เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าบริเวณรอบ ๆ มีไฟลุกโชน ประตูห้องก็ถูกล็อกอย่างแน่นหนา“ช่วยด้วย มีใครอยู่หรือไม่ช่วยข้าที?”โจวหุยสูดดมควันไฟมากเกินไป ทำให้สติเลอะเลือนเขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว กำลังจะหมดสติไปเขามันโง่จริง ๆ ถูกญาติผู้น้องหลอกครั้งหนึ่งแล้วแท้ ๆ กลับถูกหลอกเป็นครั้งที่สองอีกความรักในโลกนี้มันคืออะไรกันแน่?เขาหลงรักน้องหญิง แต่สุดท้ายกลับลงเอยเช่นนี้“ถ้าให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้า...”โจวหุยกัดฟันแน่น “ข้าจะไม่ยอมโง่งมเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”“คนคลั่งรัก เตือนท่านให้ระวังแล้ว สุดท้ายก็ยังโดนหลอกอีก”ทันใดนั้น น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหู จากนั้นเขาก็ถูกใครบางคนดึงขึ้นจากพื้น“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าท่านยังพอใช้ได้ เคยนำทางให้ข้า ข้าคงไม่ช่วยท่านเป็นครั้งที่สองหรอก”โจวหุยรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายลืมตาขึ้นมา มองกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับด่าทอเขา“เป็นท่าน?”เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกู้หว่านเยว่ที่นี่ ยังอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่เรี่ยวแรงในร่างกายของเขาได้หมดลงไปนานแล้ว ขามึนงงและหมดสติไป“ช่างเป็นคนคลั่งรักมากจริง ๆ เคยถูกคนฆ่ามาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังถูก
“แม่นางกู้ เป็นท่านที่ช่วยข้าจริง ๆ หรือ?”โจวหุยพยายามลืมตาขึ้น หัวเราะอย่างขมขื่นสองครั้ง“ข้านึกว่าข้าเห็นภาพหลอนไปเสียแล้ว”กู้หว่านเยว่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง“ข้ายังมีธุระสำคัญที่ต้องทำ คงช่วยท่านได้แค่ครั้งเดียว ที่นี่คือโรงเตี๊ยม ท่านพักผ่อนที่นี่อย่างสบายใจ ส่วนเรื่องหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้ว”ถึงแม้คนผู้นี้จะเป็นคนคลั่งรัก แต่เขาก็ยังคงเป็นคนที่มีใจรักเดียวกู้หว่านเยว่ไม่อยากพูดอะไรให้หนักเกินไป การช่วยเขาก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว“แม่นางกู้ ท่านมาตามหาองค์หญิงใหญ่ใช่หรือไม่?”โจวหุยพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้กู้หว่านเยว่มองเขาอย่างระแวดระวัง“ท่านถามข้าเรื่ององค์หญิงใหญ่หลายครั้งขนาดนั้น แค่คิดง่าย ๆ ก็รู้แล้วว่า ท่านคงจะตามหาองค์หญิงใหญ่”เขาหัวเราะขมขื่น แล้วกล่าวอธิบาย“ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร ในเมื่อข้าเป็นแบบนี้ไปแล้วญาติผู้น้องทรยศข้า ความเศร้าใดเล่าจะเท่าความสิ้นหวังข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหน ท่านเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้ หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยท่านได้ ท่านบอกมาได้เลย”“ไม่ต้องหรอก”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางไม
กู้หว่านเยว่เหลือบมองดูคร่าว ๆ ทั้งหมดน่าจะทำมาจากเหล็กสีนิล แต่ละชิ้นกองไว้ตามมุม“ดูเหมือนว่า พวกเขากำลังผลิตนักรบสวรรค์”ความคิดที่หาญกล้าผุดขึ้นมาในหัวของกู้หว่านเยว่นางขับเคลื่อนมิติมาถึงบนโต๊ะ เห็นพิมพ์เขียวขนาดใหญ่มหึมาฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะดังคาดพิมพ์เขียวฉบับนี้เหลืองซีดจนเห็นด้วยตาเปล่า ค่อนข้างนานหลายปีแล้วบนพิมพ์เขียวมีชิ้นส่วนที่ซับซ้อนหลากหลายรูปแบบถูกวาดเอาไว้“ดูเหมือนว่านี่คือพิมพ์เขียวของนักรบสวรรค์”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะได้รับพิมพ์เขียวนี้อย่างราบรื่นดูผู้คนในคุกใต้ดินนี้สิ โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นช่างฝีมือที่ถูกลักพาตัวมาจากข้างนอกช่างฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ กู้หว่านเยว่ไม่ต้องการทำร้ายพวกเขานางค้นยาห่อหนึ่งออกมาจากมิติ จากนั้นโปรยมันลงในคุกใต้ดินโดยตรงหลังจากนั้นไม่นาน ช่างฝีมือในคุกใต้ดินก็ล้มลงกับพื้นทีละคน ก่อนจะหมดสติไปกู้หว่านเยว่หยิบหน้ากากป้องกันพิษออกมาจากมิติ สวมใส่ไว้บนใบหน้าแล้วค่อยออกจากมิติ“ไม่รู้ว่าคุกใต้ดินแห่งนี้สร้างขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะเริ่มศึกษาค้นคว้านักรบสวรรค์นี้มาตั้งแต่สมัยองค์หญิงใหญ่
ในทันทีที่ถอดหน้ากากออก ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มสว่างสดใสก็เข้าสู่สายตาของเฟิ่งอู๋ชีเขาตกตะลึงมากทีเดียว ในขณะที่กำลังใจลอย หน้ากากก็ถูกกู้หว่านเยว่แย่งไปอีกครั้ง“เอาคืนมาให้ข้า”เหตุใดยังขโมยของของคนอื่นอีก?สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไปทันทีนางไม่คิดว่าเฟิ่งอู๋ชีจะกระทำเช่นนี้หลังจากถอดหน้ากากป้องกันพิษออก เข็มเงินอีกเล่มก็พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายเฟิ่งอู๋ชีไม่กลัวยาพิษจริง ๆ แต่เขากลับเกรงกลัวเข็มเงิน รีบเข้าไปหลบอยู่ทางด้านข้างกู้หว่านเยว่ฉวยโอกาสนี้หลบหนีไป“บัญชีนี้เราค่อยชำระภายหลัง”กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองเฟิ่งอู๋ชีแวบหนึ่ง แล้วรีบออกจากคุกใต้ดิน“ช่างเป็นหญิงที่งดงามนัก ช่างเป็นหญิงที่น่าสนใจนัก”เฟิ่งอู๋ชีแย้มยิ้มมุมปากเล็ก ๆ เขาไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามและห้าวหาญเช่นนี้มาก่อนเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ออกไป เฟิ่งอู๋ชีก็ไล่ตามไปโดยไม่ลังเลเสียงการต่อสู้ระหว่างทั้งสองไม่ใช่เบา ๆ ในไม่ช้าก็ดึงดูดองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามา หลังจากองครักษ์เหล่านั้นเห็นกู้หว่านเยว่ ก็ตระหนักทันทีว่ามีคนเข้ามาในคุกใต้ดิน“ไม่ได้การ คุกใต้ดินมีอันตราย รีบห้ามคนผู้นั้นไว้โดยเร็ว”องครักษ์ที
กู้หว่านเยว่ควบม้าเร่งเต็มฝีเท้าไปตลอดทาง ออกมาจากเมืองอู้ตูด้านนอกร้านน้ำชาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากประตูเมืองออกไปห้าลี้ นางซ่อนตัวอยู่ในมิติเพื่อเกล้าผมยาว และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชายวัยรุ่นเขียนจดหมายอีกฉบับถึงซูจิ่งสิง แล้วค่อยออกมาจากมิติ ก่อนจะปล่อยนกพิราบทองคำออกไปสืบข่าวในร้านน้ำชาจากคำบอกเล่าของแม่ทัพซ่ง องค์หญิงใหญ่ได้รับการคุ้มกันอย่างลับ ๆ จากองครักษ์หลวงไปส่งที่เมืองหลวงต้องใช้เส้นทางหลวงแน่นอนแม้จะบอกว่าเป็นการคุ้มกันอย่างลับ ๆ แต่ด้วยเงินจำนวนที่มาก ก็ยังพอสืบข่าวได้บ้าง“รถม้าภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดนั้นมีอยู่จริง”เจ้าของร้านน้ำชากัดทองคำไว้“แต่ว่ามีสองกลุ่ม ไม่ทราบว่าคุณชายกำลังถามถึงกลุ่มไหน?”“สองกลุ่ม?”กู้หว่านเยว่ตกตะลึง“ใช่แล้ว เมื่อสามวันก่อน ออกจากเมืองอู้ตูติดต่อกันสองกลุ่มกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปทางเขตตงเป่ย อีกกลุ่มมุ่งหน้าไปทางเขตซีเป่ย”เจ้าของร้านอธิบายว่า “คนและม้าทั้งสองกลุ่มไม่ได้หยุดดื่มชาในร้านน้ำชา ดูเร่งรีบ เหมือนมีเรื่องเร่งด่วน”กู้หว่านเยว่ค่อนข้างประหลาดใจ ทำไมถึงมีสองกลุ่มได้นะ?“ขอบคุณมากเถ้าแก่”นางมีการคาดเดาในใจแล้ว หลัง
“ข้ามาตามหาองค์หญิงใหญ่”กู้หว่านเยว่ดึงเนี่ยเติ้งออกไปข้าง ๆ แล้วลดเสียงลง“องค์หญิงใหญ่ถูกคนของฮ่องเต้ชั่วพาตัวไปแล้ว”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางก็มีสีหน้ากังวล ตอนนี้ยังไม่พบเบาะแสขององค์หญิงใหญ่“มิน่าเล่า”เนี่ยเติ้งมองไปทางกู้หว่านเยว่ในทันใด “มิน่าเล่าวันนี้ตอนที่เข้าเมือง ข้าได้พบกับองครักษ์หลวง”ตอนนั้นเขายังสงสัยใคร่รู้ องครักษ์หลวงเป็นองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ เหตุใดถึงมาปรากฏตัวในเมืองไป๋สุ่ยหากจะบอกว่าองครักษ์หลวงเหล่านั้นทำเพื่อคุ้มกันองค์หญิงใหญ่อย่างลับ ๆ ทุกอย่างก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้ว“ท่านเห็นองครักษ์หลวงด้วยหรือ พวกเขาอยู่ที่ไหน?”กู้หว่านเยว่ถามด้วยความตื่นเต้นยามตั้งใจหากลับไม่เจอ ยามไม่ตามหากลับพบเจอโดยบังเอิญนางกำลังกังวลว่าจะหาที่อยู่ขององค์หญิงใหญ่ไม่พบ นึกไม่ถึงว่าสวรรค์จะนำพาเบาะแสมาส่งให้นางถึงตรงหน้าเนี่ยเติ้งทำเสียงชู่ว์ “อยู่ในศาลาพักม้า”ศาลาพักม้าเป็นสถานที่ที่เจ้าหน้าที่ทางการใช้กินนอนและเปลี่ยนม้าในระหว่างการส่งต่อข่าวกรองทางทหาร ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ดวงตาทั้งสองของกู้หว่านเยว่เป็นประกายเล็ก ๆ“พี่เนี่ยเติ้ง ท
นางจับจ้องไปที่กู้หว่านเยว่ มองไปรอบ ๆ ด้วยความตกใจกลัว“เจ้าไม่ใช่องค์หญิงใหญ่จริง ๆ”องค์หญิงแห่งแคว้นจะมีกิริยาเช่นนี้ได้อย่างไร?กู้หว่านเยว่อึดอัดใจหมดคำจะพูด“ท่านเป็นใคร ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ ท่านจับข้ามาที่นี่คิดจะทำอะไร?”“องค์หญิงใหญ่” ถามเสียงร้อนใจ แต่ถูกกู้หว่านเยว่บีบคอไว้“เจ้าคือตัวปลอม!”“ข้า ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร ข้าคือองค์หญิงใหญ่” แววตาของหญิงผู้นั้นมีแววหวาดหวั่นกู้หว่านเยว่ดูหงุดหงิดใจไม่เป็นสุขตอนแรกนางยังดีใจที่ในที่สุดก็ตามหาองค์หญิงใหญ่จนพบ สามารถพานางกลับไปพบกับสามีอีกครั้งแต่ผลปรากฏว่าหลังจากตามหามาหลายวัน ก็พบกับตัวปลอมอย่างคาดไม่ถึง จะไม่ให้นางโมโหได้อย่างไรเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่ก็ขี้เกียจจะพัวพันอยู่กับตัวปลอมนี้นางหยิบยาพูดความจริงที่ปรมาจารย์แพทย์ให้นางออกมา แล้วกรอกให้อีกฝ่ายดื่มลงไปทันทีหลังจากที่ยาพูดความจริงออกฤทธิ์แล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเริ่มสอบถาม“ข้าขอถามเจ้าว่า เจ้าเป็นใคร? องค์หญิงใหญ่ตัวจริงอยู่ที่ไหน?”“ข้า ข้าคือองครักษ์หลวงสือฮวา” สือฮวาตอบอย่างว่าง่าย “องค์หญิงใหญ่ตัวจริง ถูกองครักษ์หลวงอีกกลุ่มพาตัวไปแล้ว”
“ในเมื่อกำลังมุ่งหน้าไปทางเจดีย์หนิงกู่ เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะบอกท่านพี่ ให้ท่านพี่ส่งคนออกมาจากเจดีย์หนิงกู่”หลังจากจัดการเสร็จสิ้นทุกอย่างนี้ กู้หว่านเยว่ก็วางแผนที่จะออกจากเมืองไป๋สุ่ยในคืนเดียวกันในเมื่อในเมืองไป๋สุ่ยไม่มีคนที่นางต้องการตามหา อยู่ที่นี่ต่อก็เสียเวลาเช่นกันเพียงแต่ว่าทันทีที่กู้หว่านเยว่มาถึงประตูเมืองก็ได้พบกับเนี่ยเติ้ง“พี่เนี่ยเติ้ง ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”กู้หว่านเยว่แปลกใจเล็กน้อย คนผู้นี้ควรจะพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยมมิใช่หรือ อย่าบอกนะว่า ตั้งใจรอนางอยู่ที่ประตูเมืองโดยเฉพาะ“ข้าคาดเดาว่าหลังจากเจ้าจัดการเรื่องที่ต้องจัดการเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะออกจากเมืองไป๋สุ่ยทันที ดังนั้นจึงตั้งใจมารอเจ้าอยู่ที่ประตูเมือง”เนี่ยเติ้งตอบอย่างตรงไปตรงมา สายตาจับจ้องไปที่กู้หว่านเยว่“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ตั้งใจจะติดตามเจ้าไป แค่กังวลว่าเจ้าอาจพบกับอันตรายที่ศาลาพักม้า ตอนนี้แน่ใจว่าเจ้าออกจากเมืองได้อย่างปลอดภัย ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงแล้ว”เนี่ยเติ้งหลีกไปข้าง ๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างสบายใจกู้หว่านเยว่เหลือบมองเขาด้วยความขอบคุณ แล้วอธิบายว่า“ข้ากำลังจะออกจากเ
กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ว่าร้านขายเสื้อผ้าและร้านดอกท้ออยู่ทางเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็ถือโอกาสไปดูกิจการของร้านดอกท้อด้วยเลย“เยี่ยมไปเลย เราไปกันเถอะ”มู่หรงฉางเล่อจูงมือของกู้หว่านเยว่ออกไปข้างนอกอย่างเบิกบานใจหลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นรถม้าแล้ว ไม่นานก็มาถึงร้านเสื้อผ้ามู่หรงฉางเล่อกระตือรือร้นมาก หลังจากที่รถม้าจอดสนิทก็กระโดดลงจากรถม้าทันที จากนั้นก็จูงมือของกู้หว่านเยว่เข้าไปข้างใน“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะซื้อเสื้อผ้าอะไรเจ้าคะ?”“ข้าขอดูก่อน” กู้หว่านเยว่กวาดตามองแวบหนึ่ง เสื้อผ้าของนางยังมีอีกมาก ไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าแต่อย่างใด“แม่นางอยากดูเสื้อผ้าใช่หรือไม่เจ้าคะ เชิญตามข้ามาดูเนื้อผ้าทางนี้เจ้าค่ะ”เจ้าของร้านออกมาต้อนรับมู่หรงฉางเล่อรีบตามเจ้าของร้านไปอีกด้าน เพื่อเลือกเนื้อผ้าก่อนองค์หญิงใหญ่อายุมากแล้ว เนื้อผ้าที่มู่หรงฉางเล่อเลือกนั้นล้วนเป็นสีที่ค่อนข้างเข้ม ยกตัวอย่างเช่นสีเขียวเข้มหลังจากเลือกเสร็จแล้ว ก็บอกขนาดและน้ำหนักขององค์หญิงใหญ่กับเจ้าของร้าน ลูกน้องในร้านช่วยจด“ใช้เวลาตัดเสื้อผ้านานแค่ไหนเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อกล่าวถาม“เร็วสุดก็ประมาณสามถึงห้าวัน ช้าส
เฟิ่งอู๋ชีกล่าวเสริมอีกว่า“เงื่อนไขนี้ไม่ได้หนักหนานักมากหรอก อยู่ภายในขอบเขตความสามารถของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่ได้ตอบตกลงในทันทีกู้หว่านเยว่เริ่มสนใจ“แล้วเจ้าจะขัดขวางพี่หญิงใหญ่ของเจ้าอย่างไร?”“ข้าและพี่หญิงใหญ่ไม่ถูกกันมานานแล้ว”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววสังหารอย่างเห็นได้ชัด“พระชายาไม่เคยได้ยินเรื่องของพี่น้องสายเลือดเดียวกันทั้งเก้า วันหนึ่งองค์ชายเก้าเกิดช่วงชิงบัลลังก์ องค์ชายแปดจึงต้องตายหรือ?”หัวใจของกู้หว่านเยว่เต้นระงม เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันทีในเมื่อเฟิ่งอู๋ชีกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป“ได้ ข้ารับปากเจ้า”การร่วมมือของทั้งสามคนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเฟิ่งอู๋ชีกระตุกยิ้ม“ที่นี่คือจวนอ๋องใช่หรือไม่? หลับไปตั้งหลายวัน บัดนี้ข้าชักจะหิวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ในเมื่อเราร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าคงไม่มีทางเอาเปรียบหุ้นส่วนอย่างข้าหรอกนะ ยกเหล้าเลิศรสและอาหารอร่อย ๆ มาให้ข้าสักหน่อยเถิด”“ได้”กู้หว่านเยว่ตอบตกลงอย่างสบายอารมณ์เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเฟิ่งอู๋ชี
กู้หว่านเยว่และซูจิงสิงต่างสบตากัน นัยน์ตาของทั้งสองคนฉายแววประหลาดใจ“ไม่ใช่ความคิดของเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร? หนานเจียงไม่ได้วางแผนโจมตีเจดีย์หนิงกู่เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ถูกทำลายหรอกหรือ?”“ไม่ใช่แน่นอน”เฟื่งอู๋ชีส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม“หนานเจียงไม่เคยแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองอื่น มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวถาม นางต้องรู้เหตุผลที่แท้จริง ถึงจะหาทางแก้ไขได้“พี่หญิงใหญ่ของข้าเอง”เฟิ่งอู๋ชีมองทั้งสองคน “เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือการตัดสินใจของพี่หญิงใหญ่ ความจริงแล้วไม่ว่าท่านหญิงฉางเล่อผู้นั้นจะหนีไปได้หรือไม่ หนานเจียงก็ตัดสินใจจะช่วยฮ่องเต้กดดันพวกเจ้าอยู่แล้ว”เฟิ่งอู๋ชีตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น หาพื้นที่ที่สบายที่สุดให้ตัวเอง“เรื่องนี้เป็นแผนการของพี่หญิงใหญ่ นางเป็นแก้วตาดวงใจของท่านพ่อ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของนางได้”กู้หว่านเยว่แปลกใจ “เจ้าไม่ใช่องค์ชายหนานเจียงหรอกหรือ?”เท่าที่กู้หว่านเยว่รู้มา เฟิ่งอู๋ชีน่าจะเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวของหนานเจียง ทุกคนให้ความสำคัญต่อ
ที่แท้กู้หว่านเยว่ก็จำเรื่องที่เขาพูดได้ “เจ้าเก็บเรื่องที่ข้าพูดไว้ในใจมาตลอด”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววตาเย้ายวน จ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่“เพราะเจ้าตกหลุมรักข้าระหว่างทางแล้วใช่หรือไม่?”น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี แต่การแต่งกายเป็นสตรีของบุรุษผู้นี้กลับทำให้กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”กู้หว่านเยว่เกาศีรษะอย่างจนปัญญา ขอร้องล่ะ สามีของนางยืนอยู่ด้านหลัง“ถ้าไม่ลองดู จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าใจผิดหรือไม่?”เฟิ่งอู๋ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ในเมื่อเจ้ารู้สถานะของข้าแล้ว สนใจอยากเป็นราชินีแห่งหนานเจียงหรือไม่ล่ะ?”เขาจ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่ โดยมีความคิดที่ไม่ดีปรากฏขึ้นในใจหากกู้หว่านเยว่ตอบตกลงเขาจริง ๆ บางทีเขาอาจจะยอมยกตำแหน่งราชินีแห่งหนานเจียงให้นางจริง ๆ ก็ได้ “ในหอเจิ้นไห่พวกเราเคยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแล้ว เจ้าลองคิดไตร่ตรองดูเอาเถิด”เฟิ่งอู๋ชีมองนางด้วยความคาดหวัง เดิมทีเขาก็แค่อยากพูดโน้มน้าวไปตามสถานการณ์ แต่บัดนี้เขากลับคิดจริงจึงขึ้นมา“ข้ามีสามีแล้ว”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าปฏิเสธโด
ไม่นานนัก เฟิ่งอู๋ชีก็ตื่นจากการหลับใหลภาพที่ดึงดูดสายตาของเขาเป็นอันดับแรกคือกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าความทรงจำของเฟิ่งอู๋ชียังอยู่ในหอเจิ้นไห่ หลังจากที่เห็นกู้หว่านเยว่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็รีบถอยหลังอย่างรวดเร็วเขาจำได้ว่ากู้หว่านเยว่หยิบของที่เหมือนกันชิ้นหนึ่งออกมา แล้วแตะบนตัวของเขา พริบตาเดียวเขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว จากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ภาพตรงหน้าดับวูบและล้มลงไปบนพื้นเฟิ่งอู๋ชียังคงหวาดกลัวกับ “อาวุธ” ชนิดนั้นครั้นกู้หว่านเยว่เห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้ม“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”“ที่นี่คือที่ไหน?”เฟิ่งอู๋ชีมองไปรอบ ๆ พบว่าสถานที่ตรงหน้าเป็นสถานที่ที่แปลกตาโดยสิ้นเชิง อีกทั้งกู้หว่านเยว่ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว“ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว?”เขากุมขมับของตัวเอง รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นในใจ“ประมาณสี่ถึงห้าวัน” กู้หว่านเยว่ตอบกลับ ก่อนจะโน้มตัวลงมามองเขาด้วยรอยยิ้มเฟิ่งอู๋ชีเพิ่งจะได้สติกลับมา เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสลบไปนั้นเขาได้เจอกับเต่าทะเล ดังนั้นจึงรีบกล่าวถามทันที“สี่ถึงห้าวัน แสดงว่าตอนนี้ข้าก็ออกจากหอเจิ้นไห่แล้วน
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กู้หว่านเยว่ในเวลานี้เหนื่อยล้ามาก หลังจากล้มตัวลงบนเตียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป ครั้นนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าจ้านจ้านกำลังนอนหลับฝันหวานกับนางอยู่ข้างกายอย่างเงียบ ๆ ซูจิ่งสิงนั่งอยู่หลังโต๊ะตรงข้ามทั้งสองคน กำลังจัดการงานราชการอย่างขะมักเขม้น“เจ้าตื่นแล้วหรือ?”ทันทีที่ซูจิ่งสิงได้ยินการเคลื่อนไหวก็พลันเงยหน้าขึ้น จากนั้นสายตาอันอบอุ่นก็เลื่อนมาหยุดอยู่ที่กู้หว่านเยว่“หิวไหม อยากกินอะไรสักหน่อยหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เวลานี้นางยังไม่หิว นางยังอยากดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่แสนอบอุ่นนี้จ้านจ้านตื่นเพราะเสียงพูดคุยของพวกเขาสองคน ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องมองทั้งสองคนอย่างไร้เดียงสา“แอ๊ะ!”เขายื่นมืออวบอ้วนไปทางกู้หว่านเยว่ “แอ๊ะ!”ดูเหมือนเขาพยายามจะเรียกนางว่าท่านแม่ แต่เนื่องจากยังเด็กเกินไป จึงยังเอ่ยออกมาไม่ได้กู้หว่านเยว่ใจละลาย คว้ามืออวบอ้วนของเขาไว้“จ้านจ้าน คิดถึงแม่หรือไม่?”“แอ๊ะ!” คิดถึงสิ!จ้านจ้านมองนางอย่างตื่นเต้น ภาษากายกำลังบอกว่า เขาคิดถึงกู้หว่านเยว่มากสองแม่ลูกเล่นอยู่บนเตียงกันอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเห็นท้องฟ้าม
หลังจากที่เข้ามาในห้อง ในที่สุดซูจิ่งสิงก็ต้านทานความคิดตัวเองไม่ไหว คว้ากู้หว่านเยว่เข้ามาไว้ในอ้อมกอด“น้องหญิง”เขาดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะซุกหน้าลงไปตรงซอกคอของนาง สูดดมกลิ่นหอมของดอกแพร์ที่แผ่ขยายออกมาจากตัวของนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความคิดที่ไม่อาจต้านทานได้ “เจ้าก็รู้ว่าข้าคิดถึงเจ้ามากเพียงใด”กู้หว่านเยว่หน้าแดงระเรื่อ นางคิดถึงเขามาก จึงไม่ผลักเขาออกไปแล้วเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าเองก็คิดถึงท่าน”“ไม่มีตอนไหนที่ไม่คิดถึง”นางกล่าวเสียงเบา ระบายความรู้สึกภายในใจอย่างอ่อนโยน“ระหว่างทางกลับมา ยามมองท้องฟ้าก็เห็นแต่เจ้า มองก้อนเมฆก็เห็นแต่เจ้า มองกองไฟก็คิดถึงแต่เจ้า ลืมตาก็เห็นเป็นหน้าเจ้า หลับตาก็เฝ้าพรรณนาถึงเจ้า....”ซูจิ่งสิงทนไม่ไหวอีกต่อไปริมฝีปากของภรรยาช่างน่าดึงดูดยิ่งนัก เขาโน้มหน้าลงมา ประทับรอยจูบบนปากของนาง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นตวัดเปิดปากของนาง ลิ้นของนางตวัดประสานกับลิ้นของเขา ทั้งสองคนใช้ลิ้นสอดประสานกันและกัน จนของเหลวผสมผสาน กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน“ท่านพี่...” กู้หว่านเยว่ตระหนักได้ว่าเขาต้องการอะไรจากสายตา
“กรี๊ด!”นางล้มลงไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะจ้องมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาเกลียดชังอย่างที่สุด“เจ้าไร้ความปรานีต่อตระกูลมารดา ต่อไปเจ้าจะไร้ที่พึ่ง!”กู้หว่านหรูสาปแช่งอย่างโหดร้าย“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าท่านอ๋องจะรักเจ้าไปตลอดชีวิต? ต่อไปเจ้าจะถูกทอดทิ้ง ข้าจะรอดูวันที่เจ้าไร้ที่พึ่ง” ชิงเหลียนและหงเจามีสีหน้าเปลี่ยนไป คำสาปแช่งที่โหดร้ายเช่นนี้ ทำให้ฮูหยินและนายท่านรับไม่ได้“ปิดปากนางเสีย”มุมปากของซูจิ่งสิงกระตุก ตั้งใจจะหาเรื่องเขาสินะ?กว่าเขาจะทำลายกำแพงจนภรรยาเชื่อใจเขาได้ไม่ได้เรื่องง่าย“น้องหญิง อย่าไปเชื่อคำพูดของนาง ข้าไม่มีวันรังแกเจ้า”จะว่าไปแล้ว ตระกูลของพวกเขาต่างก็เป็นคนที่มีคุณธรรมหากเขารังแกนาง คงถูกไล่ออกจากบ้านแล้ว“ข้าไม่อ่อนไหวเพราะคำพูดของนางหรอก”กู้หว่านเยว่ยิ้มตาหยีพลางมองซูจิ่งสิง นางไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้นจวนจงฉินโหวเดิมทีไม่ได้ต้อนรับนางอยู่แล้ว เหตุใดนางจะต้องประจบประแจง ยอมโง่กอดความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ด้วยเล่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางมีตระกูลมารดาใหม่ไปแล้ว“จับนางโยนออกไปจากเจดีย์หนิงกู่”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่งกับฉู่เฟิงด้วยสีหน้าไร้ความร
กู้หว่านเยว่ชอบนิสัยนี้ของมู่หรงฉางเล่อมากเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้าไปแล้ว นางก็หันกลับมามองกู้หว่านหรู“ปล่อยนางก่อน”กู้หว่านเยว่สั่งชิงเหลียนและหงเจาสั้น ๆ เมื่อทั้งสองคนได้ยินก็รีบปล่อยตัวกู้หว่านหรู แล้วยืนปกป้องผู้เป็นนายอยู่ข้าง ๆ “กู้หว่านเยว่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องกลับไปกับข้า”กู้หว่านหรูตะโกนเสียงดังโดยไม่สนใจใคร ทำให้กู้หว่านเยว่ยิ้มเยาะ“ทำไมข้าต้องกลับไป?”“เจ้ายังกล้าถามข้าว่าทำไม หากไม่ใช่เพราะเจ้า ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าคงไม่เดือดร้อนถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทก็คงไม่ทรงกริ้วพวกเขา จวนโหวเคยรุ่งเรืองมากเมื่อครั้งอดีต แต่เพราะเจ้า ครอบครัวของเราจึงได้ตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้”กู้หว่านหรูกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว สตรีผู้นี้ยังกล้าถามนางอีกว่าทำไมต้องกลับไป นางไม่มีน้ำใจเลยอย่างนั้นหรือ?“ครอบครัว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “พวกเจ้าคือครอบครัว แต่ข้าไม่ใช่สินะ”นางกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้าคงจะลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ในตอนที่ถูกเนรเทศช่วงแรก จวนโหวกลัวว่าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง พวกเขาจึงตัดความสัมพันธ์กับข้าไปแล้ว”แม้ว่าจะไม่มีหนังสือตัดสายเลือด แต่คนที่นี่เ