กู้หว่านเยว่คิดในใจว่าเรื่องที่เหยาฮุ่ยซินถูกโจรทะเลทรายลักพาตัวไปนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ท่านเจ้ากรมจะไม่รู้เรื่องการที่คิดหาข้ออ้างที่แนบเนียนเช่นนี้ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของเหยาฮุ่ยซิน อีกทั้งยังจัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนเพื่อสะสมบุญกุศลให้เหยาฮุ่ยซินอีก ถือว่าเป็นความรักและความผูกพันที่ลึกซึ้งจริง ๆ“ไปกันเถอะ เราไปลงชื่อที่หน้าประตูกัน”เมื่อได้กลิ่นอาหาร กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริง ๆเมื่อทั้งสองไปถึงหน้าประตู คนเฝ้าประตูได้ยินชื่อของพวกเขาก็รีบกล่าวขึ้นว่า“ทั้งสองท่านเชิญตามข้าไปที่โต๊ะที่นั่งด้านใน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน เดาว่าเหยาฮุ่ยซินคงบอกกับคนเฝ้าประตูไว้แล้ว จึงตามเขาเข้าไปด้านในคนในจวนเยอะกว่าข้างนอกเสียอีก อักษรสีแดงสดที่สื่อถึงความมงคลถูกประดับประดาเต็มสวน เสียงหัวเราะและความสุขดังไปทั่วกู้หว่านเยว่มองไปรอบ ๆ เห็นแต่คนแปลกหน้า ก็ไม่ได้สนใจที่จะทำความรู้จักใคร จึงเลือกที่จะหาที่นั่งเพื่อดื่มกินและชมพิธีแต่งงานของคนสมัยโบราณซูจิ่งสิงเห็นนางมองอย่างใจจดใจจ่อ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “อิจฉาหรือ?”“ก็นิดหน่อย ข้ายังไม่เคยแต่งงานเลย” กู้หว่านเยว่ตอบอย่าง
กล่าวกันว่ายอดคนลิโป้ ยอดม้าเซ็กเธาว์นี่เป็นครั้งแรกที่กู้หว่านเยว่ได้เห็นม้าที่สง่างามและน่าเกรงขามเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง“ม้าตัวนี้คงมีราคาแพงมากสินะ”ท่านเจ้ากรมยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินซูเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฮุ่ยซิน ก็เท่ากับเป็นผู้มีพระคุณของข้า แค่ม้าเซ็กเธาว์สองตัวนี้ ฮูหยินโปรดรับไว้เถอะ”กู้หว่านเยว่รีบร้อนที่จะเดินทาง จึงไม่เกรงใจอีกต่อไปและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านเจ้ากรมแล้ว”พูดจบ นางก็กระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่วเหยาฮุ่ยซินรีบวิ่งตามไปสองก้าว “ฮูหยินซู เมื่อท่านตั้งรกรากแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาข้านะ วันหลังข้าจะไปหาท่าน”“ได้”กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองคู่สามีภรรยาด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง จากนั้นก็ควบม้าออกไปกับซูจิ่งสิง“ข้าไม่อยากจากฮูหยินซูเลย” เหยาฮุ่ยซินซบลงบนอกของท่านเจ้ากรม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือไม่”“จะมีแน่ ต้องมีแน่นอน ถ้าพวกเขาไม่กลับมา ข้าก็จะพาเจ้าไปหาพวกเขาที่เจดีย์หนิงกู่ ดีหรือไม่?”“จริงหรือ?”“ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อไหร่กัน”ท่านเจ้ากรมบีบจมูกของเหยาฮุ่ยซินเบา
องครักษ์เงากระอักเลือดออกมา จากนั้นแสยะยิ้ม“อยากจะง้างปากข้า ไม่มีทาง!”ดวงตาของซูจิ่งสิงฉายแววเยือกเย็น แม้แต่กู้หว่านเยว่ก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นก็ตะโกนเสียงดัง“อะไรนะ เจ้าพูดอีกครั้งสิ มู่หรงอวี้สั่งให้เจ้ามาฆ่าพวกเรางั้นหรือ?”“เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าไม่ได้พูด!” องครักษ์เงารู้สึกมึนงง เหตุใดผู้หญิงคนนี้ถึงไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้!แต่แล้วกู้หว่านเยว่ก็พูดเสียงดังอีกว่า “สวรรค์ ที่แท้ก็เป็นมู่หรงอวี้จริงๆ พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขา เหตุใดเขาถึงส่งพวกเจ้ามาตามฆ่าเรา?”องครักษ์เงาร้อนใจแล้ว “ข้าไม่ได้พูด!”กู้หว่านเยว่ตะโกนขึ้นอีกครั้ง จงใจหันไปพูดกับองครักษ์“อะไรนะ เจ้าบอกว่ามู่หรงอวี้ไม่อยากให้เรานำเมล็ดโพธิ์กลับไป ไม่อยากให้ช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าโจว ถึงได้ส่งพวกเจ้ามาฆ่างั้นหรือ?”นางพูดเสียงดังเช่นนี้ แน่นอนว่าองครักษ์ล้วนได้ยินทุกคนต่างรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาทันที“ข้าก็ว่าเหตุใดถึงถูกตามไล่ฆ่า หวายหนานอ๋องผู้นี้ช่างชั่วร้ายจริงๆ!”“นั่นสิ ฮูหยินผู้เฒ่าของเราไปทำอะไรให้เขา เขาถึงได้อยากจะเอาชีวิตฮูหยินผู้เฒ่า!”“ไม่ได้ พอกลับไปต้องบอกเรื่องนี้กับโจวเหล่า..
เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกลับมา ทุกคนก็รีบวิ่งเข้าไปหา“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว ได้ยินว่าพวกท่านไปหาซื้อยาที่จวนหลงฉวนแล้ว?”กู้หว่านเยว่เหลือบมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความเป็นห่วง นางเหนื่อยเกินไปจริง ๆ จึงหาวแล้วเดินเข้าไปในห้อง“ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร รอให้ข้านอนตื่นก่อนแล้วค่อยพูด ตอนนี้ข้าต้องการนอน”ขณะพูด กู้หว่านเยว่ก็เอื้อมไปปิดประตู ทิ้งให้คนอื่น ๆ มองหน้ากันซูจิ่นเอ๋อร์มองแผ่นหลังที่เย็นชาของกู้หว่านเยว่ก็แทบจะร้องไห้แล้ว“ทั้งหมดเป็นความผิดของปากเสีย ๆ ของข้า วันนั้นข้าต้องพูดจาเหลวไหลแน่ ๆ ทำให้พี่สะใภ้ต้องมาเดือดร้อน ข้ามันตัวปัญหาจริง ๆ !”นางได้ยินมาว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวคนนั้นป่วยหนักใกล้ตายแล้ว ไม่มีใครรักษาได้ ตอนนี้พี่สะใภ้กำลังถูกบีบบังคับอย่างหนักเชียวนะ!ซูจื่อชิงกลอกตามองนาง“ตอนนี้จะมานั่งเสียใจก็ไม่มีประโยชน์ ปากไม่เคยมีหูรูด ถ้าสำนึกผิดจริงก็ไปที่ห้องครัวแล้วต้มน้ำแกงบำรุงให้พี่สะใภ้สิ”พูดจบก็ก้มหน้าลง แล้วดึงซูจิ่นเอ๋อร์ไปที่ครัวเล็กด้วยกันกู้หว่านเยว่หลับไปนานถึงสามชั่วยามเต็ม ๆ เมื่อตื่นขึ้นมา เ
ถึงแม้ซูจิ่งสิงจะไม่เข้าใจวิชาแพทย์ แต่เขาก็พยักหน้าอย่างจริงจัง“เช่นนั้นเริ่มกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ฆ่าเชื้อโรคที่มือทั้งสองข้าง จากนั้นตัดเสื้อคลุมของฮูหยินผู้เฒ่าโจวออก เหลือไว้เพียงเสื้อชั้นในบาง ๆ จากนั้นป้อนยาถอนพิษให้กับฮูหยินผู้เฒ่าโจว แล้วหยิบเข็มเงินออกมาช่วยนำทางพิษเมื่อนางเข้าสู่โหมดทำงาน ทั้งคนก็จะดูจริงจังและเคร่งขรึมมาก น้ำเสียงก็จะเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างและเย็นชาซูจิ่งสิงมองดูอยู่ข้าง ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจถ้าไม่ได้เห็นกับตา เขาคงไม่กล้าเชื่อว่ามือของกู้หว่านเยว่ที่กำลังฝังเข็มนั้นจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้ความประหลาดใจ ความชื่นชม อารมณ์ต่าง ๆ ผุดขึ้นในดวงตาของซูจิ่งสิงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว กู้หว่านเยว่ปักเข็มเงินลงบนจุดต่าง ๆ บนร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าโจวทีละเล่ม แล้วก็ดึงออกทีละเล่ม จนในที่สุดก็มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือการนำพิษที่หลงเหลืออยู่ออกจากหัวใจ พร้อมกับใช้เมล็ดโพธิ์เพื่อปกป้องหัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าโจวเหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากของกู้หว่านเยว่แต่แล้ว ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่ด้านนอกป
“ทหาร นำตัวซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ไปขังเดี๋ยวนี้!”มู่หรงอวี้ตะโกนเสียงดังฉีกหน้าโดยไม่สนใจใคร“ช้าก่อน!”โจวเหล่ากลับเร่งฝีเท้าเปิดม่านเดินเข้ามา “แม่นางกู้เป็นผู้มีพระคุณของข้า หวายหนานอ๋องท่านจะทำอะไร?”“ผู้มีพระคุณ?”มู่หรงอวี้ทวีความโกรธ จ้องมองกู้หว่านเยว่อย่างไม่ลดละนางช่วยชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้จริง ๆ หรือ?เดิมทีเรื่องนี้จะต้องเป็นคุณงามความดีของเขา แต่กลับถูกกู้หว่านเยว่แย่งไปต่อหน้าต่อตา!“ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นผู้มีพระคุณหรือไม่ แต่เมื่อครู่พวกเขาอวดดีกับข้า ทั้งยังตบหน้าข้า ข้าต้องลงโทษพวกเขา!”มู่หรงอวี้กล่าวพลางเผยรอยนิ้วมือที่ประทับอยู่บนแก้มด้านขวาเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว รอยฝ่ามือนั้นไม่เพียงแต่จะไม่จางหาย แต่ดูเหมือนมันกลับตีตราอยู่บนหน้าของเขา และบวมเป่งคล้ายกับหมั่นโถวทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายมู่หรงอวี้ได้รับความอับอายเช่นนี้ก็ย่อมจะไม่สบอารมณ์โจวเหล่านึกถึงตอนที่มู่หรงอวี้พรวดถลันเข้าไปเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าที่กู้หว่านเยว่ลงมือนั้นเบาเกินไป หากการรักษาถูกขัดจังหวะ ฮูหยินไม่ฟื้น ผลลัพธ์ที่ตามมาเขาแทบไม่อยากจะคิดเลย!“หวายหนานอ๋อง
เมื่อคิดได้ มู่หรงอวี้ก็เริ่มนั่งไม่ติด การลอบสังหารล้มเหลวอยู่บ่อยครั้ง เป็นการบ่งบอกว่าสายลับของเขาไร้ความสามารถ“แม่นางน้อยกู้ ข้าต้องขอบคุณเจ้าอีกครั้ง คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะตกอยู่ในอันตรายเพียงเพื่อปกป้องลูกผู่ถี”โจวเหล่ายกมือคารวะกู้หว่านเยว่มีความคิดที่จะดึงซูจิ่งสิงออกมา“เรื่องปกป้องลูกผู่ถีกลับมา ข้าไม่กล้าแย่งความดีความชอบหรอก สายลับเหล่านั้นคือผลงานของสามีข้า”เมื่อครู่กู้หว่านเยว่ดึงดูดความสนใจของโจวเหล่า แต่เวลานี้เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของซูจิ่งสิง เขาถึงกับตกใจกับหน้าตาของอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือน เหมือนกันมาก“เจ้า....”แม้จะคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่โจวเหล่าก็อดนึกถึงเฟยเฟยไม่ได้เวลานี้ซูจิ่งสิงยกมือคารวะพลางกล่าว “โจวเหล่า เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวดีหรือไหม?”รอมาเนิ่นนาน เขาไม่มีวันปล่อยโอกาสที่จะได้ปรับความเข้าใจกับโจวเหล่าไปอย่างแน่นอนแม้ว่าชิวหมิงจื้อจะบอกเรื่องฐานะของเขา แต่คำกล่าวของอีกฝ่ายจะเป็นความจริงหรือไม่นั้นต้องผ่านการยืนยันจากโจวเหล่าก่อน“ได้ ๆ ไปห้องหนังสือของข้าก็แล้วกัน”ระหว่างที่พวกเขาสบตากัน โจวเหล่าตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างโจวเ
“จัดการเรียบร้อยแล้ว” ซูจิ่งสิงพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นก็เดินมาข้างกายของกู้หว่านเยว่ คว้ามือของนาง ส่งสัญญาณให้อดทนรอดูสถานการณ์ไปก่อนกู้หว่านเยว่ไม่ได้ร้อนใจแม้แต่น้อย นางคาดเดาผลลัพธ์ไว้ก่อนแล้วจากคำกล่าวของชิวหมิงจื้อ และปมที่น่าสงสัยในหนังสือ บ่งบอกได้ว่าซูจิ่งสิงจะต้องเป็นเด็กกำพร้าขององค์รัชทายาทองค์ก่อนอย่างแน่นอนแต่บุตรชายคนที่สามของสกุลซูเป็นบิดาบุญธรรมของซูจิ่งสิง ยามนั้นเพื่อปกป้องลูกกำพร้าขององค์รัชทายาทองค์ก่อน เขาประกาศต่อหน้าสาธารณะว่าซูจิ่งสิงเป็นบุตรชายของตน และปล่อยให้เขาได้เติบโตอย่างสงบสุข“จิ่งสิง เจ้ามีแผนอะไรต่อไป?”โจวเหล่าเดินตามออกมา ตั้งแต่ที่รู้ฐานะของซูจิ่งสิง สายตาก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น“ผู้น้อยตั้งใจจะไปพักฟื้นตัวที่เจดีย์หนิงกู่”“ดี หลังจากที่เจ้าถึงเจดีย์หนิงกู่แล้วก็อย่าลืมส่งคนมาบอกข้าก็แล้วกัน แม้ว่าข้าจะไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก แต่ลูกศิษย์จำนวนมากที่อยู่ภายใต้การปกครองของข้าก็ล้วนแต่เป็นขุนนางในราชสำลัก ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย”นี่สินะคือความจงรักภักดีกู้หว่านเยว่กระตุกยิ้มมุมปากอยู่ด้านข้างหากมู่หรงอวี้รู้ว่าโจวเหล่าที่เขาบากบั่นจะชวนมา