“องค์รัชทายาทจะทรงทำอย่างไรดี ตอนนี้หลี่ไทเฮาสั่งการให้ทหารปิดล้อมตำหนักหมดแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงรายงานด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง ตอนที่ได้รับรายงานว่าตำหนักอี้ชิ่งถูกค้นและยัดข้อกล่าวหาว่าสมคบคิดกับคนเถื่อนขายชาติ ทำเอาเขาตกใจขวัญแทบบิน เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงถูกกล่าวหาเช่นนี้เล่า ในเมื่อผู้ลงมือกระทำแท้จริงแล้วเป็นฝ่ายหลี่ไทเฮาเสียมากกว่า ช่างกลับขาวเป็นดำได้อย่างหน้าด้านๆ
“คนของฝ่ายเราล่ะ” เฉินซือหยางถามเสียงเครียดไม่นึกว่าเสด็จย่าของเขาจะทนไม่ไหวถึงขั้นปลอมหลักฐานขึ้นมาใส่ความเขาเช่นนี้ ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบสินะ
“คนของเราถูกจับกุมตัวไว้หมดเลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนขุนนางฝั่งเราขอเปิดประชุมด่วนเพื่อยื่นหนังสือให้สามตุลาการ[1] ตรวจสอบร่วมกับไทเฮา ช่วยให้เราพอมีเวลาหาหลักฐานมาล้มล้างข้อกล่าวหา”
“ไม่ทันการณ์แล้ว ไทเฮาลงมือหนักถึงขั้นนี้ย่อมต้องสานแหฟ้าตาข่ายดิน[2] ดักข้าเอาไว้ คาดว่าจดหมายลับฉบับนั้นคงเป็นลายมือพร้อมตราประท
ข่าวเรื่ององค์รัชทายาทสมคบคิดกับเผ่าคนเถื่อน วางแผนลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท และทำร้ายไทเฮาแพร่สะพัดไปทั้งเมืองหลวง ผู้คนต่างโจษจันกันไปทั่วถึงความชั่วช้าเลวทรามที่องค์รัชทายาทได้กระทำไว้ ราษฎรต่างพากันสาปแช่งเจ้าสุนัขป่าเลี้ยงไม่เชื่องแว้งกัดได้แม้กระทั่งบิดาแท้ๆ ของตน พวกขุนนางต่างเรียกร้องให้มีการสืบหาที่ประทับลับที่ใช้ซ่อนตัวฝ่าบาท แต่ไม่ว่าจะเสาะหาอย่างไรก็ไม่อาจค้นพบได้โดยง่าย การหายตัวไปของเฉินเทียนอี้ รวมทั้งภัยสงครามที่คืบคลานเข้ามาทำเอาราชสำนักเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย อัครเสนาบดีหลี่จึงเชิญหลี่ไทเฮาขึ้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนอีกครั้ง และยังหารือเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่โดยเร็ว แต่เนื่องจากพระราชลัญจกรหายไปพร้อมกับฝ่าบาท ทำให้การแต่งตั้งองค์รัชทายาทถูกเก็บค้างเอาไว้ชั่วคราว รอให้เจอตัวฝ่าบาทเมื่อไหร่ค่อยตัดสินใจกันอีกที ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายของหลี่ไทเฮาเป็นอันมาก เพราะผู้ที่ถูกเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่คือ องค์ชายรองเฉินจวินเฉิง แต่กลับถู
ว่าด้วยเรื่องเคล็ดวิชา ‘ฝ่าเท้าท่องวารี’ ของจ้าวลี่หมิง จ้าวลี่จ้ง : "ศาสตร์แห่งยุทธ์ที่สืบทอดต่อๆ กันมาในตระกูลจ้าวรู้ไหมว่าคือสิ่งใด" จ้าวลี่จู : “ข้ารู้ๆ ความแข็งแกร่งใช่หรือไม่” จ้าวลี่หลิน : “ใครบอกความยืดหยุ่นต่างหากล่ะคือศาสตร์แห่งยุทธ์ที่แท้จริง” จ้าวลี่จิน : นั่งกินไก่ย่างเงียบๆ ไม่ขอออกความเห็น จ้าวลี่หมิงผู้นั่งงงในดงพี่สาว: “\(゚ー゚\)” “( ノ ゚ー゚)ノ” จ้าวลี่จ้ง : “เจ้าตัวไม่ได้ความพวกนี้นิ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน และจ้าวลี่หมิงที่โดนเคาะศีรษะเรียงตัว : “/(ㄒoㄒ)/~~”
ภายในห้องขังที่ลึกที่สุดใช้สำหรับคุมขังนักโทษอุกฉกรรจ์อันมืดมิดหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจมีเพียงกองฟางให้ความอบอุ่น แสงจันทราบนฟากฟ้าไกลส่องลอดลูกกรงเหนือศีรษะสลัวรางเผยให้เห็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดฉลองพระองค์ขาดวิ่นกระดำกระด่างจนมองไม่เห็นถึงสีเดิมของอาภรณ์ที่สวมใส่ ถูกโซ่เหล็กกล้าตรึงติดกับผนังหินซึ่งเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ฝุ่นผงจับตัวหนาเพราะไม่ได้ทำความสะอาดมานานปี คราบเลือดเกรอะกรังส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง หนูตัวใหญ่วิ่งวุ่นแย่งเศษอาหารที่หล่นตามพื้นส่งเสียงร้องดังระงมน่าหนวกหู “กินข้าวได้แล้ว” ชามข้าวต้มบูดเน่าผสมหินกรวดถูกผลักผ่านลูกกรงเข้ามา แต่เพราะออกแรงมากเกินไปชามเลยล้มคว่ำข้าวต้มสาดกระจายเต็มพื้น กลิ่นเหม็นบูดคละคลุ้งเรียกหนูให้มารุมแทะเล็มเป็นฝูง ผู้คุมห้องขังไม่แม้แต่จะปรายตามอง พอส่งข้าวเสร็จก็เคาะลูกกรงส่งข้าวให้นักโทษคนอื่นต่อไป เขามีหน้าที่แค่ส่งข้าวส่วนใครจะได้กินหรือไม่นั้น หาใช่เรื่องของเขาไม่ “ไม่นึกเลยว่าองค์รั
“เหนียงเหนียงดึกมากแล้วเข้าบรรทมเถอะนะเพคะ” ซูหมัวมัวแม่นมผู้ติดตามข้างกายซูโม่หลันเอ่ยเตือนเสียงเบา “อีกครู่เถิด ข้ายังไม่ง่วงเท่าไหร่ เจ้าไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติข้าหรอกรีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะอ่านหนังสือต่ออีกสักหน่อย” ซูโม่หลันบอกหมัวมัวคนสนิทเสียงเบา คืนนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้นางรู้สึกไม่สบายใจจนไม่อาจข่มตาหลับได้ลง แต่ซูหมัวมัวกลับไม่ฟังคำของเต๋อเฟย ยืนกดดันอยู่ด้านข้างไม่ยอมไปไหน ซูโม่หลันเลยตัดใจเข้านอน ซูโม่หลันนอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาอยู่ค่อนคืนก็ยังนอนไม่หลับ ในขณะที่หญิงสาวลุกนั่งเพื่อรินชาดื่ม กลับถูกมือเล็กของใครบางคนปิดปากแน่น “อื้อออ” “ชู่ว! อย่าเสียงดัง นี่ชีชีเอง” “เสี่ยวชี! เจ้าเข้ามาในตำหนักข้าได้อย่างไร” “แอบเข้ามาสิถามได้ หลันหลันอย่าเพิ่งชวนคุยได้ไหม ชีชีหิวจะตายอยู่แล้ว หาอะไรให้กินหน่อยสิ แต่ว่าห้ามจุดไฟนะ
บทละครโรงเล็ก ณ เรือนช่านไฉ่ แห่งจวนไท่เว่ย สามแฝดตระกูลจ้าวเข้ามาสุมหัวอยู่ในห้องนอนของน้องชายตัวอวบ จ้าวลี่จู : “เอาล่ะ ในฐานะที่เสี่ยวชีเข้ากลุ่มเราอย่างเป็นทางการ พวกพี่สาวมีของเล็กๆ น้อยๆ จะมอบให้เจ้า” กล่องไม้สลักลายประณีตถูกยื่นมาตรงหน้าจ้าวลี่หมิง “ลองเปิดดูสิ” จ้าวลี่หมิง : (⊙_⊙)? เด็กน้อยมองเหล็กเส้นชิ้นเล็กในมืออย่างงงงวย จ้าวลี่จู : “สิ่งนี้สืบทอดต่อๆ กันมาในบุตร
ณ เรือนลับที่พำนักชั่วคราวของเฉินเทียนอี้ หวังกงกงถลันเข้ามาในห้องประชุมที่มีเฝิงไห่เป็นผู้ควบคุมดูแล “เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ” กงกงเฒ่ารายงานเสียงหอบ “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” “ด้านล่าง... แฮ่กๆ องครักษ์ลับบอกว่าด้านล่างมีทหารเต็มไปหมดเลยขอรับ” “ว่าอะไรนะ! ทหารอย่างนั้นหรือ” “ขอรับ เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ” “สั่งองครักษ์ลับเพิ่มกำลังคุ้มกันห้องบรรทมของฝ่าบาทอย่างแน่นหนา หากเกิดเหตุไม่คาดฝันให้รีบช่วยฝ่าบาทเสด็จหนีทันที ส่วนคนที่เหลือตามข้าลงเขาไปสกัดคนชั่วเหล่านั้น” องครักษ์วิ่งวุ่นกันทั่วเรือนลับเข้าประจำตำแหน่ง เพิ่มระด
“เอาตัวพวกมันไป” องครักษ์กรูเข้ามาจับตัวเฉินซือหยางและจ้าวลี่หมิง ชายหนุ่มดึงเด็กน้อยมาหลบด้านหลังป้องกันไม่ให้คนชั่วแตะตัวจ้าวลี่หมิงได้ วาดฝ่าเท้าเตะผู้ที่ถลันเข้ามาทำร้ายจนกระเด็นไปไกลกระแทกกรงขังจนสลบเหมือด ยังไม่ทันลงมือจัดการกับคนที่เหลือองครักษ์ทั้งหมดก็ล้มลงไปกองกับพื้นดุจใบไม้ร่วงรวมถึงเฉินจวินเฉิง “จบแล้วหรือ?” เฉินซือหยางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจปรายตามองเข็มเย็บผ้าที่ปักตรงต้นคอของศัตรูสลับกับตัวต้นเหตุที่จัดการคนอื่นเสียเรียบวุธ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ลงมือเลยสักนิด “อื้อ เรียบร้อย” จ้าวลี่หมิงปัดไม้ปัดมือ เฉินซือหยางเลิกคิ้วมองเด็กน้อยบรรจงเก็บเข็มเงินเคลือบยาสลบฤทธิ์แรงไว้ในเข็มขัดหนังตามเดิมด้วยความพิศวง ว่าแต่ใช้เข็มเย็บผ้าเป็นอาวุธเนี่ยนะ ผู้ใดสอนเจ้าเด็กอ้วนของเขาใช้อาวุธลับเช่นนี้กัน “เจ้าเป็นเม่
'ว่าด้วยเรื่องเข็มร้อยวิญญาณ' วันหนึ่ง ณ จวนไท่เว่ย ร่างเล็กป้อมของจ้าวลี่หมิงกลิ้งหลุนๆ เข้ามาในห้องของจ้าวลี่เจียที่กำลังนั่งปักผ้าตรงโต๊ะน้ำชา จ้าวลี่เจีย : "ทำอะไรน่ะเจ้าตัวเล็ก" จ้าวลี่หมิง : "ชู่ววว ชีชีกำลังเล่นซ่อนแอบอยู่ ลี่เจียเจี่ยเจียอย่าบอกใครนะ" ร่างเล็กมุดใต้โต๊ะแอบอยู่ในนั้นอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางเสียงฝีเท้าวิ่งวุ่นและร้องเรียกดังลั่นของบรรดาสาวใช้ "คุณชายอยู่ไหนเจ้าคะคุณชาย ออกมาเถอะนะเจ้าคะ ได้เวลาเรียนหมากล้อมกับท่านอาจารย์แล้วนะ"&
“กลับมาแล้วหรือหยางหยาง” จ้าวลี่หมิงที่ยึดครองตำแหน่งประธานในตำหนักหลักเอนกายอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เพราะต้องนั่งรออีกฝ่ายเป็นเวลานานจนแทบหลับคาเก้าอี้ ดวงตาปรือมองคนร่างสูงทอประกายฉ่ำน้ำคลอหางตาแดงระเรื่อเย้ายวนใจคน “เมียจ๋า” เฉินซือหยางครางเสียงละเมอ ปรี่เข้าไปหาคนตัวเล็กแต่กลับถูกจ้าวลี่หมิงชี้นิ้วสั่ง ทำเอาร่างสูงชะงักกึก “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เห็นนั่นหรือไม่” เฉินซือหยางไล้สายตาไปตามข้อมือขาวผ่อง ดวงตาเคลิ้มลอยมองตามปลายนิ้วเรียวน่าบีบจับที่เด็กน้อยของเขาชี้บอกอย่างหลงใหลเล็บสีชมพูอ่อนยามข่วนเกาแผ่นหลังเขายังรู้สึกซาบซ่านจนถึงบัดนี้ก่อนจะสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งซึ่งวางหราอยู่หน้าห้อง กระดานซักผ้า? “เอามาทำไม” “ยังมีหน้ามาถาม ท่านไปทำอะไรลับหลังข้ามาล่ะ ยังไม่คุกเข่าสำนึก
ตลาดเช้าในเมืองผิงอานยังคงคึกคัก ผู้คนเดินเบียดเสียดกันเนืองแน่นดูสินค้าบนแผงลอยข้างทางที่มีมากมายดูละลานตาไปหมด ทั้งผลท้ออวบอิ่มฉ่ำน้ำ ปลาสดๆ หลากหลายชนิด ผักสดใหม่ที่เพิ่งเก็บมาจากสวนล้วนมีให้เลือก เสี่ยวเอ้อร้านน้ำชา ร้านขายผ้า และโรงเตี๊ยมต่างออกมายืนเรียกลูกค้ากันเสียงดังเซ็งแซ่ด้วยความขยันขันแข็งเป็นภาพที่ทุกคนเห็นจนชินตา ท่ามกลางความครึกครื้นอาชาฝีเท้าจัดสีชาดดุจโลหิตตัวหนึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนในตลาดดุจลมพายุ ทำเอาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์หลบหนีกันจ้าละหวั่น “หลีกทาง!” จ้าวลี่หมิงตะโกนก้องควบม้าเหงื่อโลหิตสีแดงเพลิงมุ่งหน้าสู่ตำหนักอี้ชิ่ง ชายหนุ่มกำหมัดแน่นมาตลอดทางด้วยความโมโห ป้ายหยกประจำตัวองค์รัชทายาทสีเขียวอร่ามตรงชายพกส่องแสงแยงตาทหารเฝ้าประตูตำหนักจนดวงตาแทบมืดบอด ประกอบกับใบหน้าบึ้งตึงของว่าที่พระชายา ทำเอาพวกเขากระโดดหลบแทบไม่ทัน อารมณ์ขุ่นมัวขนาดนี้ใครล่ะจะกล้าขวางทาง
“ร้องไห้ทำไม มีอะไรน่าเสียใจมากอย่างนั้นหรือ” สวีเฟยหลงปรากฏขึ้นข้างกายหลานซือเยว่ ร่างสูงรวบคนร่างบางเข้ามากอดแนบอก เช็ดน้ำตาให้คนร่างบางอย่างอ่อนโยน กลับถูกหลานซือเยว่ผลักออกอย่างแรงด้วยความเดียดฉันท์ จนร่างสูงกระแทกกับผนังห้องเต็มแรง “ไปให้พ้น ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน” หลานซือเยว่ผลักไสเขาออกไปแต่กลับเป็นฝ่ายปวดใจเสียเอง เมื่อเห็นเขาแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา จิตใต้สำนึกของหลานซือเยว่ร่ำร้องหาชายผู้นั้น ได้แต่ฝืนตัวเองเอาไว้สุดกำลังไม่ให้เข้าไปพยุงอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย “ทำไม เห็นหน้าผัวตัวเองแล้วรับไม่ได้อย่างนั้นหรือ” สวีเฟยหลงกระชากร่างบางเข้ามากอดแนบอกแกร่ง มือหนาบีบคางเรียวแน่นด้วยแรงอารมณ์ “ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้าทั้งนั้น เป็นเจ้าฉวยโอกาสตอนข้าหลับ สารเลว!” หลานซือเยว่ปัดมือหนาออก ดวงตาสีน้ำเงินวาววับด้วยโทสะไม่ยอมรับความสัมพันธ์ใดๆ กับคนตรงหน้าทั้งสิ้น  
หลานซือเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนเบลอ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนตนเองไปทำอะไรมาร่างกายถึงได้ปวดร้าวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะสะโพกแทบครากอยู่รอมร่อ ทำเอาขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้แม้แต่ครึ่งชุ่น[1] ดีที่มีแรงจากมือหนาคอยบีบนวดให้ อาการปวดเมื่อยค่อยทุเลาเบาบางลง ขณะที่หลานซือเยว่หลับตาพริ้มสัมผัสกับความรู้สึกผ่อนคลายสบายเนื้อสบายตัว จู่ๆ ก็เริ่มตงิดใจกับแรงบีบนวดอันไร้ที่มาที่ไปนี้ เดี๋ยวนะ! ใครบีบนวดให้ข้ากัน? ดวงตาเรียวหงส์เปิดพรึ่บสะดุ้งตื่นเต็มตา หลานซือเยว่นอนคว่ำหน้าอยู่เอี้ยวตัวมองด้วยความสงสัย ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราผู้หนึ่งในชุดจื๋อตัวหรือชุดนักพรตสีฟ้าเทานั่งอยู่ข้างเตียง กำลังบีบนวดหลังไหล่ให้ตนอยู่ ร่างสูงโปร่งตกใจถลันตัวลุกขึ้นนั่ง รีบถอยห่างจากคนแปลกหน้า “ตื่นแล้วหรือ” &nb
ดึกดื่นคืนค่ำจันทราหลบเร้นในหมู่เมฆ อารามหลวงตั้งตระหง่านกลางพระราชวังเงียบสงัด ภายในห้องพักแห่งหนึ่งซึ่งหลานซือเยว่อาศัยหลับนอน ปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ในชุดผ้าคลุมศีรษะสีดำสนิท ดวงตาสีนิลดุจรัตติกาลเปล่งประกายวาววับท่ามกลางความมืด จับจ้องไปยังร่างบางที่หลับสนิทอยู่บนเตียงตั่งด้วยความรักใคร่ลึกซึ้งถึงกระดูก ร่างสูงเคลื่อนกายมาหยุดอยู่ข้างเตียง ทรุดตัวลงนั่งข้างกายคนที่นอนหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว มือหนาลูบไล้ดวงหน้าซึ่งติดตรึงอยู่ในใจไม่เสื่อมคลาย “เสวี่ยเอ๋อร์” ชายหนุ่มกระซิบเรียกหลินเสวี่ยเฟิ่งเสียงแผ่วชิดปากอิ่ม ริมฝีปากหนาประทับบนริมฝีปากบางเพียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ บดขยี้อย่างหนักหน่วงตามแรงอารมณ์ “ข้าคิดถึงเจ้ามากรู้หรือไม่ ยอดรักของข้า” มือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ของหลานซือเยว่ออกอย่างเร่งร้อน เป็นเพราะรีบมากเกินไปจึงทำให้หลานซือเยว่สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
“จำได้หรือไม่ว่าต้องพูดอย่างไร” “รู้น่า แค่เอ่ยคำว่า 'ขอโทษ' ง่ายจะตายไป” “ดี ไหนลองพูดดูซิ” “ขอโทษ” “เข้าไปแล้วห้ามก่อเรื่อง เข้าใจหรือไม่” “เข้าใจแล้วน่า ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ อายุมากกว่าเจ้าด้วย” เฉินซือหยางกับจ้าวลี่หมิงยืนเถียงกันอยู่หน้าห้องบรรทมในตำหนักหยางซิน ทำเอาหวังกงกงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูอมยิ้มขำนายท่านทั้งสอง “จะให้ขานนามหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้อง” เฉินซือหยางโบกมือห้ามไว้ จ้าวลี่หมิงแอบชะโงกหน้าเข้าไปสังเกตการณ์ภายในห้อง เห็นเฉ
“มาดื่มชาหน่อยจะได้ชุ่มคอ เมื่อครู่เหนื่อยหรือไม่” เฉินเทียนอี้หยิบผ้ามาซับเหงื่อให้หลานซือเยว่อย่างใส่ใจ “เสด็จพ่อกับหลินเสวี่ยเฟิ่งต้าซือดูสนิทสนมคุ้นเคยกันดีนะพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางปรายตามองเสด็จพ่อที่กำลังหลอกล่อให้นักบวชผู้นั้นกินขนมดอกกุ้ยอย่างสำราญใจด้วยสายตาลุ่มลึก ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะลงมือได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ถึงขนาดล่อลวงให้เสด็จพ่อหลงใหลจนแทบประคองอีกฝ่ายไว้ในอุ้งมือ นับว่ามีความสามารถโดยแท้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวดีอะไร “อ๋อ นี่หรือเพราะ...” เฉินเทียนอี้กำลังจะบอกความจริงกับบุตรชาย แต่กลับเห็นหลานซือเยว่ขยิบตาให้ ทั้งยังส่ายหน้าเบาๆ ไม่ให้ชายหนุ่มบอกออกไปว่านี่คือเสด็จแม่ของเขา เฉินเทียนอี้จึงได้แต่ปิดบังไว้ “...หลินเสวี่ยเฟิ่งเป็นสหายเก่าของพ่อเอง เจ้าก็มาทำความรู้จักไว้สิ” “สหายเก่า? ดูไม่ออกเลยว่าเสด็จพ่อก็มีสหายเป็นนักบวชผู้หนึ่งด้วย” เฉินซือหยางเย้าเสด็จพ่อยิ้มๆ แสร้งท
เพียงสบเข้ากับเนตรหงส์เรียวงามแฝงประกายฉ่ำวาวราวหยาดน้ำค้างคู่นั้น ส่วนลึกของจิตวิญญาณก็พลันสะท้านไหว สายตาอาลัยรักฉายแววคิดถึงคะนึงหาลึกซึ้งถึงกระดูก ทั้งเทิดทูนบูชาราวกับเขาเป็นดั่งท้องฟ้าไกลเกินเอื้อมคว้าไหนจะคำเรียกขานอันแสนคุ้นเคยที่เฉินเทียนอี้ไม่ได้ยินมานานปียังจะมีผู้ใดได้อีก “เป็นไปไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่” เฉินเทียนอี้พึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตาจ้องมองดวงหน้าที่ทั้งแปลกตาทั้งคุ้นเคยของหลินเสวี่ยเฟิ่งอย่างเหม่อลอย หวนนึกถึงวันวานที่พวกเขาได้พานพบกัน “หม่อมฉันหลานซือเยว่ถวายบังคมองค์ชายเก้าเพคะ” ร่างผอมบางของหลานซือเยว่ในวัยสิบสามหนาวสูงกว่าเขาในวัยหกหนาวเกือบช่วงตัว ยอบกายถวายบังคมองค์ชายตัวน้อยอย่างนอบน้อม แต่เขาที่ตอนนั้นยังไม่รู้ความและหยิ่งยโสใช้อำนาจกดข่มนางก็ไม่เคืองโกรธ “เ
จ้าวลี่หมิงนอนขลุกอยู่ในห้องจนสายโด่ง พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนตัวโตที่นอนอยู่เคียงข้างลุกออกไปนานแล้ว จ้าวลี่หมิงเรียกจางกงกงเข้ามาปรนนิบัติ พอได้อาบน้ำล้างหน้าก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย “ต้าซือทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง” “ยังเลยพ่ะย่ะค่ะ เห็นต้าซือบอกว่าจะรอให้พระชายาตื่นก่อนค่อยทานพร้อมกัน” “แล้วตอนนี้ต้าซืออยู่ที่ใด” “ต้าซือชมดอกท้ออยู่ที่ศาลารับลมริมสระบัวตำหนักปีกซ้ายพ่ะย่ะค่ะ” “จัดสำรับที่ศาลารับลมก็แล้วกัน ไม่ต้องทำพวกเนื้อสัตว์ขึ้นโต๊ะนะ ข้าจะทานเจเป็นเพื่อนต้าซือ” “พ่ะย่ะค่ะพระชายา” จ้าวลี่หมิงเดินไปหาหลานซือเยว่ที่ตำหนักปีกซ้าย เห็นอีกฝ่ายกำลังจิบชาชมทัศนียภาพยามเช้าอย่างสบายอารมณ์ จ้าวลี่หมิงไม่อยาก