กู้หว่านเยว่พยายามอดกลั้นอาการคลื่นไส้ ก่อนจะหาวิธีทำให้ทั้งสองแม่ลูกหมดสติ นางกล่าวกับหวังปี้ว่า“ตามคนเหล่านี้ แล้วส่งตัวให้กับท่านอ๋องอาวุโส”นักโทษสามคนนี้สมควรตาย“แม่นางซูทำอย่างไรดี?” หวังปี้มองดูซูหรานหร่านที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกังวลทางฝั่งของซูจิ่งสิงได้นำตัวทั้งสามคนมามัดไว้ด้วยกัน เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาก็จนปัญญาเช่นกัน“ข้าต้องจัดการกับครอบครัวนี้” ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มีวันได้ออกไปลักพาตัวหญิงสาวคนอื่นอีก“ดูท่าทางคงต้องขอร้องพี่ใหญ่หวังเสียแล้ว”กู้หว่านเยว่เขย่ากล่องยาในมือหวังปี้พยักหน้า เขาไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร เวลานี้เขามัวแต่กลัวว่าคนเหล่านั้นจะทำลายความบริสุทธิ์ของซูหรานหร่านแต่แล้วเขาก็ฉุกคิดได้ ตอนที่เขาเร่ร่อนอยู่ด้านนอก เขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมากเขาโน้มตัวลงและทำการแบกคนเหล่านั้น“พาตัวนางไปไว้ในเรือนรับแขกก่อน หากพานางกลับไปยังเตียงนอนรวมคงได้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอย่างแน่นอน”เห็นได้ชัดว่าซูหรานหร่านอยู่ในอาการตื่นตระหนก หากนางกลับไปมีหวังคงถูกคนในสกุลซูด่ากราด สู้ให้นางพักอยู่ด้านนอกก่อน“ได้ เช่นนั้นข้าจะพาน
หนานหยางอ๋องยังไม่ทันได้สติ “เหลาหลี่ เสี่ยวอู่เป็นอะไร?”ท่านแม่ทัพหลี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“หลายวันมานี้ ข้าเห็นพ่อหนุ่มคนนี้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ก็เลยจับตาดูเขาอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งข้าเห็นเขาเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอก และยังแอบปล่อยนกพิราบส่งข่าวออกไปหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าส่งจดหมายรายงานนายท่านคนไหน!”ใบหน้าของเสี่ยวอู่ปูดบวม ไม่กล้าสบตากับหนานหยางอ๋อง จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างหดหู่ใจหนานหยางอ๋องได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลบางอย่าง สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมลง“เสี่ยวอู่ เจ้าจะทำอะไร?”เสี่ยวอู่ไม่กล้าเอ่ย ในใจของเขาทราบดีว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ท่านแม่ทัพหลี่ยกเท้าเตะเขาอย่างไม่สบอารมณ์“เจ้ามันคนขี้ขลาด กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ? เจ้าเองก็รู้ว่าข้าคือคนช่วยชีวิตเจ้า เจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ? โชคดีที่ข้าสกัดกั้นเส้นทางการบินของนกพิราบส่งข่าวเอาไว้ได้ ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป!”ท่านแม่ทัพหลี่หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา บนปีกของนกตัวนั้นเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เท้าของมันถูกมัดด้วยกระดาษม้วนหนึ่ง“หยิบมาให้ข้า”หนานหยางอ๋องยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่อ่านไม่นานตัวของเขาก็สั่นเท
พิษที่กินเข้าไปเป็นพิษร้ายแรงถึงขั้นคร่าชีวิต“เสี่ยวอู่ตายแล้ว เบาะแสสำคัญก็จบสิ้น”ท่านแม่ทัพหลี่พึมพำเบา ๆ แต่ทุกคนรู้แก่ใจดี คนที่วางยาพิษ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นฮ่องเต้น้อยถึงอย่างไรนอกจากเขาแล้ว จะยังมีใครที่กล้าลงมือในราชวงศ์เช่นนี้กู้หว่านเยว่มองหนานหยางอ๋องด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋อง ต่อไปท่านจะทำอย่างไร?”กู้หว่านเยว่คิดว่าอีกฝ่ายจะต้องวางแผนเอาไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็อาจจะมีจุดจบแบบเดียวกับซูจิ่งสิงหนานหยางอ๋องกลับจมอยู่ในความคิดก่อนจะรีบส่ายหน้า“เรื่องนี้ ยังตัดสินว่าเป็นฝีมือของใครไม่ได้ ไว้ข้ากลับไป ข้าจะจัดการกับเรื่องนี้เอง”หากเป็นฝีมือของฮ่องเต้จริง ๆ .... หนานหยางอ๋องคงเจ็บปวดไม่น้อยดั่งคำกล่าวที่ว่า ฮ่องเต้สั่งให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตายหนานหยางอ๋องคือขุนนางอาวุโส และมีความจงรักภักดีมากแทนที่จะบอกว่าเขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ สู้บอกว่าเขาจงรักภักดีต่อแผ่นดินต้าฉีดีกว่า“ตราบใดที่ประชาชนของลั่วอันอยู่กันอย่างสงบสุข ข้าจะยอมกล้ำกลืนฝืนทนลืมสิ้นความแค้น”หนานหยางอ๋องกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม กู้หว่านเยว่อดมองอีกฝ่ายไม่ได้คนคนนี้ใส่ใจประชาชนอย่างมากเ
“อย่ากังวล พวกเขาไม่เป็นอะไร”กู้หว่านเยว่ไม่มีทางพูดหรอกว่าคนเหล่านั้นถูกทุบตี ในสายตาของนาง กลุ่มคนสกุลซูนั่นไม่มีค่าอะไร ซูหรานหร่านไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขาอีกต่อไปหลายคนเดินกลับไปด้วยกัน สุดท้ายก็พบซุนอู่ที่ออกมาตามหาคนพอดี“เกิดอะไรขึ้น?” ซุนอู่เดินขึ้นหน้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาซูหรานหร่านตกใจกับความดุดันของซุนอู่ รีบบอกว่า “ท่านนักการซุน ข้าไม่ได้หนี ข้า...”“ถ้าเจ้าไม่ได้หนีเหตุใดกลางดึกถึงไม่เห็นแม้เงา?!”“พี่ใหญ่ซุน ใจเย็นก่อน”กู้หว่านเยว่ดึงเขาไปทางด้านหนึ่ง แล้วอธิบายความเป็นมาเป็นไปภายในภูเขาจำลองโดยละเอียดซุนอู่ฟังจบก็ขนหัวลุกไปเลย “เจ้าพูดจริงหรือ?”“เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ยังโกหกได้อีกหรือ? คนคนนั้นได้ถูกส่งมอบให้หนานหยางอ๋องไปจัดการแล้ว”ซุนอู่รู้เช่นกันว่ากู้หว่านเยว่จิตใจสูงส่ง ไม่อาจโกหกเพื่อช่วยซูหรานหร่านให้พ้นผิด เขาสั่นสะท้านขึ้นมาทันที“บ้าบอชะมัด โหดเหี้ยมกันทั้งกลุ่ม!”กู้หว่านเยว่ช่วยอธิบาย “โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร ซูหรานหร่านก็ไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวครั้งนี้อย่าตำหนินางอีกเลย”ซุนอู่พยักหน้า แสร้งทำเป็นโกรธพร้อมกับเอ่ยปากเตือนสองสามประโยค“ในเมื่อแ
ซูหัวหยางบ่นพึมพำกลับไป นางจินต้องการดูแลซูหรานหร่าน แต่กลับถูกซูหัวหยางดุด่าเป็นชุด จึงปาดน้ำตาจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ส่วนซู่เช่อก็ถอนหายใจพลางเหลือบมองซูหรานหร่าน ก่อนออกไปเช่นกันท่าทีเย็นชาของคนในครอบครัว ทำให้ซูหรานหร่านรู้สึกใจหายจริง ๆ“ขุนพลหวัง ขอบคุณท่านที่พูดแทนข้าเมื่อครู่”“ไม่เป็นไร สมควรแล้ว ข้าเป็นคนเถรตรง เจ้าไม่หาว่าข้ายุ่มย่ามก็ดีแล้ว”หวังปี้มองหญิงสาวบอบบางตรงหน้า ความสงสารผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจซูหรานหร่านปาดน้ำตา พลางหันไปฉีกยิ้มให้กู้หว่านเยว่ ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเวลาร้องไห้เสียอีก“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ากลับก่อนล่ะ”พูดจบ ก็เดินไปที่ข้างเตียงของตัวเอง หยิบเสื้อนวมขึ้นมาเย็บเงียบ ๆเมื่อเห็นซูจิ่นเอ๋อร์แอบสะกิดข้างตัวซูหรานหร่าน กู้หว่านเยว่ก็ไม่ได้เข้าไปปลอบใจ พลางหันไปพูดกับหวังปี้“นักโทษเนรเทศข้างบ้านกลุ่มนั้น รบกวนท่านช่วยไปเคาะเรียกสักหน่อย”“เรื่องเล็กน้อย”หวังปี้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจทางด้านนี้หลังจากกู้หว่านเยว่เข้ามาในเรือน ก็หาสถานที่สำหรับปรุงยาถอนพิษ ใช้เวลาไปหลายชั่วยามจนในที่สุดก็ปรุงยาออกมาได้สำเร็จก่อนอื่นก็เข้าไปในมิติ โยนเข้าไปในหอแ
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเหาะหนี ประตูเรือนก็เปิดออกในทันใด คนชุดดำสองคนลากหลี่เฉินอันที่ถูกมัดแขนไพล่หลังออกมาเมื่อเห็นหลี่เฉินอันถูกปิดปาก พยายามดิ้นรนไม่หยุด กู้หว่านเยว่ก็กุมขมับ“อย่าเพิ่งไปช่วยเขา ให้เขาได้รับบทเรียนเสียบ้าง”“อืม”ซูจิ่งสิงก็พยักหน้าเช่นกัน เด็กหนุ่มผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้ กล้าที่จะบุกเดี่ยวไปแก้แค้น“จะจัดการเขายังไงดี?” คนชุดดำคนหนึ่งในเรือนถามด้วยเสียงแหบพร่า“ฮูหยินใหญ่นับถือพุทธ อย่าฆ่าคนในวัด”“หลังเขามีทะเลสาบน้ำแข็งอยู่ โยนลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งเถอะ”อีกคนกล่าวขึ้น ทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน ก่อนจะเหาะไปทางหลังเขาเมื่อมาถึงทะเลสาบน้ำแข็ง คนชุดดำคนหนึ่งก็มัดหลี่เฉินอันไว้กับก้อนหิน จากนั้นก็ผลักเขาลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งพร้อมกับก้อนหิน“จุ๊ ๆ คราวที่แล้วปล่อยเด็กอย่างเจ้าให้หนีไป ยังจะกลับมาติดกับดักเอง รนหาที่ตายจริง ๆ”คนชุดดำทอดถอนใจออกมาอีกหลายคำ ดวงตาของหลี่เฉินโกรธแค้น ดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็ถูกน้ำหนักของหินดึงลงไปใต้น้ำเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรอด คนชุดดำทั้งสองก็หันหลังเดินจากไปทันทีที่หันไป ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังพว
หากหลี่เฉินอันเลิกติดตามนางเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรนางจะไม่ช่วยคนโง่เง่า“ก็ได้”ถ้าไม่ใช่เพราะกู้หว่านเยว่ ซูจิ่งสิงก็คงไม่ช่วยหลี่เฉินอันด้วยซ้ำ แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังคำพูดของกู้หว่านเยว่อยู่แล้ว ก่อนจะจากไปกับนางในพื้นหิมะ หลี่เฉินอันกำหมัดทั้งสองแน่นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวทันทีที่กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกลับไปถึงหอนอนรวม เสี่ยวหรงก็ถือน้ำร้อนเข้ามา“ฮูหยินดื่มน้ำร้อน นายท่านดื่มน้ำร้อน” เมื่อเห็นทั้งสองยกไปแล้ว จึงถามด้วยความเกรงกลัว “คุณชายของข้าล่ะขอรับ?”กู้หว่านเยว่บอกเล่าเรื่องราวให้นางฟัง “ถ้าพรุ่งนี้ก่อนออกเดินทาง คุณชายของเจ้ายังไม่กลับมา เจ้าก็ไปตามหาเขาเถอะ”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวหรงพยักหน้าช้า ๆ“หว่านเยว่ มานี่เร็วเข้า” นางหยางยื่นมือไปหากู้หว่านเยว่ “เข้ามาอยู่อุ่น ๆ”ทางเหนือหนาวอยู่แล้ว ตกกลางคืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง อุณหภูมิลดลงถึงลบสิบกว่าองศากู้หว่านเยว่กลับมาจากข้างนอกที่หนาวเหน็บ มือเท้าเย็นเฉียบไปหมด หลังจากที่เดินเข้าไปนางหยางก็ยื่นถุงน้ำร้อนมาให้ทันทีเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่รับไปแล้ว จึงยื่นอีกถุงหนึ่งให้ซูจิ่งสิง“วิ่งวุ่นข้างนอกทั้งวัน ไปนอนก่อ
เมี่ยชิงหว่านรู้สึกหวั่น ๆ “พี่หว่านเยว่ ข้ามาเป็นเพื่อนท่านถึงตรงนี้ก็พอแล้ว ท่านเข้าไปคนเดียวเถิด”แม้ว่านางจะไม่ได้ขี้ขลาด แต่ก็เติบโตในชนบทมาตั้งแต่เด็กเรือนของหนานหยางอ๋องรายล้อมไปด้วยทหารแน่นหนา ทันทีที่มาถึง ทหารเหล่านั้นก็พากันมองมาที่พวกนางเมี่ยชิงหว่านไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวในทันใดเมื่อคิดว่าต้องเดินเข้าไป เผชิญหน้ากับคนแปลกหน้ามากมาย สู้รออยู่หน้าประตูจะดีกว่ากู้หว่านเยว่เห็นดังนั้น ก็คิดว่าจะฉีดยาป้องกันให้เมี่ยชิงหว่านดีหรือไม่ ไม่อยากให้นางไม่รู้เรื่องอะไรเลย จึงเล่าเรื่องความเป็นไปได้ที่นางอาจเป็นธิดาของหนานหยางอ๋องให้ฟัง“เจ้าบอกว่าหนานหยางอ๋องมีธิดาที่สูญหายไป มีความเป็นไปได้สูงว่าข้าจะเป็นธิดาของเขาหรือ? ที่เจ้าพาข้ามาวันนี้ ก็เพื่อพามาพบครอบครัวงั้นหรือ?”เมี่ยชิงหว่านตกใจ แม้จะตกใจ แต่นางกลับรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้“ข้าจะเป็นธิดาของหนานหยางอ๋องได้อย่างไร? ในตัวข้าไม่มีหลักฐานยืนยันใด ๆ จากจวนหนานหยางอ๋องเลย”กู้หว่านเยว่พูดเรื่องที่นางมีหน้าตาละม้ายกับชายาหนานหยางอ๋องมาก“ในมือเจ้าไม่มีปานจุดหนึ่งหรือ? ถึงเวลาก็เอาปานนี
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง