้ไปกันใหญ่แล้ว ต้าฉีโดนพวกเขายั่วจนโมโห จะเปิดศึกกับพวกเขา“พวกเจ้าเพิ่งจบสงครามไม่ใช่หรือ แคว้นของพวกเจ้าเกิดความอดอยากมากมายไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ควรพักฟื้นหรือ? พวกเจ้าบุ่มบ่ามเปิดศึกกับพวกเรา รู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?”เฟิ่งหวู่โจวร้อนใจจนแสดงออกทางสีหน้าสามารถมองออกได้ว่าเขากำลังตื่นตระหนกจากสีหน้า“ผลที่ตามมาอะไร หนานเจียงของเจ้ากล้าฆ่าแม่ทัพต้าฉีของเรา ต้าฉีของเรายังต้องอดกลั้นอีกหรืออย่างไร?”กู้หว่านเยว่มองแมงป่องพิษที่อยู่ใจกลางท้องพระโรงแวบหนึ่ง ภายใต้การถูกไฟย่าง แมงป่องพิษตัวนั้นถูกย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทองและกรอบแล้ว“ไปจูงสุนัขมา
“ท่านนี้คือพระมเหสีของต้าฉีกระมัง ท่านโปรดช่วยพูดจาระวังหน่อย ถ้าหากทำให้ราชาแมงป่องพิษที่อยู่ข้างหลังข้าโกรธ ระวังจะตายไม่รู้ตัว”เฟิ่งหวู่โจมกล่าวข่มขู่ด้วยสายตาเย็นชา“แกร๊ก!”ราชาแมงป่องพิษที่อยู่ข้างหลังเขาชูห่างขึ้น แสดงแสนยานุภาพหางชี้ไปทางเหล่าขุนนาง ทุกคนตกใจจนเกือบจะกรีดร้องออกมา“ฮ่าๆๆ!”เฟิ่งหวู่โจวหัวเราะอย่างได้ใจ“ช่วยด้วย แมงป่องตัวนี้น่ากลัวมาก”“เหตุใดจึงมีแมงป่องพิษที่ตัวใหญ่เช่นนี้ ไม่เคยพบไม่เคยเห็นจริงๆ”“แมงป่องผิดตัวนี้แหละ ที่กัดชาวบ้านตายกลางถนนใช่หรือไม่?”เหล่าขุนนางต่างหวาดกลัวโดยเฉพาะพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ไม่เป็นวรยุทธ์ ล้วนหวาดกลัวแมงป่องพิษขนาดใหญ่ตัวนี้“เจ้า?”เวลานี้เอง ซูจิ่งสิงชักกระบี่สุริยันคำรามที่ข้างบัลลังก์มังกรออกมากะทันหัน และพุ่งตัวออกไป ใช้กระบี่พาดคอของเฟิ่งหวู่โจวโดยตรงเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน เฟิ่งหวู่โจวตั้งตัวไม่ทัน“นี่เจ้าจะทำอะไร? ข้า ข้าคือองค์ชายของหนานเจียงนะ”“องค์ชายของหนานเจียงแล้วอย่างไร?”ซูจิ่งสิงยกกำปั้นขึ้น ชกไปที่ใบหน้าของเขาโดยตรง“ซูจิ่งสิง!” เฟิ่งหมิงกวงตะโกนเสียงดัง รีบออกคำสั่งราชาแมงป่องพิษโจม
“สัตว์ประหลาดตัวนั้นฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง เวลามันคลั่งขึ้นมาไม่สามารถควบคุม”ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับซูจื่อชิง เช่นนั้นก็เลือดเชื้อพระวงศ์สาดจริงๆ แล้ว“ข้ารู้ แต่ข้าทนดูไม่ได้จริงๆ”ซูจื่อชิงกัดฟันกล่าว“ให้ข้าคิดดูก่อนว่าแมงป่องคิดไม่ถูกกับอะไร”“สิ่งที่แมงป่องพิษไม่ถูกชะตาหรือ เหอๆ ก็ต้องเป็นข้าอยู่แล้ว”กู้หว่านเยว่หัวเราะอย่างเย็นชา จับมือซูจิ่งสิงเดินไปหลังจากเหล่าขุนนางเห็นฮ่องเต้และพระมเหสี ในที่สุดก็ก็หาความมั่นใจกลับคืนมาได้บ้าง ต่างพากันคำนับคนทั้งสองทันที“ถวายบังคมฝ่าบาทและพระมเหสี ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี พระมเหสีอายุยืนพันปีพันปีพันพันปี”“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งสิงโบกมือ ใช้หางตาเหลือบมองเฟิ่งหวู่โจวอย่างเหยียดหยาม“ฮึ่ม” ขาพ่นลมออกจากจมูก ในสายตาเต็มไปด้วยการดูถูก“บังอาจ เหตุใดเห็นฝ่าบาทและพระมเหสีแล้วยังไม่คุกเข่า?” เกาเจี้ยนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด สะเทือนจนผู้คนแสบแก้วหูเฟิ่งหวู่โจวยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง “ลูกหลานหนานเจียงของเรา เบื้องบนคุกเข่าต่อฟ้าดินและกษัตริย์กับฮองเฮา เบื้องหลังคุกเข่าต่อพ่อแม่และผู้อาวุโส ไม่มีธรรมเนียมคุกเข่าต่อฮ่องเต้แคว้นอื่
นางได้ยินมาว่าองค์ชายสามหนานเจียงคนนั้นปล่อยสัตว์ประหลาดออกมาทำร้ายคนกลางถนน และกัดคนตายไปหนึ่งคน หลายวันมานี้ นางกับยายเฒ่าอู่ปิดประตูจวน ไม่กล้าออกไปไหนเลย“น้องหญิง ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร แต่ข้าเป็นขุนนางของต้าฉี ต้องช่วยราชสำนักแบ่งเบาภาระ”การประชุมใหญ่พรุ่งนี้ ถ้าเขาในฐานะราชเลขาธิการกลัว ปิดประตูไม่กล้าออกจากบ้าน เมื่อถูกเผยแพร่ออกไปจะยิ่งไกลเป็นที่หัวเราะเยาะของชายหนานเจียงยายเฒ่าอู่พึมพำที่ข้างๆ “ทำไร่ทำนาในหมู่บ้านดีที่สุดแล้ว เป็นขุนนางกลับมีเรื่องมากมายให้กังวล ไม่มีเวลาห่วงชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ”เว่ยเฉิงหัวเราะ “ท่านแม่พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก”“ไม่ถูกยังไง?”“ท่านแม่ลืมแล้วหรือ ตอนที่ข้ายังไม่ผ่านการสอบ ครอบครัวของพวกเราอยู่ที่ชนบท มักจะถูกอันธพาลท้องถิ่นรังแก มีครั้งหนึ่ง เพื่อปกป้องเจียงหรง ท่านแม่เกือบโดนทุบหัว”คำพูดของเว่ยเฉิง ทำให้ยายเฒ่าอู่นึกถึงความทรงจำในอดีตนางถอนหายใจ “มนุษย์นี่นะ ไม่ว่าเวลาไหนมีเรื่องให้กังวลตลอด”ชาติกำเนิดของพวกเขาคือชาวนา และนางก็เป็นแม่หม้าย ต้องเลี้ยงเว่ยเฉิงอย่างความยากลำบากมารดากับภรรยาเริ่มถอนหายใจ ลูกชายตัวน้อยในเปลก็เหมือนเริ่ม
“ลูกชายของเจ้าตายแล้ว แต่ลูกสะใภ้เจ้าก็เป็นมนุษย์เช่นกัน นางเสียใจไม่เป็นหรือ?เจ้าเสียใจ เจ้าก็ไปหาคนที่เป็นต้นเรื่อง เจ้ามาระบายใส่คนกันเองเช่นนี้ นี่มันตรรกะอะไร?“เจ้า เจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวโมโหจนพูดไม่ออก นายท่านโจวก็โมโหยายเฒ่าอู่เช่นกันพวกเขาคุยกันในบ้านตัวเอง เหตุใดจึงมีหญิงชราที่ไม่รู้จักคนหนึ่งแทรกเข้ามาอีกทั้งหญิงชราคนนี้ยังพูดจาไม่น่าฟังเลยเขาอยากถกเถียงกับยายเฒ่าอู่ด้วยเหตุผลแต่ยายเฒ่าอู่เป็นใคร?นางเป็นคนบ้านนอก และยังเป็นแม่หม้าย ปากร้ายจนคนทั้งหมู่บ้านต้องยอม นายท่านโจวหาใช่คู่ต่อสู้ของนาง เถียงกันไปเถียงกันมาครู่หนึ่ง ก็โดนนางต่อว่าจนหน้าแดง“ข้าก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของครอบครัวเจ้าหรอก ใครใช้ให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงดังจนข้าได้ยิน เห็นพวกเจ้ารังแกคนเช่นนี้ ข้าไม่สามารถนิ่งดูดายได้ ข้าขอแนะนำพวกเจ้าสักคำ สร้างสมบุญกุศล อย่าให้ลูกชายของพวกเจ้าไม่สามารถไปสู่สุคติ”“เจ้า เจ้า!”นายท่านโจวทนไม่ไหวแล้ว“เจ้าเป็นคนของบ้านไหนกันแน่?”เขาดูการแต่งตัวของยายเฒ่าอู่ คิดว่านางเป็นคนรับใช้ของเจ้าของบ้าน“ไปเรียกเจ้านายเจ้ามา ข้าจะลองถามเขาดูว่า เขาอบรมสั่งสอนคนรับใช้เช่
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเจ็บใจ นางมีลูกชายแค่คนเดียว เพื่อเหลียงถงอวี้คนนี้ เขาดึงดันจะออกจากด่านหานกู่ พานางมาเมืองหลวง“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เขาก็ยังอยู่ด่านหานกู่ เบื้องบนก็จะไม่ส่งเขาไปทำงานนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวผลักหน้าอย่างแรง เหลียงถงอวี้กัดริมฝีปากล่างแน่นเพราะคำพูดของนางนางมองผู้อาวุโสทั้งสองคนใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อนาง สายตาที่นายท่านโจวมองนางก็เต็มไปด้วยเจตนาร้ายเช่นกันโจมเสี้ยนเป็นแม่ทัพ ถ้าหากตายในสนามรบ นั่นก็ถือว่าตายอย่างมีเกียรติตายด้วยน้ำมือของชาวหนานเจียง?และยังตายไปพร้อมกับคำกล่าวหาเช่นนี้ ชื่อเสียงที่สร้างมาทั้งชีวิตจบสิ้นแล้วเขาที่เป็นพ่อคนนี้ จะไม่แค้นเคืองได้อย่างไร?“นางพูดถูก เสี้ยนเอ๋อร์ตายเพราะเจ้า”“เจ้าคืนลูกชายข้ามา เจ้าคืนลูกชายข้ามา!”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวพุ่งออกไป ตบตีตามร่างกายเหลียงโจวอวี้ นางเสียใจและสิ้นหวังจนเกือบจะเป็นลม“เจ้ายังจะอยู่ที่นี่ทำไม เจ้ายังไม่รีบไปอีก!”นายท่านโจวอุ้มฮูหยินผู้เฒ่าโจวไว้ หันไปไล่เหลียงถงอวี้ ราวกับนางเป็นโรคระบาด“ข้างบ้านทะเลาะอะไรกัน?”ข้างบ้าน ยายเฒ่าอู่ยืนอุ้มเ
“ฮึ่ม ต้าฉีกล้าฆ่าชวีเฟิง และยังกล้าขังพี่หญิงใหญ่ของข้า ข้าย่อมต้องทำให้พวกมันสำนึก”เฟิ่งหวู่โจวควบคุมแมงป่องยักษ์ไปพลาง คิดจะทำร้ายราษฎรอีกเวลานี้เอง เกาเจี้ยนขี่ม้า พาองครักษ์จันทรากลุ่มหนึ่งวิ่งมา“หยุดเดี๋ยวนี้!”เกาเจี้ยนกล่าวด้วยเสียงอันดังก้องราวกับฟ้าผ่า “เหลวไหลสิ้นดี ราษฎรไม่รู้อะไรด้วยเลย เจ้าปล่อยแมลงร้ายนี่ออกมาทำร้ายราษฎรตามใจชอบได้อย่างไร!”เขาชีทวนยาวไปทางเฟิ่งหวู่โจว“องค์ชายสาม รีบเก็บแมลงร้ายของเจ้ากลับไปซะ เช่นนั้นข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่”“เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า?!”เฟิ่งหวู่โจวหรี่ตา กำลังจะระเบิดอารมณ์ ทว่าผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ ห้ามเขา“องค์ชายสาม ท่านอย่าวู่วาม”ผู้ติดตามห้ามปรามเสียงเบา“องค์หญิงใหญ่ยังอยู่ในมือพวกเขาขอรับ”เฟิ่งหวู่โจวหยุดการกระทำอย่างที่คิด“บ้าจริง ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวพวกเขาจะทำอะไรพี่หญิงใหญ่ ข้าไม่สนใจความเป็นความตายของพวกมันหรอก ให้ราชาแมงป่องพิษกินพวกเขาทั้งเป็นให้หมดเลย!”“กลับไป”เขาเป่าขลุ่ยในมือ แมงป่องเหลือบมองเกาเจี้ยนแวบหนึ่ง หมุนกายกลับเข้ารถม้า“สถานีพักม้าอยู่ทางนี้ องค์ชายสามเชิญตามพวกเรามา” เกาเจี้ยนมองซากศพท
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของหนานเจียง มีจุดประสงค์เพื่อตบหน้าต้าฉี ทำให้ราชวงศ์ต้าฉีที่เพิ่งก่อตั้งอับอายขายหน้า“โจวฮูหยิน ข้ากับฝ่าบาทจะให้คำอธิบายกับเจ้าแน่นอน”“ขอบพระทัยพระมเหสีเพคะ”เหลียงถงอวี้คำนับจากใจ ก้าวเดินออกจากวังหลวงไปอย่างสิ้นหวังทีละก้าว“หนานเจียง ไม่ควรเก็บไว้อีกแล้ว”สายตาซูจิ่งสิงเย็นเยียบ เกิดเจตนาฆ่าในใจวันต่อมา เฟิ่งหวู่โจวมาถึงเมืองหลวงหลังจากเขาฆ่าโจวเสี้ยนไม่เพียงไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย ตอนอยู่ที่ประตูเมือง ยังทำร้ายราษฎร ถีบขุนนางตกจากม้า และถ่มน้ำลายใส่ชาวต้าฉีเหิมเกริมสุดขีด“องค์ชายสาม พวกเราทำเช่นนี้ มันจะเกินไปหน่อยหรือไม่?”แม้แต่ผู้ติดตามก็รู้สึกผิด กล่าวเกลี้ยกล่อม“อย่างไรก็อยู่ถิ่นของต้าฉี ถ้าหากทำให้ต้าฉีโกรธ นี่…”“เจ้ากลัวทำไม?”ถนนจูเชวี่ย เฟิ่งหวู่โจวขี่อยู่บนหลังม้าที่สูงใหญ่ สีหน้าได้ใจนักหน้าตาของเขาสู้เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้ แต่แต่งกายประณีตมาก สวมชุดเจียงหนาน และยังสวมกำไลเงินบนข้อมือหลายวง ขณะที่เขาดึงสายบังเหียน เสียงกรุ๊งกริ๊งดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษราษฎรที่ผ่านไปมาล้วนได้ยินพฤติกรรมที่เหิมเกริมของเขาแล้ว รีบหลบตามสองข้างทางด้ว
“บ่าวไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”ชิงเหลียนหมุนกายวิ่งออกไปทันทีวันนี้คนที่เข้าเวรที่สำนักหมอนหลวงคือลั่วยางพอดี เมื่อเห็นชิงเหลียงมาเรียกคน คิดว่ากู้หว่านเยว่เป็นอะไรเสียอีก รีบคว้ากล่องยาตามออกไปทันทีหลังจากตามมาจึงจะรู้เรื่องของโจวเสี้ยนจากปากชิงเหลียน“นายท่านกับฮูหยินกำลังรู้สึกผิด ไม่ว่าจะส่งใครไป ท้ายที่สุดนี่ก็คือจุดจบของเรื่องนี้ ไม่มีใครถ้าคิดว่าองค์ชายหนานเจียงจะบ้าเช่นนี้หมอหญิงลั่ว หลังจากท่านเข้าไป ต้องเกลี้ยกล่อมฮูหยินดีๆ นะ”ลั่วยางพยักหน้า “น่าสงสารโจวฮูหยินมาก”“ก็นั่นน่ะสิ กว่าจะได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”เดิมทีสกุลโจวก็ไม่ชอบนางอยู่แล้ว ในที่สุดโจวเสี้ยนก็ได้แต่งงานกับนาง และมาซื้อบ้านอยู่ในเมืองหลวงวันดีๆ กำลังจะมาอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าเพิ่งแต่งงานได้หนึ่งเดือน ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ระหว่างที่ทั้งสองสนทนา ก็ได้มาถึงตำหนักข้างที่ให้โจวฮูหยินพักชั่วคราวแล้วหลังจากลั่วยางคำนับทั้งสอง ก็เข้าไปตรวจชีพจรให้โจวฮูหยิน“เสียใจมากเกินไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หม่อมฉันจ่ายยาก็ดีขึ้นเองเพคะ”ลั่วยางเขียนตำรับยาหนึ่งแผ่น ให้ผู้ช่วยไปเอายาที่สำนักหมอหลวง ผ่านไปครู่หนึ่ง