“ครั้งนี้กู้หว่านเยว่ต้องตายสถานเดียว”นางหลิวกล่าวอย่างลำพองใจ “คนของราชวงศ์ไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่”“โชคดีที่พวกเราไม่ได้คืนดีกับบ้านสาม พวกเราจึงไม่โดนหางเร่ไปด้วย”ฮูหยินผู้เฒ่าซูถอนหายใจอย่างโล่งอกเดิมทีนางอยากบากหน้าไปขอคืนดีกับบ้านสาม แต่ปรากฏว่ากู้หว่านเยว่โหดร้ายเกินไป นางจึงไม่กล้าเสนอหน้าหรือนี่อาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้ก็ดี ที่นางประกาศตัดความสัมพันธ์กับบ้านสามในตอนแรกนั้นถูกแล้วนางจินและซูหรานหร่านสบตากัน โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้กล่าวสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นบ้านสามหรือสกุลซู พวกเขาก็ไม่เคยคิดอยากเกี่ยวข้องด้วยนัยน์ตาของซูจื่อชิงเย็นเยือก “ทุกคนคือสกุลซูเหมือนกัน พี่ใหญ่และพี่สะใภ้เกิดเรื่อง พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะรอดอย่างนั้นหรือ?”ทำไมก่อนหน้านั้นถึงดูไม่ออกว่าท่านยายโง่เขลาเช่นนี้“สกุลเดียวกันอะไร พวกเราตัดขาดกันไปแล้ว”นางหลิวกล่าวเสียงดัง นางกลัวว่าผู้คุ้มกันของมู่หรงอวี้จะไม่ได้ยิน“ไอหยา ข้าพูดกับจิ่นเอ๋อร์ เจ้าว่าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้จะกลับเข้ามาแบบเดินเข้ามาหรือถูกหามเข้ามา?”“เจ้าหุบปากไปเลย !” ซูจิ่นเอ๋อร์โกรธจนปากสั่นไปหมด สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่ประตู
จากนั้นนางก็หยิบหน้ากากขึ้นมาใส่ และแวบออกจากห้องไปทันทีนางไม่ลืมว่าตนก็มีเรื่องต้องทำ ในเมื่อจวนหลังนี้เป็นอาณาเขตของมู่หรงอวี้ ก็อย่ามาโทษว่านางไม่เกรงใจก็แล้วกัน!ทันทีที่เข้าไปในห้องใต้ดิน กู้หว่านเยว่ก็ได้เห็นอาวุธและเสบียงมากมาย นางจึงรีบกอบโกยกลับอย่างไม่เกรงใจจากนั้นนางก็เข้าไปในครัวและทำการขนอาหารพร้อมทั้งม้าที่อยู่ในคอกออกไปพร้อมกัน“เหอะ ๆ ข้าชักอยากเห็นแล้วสิว่าหากท่านไม่มีม้า ท่านจะไปจากจวนแห่งนี้ได้อย่างไร”กู้หว่านเยว่หัวเราะด้วยความสะใจ ก่อนจะหายตัวไปโผล่ในพื้นที่นอกหน้าตาห้องของมู่หรงอวี้และใช้นิ้วเจาะรูหน้าต่างที่ทำจากกระดาษ และมองเข้าไปข้างใน“เจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว ขาของข้าเหมือนมีมดเป็นร้อยตัวรุมกัดอย่างไรอย่างนั้น”มู่หรงอวี้นอนอยู่บนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง ทั้งยังคร่ำครวญไม่หยุด“ทำไมเซียนแพทย์น้อยถึงยังไม่มาอีก?”“กราบทูลท่านอ๋อง เซียนแพทย์น้อยมาแล้ว เซียนแพทย์น้อยมาแล้ว!”เด็กสาวในชุดสีขาวคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาจากด้านนอก เมื่อถึงข้างเตียงนางก็รีบจับชีพจรของมู่หรงอวี้ทันที“ท่านอ๋อง ท่านโดนยาพิษได้อย่างไร?”“อย่าถาม”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ มู่หร
ทันใดนั้นฟู่เยียนหรานก็ปิดหน้าร้องไห้เสียงสะอื้น ท่าทางเช่นนี้ยิ่งยืนยันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสอง“ฮูหยินซู เจ้าอย่าโทษพี่ใหญ่ซูเลย เพราะข้าเทิดทูนเขามากเกินไปถึงกลายเป็นแบบนี้ข้าจะไม่โต้เถียงใด ๆ กับเจ้า เพียงอยากดูแลเรื่องปัจจัยสี่ของพี่ใหญ่ซูอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น”นางห่อไหล่ขาวผุดผ่องอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลพราก ผู้ชายส่วนใหญ่เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารไม่แปลกใจที่ได้เป็นพระมเหสีเข้าใจใช้ลูกไม้ใสซื่อเป็นอย่างดี“ซูจิ่งสิง”กู้หว่านเยว่บิดขี้เกียจ นางไม่มีเวลามาคร่ำครวญกับฟู่เยียนหราน“ข้าง่วงแล้ว ท่านช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยเร็ว”ในน้ำเสียงแฝงความรำคาญใจซูจิ่งสิงกังวลว่ากู้หว่านเยว่จะเข้าใจผิด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบอธิบาย“ข้าได้ยินเสียงความวุ่นวายจึงตื่นขึ้นมา พบว่านางยืนอยู่ที่หัวเตียง กำลังเปลื้องผ้าอยู่พอข้าตวาดไล่นางไป เจ้าก็ผลักประตูเข้ามาแล้ว ข้าไม่ได้แตะต้องนางเลย”กู้หว่านเยว่ชำเลืองมองเตียงที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้วยความเข้าใจในตัวซูจิ่งสิงของนาง ย่อมรู้ว่าเขาไม่นอกลู่นอกทางแน่หลังจากได้ฟังคำอธิบายด้วยหูตัวเอง ก็ยิ่งไม่มีอะไรให้สงสัยอีก
หลังจากพักหายเหนื่อยได้หนึ่งวัน เหล่านักโทษเนรเทศก็กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง พากันเก็บข้าวของเพื่อออกจากคฤหาสน์หลวงเมื่อมู่หรงอวี้ตั้งสติได้ ลานหลังบ้านก็ว่างเปล่าไร้ผู้คนแล้ว“เจ้าโง่ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าจับตาดูพวกเขาไว้หรือ?!”เขาถีบพ่อบ้านที่กุลีกุจอเข้ามาอย่างหงุดหงิดพ่อบ้านคุกเข่าพรึ่บลงกับพื้น“ท่านอ๋องอย่าทรงกริ้ว เมื่อเช้าคฤหาสน์หลวงถูกปล้นอย่างกะทันหัน ข้าน้อยไม่มีเวลานึกถึงพวกเขา...”“เจ้ากินอะไรเป็นอาหาร เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็จัดการไม่ได้...ช้าก่อน เจ้าบอกว่าคฤหาสน์หลวงถูกปล้นงั้นหรือ?”มู่หรงอวี้ใจหายวาบ เกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาในทันใดเขาหันหน้าเดินไปยังห้องใต้ดินโดยไม่พูดอะไรเมื่อมาถึงทางเข้าห้องใต้ดิน เห็นไข่มุกเรืองแสงราตรีสองเม็ดที่ส่องสว่างตรงประตูถูกหักออก เขาหน้ามืดในทันใด“ท่านอ๋อง อดทนไว้”คนสนิทรีบเข้ามาประคองมู่หรงอวี้“ทนได้ ทนได้...” มู่หรงอวี้ฝืนผลักประตูหินให้เปิดออก เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในอย่างชัดเจน ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป“เงินทองของข้า เงินทองของข้า!”น้ำตาไหลรินจากเบ้าตา มู่หรงอวี้ในวัยสามสิบกว่า ๆ ร้องไห้เป็นเด็กทารกห้องใต้ดินแห่งนี้มีทรัพย์ส
“ทุกคนออกไปก่อน!”ซุนอู่ได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของสตรีบนรถม้า จึงรีบเข้าไปในวัดเก่าทรุดโทรมโดยที่แทบจะไม่ลังเลใด ๆ สั่งนักการในศาลาว่าการให้พานักโทษเนรเทศออกไปพักข้างนอก“ทั้ง ๆ ที่เรามาถึงวัดเก่าก่อน เหตุใดถึงต้องออกไปด้วย?”เสียงว่ากล่าวของฝูงชนดังไปทั่ว แต่ก็ไม่กล้าขัดคำพูดของนักการในศาลาว่าการ“ไป เราออกไปกันเถอะแม่” ซูจื่อชิงลุกขึ้นยืน“เฮ้อ!” ซูจิ่นเอ๋อร์ยกหม้ออย่างไม่เต็มใจ “ต้องก่อไฟใหม่อีกรอบ”“น้ำคร่ำของแม่นางคนนั้นแตกแล้ว คาดว่าอาจจะต้องคลอดลูกที่วัดเก่า พวกเราออกไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่อธิบายนางใจกว้างกับหญิงตั้งครรภ์มาก การคลอดลูกไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิง“เจ็บ เจ็บเหลือเกิน...”“ฮูหยินน้อย ท่านอดทนอีกนิด ค่อย ๆ นั่งลงบนฟูกก่อน”ระหว่างการสนทนา บ่าวรับใช้สูงอายุสองคนช่วยประคองฮูหยินน้อยให้นั่งลงในมุมหนึ่งซู่จิ่นเอ๋อร์จ้องไปที่น้ำคร่ำที่ไหลนองเต็มพื้น ฟังเสียงกรีดร้องของหญิงสาว ถึงได้รู้ความร้ายแรงของสถานการณ์“กำลังจะคลอดแล้วจริง ๆ ในเมื่อเป็นเรื่องความเป็นความตาย พวกเราก็รีบยกสถานที่ให้นางเถอะ”“อืม”ก่อนจะไป กู้หว่านเยว่ก็ได้ยินเสียงบ่าวรับใช้คนหนึ่
เป็นห่วงว่า หากถึงเวลานั้นแล้วช่วยชีวิตใครไม่ได้ ครอบครัวนี้จะตามราวีกู้หว่านเยว่“อืม”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ตัดสินใจดูสถานการณ์อีกครั้งนางก็ไม่ใช่แม่พระเช่นกัน ไม่สามารถเอาความปลอดภัยของตัวเองเข้าไปเพื่อชีวิตของผู้อื่นได้“แม่นางน้อยกู้”ดูเหมือนว่าซุนอู่จะจับอะไรบางอย่างได้ กำลังจะพูดออกมาจู่ ๆ ฟู่เยียนหรานที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมาโดยตลอดก็เดินไปหาบ่าวรับใช้สูงอายุนางนั้น แล้วพูดเสียงดังลั่น“แม่นมเฒ่า ในกลุ่มนักโทษเนรเทศทางนั้นมีหมอหญิงอยู่ด้วย พวกเจ้าต้องการหมอไม่ใช่หรือ ไปขอความช่วยเหลือจากนางสิ”ว่าแล้วนางก็ชี้ไปที่กู้หว่านเยว่“เจ้า!”ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ สตรีนางนี้หาเรื่องให้พี่สะใภ้ใหญ่ได้อย่างไร?ฟู่เยียนหรานยิ้มกล่าวอย่างอ่อนโยน ราวกับว่าไม่เห็นสายตาโกรธเกรี้ยวของพวกเขา“แม่นางน้อยกู้ ทักษะทางการแพทย์ของเจ้าเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนตอนนี้ฮูหยินน้อยนางนั้นและเด็กในท้องจะเป็นตายไม่รู้แน่ เจ้าคงไม่นิ่งดูดายที่จะช่วยเหลือใช่ไหม?”เจ้ามีทักษะการแพทย์ดีมิใช่หรือ?เช่นนั้นก็ไปช่วยชีวิตคนสิ!ฮูหยินน้อยผู้นั้นอยู่ในภาวะคลอดยากอยู่แล้ว ถ้าไม่ช
ไปหามาจากไหน แม่นางน้อยวัยสาวเช่นนี้ ยังไม่เคยคลอดลูกเองเลย แล้วจะเข้าใจการคลอดลูกได้เช่นไร?สายตาของแม่นมหลู่เผยแววดูถูกออกมา“เด็ก ๆ ไล่นางออกไปที”“ไม่ได้ กว่าจะหาหมอมาได้ไม่ง่ายเลย จะปล่อยนางไปไม่ได้”ทั้งสองคนต่างยืนกรานไม่ยอมลดละ แม่นมหลู่ขึ้นเสียงในทันใด“แม่นมฉิน แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้อาวุโสที่อยู่เคียงข้างฮูหยินน้อย แต่ข้าเป็นคนที่พระมเหสีส่งมาดูแลฮูหยินน้อย”“ข้ารู้สึกว่าสตรีนางนี้ไม่น่าเชื่อถือ ไม่อาจปล่อยให้นางมาทำคลอดฮูหยินน้อยได้ เจ้ากล้าไม่ฟังข้าหรือ?”“แต่ตอนนี้หาหมอคนอื่นไม่ได้แล้วนะ...”แม่นมฉินโกรธจนนิ้วมือสั่นเทาระหว่างทางแม่นมหลู่ก็ดึงดันเร่งการเดินทางให้ได้ สร้างความตกใจให้ฮูหยินน้อยจนไปกระตุ้นอาการแพ้ท้องกู้หว่านเยว่ไม่คิดว่าจะมีใครมาโต้เถียงต่อหน้าหญิงตั้งครรภ์ แม่นมหลู่ต้องการอะไร? ดูท่าทางไม่อยากให้การคลอดราบรื่นเพื่อทดสอบอีกฝ่าย นางจึงจงใจพูดว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่ไว้ใจข้า ข้าก็ไม่อยากจะรักษา ไปล่ะ”เห็นแม่นมหลู่แอบดีใจตามคาด ในขณะที่แม่นมฉินกำลังจะร้องไห้แล้ว“แม่นางน้อย แม่นางน้อยเจ้าคะ ท่านจะไปไหนไม่ได้ ชะตาของวงศ์ตระกูลและชีวิตของฮูหยินน้อยของพวกข
หลังจากลงเข็มแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หยิบยาเม็ดออกมาให้ฮูหยินน้อยกินหนึ่งเม็ด จากนั้นก็จับขาทั้งสองข้างของนางงอขึ้นมา“ฮูหยินน้อยโปรดหายใจเข้าลึก ๆ ให้พลังทั้งหมดรวมอยู่ที่จุดเดียว”ฮูหยินน้อยกัดริมฝีปากพยักหน้ายาเม็ดของกู้หว่านเยว่อัศจรรย์มาก เดิมทีนางยังรู้สึกว่าร่างกายนั้นถูกดูดพลังไปจนหมดแล้ว แต่ตอนนี้กลับฟื้นฟูพลังคืนมาไม่น้อยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน มีบางสิ่งไหลออกมาจากร่างกายของนางตามกระแสอันอบอุ่น“อุแว้ อุแว้ อุแว้...”เสียงร้องไห้ของทารกที่เป็นความหวังดังขึ้นมาแม่นมฉินเอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจ “ฮูหยินน้อย เป็นธิดาน้อยเจ้าค่ะ!”ฮูหยินน้อยร่างกายอ่อนเพลียหมดเรี่ยวแรง มองไปยังเด็กน้อยที่ถูกห่อตัวไว้ เผยรอยยิ้มเหนื่อยอ่อนออกมา“ในที่สุดข้าก็มีทายาทกับอาเยี่ยนแล้ว”“ใช่แล้ว คุณชายเล็กในโลกวิญญาณได้รับรู้ ก็นอนตายตาหลับแล้วเช่นกัน”แม่นมฉินอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วเช็ดร่างกายให้ฮูหยินน้อยกู้หว่านเยว่เห็นว่าฮูหยินน้อยอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจึงไม่ได้อยู่คุยกับพวกเขา แต่กลับถอยออกไปอย่างเงียบ ๆผลก็คือบังเอิญเห็นแม่นมหลู่กำลังสบถอยู่ข้างนอกพอดี“เจ้าคนชั้นต่ำนั่นมาจาก