ไม่ว่าจะพาใครไปก็ไม่สะดวกทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่พานางไปด้วยนางและองครักษ์จันทราแยกออกเป็นสองทาง หลังจากออกจากเมืองแล้ว ก็รีบหาพื้นที่โล่งทันทีรอกระทั่งม่านราตรีปกคลุมทั่วหล้า นางก็เรียกเฮลิคอปเตอร์ออกมา“หว่านเยว่”นัยน์ตาของซูจิ่งสิงยังคงอาลัยอาวรณ์ ตั้งแต่ที่เขาแต่งงานกับกู้หว่านเยว่ ทั้งสองคนแยกจากกันน้อยมาก“ต้องปลอดภัยกลับมานะ หากช่วยกลับมาไม่ได้ ก็อย่าฝืน”ในใจของเขา กู้หว่านเยว่สำคัญที่สุด“วางใจเถอะ ข้ารู้จักขอบเขตเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มสดใส ปรับระบบแผนที่ จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์“ท่านพี่ ไม่ต้องเป็นห่วง ไว้ข้าถึงเมืองอู้ตูแล้วข้าจะส่งสารนกพิราบมาหาท่าน”ซูจิ่งสิงเก็บนกพิราบทองคำไว้ในห้วงมิติของนาง เมื่อถึงจุดหมาย กู้หว่านเยว่ค่อยเขียนจดหมายกลับมานางสตาร์ทเฮลิคอปเตอร์ ไม่นานเฮลิคอปเตอร์ก็ค่อย ๆ บินขึ้นฟ้า และบินออกไปไกลเรื่อย ๆ กระทั่งกลายเป็นจุดสีดำเล็ก ๆ ซูจิ่งสิงยืนอยู่ที่เดิมจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เขาอยากไปเมืองอู้ตูพร้อมกับกู้หว่านเยว่ แต่ภารกิจใหญ่ตรงหน้า คงจะเห็นแก่ความรักมากเกินไปไม่ได้เขามีความรับผิดชอบต่อราษฎร์ในเจดีย์ห
เช้าวันถัดมา นอกเมืองอู้ตูเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งค่อย ๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้า จอดลงในป่าลึกที่อยู่นอกเมือง“เหนื่อยยิ่งนัก”กู้หว่านเยว่ที่ดูอ่อนเพลียได้เปิดประตูของเฮลิคอปเตอร์ และกระโดดลงมาจากตัวเครื่องนางที่บังคับเฮลิคอปเตอร์เกือบหกชั่วโมง เวลานี้จึงทั้งเหนื่อยและหิวมาก จนอยากหาโรงเตี๊ยมนอนเอนกายสักแห่ง“ในที่สุดก็ถึงเมืองอู้ตูสักที อากาศของเมืองอู้ตูร้อนระอุยิ่งนัก สูงกว่าอุณหภูมิของเจดีย์หนิงกู่ไม่น้อยเลยนะนี่”กู้หว่านเยว่โบกมือ เก็บเฮลิคอปเตอร์กลับเข้าไปในห้วงมิติเมืองอู้ตูอยู่ใกล้กับหลิ่งหนาน ภูมิอากาศของที่นี่ค่อนข้างชื้น มีป่าทึบอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ภูเขานอกเมืองถูกปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอกขาว ที่นี่จึงถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งหมอกกู้หว่านเยว่เรียกม้ากระต่ายแดงออกมา ตั้งใจจะขี่มันเข้าไปในเมืองอู้ตูแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงปริศนาเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง“ช่วยข้าด้วย!”บุรุษผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากป่าไม้เล็ก ๆ ด้านหลัง กระทั่งวิ่งตรงมาทางกู้หว่านเยว่ด้วยความรีบร้อนเขายกมือทาบหน้าอกราวกับได้เจอผู้ช่วยชีวิต“แม่นาง ช่วยข้าด้วย”ครั้นกู้หว่านเยว่เห็นว่าด้านหลังของบุรุษผู้นั้น
โจวหุยรู้สึกไม่ดี “แต่ข้าไม่มีมีทักษะการต่อสู้ จึงกลัวว่าจะเจอกับนักฆ่าระหว่างทางอีก ดังนั้น....”“เจ้าอยากให้ข้าปกป้องเจ้าอย่างนั้นหรือ?” กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วสูง ทำให้โจวหุยตกใจจนต้องรีบกล่าวว่า “ข้าน้อยมิกล้า เพียงแต่อยากขอความช่วยเหลือจากแม่นาง”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางเข้ามาช่วยโจวหุย เพราะอยากมีคนนำทาง ไม่ได้สนใจเรื่องความรักของเขา“ได้สิ ข้ารับปากเจ้า แต่ระหว่างทาง ข้าถามอะไรเจ้า เจ้าต้องตอบตรง ๆ กับข้า มิเช่นนั้น....”“แม่นางโปรดวางใจ ข้าจะบอกเรื่องที่ข้ารู้หมดทุกอย่าง” โจวหุยตอบกลับอย่างว่าง่ายหลังจากที่กู้หว่านเยว่จูงม้ากระต่ายแดงเข้ามาแล้ว ก็ได้กระโดดขึ้นหลังม้า“ข้ามีม้าเพียงตัวเดียว คงต้องรบกวนเจ้าเดินอยู่ข้างล่างแล้วล่ะ”โจวหุยไม่กล้าขี่ม้าตัวเดียวกับกู้หว่านเยว่ จึงรีบยกมือคารวะพลางกล่าวว่า“แม่นางเกรงใจเกินไปแล้ว นี่คือเรื่องที่สมควรขอรับ”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการตามหาองค์หญิงใหญ่กลับมา ไม่สู้ถือโอกาสนี้สอบถามข่าวคราวขององค์หญิงใหญ่ไปด้วย“ได้ยินว่าเมืองอู้ตูคืออาณาเขตขององค์หญิงใหญ่ ไม่ทราบว่าองค์หญิงใหญ่ประทับอ
“วางใจเถอะ ข้ารู้”กู้หว่านเยว่ก็ไม่ใช่คนโง่ เหตุผลที่สอบถามโจวหุย ก็แค่ต้องการจะเข้าใจสถานการณ์ในเมืองอู้ตูให้ชัดเจนขึ้นสักหน่อยเท่านั้นในเมื่อตอนนี้ถามได้ข้อมูลมากพอสมควรแล้ว ก็จะไม่เอ่ยปากถามอะไรอีก“รอข้าสักครู่”แววตาของโจวหุยเปลี่ยนไป ทันใดนั้นก็วิ่งไปด้านข้าง กอบดินจากพื้นขึ้นมาป้ายหน้า จากนั้นก็ดึงผมตัวเองให้ยุ่งเหยิงโชคยังดีที่ในระหว่างการหลบหนี เสื้อผ้าของเขาถูกเกี่ยวขาดวิ่นด้วยพุ่มไม้ในป่าจนหมดแล้วตอนนี้ดูเหมือนกับขอทานไม่มีผิด“ท่านอาของข้าเป็นขุนนางใหญ่ในเมืองอู้ตู ถ้ามีคนเห็นว่าข้ากลับมา เขาจะต้องจับข้ากลับไปแน่ ข้าขอปิดบังใบหน้าก่อน”โจวหุยกลับมาที่ข้างกายของกู้หว่านเยว่อีกครั้ง แล้วอธิบายกับนางด้วยเสียงเบากู้หว่านเยว่มองเขาแวบหนึ่ง แล้วเตือนด้วยความหวังดี“ถึงแม้ท่านจะเอาโคลนทาหน้าเต็มไปหมด แต่ถ้าคนรู้จักมาเห็น ก็ยังคงจำท่านได้อยู่ดี”โจวหุยฝืนยิ้ม “ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อาศัยการบังของห่อผ้า หยิบหนวดปลอมออกมาคู่หนึ่งจากข้างใน“ท่านเอาหนวดเครานี้ติดบนใบหน้า คงไม่มีใครจำเจ้าได้”ดวงตาของโจวหุยเป็นประกายด้วยความดีใจ รีบร
กู้หว่านเยว่กล่าวชมหนึ่งประโยค โจวหุยรีบเอ่ยขึ้น“นั่นเป็นธรรมดา เมืองอู้ตูของพวกเราแม้จะเป็นดินแดนของแคว้นต้าฉี แต่แม่นางท่านอาจจะไม่รู้ว่า ปีนั้นตอนที่อีดตฮ่องเต้พระราชทานเมืองอู้ตูให้กับองค์หญิงใหญ่ ทรงตรัสไว้เป็นพิเศษว่าองค์หญิงใหญ่สามารถตรากฎหมายของตัวเองในเมืองอู้ตูได้”ดังนั้นหลังจากที่องค์หญิงใหญ่รับช่วงปกครองเมืองอู้ตู ก็ทรงแก้ไขกฎหมายของที่นี่ พัฒนาเมืองอู้ตู ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข“องค์หญิงใหญ่เกลียดขุนนางที่รังแกประชาชน พวกนักเลงอันธพาล ดังนั้นความสงบเรียบร้อยในเมืองจึงดีเช่นนี้”กู้หว่านเยว่พยักหน้าเมื่อเห็นนิสัยไร้เดียงสาไร้เล่ห์เหลี่ยมของมู่หรงฉางเล่อ ก็รู้ได้ว่าองค์หญิงใหญ่ผู้เป็นมารดาคงไม่เลวร้ายนักไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้สารเลวไม่กล้าลักพาตัวองค์หญิงใหญ่ไปอย่างโจ่งแจ้ง ประการแรก เป็นเพราะอีกฝ่ายมีบารมีสูงในราชสำนัก อย่างไรเสียก็เป็นพระธิดาองค์โตของอดีตฮ่องเต้ประการที่สอง เป็นเพราะตลอดหลายปีมานี้ องค์หญิงใหญ่ทรงปกครองเมืองอู้ตูได้ดี ในดินแดนที่ได้รับพระราชทานไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ แม้แต่ฮ่องเต้สารเลวก็ไม่สามารถจับผิดอะไรได้ “ข้างหน้านั่นคือโรงเตี๊ยมแล้ว พวก
“ข้า...” โจวหุยดูเหมือนจะมีเรื่องที่พูดออกได้ยาก เขากำหมัดแน่น “เอาเป็นว่า ข้ามั่นใจ ญาติผู้น้องไม่มีทางทรยศข้า!”กู้หว่านเยว่เช็ดปาก “ตามใจท่าน”“ข้า...”นางไม่โต้แย้ง โจวหุยกลับหมดอารมณ์เมื่อครู่บนรถม้า ซ่งซีซีอิงแอบแนบชิดกับชายผู้นั้นพลางหัวเราะเบา ๆ เขามองเห็นอย่างชัดเจนกู้หว่านเยว่มองดูท้องฟ้าด้านนอก คาดว่าคงต้องอีกสองชั่วยาม ฟ้าจึงจะมืด“ข้ากลับห้องก่อนแล้ว”กู้หว่านเยว่วางแผนจะลงมือเมื่อฟ้ามืด หลังจากกลับเข้าห้องพักแล้วก็จะล็อกประตู เข้าไปพักผ่อนในมิติระหว่างนั้น นางสัมผัสได้ว่าโจวหุยแอบออกจากโรงเตี๊ยมไป น่าจะไปหาญาติผู้น้องของเขากู้หว่านเยว่ไม่ได้ห้าม นางถามสิ่งที่อยากรู้จนเกือบหมดแล้ว ต่อไปนางวางแผนจะไปดูจวนองค์หญิงด้วยตัวเอง ดูท่าจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโจวหุยแล้วยามราตรีมาเยือน เมืองอู้ตูถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด เห็นเพียงหน่วยลาดตระเวนถือตะเกียงอยู่บนท้องถนนเป็นครั้งคราว“ระบบ ส่งแผนที่จวนองค์หญิงมาให้ข้า”กู้หว่านเยว่ออกมาจากมิติ พลังจิตของนางได้ครอบคลุมทั่วทั้งเมืองอู้ตู กำหนดทิศทางของจวนองค์หญิงเรียบร้อยแล้ว“นายหญิง โปรดรอสักครู่”แผนที่หนึ่งแผ่นปรากฏขึ้น
“ทะ ท่านเจอท่านหญิงแล้วหรือ?ท่านหญิงสบายดีหรือไม่?”กู้หว่านเยว่มองนาง “ตอนนี้ท่านหญิงฉางเล่อสบายดี แต่เมื่อนางได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่ถูกฮ่องเต้พาตัวไป ก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงขอร้องให้ข้ามาช่วยเหลือ”คราวนี้หญิงชราไม่ดิ้นรนขัดขืนอีก ขอบตาแดงก่ำพลางตบต้นขาตัวเอง“สายไปแล้ว มาสายไปแล้ว องค์หญิงใหญ่ถูกพวกเขาพาตัวไปแล้ว!”ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล “ถูกคนพาตัวไปตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว”“ถูกพาไปที่ไหนแล้ว?”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจนางเดาไม่ผิด องค์หญิงใหญ่ไม่ได้อยู่ในจวนองค์หญิงจริง ๆ หญิงชราส่ายหน้า“บ่าวไม่ทราบ พวกองครักษ์บุกเข้ามาแล้วก็จับองค์หญิงใหญ่ไปเลยตอนนั้นองค์หญิงใหญ่ยังทรงประชวรอยู่บนเตียง พวกสัตว์เดรัจฉานนั่น ก็ไม่ปรานีเลยแม้แต่น้อย ลากองค์หญิงของพวกเราขึ้นรถม้าไป”นางปวดใจจนสุดจะทน พูดไปพูดมาน้ำตาก็ไหลรินหญิงชราอธิบาย ขณะที่สบตากับสายตาสงสัยของกู้หว่านเยว่“คุณหนูอย่าถือโทษโกรธเคืองเลย บ่าวเป็นแม่นมขององค์หญิงใหญ่ เฝ้ามองพระองค์เติบโตมาตั้งแต่เด็กองค์หญิงของพวกเราได้รับความเคารพนับถือ แต่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ที่ไหนกัน?ท่านผู้นั้น เขาไม่ใช่คน”กู้หว่
“ดังนั้น ท่านอาจะฆ่าข้า เจ้าก็รู้เห็นด้วยหรือว่า เรื่องนี้เจ้ากับท่านอาร่วมมือกันวางแผน?”ดวงตาของโจวหุยแดงก่ำ เขาไม่อยากเชื่อว่าคนที่เขารักจะเป็นคนแบบนี้“พี่ชาย อย่าบีบบังคับข้า”ในใจของซ่งซีซีเดิมทียังมีความรู้สึกผิด แต่พอถูกเขารัวคำถามเช่นนี้ ก็ทำให้นางรู้สึกราวกับสุนัขจนตรอก“ฐานะของท่านกับข้าต่างกันมาก เดิมทีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ด้วยกัน”นางตัดสินใจ“ข้าอยู่กับคนอื่นแล้ว ท่านผู้นั้นคือองค์ชายหนานเจียง เชิญท่านรีบออกไปคำนึงถึงความสัมพันธ์ในอดีตของเรา ข้าจะไม่ไปฟ้องท่านพ่อเรื่องของท่าน ขอเพียงท่านอย่าได้กลับมาที่เมืองอู้ตูอีก”โจวหุยมองปากของนางที่ขยับพูด ถอยหลังด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“เช่นนั้นข้าเป็นอะไร? เราเคยมีสัมพันธ์ทางกาย...”“พอแล้ว”ซ่งซีซีจ้องมองเขาด้วยความร้อนใจ“ข้าแค่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว จึงมีความสัมพันธ์กับพี่ชายชั่ววูบขอให้พี่ชายลืมเรื่องนี้ไปเสีย ต่อไปอย่าได้มารบกวนข้าอีก”ซ่งซีซีพูดจบ ดูเหมือนจะไม่อยากเห็นโจวหุยอีก จึงผลักเขาออกไป“ท่านรีบไปเถอะ ถ้าท่านยังไม่ไปอีก ตอนนี้ข้าจะเรียกคนมาแล้วนะ”น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยการข่มขู่“ถ้าท่านพ่อรู้ว่าท่า
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช