บทละครโรงเล็ก
ณ เรือนช่านไฉ่ แห่งจวนไท่เว่ย
สามแฝดตระกูลจ้าวเข้ามาสุมหัวอยู่ในห้องนอนของน้องชายตัวอวบ
จ้าวลี่จู : “เอาล่ะ ในฐานะที่เสี่ยวชีเข้ากลุ่มเราอย่างเป็นทางการ พวกพี่สาวมีของเล็กๆ น้อยๆ จะมอบให้เจ้า” กล่องไม้สลักลายประณีตถูกยื่นมาตรงหน้าจ้าวลี่หมิง “ลองเปิดดูสิ”
จ้าวลี่หมิง : (⊙_⊙)?
เด็กน้อยมองเหล็กเส้นชิ้นเล็กในมืออย่างงงงวย
จ้าวลี่จู : “สิ่งนี้สืบทอดต่อๆ กันมาในบุตร
ณ เรือนลับที่พำนักชั่วคราวของเฉินเทียนอี้ หวังกงกงถลันเข้ามาในห้องประชุมที่มีเฝิงไห่เป็นผู้ควบคุมดูแล “เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ” กงกงเฒ่ารายงานเสียงหอบ “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” “ด้านล่าง... แฮ่กๆ องครักษ์ลับบอกว่าด้านล่างมีทหารเต็มไปหมดเลยขอรับ” “ว่าอะไรนะ! ทหารอย่างนั้นหรือ” “ขอรับ เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ” “สั่งองครักษ์ลับเพิ่มกำลังคุ้มกันห้องบรรทมของฝ่าบาทอย่างแน่นหนา หากเกิดเหตุไม่คาดฝันให้รีบช่วยฝ่าบาทเสด็จหนีทันที ส่วนคนที่เหลือตามข้าลงเขาไปสกัดคนชั่วเหล่านั้น” องครักษ์วิ่งวุ่นกันทั่วเรือนลับเข้าประจำตำแหน่ง เพิ่มระด
“เอาตัวพวกมันไป” องครักษ์กรูเข้ามาจับตัวเฉินซือหยางและจ้าวลี่หมิง ชายหนุ่มดึงเด็กน้อยมาหลบด้านหลังป้องกันไม่ให้คนชั่วแตะตัวจ้าวลี่หมิงได้ วาดฝ่าเท้าเตะผู้ที่ถลันเข้ามาทำร้ายจนกระเด็นไปไกลกระแทกกรงขังจนสลบเหมือด ยังไม่ทันลงมือจัดการกับคนที่เหลือองครักษ์ทั้งหมดก็ล้มลงไปกองกับพื้นดุจใบไม้ร่วงรวมถึงเฉินจวินเฉิง “จบแล้วหรือ?” เฉินซือหยางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจปรายตามองเข็มเย็บผ้าที่ปักตรงต้นคอของศัตรูสลับกับตัวต้นเหตุที่จัดการคนอื่นเสียเรียบวุธ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ลงมือเลยสักนิด “อื้อ เรียบร้อย” จ้าวลี่หมิงปัดไม้ปัดมือ เฉินซือหยางเลิกคิ้วมองเด็กน้อยบรรจงเก็บเข็มเงินเคลือบยาสลบฤทธิ์แรงไว้ในเข็มขัดหนังตามเดิมด้วยความพิศวง ว่าแต่ใช้เข็มเย็บผ้าเป็นอาวุธเนี่ยนะ ผู้ใดสอนเจ้าเด็กอ้วนของเขาใช้อาวุธลับเช่นนี้กัน “เจ้าเป็นเม่
'ว่าด้วยเรื่องเข็มร้อยวิญญาณ' วันหนึ่ง ณ จวนไท่เว่ย ร่างเล็กป้อมของจ้าวลี่หมิงกลิ้งหลุนๆ เข้ามาในห้องของจ้าวลี่เจียที่กำลังนั่งปักผ้าตรงโต๊ะน้ำชา จ้าวลี่เจีย : "ทำอะไรน่ะเจ้าตัวเล็ก" จ้าวลี่หมิง : "ชู่ววว ชีชีกำลังเล่นซ่อนแอบอยู่ ลี่เจียเจี่ยเจียอย่าบอกใครนะ" ร่างเล็กมุดใต้โต๊ะแอบอยู่ในนั้นอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางเสียงฝีเท้าวิ่งวุ่นและร้องเรียกดังลั่นของบรรดาสาวใช้ "คุณชายอยู่ไหนเจ้าคะคุณชาย ออกมาเถอะนะเจ้าคะ ได้เวลาเรียนหมากล้อมกับท่านอาจารย์แล้วนะ"&
ในตลาดคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา ทุกคนต่างหยุดยืนมุงดูกระดานแจ้งเตือนข่าวสารกันอย่างเนืองแน่น ผู้ที่ได้อ่านข่าวต่างชี้ไม้ชี้มือวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่เรื่องข่าวนักโทษกบฏซึ่งกำลังหลบหนีการจับกุมอยู่ ณ ขณะนี้ ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเบียดเสียดแย่งชิงกันดูใบหน้าของนักโทษกบฏ และเงินรางวัลนำจับก้อนใหญ่ถึงหนึ่งแสนตำลึงทอง ซึ่งทางการจะมอบให้เป็นสินน้ำใจหากผู้ใดสามารถแจ้งเบาะแสของเฉินซือหยางได้ มีเงาร่างสูงใหญ่และเล็กป้อมอยู่เคียงกัน โดยคนตัวเล็กนั่งคร่อมบ่าคนตัวโตมองดูป้ายประกาศจับนั่นด้วยเช่นเดียวกัน “ใบประกาศจับนี่อัปลักษณ์ยิ่ง ใครเป็นคนวาดเนี่ยไม่เห็นจะเหมือนหยางหยางตรงไหนเลย” จ้าวลี่หมิงยู่หน้ารังเกียจ แต่พอก้มมองใบหน้าของเฉินซือหยางเปรียบเทียบกับใบประกาศจับกลับหัวเราะคิกคักด้วยความขบขัน “ท่านปู่หยาง ท่านแก่เร็วจังเลยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า” “เดี
“เมื่อครู่เจ้าจะแต่งตั้งใครเป็นฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ” ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยลอยลับ ทิวากรสาดแสงเรืองรองตกต้องเรือนร่างสูงสง่าเส้นผมสีเงินพลิ้วไหวล้อสายลมเปล่งประกายระยิบระยับ เสื้อคลุมมังกรสีทองอร่ามสะบัดพลิ้วตามการย่างก้าวอันหนักแน่นทรงพลังแผ่อำนาจกดดันผู้คน จนรู้สึกยำเกรงจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ยอมศิโรราบทั้งกายใจ “ฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางเห็นร่างสูงของเฉินเทียนอี้เดินผ่านต่างก็ร้องอุทานด้วยความตกตะลึง ไม่ใช่ว่าฝ่าบาททรงเสด็จสวรรคตไปแล้วหรอกหรือ การปรากฏตัวกะทันหันของเฉินเทียนอี้ในงานพิธีบรมราชาภิเษกสร้างความไม่พอใจให้กับใครหลายคน โดยเฉพาะหลี่ย่าเสียงและหลี่ลู่เหลียนต่างมีสีหน้าไม่น่าดู ตัวเฉินจวินเฉิงเองก็ตกอยู่ในอาการมึนงงมองเฉินเทียนอี้สลับกับหลี่ย่าเสียงอย่างทำอะไรไม่ถูก งานพิธีหยุดชะงั
เหล่านักฆ่ารับคำสั่งหลี่เหยียนเจี๋ยเปิดฉากฆ่าล้างทั้งตำหนักไท่เหอ ขุนนางในลานพิธีแตกฮือราวกับฝูงผึ้ง วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ยังดีที่ได้องครักษ์หลวงช่วยสกัดไว้จึงมีคนได้รับบาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อย หัวหน้านักฆ่าอาศัยช่วงชุลมุนจุดสัญญาณลับ พลุสีแดงเจิดจ้าระเบิดเสียงดังก้องฟ้าสว่างวาบไปทั่วท้องนภา ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องสนั่นฟ้าสะเทือนดิน เสียงกระแทกประตูวัง ดาบกระบี่โรมรัน เสียงรบราฆ่าฟันดังกึกก้องน่าหวาดผวา จนทุกคนในวังหลวงพากันอกสั่นขวัญหาย หัวหน้านักฆ่าคุ้มกันคนตระกูลหลี่พาหลบหนีออกจากลานพิธี กลับถูกเว่ยอันและฉางหลางขัดขวาง ทั้งสองฝ่ายประมือกันอย่างดุเดือด กองกำลังลับของหลี่เหยียนเจี๋ยบุกทะลวงถึงเขตพระราชฐาน เพียงไม่นานก็โอบล้อมลานพิธีหน้าตำหนักไท่เหอเอาไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า ไม่ยอมให้ผู้ใดหนีรอดจากลานแห่งความตายนี้ไปได้ หลี่เหยียนเจี๋ยเห็นชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อมก็นึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ชักกระบี่จากเอวนักฆ่าข้างกาย พุ่งเข้าหาเฉินซือหยาง 
หลังจากเหตุการณ์สู้รบสงบลง ซูโม่หลันถลันเข้าหาเฉินซือหยางทันทีด้วยความห่วงใย ตอนที่เห็นหลี่เหยียนเจี๋ยเงื้อกระบี่จะฟันเขา นางตื่นตระหนกจนหัวใจแทบหยุดเต้น ดีที่เจิ้งกั๋วกงมาช่วยไว้ได้ทันเวลาพอดี “หยางเอ๋อร์เจ้าปลอดภัยดีหรือไม่” “เราไม่เป็นอะไร ท่านน้าสบายใจได้” “เฮ้อ! โล่งอกไปที เสี่ยวชีเล่าเจ้าไม่ได้พามาด้วยกันหรอกหรือ” ซูโม่หลันมองหาจ้าวลี่หมิงไปทั่วลานกว้างกลับไม่เห็นเจ้าตัวเล็กแม้แต่เงา “ชีชีน่ะหรือ ป่านนี้คงกำลังมีความสุขอยู่กับผู้แซ่หานคนนั้นเสียล่ะมั้ง” เฉินซือหยางทำหน้าขรึม น้ำเสียงไม่ใคร่พอใจนักคล้ายหงุดหงิดมาเล็กน้อยแต่ฝืนข่มกลั้นไว้ ในสนามรบหอกดาบไร้ตาสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจถึงเขาอยากมัดอีกฝ่ายติดตัวมากแค่ไหน แต่ก็กลัวเด็กน้อยเสี่ยงอันตรายไปด้วยเลยไม่ได้ตามไปลากตัวจ้าวลี่หมิงมาจากหานกวาง
หลี่ลู่เหลียนมองตามหลังซูโม่หลันจนลับสายตา ค่อยหันมาปรึกษากับเสด็จอาหญิงอย่างไม่ใคร่วางใจอีกฝ่ายนัก “เรื่องที่เต๋อเฟยกล่าวเสด็จแม่ทรงคิดเห็นเช่นไรเพคะ” “อยู่กันเพียงแค่นี้เรียกข้าว่าอาหญิงเหมือนเดิมเถอะ” “เจ้าค่ะอาหญิง ข้ากลัวนางจะเล่นเล่ห์กับเรา อาหญิงโปรดไตร่ตรองเรื่องนี้อีกครั้งเถอะเพคะ” “เจ้าอย่าห่วงไปเลย เรื่องนี้ข้าหารือกับพ่อเจ้ามานานแล้ว หากไม่ถึงที่สุดย่อมไม่อาจลงมือ แต่ในเมื่อเราไม่มีทางเลือกคงต้องทำตามแผนที่เต๋อเฟยเสนอ หลังแผนการสำเร็จเราค่อยกำจัดนางทิ้งก็ยังไม่สาย” “เสนาบดีซูจะไม่สงสัยหรือเพคะ” “แค่ให้ตำแหน่งสำคัญแก่เสนาบดีซู ลูกอนุคนเดียวเหตุใดจะตัดทิ้งไม่ได้ จากนั้นค่อยประกาศออกไปว่าเต๋อเฟยกับฝ่าบาทมีจิตปฏิพัทธ์ลึกล้ำเมื่อรับรู้ว่าฝ่าบาทจากไปก็ทรงระงับความโศกเศร้าเสียพระทัยไม่ได้ แขวนคอตายในพระตำหนักอี้เซียวตามเสด็จสู่สวรรคาลัย
ทางด้านตำหนักปีกข้าง หลังจากเฉินซือหยางเล่นพลิกผ้าห่มกับจ้าวลี่หมิงจนเหนื่อยอ่อน ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยให้คนตัวเล็กนอนหลับสักงีบ เมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้วกลัวว่าจ้าวลี่หมิงจะพลาดอาหารมื้อเย็นจึงปลุกเด็กน้อยของเขามาอาบน้ำชำระกาย “ชีชี เย็นมากแล้ว ตื่นเถอะคนดี” “อื้อออ ได้เวลามื้อค่ำแล้วหรือ” จ้าวลี่หมิงงึมงำถาม ปิดปากหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน พลิกตัวไปอีกทางแล้วเอาหน้าซุกผ้าห่ม ตั้งใจว่าจะหลับต่ออีกสักหน่อย “เด็กขี้เกียจ ลุกขึ้นมาอาบน้ำได้แล้ว” เฉินซือหยางกระซิบชิดใบหูนิ่ม ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดริมหูจนจ้าวลี่หมิงขนลุกซู่ไปหมด แล้วแบบนี้เขาจะหลับลงได้อย่างไร “ขี้เกียจอ่ะ หยางหยางอาบให้หน่อยสิ” จ้าวลี่หมิงอ้อนตาปิด แขนเรียวโอบรอบลำคอแกร่งหลวมๆ ร่างกายเหลวกองอยู่บนเตียงนุ่มราวกับไร้กระดูก
หลานซือเยว่อุ้มสิงโตตัวน้อยเข้ามาในห้องบรรทม ใช้ผ้าที่อบจนอุ่นบรรจงเช็ดขนให้เจ้าตัวน้อยอย่างใส่ใจ สวีเฟยหลงถูกภรรยาปรนนิบัติรู้สึกอุ่นสบายไปทั้งตัว นอนหมอบอยู่บนตัก อ้าปากหาวหวอด ซุกไซ้ศีรษะกับต้นขานุ่มหาที่นอน ดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งในสายตาของหลานซือเยว่ “จะนอนทั้งอย่างนี้เลยหรือ ระวังจะอดกินเนื้อในมื้อค่ำนะเจ้าตัวเล็ก” หลานซือเยว่แกล้งเขี่ยใบหูนิ่มของลูกสิงโตทองเล่น เห็นใบหูเล็กๆ นั่นกระดุกกระดิกหลบหลีกนิ้วมือเรียวไปมา ไหนจะเสียงครางประท้วงคล้ายถูกก่อกวนอย่างหนัก ทำเอาหลานซือเยว่หัวเราะคิกคักชอบใจ “อืมมม เรียกแต่เจ้าตัวเล็กๆ ลืมไปว่าเจ้ายังไม่มีชื่อนี่น่า ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม เอาชื่ออะไรดีนะ” หลานซือเยว่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เก็บมันมาเลี้ยงยังไม่เคยตั้งชื่อให้มันเลย ดวงหน้าหวานซึ้งฉายแววครุ่นคิด ละมือจากใบหูนิ่มไม่ก่อกวนเจ้าสิงโตตัวน้อยอีก สวีเฟยหลงผงกศีรษะมองภรรยาอย่างคาดหวัง ส่งกระแสแห่งรักให้หลินเสวี่ยเฟิ่งไม่ขาดสายด้วยหวังว่าภรรยาจะเรียกชื่อเขาถูก เพราะว่าคะนึงหาเขาอยู่เสมอ ‘อาหลง เสวี่ยเอ๋อร์เรียกข้าว่า อาหลงสิ’ เฉินเทียนอี้ออกมาจ
ตำหนักข้างฝั่งตะวันออกของตำหนักเยว่ชุนตกอยู่ในวสันตฤดูอันชุ่มฉ่ำเย็นสบาย ช่างแตกต่างกับตำหนักหลักที่ตอนนี้ร้อนระอุราวตกอยู่ในวันที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อนก็ไม่ปาน เฉินเทียนอี้ปรายตามองภรรยาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจสิงโตตัวน้อยมาตลอดทาง ถ้ามันเป็นลูกสิงโตจริงๆ มีหรือที่เขาจะถือสา แต่สิงโตตัวนี้จ้องแต่จะคอยออดอ้อนภรรยาเขาอยู่ตลอดเวลา และยังกีดกันเขาไม่ให้เข้าใกล้ภรรยามันเสียทุกทาง แถมไม่ยอมห่างจากหลานซือเยว่แม้เพียงเสี้ยววินาที แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากจับเจ้าสิงโตจอมเสแสร้งนี่ย่างกินเสียหลายครั้งได้อย่างไร และตอนนี้มันทำอะไรอยู่นะหรือ ก็นั่งแทะโลมนิ้วมือขาวผ่องดุจหยกของภรรยาเขาอยู่น่ะสิ! ‘เจ้าอยากโดนโยนออกไปนอกห้องนักใช่ไหม’ สวีเฟยหลงนั่งอยู่บนตักหลินเสวี่ยเฟิ่งกำลังไล้เลียนิ้วมือเรียบเนียนของภรรยาเล่นอย่างเพลิดเพลินใจหยุดชะ
ขบวนเสด็จออกเดินทางกันมาหกวันหกคืน เดินๆ หยุดๆ กว่าจะถึงตำหนักเยว่ชุนก็เป็นช่วงบ่ายคล้อยของวันที่เจ็ด จากปกติหากเดินทางโดยรถม้าจะถึงภายในสองวัน ม้าเร็วใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งวันแท้ๆ แต่เพราะบรรดานายท่านทั้งหลายต่างพากันยิงนกตกปลากันไปตลอดทาง ค่ำไหนนอนนั้น แวะมันทุกอำเภอ เส้นทางจากพระราชวังถึงตำหนักเยว่ชุนต้องผ่านทั้งสิ้นห้าอำเภอ สิบสองตำบล ยี่สิบเจ็ดหมู่บ้าน ดีที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทไม่ได้ตามพระทัยว่าที่พระชายาและคุณชายหลินมากจนเกินขอบเขต หากตามใจกันขึ้นมาจริงๆ โดยการแวะมันทุกหมู่บ้านตามคำเสนอแนะของว่าที่พระชายาแล้วละก็ คาดว่าคงต้องใช้เวลาเดินทางเป็นเดือนกว่าจะถึงจุดหมาย หลังจากต้องนั่งรถม้าวนรอบภูเขาสูงหลายสิบรอบจนเวียนหัวตาลายในที่สุดยอดอาชาทั้งแปดตัวที่ใช้ลากรถม้าก็นำพาบรรดาเจ้านายของมันมาถึงตำหนักเยว่ชุน “ว้าว! สวยสุดๆ ไปเลย” จ้าวลี่หมิงอุทาน ตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตำหนักหลังใหญ่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาสูงชันเปล่งประกายสีขาวนวลเจิดจรัสท
ม่านหมอกหนาทึบอัดแน่นไปด้วยไอวิเศษยังคงปกคลุมดินแดนเร้นลับในทุกอณูพื้นที่ กดดันให้ผู้มาเยือน ณ ที่แห่งนี้หายใจอย่างยากลำบาก เพราะหากสูดรับเอาไอปราณเข้มข้นเหล่านี้มากเกินไปร่างกายอาจระเบิดเอาได้ง่ายๆ เงาร่างในอาภรณ์สวรรค์สีขาวพิสุทธิ์ดุจหยกยืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองมหานทีเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชืด สวีหนิงหลงพยายามกำหนดลมหายใจไม่ให้ตนเองสูดรับไอวิเศษเข้าไปมากเกินไป หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากเทียนตี้ให้ออกมาตามหาร่องรอยของสวีเฟยหลง เขาก็นำกำลังพลตรงดิ่งมายังดินแดนเร้นลับโดยไม่รอช้า หลังจากค้นหากันอยู่นาน พวกเขาก็เข้ามาถึงใจกลางดินแดนเร้นลับ นั่นก็คือ ทะเลมหาธาตุแห่งจินหลิงในหุบเขาเร้นเมฆา ริ้วคลื่นในมหานทีเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเงียบงันอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้กระนั้น หรือมีบางอย่างทำให้พวกมันหวาดกลัวจนต้องหลบลี้จากที่แห่งนี้กันแน่
จ้าวลี่หมิงมองสิงโตทองตัวน้อยตาละห้อย อิจฉาหลินเสวี่ยเฟิ่งขั้นสุดจนลำไส้เขียว อยากเป็นเจ้าของสิงโตทองตัวนี้แทบขาดใจ นี่มันสิงโตทองเชียวนะ สิงโตทอง! สิงโตขาวว่าหาได้ยากแล้วยังสามารถพบเห็นได้บ้างเป็นบางครั้งคราว แต่สิงโตทองตัวนี้คงหายากระดับตำนาน ไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีตัวที่สองโผล่มาให้เห็นอีกหรือไม่ จ้าวลี่หมิงเช็ดไม้เช็ดมือที่มีเหงื่อผุดซึมกับชายผ้าด้วยความตื่นเต้น แอบเอื้อมอุ้งมือมารมาลูบหัวสิงโตตัวน้อยที่นั่งยืดอกเชิดหน้าราวกับพญาราชสีห์บนฝ่ามือของหลินเสวี่ยเฟิ่ง แต่กลับถูกเฉินเทียนอี้หิ้วแผงคอเจ้าตัวเล็กตัดหน้าไปเสียก่อน เฉินเทียนอี้พิจารณาลูกสิงโตตรงหน้าอย่างละเอียด ยามนัยน์ตาคมเข้มสบเข้ากับดวงตาสีนิลคมวาวแฝงแววท้าทายอย่างเปิดเผยนั่น ทำเอาเฉินเทียนอี้ฉุนกึก สวีเฟยหลงส่งรอยยิ้มเหยียดหยันอย่างผู้เหนือกว่าให้เฉินเทียนอี้ ชายหนุ่มแสร้งเลียอุ้งเท้าน้อยๆ ของตัวเองอย่างสบายอกส
ขบวนเสด็จเดินทางมาถึงศาลาสิบลี้ ในบรรดาขุนนางจากสามฝ่ายหกกรมมีทั้งเสนาบดี รองเสนาบดีจากทุกฝ่าย หานจางหมิ่นเองก็มาร่วมส่งเสด็จด้วย รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้อื่นมองข้ามไปล้วนไม่อาจรอดพ้นสายตาเฉียบคมของเขาไปได้ รวมถึงผู้ซึ่งนั่งอยู่หลังม่านภายในรถม้าพระที่นั่งผู้นั้นตลอดทางเขาคอยสังเกตบุคคลปริศนาตลอดเวลาด้วยความสงสัยใคร่รู้ เห็นชัดว่าตอนที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ลงจากรถม้ามากล่าวลาเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัล ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับหานจางหมิ่น ผู้ใดกันที่มีความสำคัญต่อเฉินเทียนอี้ถึงเพียงนี้ ขนาดให้เท้าลงมาสัมผัสพื้นดินยังไม่ยินยอม หานจางหมิ่นได้แต่เก็บงำความสงสัยนี้ไว้ รอจนพิธีส่งเสด็จเป็นที่เรียบร้อยค่อยสั่งความคนสนิทข้างกายเสียงขรึม “ไปสืบความเป็นมาของผู้ที่อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทมาให้ละเอียด” &nbs
จ้าวลี่หมิงตื่นรับเช้าอันสดใสด้วยความกระปรี้กระเปร่า แม้จะนอนหลับไม่เต็มอิ่มเพราะมีเวลานอนน้อยแต่ความง่วงงุนก็ไม่อาจฉุดรั้งคนตัวเล็กได้ จ้าวลี่หมิงรีบหอบห่อผ้าที่เตรียมไว้ไปเคาะปลุกทุกคนในเรือนตั้งแต่ยามเหม่า[1] “ตื่นได้แล้วทุกคน วันนี้เราจะออกเดินทางกันแล้วนะตื่นๆๆๆ” จ้าวลี่หมิงมือหนึ่งถือตะหลิวอีกมือถือกระทะใบใหญ่เคาะไปตามห้องต่างๆ เสียงดังไปทั่วเรือน แม้แต่จ้าวมู่และกู้ฟางเหนียง รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งไม่มีส่วนร่วมในการเดินทางในครั้งนี้ยังถูกเสียงร้องดุจฟ้าลั่นของเจ้าตัวเล็กก่อกวนจนแทบสะดุ้งตกเตียงไปตามๆ กัน สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นมายืนส่งบุตรหลานที่หน้าประตูจวนในสภาพที่ยังไม่ตื่นดี “ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ขากลับเสี่ยวชีจะเอาของพื้นเมืองของที่นั่นมาฝากน่า” จ้าวลี่หมิงโบกมือลาไหวๆ อย่างร่าเริง พอขึ้นขี่ม้าได้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากหลังม้าอีก ผิดกับจ้าวลี่จิ่นและหานกวางผู้เป็นพี่เขยที่กล่าวลาผู้ห
แสงเทียนภายในห้องหนังสือของตำหนักอี้ชิ่งยังคงสว่างไสว เงาร่างสูงตระหง่านของเฉินซือหยางนั่งคร่ำเคร่งอยู่ท่ามกลางกองฎีกาเหมือนเช่นเคย พอกลับจากจวนไท่เว่ยเขาก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อน แต่มานั่งตรวจฎีกาที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น แน่นอนว่าเจ้านายไม่พักแล้วข้ารับใช้จะพักได้อย่างไร ภายในห้องไม่ได้มีเพียงเฉินซือหยางยังมีจางเสี่ยวเหล่ย และขุนนางอีกผู้หนึ่งนั่งทำงานอยู่ด้วย ขณะเปลี่ยนชาให้คนทั้งสอง จางกงกงแอบส่งสายตาให้ราชครูหานหรือ 'หานจางหมิ่น' ราชเลขาธิการควบตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์เป็นนัย หานจางหมิ่นได้รับสายตาขอร้องจากจางกงกงได้แต่พยักหน้ารับคำ “องค์รัชทายาทดึกแล้วทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฎีกาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน รอกลับจากแปรพระราชฐานค่อยทรงทอดพระเนตรอีกครั้งก็ยังไม่สาย” หานจางหมิ่นทูลเตือนด้วยความหวังดี “องค์รัชทายาททรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ย่อมเป็นวาสนาของแผ่นดินต้าเฉินแต่หากพระองค์ทรงล้ม