'ว่าด้วยเรื่องเข็มร้อยวิญญาณ'
วันหนึ่ง ณ จวนไท่เว่ย
ร่างเล็กป้อมของจ้าวลี่หมิงกลิ้งหลุนๆ เข้ามาในห้องของจ้าวลี่เจียที่กำลังนั่งปักผ้าตรงโต๊ะน้ำชา
จ้าวลี่เจีย : "ทำอะไรน่ะเจ้าตัวเล็ก"
จ้าวลี่หมิง : "ชู่ววว ชีชีกำลังเล่นซ่อนแอบอยู่ ลี่เจียเจี่ยเจียอย่าบอกใครนะ"
ร่างเล็กมุดใต้โต๊ะแอบอยู่ในนั้นอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางเสียงฝีเท้าวิ่งวุ่นและร้องเรียกดังลั่นของบรรดาสาวใช้
"คุณชายอยู่ไหนเจ้าคะคุณชาย ออกมาเถอะนะเจ้าคะ ได้เวลาเรียนหมากล้อมกับท่านอาจารย์แล้วนะ"
&
ในตลาดคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา ทุกคนต่างหยุดยืนมุงดูกระดานแจ้งเตือนข่าวสารกันอย่างเนืองแน่น ผู้ที่ได้อ่านข่าวต่างชี้ไม้ชี้มือวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่เรื่องข่าวนักโทษกบฏซึ่งกำลังหลบหนีการจับกุมอยู่ ณ ขณะนี้ ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเบียดเสียดแย่งชิงกันดูใบหน้าของนักโทษกบฏ และเงินรางวัลนำจับก้อนใหญ่ถึงหนึ่งแสนตำลึงทอง ซึ่งทางการจะมอบให้เป็นสินน้ำใจหากผู้ใดสามารถแจ้งเบาะแสของเฉินซือหยางได้ มีเงาร่างสูงใหญ่และเล็กป้อมอยู่เคียงกัน โดยคนตัวเล็กนั่งคร่อมบ่าคนตัวโตมองดูป้ายประกาศจับนั่นด้วยเช่นเดียวกัน “ใบประกาศจับนี่อัปลักษณ์ยิ่ง ใครเป็นคนวาดเนี่ยไม่เห็นจะเหมือนหยางหยางตรงไหนเลย” จ้าวลี่หมิงยู่หน้ารังเกียจ แต่พอก้มมองใบหน้าของเฉินซือหยางเปรียบเทียบกับใบประกาศจับกลับหัวเราะคิกคักด้วยความขบขัน “ท่านปู่หยาง ท่านแก่เร็วจังเลยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า” “เดี
“เมื่อครู่เจ้าจะแต่งตั้งใครเป็นฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ” ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยลอยลับ ทิวากรสาดแสงเรืองรองตกต้องเรือนร่างสูงสง่าเส้นผมสีเงินพลิ้วไหวล้อสายลมเปล่งประกายระยิบระยับ เสื้อคลุมมังกรสีทองอร่ามสะบัดพลิ้วตามการย่างก้าวอันหนักแน่นทรงพลังแผ่อำนาจกดดันผู้คน จนรู้สึกยำเกรงจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ยอมศิโรราบทั้งกายใจ “ฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางเห็นร่างสูงของเฉินเทียนอี้เดินผ่านต่างก็ร้องอุทานด้วยความตกตะลึง ไม่ใช่ว่าฝ่าบาททรงเสด็จสวรรคตไปแล้วหรอกหรือ การปรากฏตัวกะทันหันของเฉินเทียนอี้ในงานพิธีบรมราชาภิเษกสร้างความไม่พอใจให้กับใครหลายคน โดยเฉพาะหลี่ย่าเสียงและหลี่ลู่เหลียนต่างมีสีหน้าไม่น่าดู ตัวเฉินจวินเฉิงเองก็ตกอยู่ในอาการมึนงงมองเฉินเทียนอี้สลับกับหลี่ย่าเสียงอย่างทำอะไรไม่ถูก งานพิธีหยุดชะงั
เหล่านักฆ่ารับคำสั่งหลี่เหยียนเจี๋ยเปิดฉากฆ่าล้างทั้งตำหนักไท่เหอ ขุนนางในลานพิธีแตกฮือราวกับฝูงผึ้ง วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ยังดีที่ได้องครักษ์หลวงช่วยสกัดไว้จึงมีคนได้รับบาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อย หัวหน้านักฆ่าอาศัยช่วงชุลมุนจุดสัญญาณลับ พลุสีแดงเจิดจ้าระเบิดเสียงดังก้องฟ้าสว่างวาบไปทั่วท้องนภา ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องสนั่นฟ้าสะเทือนดิน เสียงกระแทกประตูวัง ดาบกระบี่โรมรัน เสียงรบราฆ่าฟันดังกึกก้องน่าหวาดผวา จนทุกคนในวังหลวงพากันอกสั่นขวัญหาย หัวหน้านักฆ่าคุ้มกันคนตระกูลหลี่พาหลบหนีออกจากลานพิธี กลับถูกเว่ยอันและฉางหลางขัดขวาง ทั้งสองฝ่ายประมือกันอย่างดุเดือด กองกำลังลับของหลี่เหยียนเจี๋ยบุกทะลวงถึงเขตพระราชฐาน เพียงไม่นานก็โอบล้อมลานพิธีหน้าตำหนักไท่เหอเอาไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า ไม่ยอมให้ผู้ใดหนีรอดจากลานแห่งความตายนี้ไปได้ หลี่เหยียนเจี๋ยเห็นชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อมก็นึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ชักกระบี่จากเอวนักฆ่าข้างกาย พุ่งเข้าหาเฉินซือหยาง 
หลังจากเหตุการณ์สู้รบสงบลง ซูโม่หลันถลันเข้าหาเฉินซือหยางทันทีด้วยความห่วงใย ตอนที่เห็นหลี่เหยียนเจี๋ยเงื้อกระบี่จะฟันเขา นางตื่นตระหนกจนหัวใจแทบหยุดเต้น ดีที่เจิ้งกั๋วกงมาช่วยไว้ได้ทันเวลาพอดี “หยางเอ๋อร์เจ้าปลอดภัยดีหรือไม่” “เราไม่เป็นอะไร ท่านน้าสบายใจได้” “เฮ้อ! โล่งอกไปที เสี่ยวชีเล่าเจ้าไม่ได้พามาด้วยกันหรอกหรือ” ซูโม่หลันมองหาจ้าวลี่หมิงไปทั่วลานกว้างกลับไม่เห็นเจ้าตัวเล็กแม้แต่เงา “ชีชีน่ะหรือ ป่านนี้คงกำลังมีความสุขอยู่กับผู้แซ่หานคนนั้นเสียล่ะมั้ง” เฉินซือหยางทำหน้าขรึม น้ำเสียงไม่ใคร่พอใจนักคล้ายหงุดหงิดมาเล็กน้อยแต่ฝืนข่มกลั้นไว้ ในสนามรบหอกดาบไร้ตาสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจถึงเขาอยากมัดอีกฝ่ายติดตัวมากแค่ไหน แต่ก็กลัวเด็กน้อยเสี่ยงอันตรายไปด้วยเลยไม่ได้ตามไปลากตัวจ้าวลี่หมิงมาจากหานกวาง
หลี่ลู่เหลียนมองตามหลังซูโม่หลันจนลับสายตา ค่อยหันมาปรึกษากับเสด็จอาหญิงอย่างไม่ใคร่วางใจอีกฝ่ายนัก “เรื่องที่เต๋อเฟยกล่าวเสด็จแม่ทรงคิดเห็นเช่นไรเพคะ” “อยู่กันเพียงแค่นี้เรียกข้าว่าอาหญิงเหมือนเดิมเถอะ” “เจ้าค่ะอาหญิง ข้ากลัวนางจะเล่นเล่ห์กับเรา อาหญิงโปรดไตร่ตรองเรื่องนี้อีกครั้งเถอะเพคะ” “เจ้าอย่าห่วงไปเลย เรื่องนี้ข้าหารือกับพ่อเจ้ามานานแล้ว หากไม่ถึงที่สุดย่อมไม่อาจลงมือ แต่ในเมื่อเราไม่มีทางเลือกคงต้องทำตามแผนที่เต๋อเฟยเสนอ หลังแผนการสำเร็จเราค่อยกำจัดนางทิ้งก็ยังไม่สาย” “เสนาบดีซูจะไม่สงสัยหรือเพคะ” “แค่ให้ตำแหน่งสำคัญแก่เสนาบดีซู ลูกอนุคนเดียวเหตุใดจะตัดทิ้งไม่ได้ จากนั้นค่อยประกาศออกไปว่าเต๋อเฟยกับฝ่าบาทมีจิตปฏิพัทธ์ลึกล้ำเมื่อรับรู้ว่าฝ่าบาทจากไปก็ทรงระงับความโศกเศร้าเสียพระทัยไม่ได้ แขวนคอตายในพระตำหนักอี้เซียวตามเสด็จสู่สวรรคาลัย
“รีบๆ เดินเข้า” ทหารหลวงใช้ฝักกระบี่ฟาดคนเดินรั้งท้ายอย่างแรงจนอีกฝ่ายล้มกระแทกพื้น แต่กลับไม่มีผู้ใดสงสารเห็นใจซ้ำร้ายยังถูกเหยียบซ้ำปางตาย กว่าจะลุกขึ้นเดินตามคนอื่นได้เล่นเอาสะบักสะบอม ขบวนนักโทษถูกต้อนออกมาจากคุกหลวงตั้งแต่ยามเหม่า[1] หลี่เหยียนเจี๋ย หลี่เจียง หลี่เหยียนเจ๋อ คนตระกูลหลี่ทั้งตระกูลรวมถึงผู้ที่มีส่วนรู้เห็นในชุดนักโทษเก่าโทรมผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล มือเท้าถูกตรวนด้วยโซ่เหล็กเดินหมดอาลัยตายอยากไปยังลานประหาร ดวงตาไร้แววของเหล่านักโทษเหม่อมองผู้คนที่มามุงดู เสียงด่าทอสาปแช่งดังสนั่นไปทั่วเมืองผิงอาน ข้าวของทั้งผักเน่า ไข่เน่า สิ่งปฏิกูลต่างๆ รวมถึงก้อนหินถูกขว้างปาใส่เหล่าโจรกบฏจนน่วมไปทั้งตัว แต่ก็ยังไม่สาสมกับชีวิตของชาวต้าเฉินนับหมื่นพันที่ต้องสูญเสียไปในสงครามทางตอนเหนือ “ไปตายซะ! เจ้าคนแซ่หลี่ ขบถขายชาติอย่างพวกแก่สมควรโ
“นี่หยางหยาง ได้ยินที่ชีชีถามหรือไม่” จ้าวลี่หมิงเห็นเฉินซือหยางเหม่อมองเสิ่นอวิ๋นเงียบๆ ไม่ตอบคำจึงกระตุกชายเสื้อเรียกร้องความสนใจ ทำให้เฉินซือหยางหลุดจากภวังค์ความคิด “หือ เจ้าว่าอะไรนะ” “ชีชีถามว่านักพรตคนนั้นเป็นใคร เหตุใดถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” “นั่นคือนักพรตเสิ่นอวิ๋น ได้ยินว่ามีพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งถึงระดับต้าเฉิงชื่อเสียงดีงามเป็นที่เลื่องลือในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรด้วยกัน ท่านจะมาเป็นราชครูประจำราชสำนักคนใหม่ให้กับแคว้นต้าเฉินของเรา” “ท่านนักพรตเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แล้วท่านนักพรตสามารถเหาะเหินเดินอากาศหรือหายตัวได้หรือไม่” “เรื่องนี้เราเองก็ไม่แน่ใจ คงจะบอกเจ้าไม่ได้หรอก” “เช่นนั้นเราไปสอบถามดูดีหรือไม่” “อย่าเพิ่งขยับตัววุ่นวาย ไว้รอให้การประหารนักโทษเสร็จสิ้น เราจะพาเจ้าไปไถ่ถามกับท่านนักพรตเอ
16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ
นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื
“แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต
ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ
สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ
เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้
กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  
เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”
16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ