ว่าด้วยเรื่องเคล็ดวิชา ‘ฝ่าเท้าท่องวารี’ ของจ้าวลี่หมิง
จ้าวลี่จ้ง : "ศาสตร์แห่งยุทธ์ที่สืบทอดต่อๆ กันมาในตระกูลจ้าวรู้ไหมว่าคือสิ่งใด"
จ้าวลี่จู : “ข้ารู้ๆ ความแข็งแกร่งใช่หรือไม่”
จ้าวลี่หลิน : “ใครบอกความยืดหยุ่นต่างหากล่ะคือศาสตร์แห่งยุทธ์ที่แท้จริง”
จ้าวลี่จิน : นั่งกินไก่ย่างเงียบๆ ไม่ขอออกความเห็น
จ้าวลี่หมิงผู้นั่งงงในดงพี่สาว: “\(゚ー゚\)” “( ノ ゚ー゚)ノ”
จ้าวลี่จ้ง : “เจ้าตัวไม่ได้ความพวกนี้นิ”
จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน และจ้าวลี่หมิงที่โดนเคาะศีรษะเรียงตัว : “/(ㄒoㄒ)/~~”
ยอดเขาซีเทียนเฟิงล่องลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นเมฆาในดินแดนฮุ่นตุ้น[1] พระอาทิตย์ยามอัสดงเคลื่อนคล้อยผ่านทิวเมฆสาดแสงตกต้องป่าเฟิงผืนใหญ่แผ่คลุมเหนือยอดเขา เกิดเป็นสีสันอันงดงามตระการตาหาใดเปรียบ ท่ามกลางทิวทัศน์ซึ่งหาชมได้ยากนี้มีเรือนไม้หลังน้อยซุกซ่อนอยู่ ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต โต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐแลดูสว่างไสว ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ที่มีเถาวัลย์พันเกี่ยว หากในยามปกติคงเป็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่นงดงาม แต่ทัศนียภาพดังกล่าวกลับถูกเปลวเพลิงจากเวทอัคคีมรณะกลืนกินจนแทบไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ชื่นชม เปลวเพลิงเตโชกสิณสีดำทมิฬถาโถมโหมกระหน่ำร้อนแรงเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูร ท่ามกลางเปลวเพลิงมรณะลุกโชติช่วงปรากฏเงาร่างของบุรุษในชุดอาภรณ์สีฟ้าครามกวัดแกว่งกระบี่ยาวคมกริบต้านรับดาบโค้งที่ฟาดฟันอย่างดุดันหมายปลิดชีพเขา แรงปะทะกันของอาวุธวิเศษสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งภูผาทลาย ทำให้ทั้งสองฝ่ายถูกกระแทกไปไกลหลายจั้ง[2] สบโอกาสให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวฉวยร่างของเด็กหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มากอดแนบอก หมุนตัวหลบธนูเพลิงอัคคีมรณะที่กราดยิงดุจห่าฝน “ไป!” ‘ไป่ชิ
“เกอเกอ... ท่านอย่าตายนะ... เกอเกอ...” ภายในตำหนักอี้ชิ่งอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางผ้าม่านสีขาวโปร่งบางเป็นชั้นๆ ปลิวล้อสายลมยามย่ำรุ่ง ปรากฏเงาร่างกลมป้อมของ 'เฉินซือหยาง' นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาบนแท่นบรรทม มือเล็กกำผ้าห่มแน่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไหลโทรมกายเปียกชุ่มฟูกนอน เสียงละเมอของเด็กน้อยครางเครือในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาจางเสี่ยวเหล่ยหรือจางกงกงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักตื่นตระหนกตกใจจนต้องรีบเข้าไปดู “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” “เกอเกอ!” เฮือก!! เฉินซือหยางสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ผุดลุกขึ้นนั่งหายใจหอบหนัก ในห้วงความคิดภาพเหตุการณ์ในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว มันชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริงที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน ‘แล้วมันคือที่ใดกันเล่า เกอเกอที่ข้าเรียกหานั้นคือผู้ใดกัน’ เฉินซือหยางยิ่งคิดยิ่งสับสนมึนงง ใบหน้างามสง่าในห้วงฝันเริ่มเลือนรางห่างไกลราวกับคนผู้นี้ไม่มีอยู่จริง เหตุใดทุกครั้งที่เขาลืมตาตื่นพอนึกถึงภาพใบหน้าของคนผู้นั้นทีไรถึงนึกไม่ออกเล่า “เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระสุบินร้ายอีกแ
แคว้นต้าเฉินสถาปนาขึ้นหลังจากพระเจ้าเฉินไท่จูซึ่งในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝูกั๋ว[1] จับดาบต่อต้านจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนที่ไม่สนใจบริหารราชกิจบ้านเมือง มัวเมาสุรานารี ปล่อยให้เหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แบ่งพรรคแบ่งพวกกันรีดนาทาเร้นประชาชนจนราชสำนักฟอนเฟะ ราษฎรอดอยากยากแค้น ชนเผ่าต่างแคว้นรุกราน เกิดภัยแล้งและภัยสงครามขึ้นทุกหย่อมหญ้า ประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านเหล่าขุนนางกังฉินจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ ตอนนั้นพระเจ้าเฉินไท่จูได้รับคำสั่งให้ไปปราบจลาจลชาวบ้าน เพราะทนเห็นความอยุติธรรมไม่ไหวจึงรวบรวมไพร่พลใต้บังคับบัญชาเข้าร่วมกับชาวบ้านร่วมกันต่อต้านราชวงศ์ มุ่งหน้าทำศึกยึดเมืองต่างๆ จับกุมขุนนางกังฉินทั่วแผ่นดินตัดศีรษะแขวนศพประจานไว้หน้าประตูเมืองให้เป็นเยี่ยงอย่าง รวบอำนาจเบ็ดเสร็จมุ่งหน้ากรำศึกสุดท้ายที่ผิงอานเมืองหลวงของแคว้น จับจักรพรรดิโฉดชั่วผู้นั้นสังหาร แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งแคว้นต้าเฉิน เริ่มรัชสมัยอันรุ่งเรืองเฟื่อ
“มาแล้วหรือ มานั่งนี่สิ” เฉินเทียนอี้ตบตักตนเองเบาๆ เรียกให้บุตรชายไปนั่งด้วย เฉินซือหยางเห็นดังนั้นก็ไม่อิดเอื้อนปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเสด็จพ่ออย่างคุ้นชิน “เสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางชะโงกหน้ามองฎีกาที่เสด็จพ่อทรงอ่านค้างไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ศีรษะเล็กๆ ส่ายไปมาเล็กน้อยจนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตดูดีๆ ในระหว่างที่เจ้าตัวอ่านฎีกา ทำเอาผู้เป็นพ่อแย้มเยือนเอ็นดูในความใคร่รู้ของบุตรชาย “พ่อกำลังอ่านฎีกาที่เจิ้งกั๋วกง[1] ให้ม้าเร็วส่งมาให้” เฉินเทียนอี้บอกบุตรชายทั้งยังกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนเมื่อเจ้าตัวชะโงกหน้าเข้าไปใกล้โต๊ะมากเกินไป จนผู้เป็นบิดากลัวว่าบุตรชายจะหล่นจากพระที่นั่ง “เจิ้งกั๋วกงรบชนะเซียนเป่ยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก” “เป็นข่าว
หลังจากเฉินซือหยางหารือข้อราชกิจกับเสด็จพ่อจนถึงยามโหย่ว[1] พอเดินออกจากตำหนักเฉียนชิงก็พบกับเหล่านางสนมที่มารอเข้าเฝ้า ทุกคนต่างผัดหน้าทาชาดกันมาแบบจัดหนักจัดเต็มยังกับจะมาเล่นละครงิ้วกันเสียเอง กลิ่นเครื่องหอมกำยานอบร่ำกันมาทั้งเนื้อทั้งตัวต่างคนก็ต่างกลิ่น คนนี้อบกลิ่นโม่ลี่ฮวา[2]คนนั้นอบกลิ่นอิงฮวา[3]คนโน้นเองก็อบกลิ่นเหมยกุ้ยฮวา[4]มีสารพัดกลิ่นราวกับยกหมู่มวลดอกไม้มาทั้งอุทยานหลวง กลิ่นเหม็นฉุนปะทะกันสารพัดกลิ่นแทบจะรมคนให้ตายได้ เฉินซือหยางได้กลิ่นคราแรกถึงกับหน้ามืดตาลาย เริ่มรู้สึกนับถือเสด็จพ่อจากก้นบึ้งของหัวใจที่พระองค์สามารถทนประทับอยู่กับสารพัดกลิ่นฉุนเหล่านี้ได้หลายปีดีดัก “ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ” บรรดาสนมนางกำนัล และขันทีแต่ละตำหนัก ซึ่งตอนแรกพูดจาเสียดสีกันต่า
เพียงชั่วก้านธูป[1] ผู้เป็นใหญ่แห่งวังหลังทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับออกมา ภาพที่เฉินเทียนอี้เห็นในสายพระเนตรคือ ภาพของเหล่าสนม นางกำนัลนั่งคุกเข่ากันเรียงรายเป็นทิวแถวท่ามกลางหิมะตกหนัก ทุกคนหน้าซีดปากสั่นมีหิมะเกาะเต็มศีรษะสภาพน่าอเนจอนาถยิ่ง “ฝ่าบาท” “ฝ่าบาทเพคะ” เสียงร้องน่าเวทนาดังระงมดุจจักจั่นในฤดูร้อน ทำเอาเฉินเทียนอี้มุมปากกระตุก คิ้วคมเข้มขมวดฉับ ตวัดสายเย็นเฉียบมองคนต้นเรื่องด้วยความเดือดดาล จิตสังหารแผ่ซ่านจนซูโม่หลันสั่นสะท้านนึกเสียใจภายหลังที่ลงมือโดยพลการเช่นนี้ “หวังกงกง” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” “ถอนรับสั่งของเต๋อเฟยเดี๋ยวนี้! บอกให้นางกำนัลปรนนิบัติเหล่าสนมรักของเราให้ดีอย่าให้
แสงตะวันจับขอบฟ้าขับไล่ความหนาวเหน็บยามค่ำคืนในสารทฤดูให้จางหาย ละอองหิมะโปรยปรายลงมาบางเบาก่อนจะปลิวหายไปกับสายลมเย็นชื่น ผู้คนในเมืองผิงอานเริ่มต้นเช้าวันใหม่กันอย่างคึกคัก ชาวบ้านต่างพากันทำความสะอาดลานเรือนอย่างขะมักเขม้น โรงเตี๊ยมต่างๆ ร้านรวงริมทางเปิดทำการค้าแต่เช้าตรู่ พ่อค้าจากต่างถิ่นหลั่งไหลเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้า แต่วันนี้เมืองหลวงครึกครื้นยิ่งกว่าวันใด ที่นั่งในร้านรวงต่างๆ บนเส้นทางสัญจรสายหลักถูกจับจองจนแน่นขนัด เนื่องจากผู้คนต่างพากันมามุงดูขบวนทัพที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมือง ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันเหี้ยมหาญในชุดออกศึกสวมเกราะหนักทั้งตัว ควบอาชาสีขาวพ่วงพีนำหน้าทัพหลวงเคลื่อนขบวนเข้ามาในเมืองผิงอานอย่างองอาจห้าวหาญธงรบสะบัดไหวรับกับจังหวะการย่างก้าวของกองทัพ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามจนผู้คนต่างพากันเลื่อมใส ร้องตะโกนแสดงความยินดีกับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่เหล่าทหารหาญแลกมาด้วยแรงกาย แรงใจ และหยาดโลหิต ดอกไม้งามโปรยตามเส้นทางที่ขบวนทัพเคลื่อนผ่านเป็นการต้อนรับเหล่าผู้กล้า หญิงสาวที่ยัง
งานเลี้ยงฉลองชัยจัดขึ้น ณ ตำหนักไท่เหอ ภายในงานเต็มไปด้วยสุรา อาหารเลิศรส นักการสังคีตบรรเลงฉินคลอแผ่วท่วงทำนองลื่นไหลผ่อนคลายดุจสายน้ำกระทบหิน ขุนนางบุ๋นบู๊ขั้นสามขึ้นไปต่างพาครอบครัวทยอยมาเข้าร่วมงานเลี้ยง ภายในห้องโถงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย บรรดาบุรุษต่างรวมตัวกันอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง จับกลุ่มพูดคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นช่วงนี้ บ้างก็ปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อราชการที่ได้รับมอบหมาย ทางฟากฝั่งของสตรีเองก็ไม่น้อยหน้า บรรดาฮูหยินและฮูหยินตราตั้งทั้งหลายต่างจับกลุ่มพูดคุยสร้างเส้นสายเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของสามี บ้างก็พูดจาส่อเสียดเย้ยหยันตีวัวกระทบคราดกันไปมา บ้างก็สอดส่ายสายตาเสาะหาหนุ่มสาวอนาคตไกล ชาติตระกูลสูงส่งเพื่อเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีกู้ฟางเหนียงรวมอยู่ด้วย วันนี้กู้ฟางเหนียงจับบุตรสาวแต่งตัวแบบจัดหนักจัดเต็ม เสื้อผ้าสีชมพูสดใส ปิ่นมุก กำไลหยกประโคมใส่ให้บุตรสาวราวกับจะเปิดร้านขายเครื่องประดับเสียเอง แต่ผู้ที่ให้ความร่วมมือดูเหมือนจะมีแค่บุตรคนที่สามอย่างจ้าวลี่เจียเพียงเท่า
ว่าด้วยเรื่องเคล็ดวิชา ‘ฝ่าเท้าท่องวารี’ ของจ้าวลี่หมิง จ้าวลี่จ้ง : "ศาสตร์แห่งยุทธ์ที่สืบทอดต่อๆ กันมาในตระกูลจ้าวรู้ไหมว่าคือสิ่งใด" จ้าวลี่จู : “ข้ารู้ๆ ความแข็งแกร่งใช่หรือไม่” จ้าวลี่หลิน : “ใครบอกความยืดหยุ่นต่างหากล่ะคือศาสตร์แห่งยุทธ์ที่แท้จริง” จ้าวลี่จิน : นั่งกินไก่ย่างเงียบๆ ไม่ขอออกความเห็น จ้าวลี่หมิงผู้นั่งงงในดงพี่สาว: “\(゚ー゚\)” “( ノ ゚ー゚)ノ” จ้าวลี่จ้ง : “เจ้าตัวไม่ได้ความพวกนี้นิ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน และจ้าวลี่หมิงที่โดนเคาะศีรษะเรียงตัว : “/(ㄒoㄒ)/~~”
ข่าวเรื่ององค์รัชทายาทสมคบคิดกับเผ่าคนเถื่อน วางแผนลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท และทำร้ายไทเฮาแพร่สะพัดไปทั้งเมืองหลวง ผู้คนต่างโจษจันกันไปทั่วถึงความชั่วช้าเลวทรามที่องค์รัชทายาทได้กระทำไว้ ราษฎรต่างพากันสาปแช่งเจ้าสุนัขป่าเลี้ยงไม่เชื่องแว้งกัดได้แม้กระทั่งบิดาแท้ๆ ของตน พวกขุนนางต่างเรียกร้องให้มีการสืบหาที่ประทับลับที่ใช้ซ่อนตัวฝ่าบาท แต่ไม่ว่าจะเสาะหาอย่างไรก็ไม่อาจค้นพบได้โดยง่าย การหายตัวไปของเฉินเทียนอี้ รวมทั้งภัยสงครามที่คืบคลานเข้ามาทำเอาราชสำนักเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย อัครเสนาบดีหลี่จึงเชิญหลี่ไทเฮาขึ้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนอีกครั้ง และยังหารือเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่โดยเร็ว แต่เนื่องจากพระราชลัญจกรหายไปพร้อมกับฝ่าบาท ทำให้การแต่งตั้งองค์รัชทายาทถูกเก็บค้างเอาไว้ชั่วคราว รอให้เจอตัวฝ่าบาทเมื่อไหร่ค่อยตัดสินใจกันอีกที ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายของหลี่ไทเฮาเป็นอันมาก เพราะผู้ที่ถูกเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่คือ องค์ชายรองเฉินจวินเฉิง แต่กลับถู
“องค์รัชทายาทจะทรงทำอย่างไรดี ตอนนี้หลี่ไทเฮาสั่งการให้ทหารปิดล้อมตำหนักหมดแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงรายงานด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง ตอนที่ได้รับรายงานว่าตำหนักอี้ชิ่งถูกค้นและยัดข้อกล่าวหาว่าสมคบคิดกับคนเถื่อนขายชาติ ทำเอาเขาตกใจขวัญแทบบิน เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงถูกกล่าวหาเช่นนี้เล่า ในเมื่อผู้ลงมือกระทำแท้จริงแล้วเป็นฝ่ายหลี่ไทเฮาเสียมากกว่า ช่างกลับขาวเป็นดำได้อย่างหน้าด้านๆ “คนของฝ่ายเราล่ะ” เฉินซือหยางถามเสียงเครียดไม่นึกว่าเสด็จย่าของเขาจะทนไม่ไหวถึงขั้นปลอมหลักฐานขึ้นมาใส่ความเขาเช่นนี้ ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบสินะ “คนของเราถูกจับกุมตัวไว้หมดเลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนขุนนางฝั่งเราขอเปิดประชุมด่วนเพื่อยื่นหนังสือให้สามตุลาการ[1] ตรวจสอบร่วมกับไทเฮา ช่วยให้เราพอมีเวลาหาหลักฐานมาล้มล้างข้อกล่าวหา” “ไม่ทันการณ์แล้ว ไทเฮาลงมือหนักถึงขั้นนี้ย่อมต้องสานแหฟ้าตาข่ายดิน[2] ดักข้าเอาไว้ คาดว่าจดหมายลับฉบับนั้นคงเป็นลายมือพร้อมตราประท
บรรยากาศในวังหลวงหนักอึ้งกดทับผู้คน จนนางกำนัลและขันทีในตำหนักหยางซินไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรงด้วยเกรงว่าจะกระทบกระเทือนถึงพระอาการของฝ่าบาท เฉินซือหยางมีสีหน้าเครียดขึงเฝ้าดูอาการของเฉินเทียนอี้ไม่ห่าง ไม่ยอมหลับยอมนอนติดต่อกันนานสามวันสามคืน ทั้งประชุมเช้า ทั้งราชกิจต่างๆ ล้วนถูกเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด ประตูตำหนักหยางซินถูกปิดเงียบ แต่ไม่อาจปกปิดอาการประชวรที่กำลังทรุดหนักของเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ได้มิด เมื่อรวมกับภาวะสงครามที่ด่านชายแดน ราชสำนักจึงระส่ำระสายราวกับมังกรไร้เศียร หลี่ไทเฮาจึงถือโอกาสนี้เข้าควบคุมสถานการณ์ในราชสำนัก ภายในตำหนักฉือซวน กลิ่นกำยานกรุ่นกำจายนำพากลิ่นอายแปลกประหลาดบางอย่างปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนัก “เหนียงเหนียง ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเพคะ” หม่าหมัวมัวกระซิบบอกเสียงเบา หลี่ย่าเสียงกระหยิ่มยิ้มย่องสั่งการเสียงเหี้ยม “ลงมือซะ!” ตำหนักอี้ชิ่งเงียบเหงาเ
สามวันให้หลังทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อมสรรพ ทัพใหญ่สามสิบหมื่นนำโดยเจิ้งกั๋วกงพร้อมด้วยแม่ทัพซ้ายขวาและรองแม่ทัพผู้ติดตาม เคลื่อนพลออกจากเมืองผิงอานในยามซื่อที่ท้องฟ้าแจ่มใส แต่กลับสร้างความหม่นหมองให้กับใครหลายๆ คนโดยเฉพาะญาติมิตรของพลทหารรวมถึงคนตระกูลจ้าวด้วย “หยางหยาง ท่านพ่อจะกลับมาหาชีชีใช่หรือไม่” จ้าวลี่หมิงถามเสียงเครือ มองส่งจ้าวมู่ในอ้อมแขนของเฉินซือหยางบนกำแพงเมืองหลวงไกลจนลับตา “เจิ้งกั๋วกงแค่ไปปฏิบัติหน้าที่ อีกไม่นานจะต้องกลับมาแน่ เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” เฉินซือหยางกอดปลอบคนในอ้อมแขน มือหนากำตราพยัคฆ์ที่ได้รับมาจากจ้าวมู่แน่น ความเย็นเฉียบของมันช่วยปัดเป่าความหนักอึ้งซึ่งทับถมอยู่ในใจให้เบาบางลง “องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเลยหรือไม่เพคะ” กู้ฟางเหนียงถามเสียงเบา ดวงตายังคงแดงระเรื่อจากการที่ต้องลาจากสามี “เราคงต้องกลับเลย ยังมีเรื่องที่เราต้องทำอีกมากไท่เว่ยฮูหยินมีอะไรอย่างนั้นหรือ”
แสงจันทร์สาดส่องลอดผ่านแมกไม้ในป่าทึบเผยให้เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งควบม้าฝีเท้าจัดตะบึงผ่านเส้นทางลับมุ่งสู่ชายแดนทางเหนือของแผ่นดินต้าเฉินโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก คนทั้งกลุ่มเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อส่งสาส์นไปยังจุดหมาย ในระหว่างควบม้าเลาะขอบหน้าผาสูงชัน กลับถูกกลุ่มชายชุดดำลึกลับบุกเข้ามาโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน กระบี่แหลมคมฟาดฟันกันแบบถึงเลือดถึงเนื้อ กลุ่มชายฉกรรจ์บนหลังม้าพลาดท่าเสียทีให้กับเหล่าชายชุดดำ ด้วยชัยภูมิที่เสียเปรียบทำให้กลุ่มชายบนหลังม้าล้มตายดุจใบไม้ร่วง สุดท้ายเหลือเพียงชายหนุ่มผู้กุมสาส์นลับอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีเข้าป่าไปพร้อมกับบาดแผลฉกรรจ์ “ตามไป!” หัวหน้าชายชุดดำสั่งเสียงเข้ม เร่งฝีเท้าไล่ตามไป คนทั้งกลุ่มไล่ล่าชายผู้กุมสาส์นลับจนอีกฝ่ายจนมุมตรงริมหน้าผาสูงชัน เหล่าชายชุดดำตีวงโอบล้อมเพื่อป้องกันอีกฝ่ายหลบหนีไปได้ “ส่งสาส์นลับมาให้ข้า” “เจ้าอย่าหวังเลย
กู้ฟางเหนียงกลับเรือนหลักหลังจากปรนนิบัติแม่สามีเข้านอน ขณะเดินผ่านเรือนช่านไฉ่แสงไฟในห้องนอนของบุตรชายยังคงสว่างโร่กู้ฟางเหนียงหัวคิ้วขมวดมุ่น ดึกดื่นป่านนี้เหตุใดเสี่ยวชีถึงยังไม่หลับไม่นอน “เสี่ยวชี แม่เข้าไปได้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงเคาะประตูห้องเบาๆ ก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอให้บุตรชายอนุญาต “ท่านแม่!” จ้าวลี่หมิงตกใจ เมื่อจู่ๆ มารดาก็เปิดประตูเข้ามา เด็กน้อยรีบซ่อนของไว้ใต้หมอนไม่ให้มารดาเห็นด้วยความอาย “ทำอะไรอยู่หรือ” กู้ฟางเหนียงนั่งลงบนเตียงเล็ก มือบางลูบศีรษะบุตรชายถามไถ่ด้วยน้ำเสียงรักใคร่อ่อนโยน สายตาเหลือบมองหมอนหยกใบเล็กที่บุตรชายใช้ซ่อนของบางสิ่ง แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาแหลมคมของนางไปได้ “ชีชีนั่งเล่น ยังไม่ง่วงเลยขอรับ” “แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้ แม่ดูได้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงถามยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงกระอึกกระอักอยู่เป็นครู่ มือเล็กบิดไปบิดมาค่อยหยิบของสิ่
ขณะที่เฉินซือหยางกำลังถกปัญหาเรื่องขาหมูไม่ใช่ผักให้จ้าวลี่หมิงฟังอยู่นั้น เว่ยอันที่ได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาทให้มาตรวจสอบห้องด้านข้างก็ได้รู้อะไรดีๆ เข้าโดยไม่คาดคิด ห้องด้านข้างหอฟู่กุ้ย เสนาบดีกรมคลังต่งเซินกับเสนาบดีกรมกลาโหมกำลังร่ำสุราปรึกษาหารือเรื่องในที่ประชุมเมื่อเช้านี้เสียงเบา “ข่าวการศึกจากทางเหนือที่แม่ทัพจ้าวส่งมาไม่นับว่าร้ายแรงนัก ข้าคิดว่าการจัดเตรียมเสบียงกองทัพในครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร” “ตอนนี้ไม่ร้ายแรงใช่ว่าต่อไปจะไม่ร้ายแรงเสียเมื่อไหร่” ต่งเซินกระดกสุราไปค่อนข้างมากเผลอหลุดปากบอกอีกฝ่ายเป็นนัย เสนาบดีกรมกลาโหมได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสนใจทันที เพราะการจัดหาเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรบย่อมผ่านมือเขาทั้งสิ้น เบี้ยหวัดเล็กๆ เหล่านี้ย่อมมียักย้ายเข้าพกเข้าห่อเป็นธรรมดา ยิ่งสถานการณ์การรบร้ายแรงเท่าไหร่ งบประมาณการจัดหาเ
เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ผสานกับเสียงหัวเราะดังก้องกังวานลอยเข้าหูเฉินซือหยางที่เพิ่งกลับจากประชุมเช้า ณ ตำหนักเฉียนชิง ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเอะอะมะเทิ่งนั่น ภาพปรากฏชัดในครรลองสายตาคือ เหล่าองค์ชายองค์หญิงซึ่งกำลังเล่นสนุกกันในอุทยานหลวง มีองค์ชายรองบุตรของหลี่ลู่เหม่ย องค์ชายสามบุตรของเสียนเฟย องค์หญิงใหญ่บุตรของหลี่ลู่อิง และองค์ชายสี่บุตรของซูเฟยในวัยไล่เลี่ยกับจ้าวลี่หมิง เฉินซือหยางมองคนเหล่านั้นเพียงหางตาในระหว่างเดินผ่านอุทยานหลวงเพื่อกลับตำหนักอี้ชิ่ง จู่ๆ องค์ชายรองเฉินจวินเฉิงก็เดินนำองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายมาขวางทางเดินเขา “พี่ชายเพิ่งกลับจากว่าราชการแทนเสด็จพ่อหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินจวินเฉิงทักทายด้วยใบหน้าใสซื่อ ไม่คิดจะลดตัวคารวะบุคคลที่เขาเรียกขานว่า 'พี่ชาย' เลยแม้แต่น้อย “ใครคือพี่ชายเจ้า” เฉินซือหยางมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา ดวงหน้าซึ่งถอดเค้ามาจากหลี่ลู่เหม่ยนั่นดูขัดตาเขาชอบกล