เมื่อเห็นนางไม่กล่าววาจา เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่คิดจะปล่อยนางไป ถามต่ออย่างเรียบๆ ว่า “เจ้าไม่พูด ก็เท่ากับยอมรับว่า เพราะมิใช่มารดาผู้ให้กำเนิด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกตัญญูใช่หรือไม่?”กู้เซวียนอี๋เคยถูกคนเค้นถามติดต่อกันเช่นนี้แต่เมื่อใด?ถูกเค้นถามก็ช่างแล้ว ถ้อยคำและน้ำเสียงยังแข็งกร้าวอีก และนางยังเป็นฝ่ายที่ไม่มีเหตุผล น้ำตาจึงไหลหนักยิ่งกว่าเดิมแล้ว ศีรษะของนางส่ายไปมาราวป๋องแป๋งก็ไม่ปาน นางตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ การที่ผู้เยาว์กตัญญูต่อผู้อาวุโสเป็น สิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล เป็นหลักการแห่งฟ้าดินที่ไม่อาจแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดหรือไม่ ก็ควรกตัญญูอย่างดี ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับว่าอกตัญญู”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ถามอย่างไม่เร่งร้อนต่ออีกว่า “ถูกแล้ว เมื่อครู่เจ้าพูดว่า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางรักใคร่ชนรุ่นเยาว์ที่มิเกี่ยวข้องกับนางทางสายเลือดของนางอย่างจริงใจ เยี่ยงนั้นความหมายของเจ้าก็คือ ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิได้รักใคร่เอ็นดูบิดาและอารองของเจ้าอย่างจริงใจเช่นกันหรือ?”กู้เซวียนอี๋รีบส่ายหัวอย่างลนลาน พูดน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านย่าเป
นางเฉินกลับไม่ยอมปล่อยนาง ไล่ขนาบต่อว่า “จะอย่างไรพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นถึงผู้อาวุโส กล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าเด็กๆ ก็ไม่กลัวจะสอนพวกเขาให้เสียคนหรือ”นางจางควบคุมสีหน้าไม่อยู่เล็กน้อย ตอบว่า “นั่นเป็นเพราะข้าร้อนใจเกินไป เจ้าดูมือเซวียนหลิงของข้าสิ เซวียนหลิงนางมีนิสัยรุนแรง ชอบรังแกเซวียนอี๋ของเรา ก็มิใช่ว่านางไม่เคยรังแกเซวียนอี๋มาก่อน ครั้งนี้ยิ่งเกินเลย ถึงขนาดเลือดออกแล้ว”นางเฉินเหลือบตามองลูกอนุที่อยู่ข้างกายครั้งหนึ่ง บุตรสาวอนุนางนี้ปกติแล้วขี้ขลาดอ่อนแอ ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่ พี่สะใภ้ใหญ่ก็แค่ฉวยโอกาสนี้มาว่านาง ว่านางที่เป็นมารดาไม่ได้อบรมบุตรธิดาให้ดีเท่านั้น นางปกป้องบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากอนุเบื้องหลัง แล้วถามกลับไปว่า “พี่สะใภ้ก็มั่นใจถึงเพียงนั้น ว่าเป็นฝีมือของเซวียนหลิงหรือ? ไม่แน่ว่าอาจเป็นเซวียนอี๋ที่ล้มเองก็ได้ ปกติแล้ว เซวียนหลิงแม้แต่มดตัวเดียวก็ยังไม่กล้าทำร้าย แล้วจะลงมือทำร้ายคนได้อย่างไร”นางเพิ่งกล่าวจบ เสียงของกู้เซวียนหลิงก็ดังขึ้นมาว่า “ท่านแม่ เป็น เป็นข้าที่ผลักพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ”เมื่อนางเฉินได้ยิน ก็ราวกับถูกสายฟ้าฟาด นางหันไปด้วยสีหน้าแข็งค้าง มองบ
ใบหน้าของนางจางร้อนผะผ่าว ทั้งที่ลูกสาวของนางร้องไห้แถมยังบาดเจ็บด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายผู้ที่ผิดกลับเป็นบุตรสาวของนาง?เมื่อได้ยินนางเฉินพูดเช่นนั้น สีหน้าของนางก็ไม่น่ามองเป็นอย่างมาก การทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ยกระดับไปถึงว่าจะทำให้มารดาของสามีโกรธจนป่วยหรือไม่ ทำให้นางจบเรื่องอย่างลำบาก หากตำหนินิดหน่อยแล้วลงโทษเพียงเล็กน้อย ก็เท่ากับว่านางให้ท้ายบุตรสาว ไม่เห็นสุขภาพของมารดาของสามีอยู่ในสายตา กระทั่งตัวนางเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของบุตรสาวด้วยนางมองบุตรสาวที่น้ำตานองหน้า เมื่อครู่คิดว่าเซวียนหลิงเป็นคนผิด จึงเรียกร้องให้นางเฉินลงโทษเซวียนหลิงอย่างหนัก ตอนนี้เมื่อพบว่าคนที่ผิดคือเซวียนอี๋ หากไม่ลงโทษอย่างหนัก นางก็ไม่อาจสงบเรื่องนี้ลงได้ส่วนเรื่องจะลงโทษหนักอย่างไรนั้น?นางนึกถึงกู้ซิวหมิงที่เวลานี้ยังสำนึกผิดและคัดกฎตระกูลอยู่ในโถงบรรพชน ในใจคิดว่า กู้ซิวหมิงที่เป็นถึงซื่อจื่อของจวนโหว เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของทายาทสายตรง ยังถูกโบยไปถึงยี่สิบห้าแส้ คัดกฎสกุลร้อยจบ และกักบริเวณอยู่ในโถงบรรพชนหนึ่งเดือนเมื่อมีตัวอย่างเช่นนี้อยู่ก่อน ลูกสาวของนางทั้งพูดจาล่วงเกินมารดาของสามี ท
นางเฉินกล่าวขอบคุณอีกครั้ง “ไม่ว่าอย่างไรก็ยังต้องขอบคุณน้องสะใภ้สาม เพราะเมื่อครู่ น้องสะใภ้สามปรากฏตัวได้ทันเวลา จึงช่วยหยุดเซวียนอี๋ไม่ให้ตบเซวียนหลิงได้ เด็กคนนั้นมีกำลังค่อนข้างมาก หากมิใช่เพราะเจ้าปรากฏตัว เซวียนหลิงที่ตัวคนเดียวคงถูกนางจับตัวไว้แล้วทุบตีเป็นแน่ ไม่แน่ว่าใบหน้าอาจถูกข่วนจนเป็นรอยไปด้วย” เมื่อฟังถึงจุดนี้ ในใจของกู้เซวียนหลิงก็ยิ่งหวาดกลัว มิใช่มารดาเอกพูดเกินจริง เพราะเมื่อพี่หญิงใหญ่ข่วนคนขึ้นมา นางก็ไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาจริงๆ ตัวนางถึงวัยที่จะต้องพูดคุยเรื่องการแต่งงานแล้ว หากเสียโฉมขึ้นมายังจะแต่งงานได้อย่างไร? โชคยังดีที่อาสะใภ้สามมาได้ทันเวลาเมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่อยากฟังคนขอบคุณไปขอบคุณมา นางถามไถ่เรื่องสารทุกข์สุกดิบกับนางเฉินสองสามคำ จากนั้นก็นำสาวใช้จากไประหว่างทาง เมื่อนึกถึงท่าทางเมื่อครู่ของนางเฉิน เมิ่งจิ่นเหยาก็ถอนใจว่า “เซวียนหลิง เด็กคนนี้ถือว่ามีวาสนา ที่มีมารดาใหญ่เช่นนี้คอยปกป้อง”ชุนหลิ่วค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดนี้เป็นอย่างมาก เอ่ยปากตอบว่า “คุณหนูรองทั้งกตัญญูต่อมารดาใหญ่และรู้ความ ยามฟางอี๋เหนียงยังมีชีวิตอยู่ก็อ่อนโยนรู้หน้าที่ ไม่แก่ง
เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยากลับถึงเรือนเวยหรุยเซวียน ก็จวนจะได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว ทว่านางไม่อยากกินอาหารเท่าใดนัก สักพักจึงได้มอบอาหารให้กับสาวใช้ไม่กี่คนไปแบ่งกันกิน แล้วให้ห้องครัวทำโจ๊กไก่ฉีก ดังนั้นต้องรอนานสักหน่อยถึงจะสามารถทานได้ จึงได้ทานขนมสองไปชิ้นเพื่อรองท้องก่อนเมื่อชิงชิวเข้ามาในห้อง ก็มองเห็นนางนั่งอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยริมหน้าต่าง มือข้างหนึ่งวางอยู่บนขอบหน้าต่าง พลางเท้าคางไว้ที่หลังมือ มองไปยังท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ด้วยดวงตาที่เหม่อลอย ไม่รู้กำลังขบคิดเรื่องอันใดอยู่ชิงชิวเดินไปหานาง พลางถามด้วยความเป็นห่วง “ฮูหยิน ท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ?” เมื่อได้ยิน เมิ่งจิ่นเหยาก็ดึงสติกลับมา ดวงตาทั้งคู่ค่อย ๆ ฟื้นความสว่างใส พลางคลี่ยิ้ม “ไม่มีอันใด แค่คิดเรื่องบางอย่างเท่านั้น”ชิงชิวทั้งเชื่อแล้วก็ทั้งสงสัย แต่ว่าในเมื่อนายหญิงไม่อยากเอ่ยถึง นางก็จะไม่จมอยู่กับคำถามนี้อีก จึงเปลี่ยนมาถามด้วยความอยากรู้ “ฮูหยิน ปกติท่านไม่ชอบยุ่งเรื่องเช่นนี้ของผู้อื่น ไยวันนี้ถึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เล่าเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากล่าวอย่างเรียบเฉย “คงเป็นเพราะเคยตากฝนมาก่อน ถึง
เมิ่งจิ่นเหยาแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน ในภายภาคหน้ายังต้องหาสามีในอุดมคติให้เจ้ากับหนิงตงสักคนแล้วส่งพวกเจ้าออกเรือนด้วย”ชิงชิวส่ายศีรษะอย่างร้อนรน “ข้าน้อยไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ อยากอยู่ข้างกายของฮูหยินตลอดไป”เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “สตรีซื่อบื้อ อย่าได้คิดเช่นนั้นเชียว ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เจ้าเสียเวลาไปทั้งชีวิตได้หรอก เมื่อพบกับบุรุษดีที่พึงใจก็สามารถใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานได้แล้ว ข้าเป็นฮูหยินท่านโหว ถึงอย่างไรสถานะนี้ก็สามารถสนับสนุนเจ้าได้ ทำให้ครอบครัวสามีไม่กล้ารังแกพวกเจ้าแม้แต่นิดเดียว” ชิงชิวตอบกลับไปว่า “ฮูหยิน ข้าน้อยไม่รู้สึกว่าการอยู่เคียงข้างท่านเป็นการเสียเวลาไปทั้งชีวิตเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยขอพูดตามตรง ข้าน้อยได้ตัดสินใจไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับผู้ใดเจ้าคะ”เมิ่งจิ่นเหยางงงัน ยากที่จะเข้าใจ “เหตุใดเล่า?”“ที่จริงข้าน้อยไม่ได้สนใจเรื่องการแต่งงานเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ คิดแต่เพียงว่าจะปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่านเท่านั้น” ชิงชิวกล่าวพลางยกยิ้มเบา ๆ “การแต่งงานไม่ใช่เร
เฝิงหมอมอไม่ค่อยเข้าใจนัก “เช่นนั้นความหมายของท่านคือ?”ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พลางกล่าวว่า “ซิวเหวินกับเซวียนอี๋เป็นฝาแฝดกัน เซวียนอี๋คดงอไปแล้ว ซิวเหวินกับนางจางนั้นแตกต่างกัน ทว่าถูกนางจางตามใจ เรียนรู้ที่จะเกียจคร้าน หากอยู่ข้างกายนางจางต่อไปเกรงว่าคงจะถูกตามใจจนเสียคน”เฝิงหมอมอตกตะลึงอีกครั้ง “หรือว่าท่านอยากเลี้ยงดูสั่งสอนด้วยตนเองงั้นหรือเจ้าคะ?” นางกล่าว พลางมองไปที่นายหญิงแวบหนึ่ง ไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการนี้ของนายหญิงเท่าใดนัก “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณชายสี่อายุสิบห้าปีแล้ว ไม่ค่อยเหมาะเท่าใดนะเจ้าคะ”เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินคำนั้น ก็ส่ายศีรษะพลางหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ข้าชอบความสงบ เจ้าก็รู้นี่นา ข้าจะหาเรื่องมาใส่ตนเองอีกได้อย่างไรกัน?”เมื่อได้ยิน เฝิงหมอมอก็คิดถึงความเป็นไปได้มากมายหลายอย่างขึ้นมาในฉับพลันท่านซื่อจื่อทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านโหวต่างก็ผิดหวัง เป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนท่านโหว ขาดคุณธรรม ก่อเรื่องอื้อฉาวหนีตามกันไปกับผู้อื่นในวันแต่งงาน ทั้งยังบอกว่าชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงแม่นางหลี่คนเดียวเท่านั้น หากไม่สามารถแต่งแม่นางหลี่เป็นภรรยาได้ เช่นนั้นก
กู้จิ่งเซิ่งเหลือบมองนางอย่างไม่เข้าใจ พลางเอ่ยถาม “ฮูหยิน นี่เจ้าเป็นอันใดไปอีก? ในเมื่อมารดาใหญ่ส่งคนมาเชิญเจ้าไป ก็อย่าได้โอ้เอ้อีกเลย รีบไปเถิด หากว่ามารดาใหญ่สร้างความลำบากให้เจ้า ข้าไปขอความเมตตาให้เจ้าก็ได้นี่นา?”นางจางจับจ้องเขาอยู่ชั่วครู่ เปิดปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา พลางจากไปอย่างขุ่นเคืองในทันทีกู้จิ่งเซิ่งมองเห็นภาพแผ่นหลังของภรรยาจากไปอย่างมีโทสะ ก็จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด จะต้องโมโหถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ยิ่งเจ้าอารมณ์มากขึ้นทุกที ตอนนี้ถึงกลับกล้าชักสีหน้าใส่เขาเสียแล้ว……โถงโซ่วอันนางจางไปถึงโถงโซ่วอันด้วยความกระวนกระวายใจ หลังจากให้สาวใช้เข้าไปแจ้ง ก็เข้าไปในโถงโซ่วอันทันทีเมื่อเข้าไปในห้อง ในใจของนางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ประหม่าเสียจนไม่กล้าหายใจแรง เมื่อครู่กล้ามีโทสะกับสามีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าตั้งแต่โบราณ แม่สามีและลูกสะใภ้ก็เหมือนดังกับสายเลือดที่ยับยั้งกัน ลูกสะใภ้จะกล้ามีโทสะกับแม่สามีได้เช่นไร?เมื่อมองเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากู้ นางจางก็ค่อย ๆ ช้อนสาย
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา